24 พฤษภาคม 2550 13:22 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ฤดูฝนพร่ำ สายฝนโปรยปรายเป็นละอองเบาบางตา
วันหยุด น่าจะเป็นวันพักผ่อน ที่ฉันสามารถนอนแอกเขนก ได้อย่างสบาย ปิดตัวนอนอยู่บนเตียงที่หนานุ่ม อย่างเกียจคร้านโดยมีเจ้าซ่าหริ่มอยู่บนเตียงเป็นเพื่อนกัน
หรือลุกขึ้นมา จิบกาแฟที่ศาลาหน้าบ้าน ในบรรยากาศตอนเช้า เดินชมกล้วยไม้ ได้กลิ่นหอมของดอกโมกอ่อนๆกระจายฟุ้งปนกับกลิ่นดินผสมกลิ่นน้ำค้างลอยอบอวลอยู่ในอากาศ
ความทรงจำเก่าๆ ผุดพราย เหมือนฉายหนังที่วนเวียนซ้ำซากอยู่ในมโนภาพ ความรัก ช่างประหลาดนัก เวลารักเหมือนโลกทั้งโลกมีเพียงเราสองคน ตอนเช้าช่วยกันไปจ่ายตลาด ปลุกคนรักขึ้นมาช่วยกันทำกับข้าว ต่างคนต่างแสดงฝีมือผลัดกันชิม เธอล้างผักฉันโขลกน้ำพริก กลิ่นหอมของน้ำพริกกระจายทั่วเรือนหอบ้านกะทัดรัดหลังๆเล็กที่เราช่วยกันตกแต่งพร้อมเสียงหัวเราะ
ความคิดความหม่นหมองจนกลายเป็นความเหม่อลอย ในความคิดความรู้สึกเจ็บปวดกลับมาอีกเป็นระยะๆ
ฤดูฝนพรำ น้ำเอ่อท้นล้นตลิ่ง คลื่นของน้ำบิดตัวเป็นเกลียวคลื่นระลอกยาวและขุ่นสลับกัน กอผักตบชวาคงฟู่ฟ่อง ล่องไหลในเกลียวคลื่นหมุนวนเคว้งคว้าง ไม่รู้จบ
มวลแมกไม้สองฝากฝั่งคงเขียวเข้มระริกไหว อยู่ในสายลมอันอ่อนโยน ทิวไผ่โยกไหวตามกระแสแห่งแรงลม
นานเท่าใดที่ฉันนั่งมองสายน้ำ เหมือนกับว่าฉันกับเขายังคงยืนอยู่ชัดเจนที่ริมฝั่งท่า แค่ปลายตาผ่านฉันต้องกลืนกลืนก้อนแข็งๆเหมือนคอขมหรือเกิน ลงไปในคอ กล้ำกลืนไว้ เพราะสิ่งที่เหลือเป็นแค่ความทรงจำในอดีตที่เจ็บปวด
ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เพื่อสัมผัสกับความสดชื่นบริสุทธิ์ของ บรรยากาศสายน้ำ แห่งความทรงจำ ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วที่เราจะมองเห็นแต่ความเจ็บปวดรวดร้าวและ จ่อจมกับความเสียดาย เหมือนคลื่นที่ซัดหายไปไกลยังฝั่งฟ้า
ลุกขึ้นสิ ฉันยังมีอีกหลายเรื่อง ให้ต้องกระทำ โอบกอดและประคองตัวเองพยุงตัวเองขึ้นมา มอบความรัก ให้ตัวเองเถิด อย่าคิดให้ใครช่วยพยุงเลย จะมีประโยชน์อะไรที่ฉันต้องผวาตื่นกลางดึก ที่พบว่าตัวเองเท่านั่น ที่ต้องเป็นผู้รอคอย อย่างไม่มีวันสิ้นสุด และต้องผวาตื่น กับความเจ็บช้ำที่ตอกย้ำทุกค่ำคืน ยังดีในความรู้สึกน้ำตา ยังเป็นเพื่อนที่ภักดี ไม่เคยหนีหายจากฉัน ความเศร้าซุกซ่อนอยู่หลืบล่มใด งานและงานเท่านั้น ที่ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ได้ การเพิ่มพูน และพัฒนาตัวเอง เป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำ และกระหายที่จะทำมันด้วยความศรัทธา
จงกล้าหาญที่จะท้าทาย กับความไม่รู้และโดนเฉพาะอย่างยิ่งความหวาดกลัว จงกลางใบเรือของเธอขึ้น เพื่อนำไปสู่มหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ เพื่อค้นหาหาดทรายแก้วซึ่งซ่อนอยู่ ณ.โพ้นครอบฟ้าว่ามีอยู่จริงหรือไม่
ไม่ควรอยู่ในความสงสัย ของกัปตันผู้บังคับบัญชาเรือ เพราะจะนำมาซึ่งความลังเลและฉุดรั้งความมุ่งมั่น ในการทำงานของเขา ทำให้เสียโอกาสอันงดงาม
การลืมใครสักคนเป็นเรื่องยาก รักใครสักกคนเป็นเรื่องง่าย อย่าเลือกที่จะลืมแต่จงเปลี่ยนรูปแบบ และความทรงจำเสียใหม่ แล้วฉันคงจะอยู่ได้อย่างเข้มแข็งและมีโอกาสพร้อมกับความหวังว่าสักวัน...ฉันจะเรียนรู้ และค้นพบความต้องการของตัวเอง อย่างแท้จริง
11 พฤษภาคม 2550 18:48 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
วันที่ผ่านมา ชั่วระยะเวลาหนึ่งของชีวิต
ผู้คนมากมายผ่านเข้ามา .........บางคนผ่านมาเพียงเพื่อจะผ่านไป
แต่กลับบางคนกลับไม่เป็นเช่นนั้น... จากคนแปลกหน้า
กลายเป็นคนรู้จัก คนคุ้นเคย ล่วงเลย ไปถึงกลายเป็นคนรักกัน
เวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน
สถานภาพทางความรู้สึกของเราก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
บางคนยังคงความเป็นคนแปลกหน้า
ยังรักษาระยะห่างของการเป็นคนรู้จักคนคุ้นเคย
หรือ คนรักกันไว้ได้อย่างคงที่
บางคน เปลี่ยนแปลงจากคนแปลกหน้า กลายเป็นคนคุ้นเคย
จากคนเคยคุ้น กลายมาเป็น คนรักกัน ....
ทำลายระยะห่างของความรู้สึกให้สั้นลงอย่างรู้สึกได้
และเมื่อนั้น เรื่องราวดี ๆ สวยงามทางความรู้สึกจึงเกิดขึ้น ...
แต่ในทางกลับกัน...
ระยะห่างของบางคน อาจห่างไกลออกไปจนสุดหูสุดตา
จากคนเคยรัก คนเคยคุ้น ....กลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก ...
กลายเป็นคนแปลกหน้าทางความรู้สึกไป ...
แน่นอนว่า ระยะห่างของคนรู้จัก กับ คนรัก ย่อมไม่เท่ากันเป็นแน่
แต่นั่นแหละ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ...
ฉันเชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของเวลา
พอ ๆ กับเชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึก...
ไม่มีมาตราวัดใด ๆ ที่จะใช้วัดระยะห่างของความรู้สึกได้
และระยะห่างในแต่ละสถานภาพทางความรู้สึกในแต่ละคนก็คงจะไม่เท่ากัน...
เราระบุชัดไม่ได้ว่า 1 เท่ากับ 1 ในความรู้สึกของอีกคน 1
ในความรู้สึกของคนหนึ่ง อาจจะเป็น 100 ในความรู้สึกของอีกคนก็เป็นได้ ...
และในเมื่อการคบหากันเป็นปฏิสัมพันธ์ของคนสองคน ....
เราจึงมองเห็นความไม่ลงตัว
เห็นระยะห่างที่ไม่เท่ากันของคนสองคนได้เสมอ
กับคนบางคน เราอยากเป็นมากกว่าคนรู้จัก
เราก็จะพยายามที่จะทำให้ระยะห่างของเรามันสั้นลง
กับคนบางคน เราอยากเป็นน้อยกว่าที่เป็นอยู่ . .......
เราก็จะพยายามที่จะทำให้ระยะห่างของเรายาวไกลออกไป...
แต่กลับบางคนเรากลับอยากจะรักษา ระยะห่าง ตรงกลาง ไว้ให้คงที่
ไม่ให้ห่างหาย จางหนี หรือ เข้ามาใกล้จนเรารู้สึกอึดอัด....
เคยรู้สึกใช่ไหมว่า ...
ขณะที่เราเดินเข้าหา บางคนกลับกำลังเดินหนี
กับบางคนเรากำลังเดินหนี บางคนกลับเดินตาม
กับบางคนเราก็ต้องการระยะห่างประมาณหนึ่ง ไม่ต้องใกล้มาก
แต่ไม่ต้องการห่างหายไปไหน...
ขณะที่บางคนวิ่งตาม ล้มลุกคลุกคลาน
เจ็บปวดกับระยะห่างของอีกคนที่ทิ้งไว้ตรงหน้า
ขณะเดียวกันกับที่อีกคนก็วิ่งหนี
โดยไม่คิดจะหันกลับมามองความเจ็บปวดของอีกคน
อะไรก็เกิดขึ้นได้ กับความรู้สึกคน...
เหนื่อยแสนเหนื่อย ล้าแสนล้า ....
แต่สุดท้ายก็ยังพยายาม พยายามที่จะยื้อยุดฉุดดึงอยู่เช่นนั้น
บางคนปล่อยความรู้สึกของอีกคนไว้ บนความห่าง ห่างจนลับตา ...
ไม่เคยหันกลับมามองหรือรับรู้ความเป็นไปของอีกคน
ไม่เคยรับรู้ว่า ...
ระยะห่างที่เขาทิ้งไว้อีกคนมันสร้างความเจ็บปวดได้ประมาณไหน
แต่ก็มีบางคนที่เหนื่อยล้ากับระยะห่างที่พยายามรักษาไว้เพียงแค่นั้น
ไม่ต้องห่างไป แต่ เข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้ ...
ต้องการเพียงเส้นขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบ
การทำลายระยะห่างของคนสองคนอาจไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายนักสำหรับอีกหลาย ๆ คน
บางคนพยายามมาเกือบทั้งชีวิต....
ระยะห่างที่ว่าก็ยังคงห่างอยู่เช่นเดิม....
ขณะที่บางคนอยู่นิ่ง ๆ ไม่วิ่งหนี ไม่วิ่งตาม
ปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของเวลา
ไม่เรียกร้องให้เกิดความคาดหวัง ไม่ปล่อยละเลยจนเหมือนชาเฉย
ระยะห่างนั้นกลับขยับเข้ามาใกล้ราวปฏิหาริย์...
เอาใจช่วยสำหรับคนที่กำลังพยายามเดินเข้าหา...
ให้อีกคนหันกลับมามองบ้าง
ระยะห่างจะได้สั้นลง พยายามต่อไป
เพราะวันหนึ่งคุณอาจรู้สึกว่าความพยายามของคุณมิได้ไร้ค่า
ร้องขอสำหรับคนที่กำลังเดินหนี
ให้หันกลับมามองความรู้สึกของอีกคนบ้าง
เพราะบางทีคุณอาจจะสูญเสียอะไรดี ๆ ไป
เพราะระยะห่างที่คุณทิ้งไว้ให้อีกคน
เห็นใจกับการรักษาระยะห่างให้คงที่สำหรับบางคน
เพราะบางทีมันก็ทรมานมากกว่า การพยายามเดินเข้าใกล้หรือห่างหนี...เสียอีก...
...แล้วคุณ ๆ เล่า
เคยนึกย้อนกลับมามอง ระยะห่าง ของคุณกับผู้คนรอบตัวกันบ้างไหม.
เคยรู้สึกไหมว่าบางที ความห่างไกล
...กับ ระยะห่างของความรู้สึกเป็นกลับเป็นตัวแปรผกผันกัน
เคยรู้สึกได้ถึงระยะห่างทั้งที่ตัวอยู่ใกล้ๆ
หรือรู้สึกใกล้กันแล้วทางความรู้สึกทั้งที่ตัวอยู่แสนไกล กันบ้างไหม....
เคยคิดกันบ้างไหมว่า
ระหว่างคนพยายามเดินหนี
คนที่พยายามเดินตาม
และคนที่พยายามยังไงระยะห่างกลับเท่าเดิม
คนไหนเจ็บปวดไปกว่ากัน...
25 เมษายน 2550 14:58 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ไอ้เผือกหันมามองผม คราวนี้แววตาฉายแววเวทนาผมทีเดียว ..... เอาน่าไอ้เข้มมึงอย่าไปจำมันเลยน่ะ ถ้าจะทำงานใหญ่ต้องร่วมมือกัน....
ไอ้เข้มคงจะงอนที่ถูกสหายสนิทปรามเช่นกัน
จึงสะบัดก้น เดินตุปัดตุเป๋ ไปกินอาหารของมันต่อ
ผมมองท่าทางของมันแล้ว อยากเดินเข้าไปแตะมันสักป้าป
ชะหน๋อย....โตเป็นควายแต่ทำตัวยังกะตุ๊ด
ได้เผือกเสนอความผิด...." กูว่าเราควรประท้วง "
ผมยืนตัวแข็ง เหมือนโดนน่ะจังงัง กว่าจะเอ่ยปากย่นๆของตัวเองออกมา
" ประท้วง มึงจะประท้วง ประท้วงอะไรของมึง ประท้วงสังคม ประท้วงนายทุน หน้าลือด ประท้วง ผืนดิน ที่นา หญ้าแพรก ประท้วง ประท้วงมันเข้าไป ประท้วงอะไรก็ได้ ก็ได้
มึงจะบ้ารึไงว่ะ ทำเพื่ออะไรกัน ผมส่ายหน้าไปมา ทั้งไม่เห็นด้วย
ทั้งไล่แมลง เหลือบ ริ้น ไร ที่บินมาตอม หู ตอมตา จนน่ารำคาญ
ไอ้เผือก หันมามองหน้าผม.....นิ่งนาน.....
กว่าจะระบายลมหายใจ ออกมาอีกพรืดใหญ่
" มึงคิดว่า ชีวิต ชีวิตมึงดีแล้วหรือ ทุกวันนี้ มึงพอใจแค่นี้น่ะเหรอ "?
" เฮ้อ....ผมทำเช่นเดียวกับมันบ้าง ก็ไม่ใช่จะพอใจอะไรหรอก เพียงแต่กูมองไม่เห็นประโยชน์ของการประท้วง จริงๆว่าทำไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
เป็นครั้งแรก ที่ผมพูดได้ยาวขนาดนี้และดูเหมือนจะบั่นทอน ความคิดไอ้เผือกได้ดีทีเดียว ถ้าหากไอ้เข้มไม่เดินแทรกเข้ามาเสียก่อน
มันว่ามึงขี้ขลาดนี่หว่า
พวกขี้ขลาดมักทำอะไรโง่ๆได้ทั้งนั้น
กูไม่ได้ขี้ขลาด ผมตวาด " มึงเพิ่งเกิดมาดูโลก ได้ไม่นาน คงไม่รู้หรอกว่า ในอดีตสมัยหนุ่มๆ กูผ่านอะไรมาบ้าง
เพื่ออะไรกัน หรือเพื่อว่า ได้มายืนอยู่ตรงนี้ แบบควายตัวหนึ่งน่ะเหรอ
ไอ้เข้มอ้อมแอ้มอยู่นาน ในที่สุดมันก็โพล่งความคิด ของตัวเอง ออกมาจนได้
ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยว่ะ
เพราะอย่างน้อย เราก็ได้ความสะใจบ้างหรอกน่าหรือว่ามึงจะเถียง
ผมยิ้มมุมปาก จ้องมันเขม็ง นี่ อายุผมไล่เลี่ยกับมันแล้วมัน ละก็คงกระโจนใส่มันทั้งตัวไปแล้ว
เฮ้ย...มันช่างมีความคิดแบบควายๆจริง....
23 เมษายน 2550 15:14 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ที่ราบเวิ้งว้าง เมื่อก่อนมันเคยเขียวชอุ่ม ยอดต้นกล้าปลิวไสวเหมือนหยอกล้อกับสายลมและแสงแดด อยู่เป็นนิจ น้ำและดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ แต่ตอนนี้กับหมดไปเหมือนหัวใจมนุษย์
เมื่อผ่านมาสี่เดือนก่อน เพื่อนๆยังอยู่กันครบ แต่เพราะต้องการอิสรภาพมากเกินไป จึงต้องจากไปอย่างน่าเศร้าใจเช่นนี้
แต่นั่นน่าจะเป็นข้อแก้ตัวตะหาก
ชีวิตของพวกเราน่าจะดีกว่านี้น่ะ ไอ้เผือก รำพึง ขณะยืนพักแดดใต้ร่มไม้บนคันนา สายตามันทอดยาวไกล ออกไปสู่ผืนนาโล่งกว้างที่มีริ้วรอยตีนกา เหมือนใบหน้าของมัน
มึงหมายความว่าอะไร ผมถาม
อิสรภาพไงหล่ะ มึงไม่โหยหาบ้างเหรอ
ผมอึ้งไปนาน กว่าจะมีคำถามใหม่ออกมา
มึง...คิดทำอะไร...
มันมองหน้าผมเขม็ง พลางระบาย ลมหายใจ พรืดพราด อย่างจะเดินอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดิน เข้าไปหา ไอ้เข้ม สหายอีกหนึ่งที่ยืนละเอียด อาหารกลางวัน อยู่บนคันนาซึ่ง ไม่ไกลกันนัก
ผมเดินตามไปติดๆ เพื่อค้นหาคำตอบ จากคำถามเดิมอีกครั้ง
มึงไม่บอกกูเลยว่ามึงคิดอะไร?
เงียบ.....ไม่มีเสียงตอบจาก ไอ้เผือก
ไอ้เข้มยืนข้างๆ งยหน้าขึ้นมองผม จากนั้น ค่อยๆเผยรอยยิ้มติดเหงือกสีดำ
ของมันออกมาอย่างเย้ยหยัน
มันว่า" โง่เป็นควายอย่างนี้มึงจะรู้อะไรกับขาว่ะ
17 เมษายน 2550 15:47 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
เวลาเหนื่อย เวลาท้อแท้ เวลาอยากหยุดพักเรื่องงาน กับหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่ในหลายคน หรือแต่ละคน ที่รับผิดชอบต่างกันไป ผู้คนทั้งหลาย มักจะนึกถึงทะเล ซึ่งหมายถึงตัวฉันด้วย แต่ที่ฉันชอบมองมากกว่าผิวน้ำของทะเล คือสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ท้องทะเลนั้น เหมือนบางครั้งสงบ เมื่อบางครั้งหยุดนิ่งแต่บางทีเหมือนรอคอยโอกาส ที่จะโดนมรสุมซัดซาดทำให้ท้องทะเล ปั่นป่วน
ทะเลเหมือนตัวแทน หลายอารมณ์ที่ตอบสนองความรู้สึกหรืออารมณ์ทางจิตใจ
ฉันเคยนั่งมองทะเล กลับที่เดิม ตรงไหนกันน่ะ ที่ท้องทะเลช่วยรักษา โรคหรืออาการ เหล่านี้ได้ แสงสีนวลของพระจันทร์ หรือหาดทรายที่สะท้อนเงาล้อเล่นหยอกเย้ากับแสงสีนวล หรือจะเป็นเม็ดทราย ที่มีอณูเม็ดเล็กละเอียด ซึมซึบความอ่อนหวาน อยู่ในเม็ดทรายเหล่านั้น หรือท้องทะเลสีฟ้าที่เปล่งประกายระยิบระยับสวยจับตาสะท้อนเงา เป็นคลื่นที่ผิวน้ำ หรือแม้กระทั่งบรรยากาศรอบๆที่อยู่ทั่วตัวเรา
ไม่ทราบว่า มีกี่คนกัน ที่ได้กลิ่นน้ำทะเล โรคร้ายที่เกาะกุมหัวใจ จะเบาบางไปได้ หรือทำให้เรา หลงลืมได้ชั่วขณะ
คงแล้วแต่อาการ ของแต่ละคน เวลาอยู่ที่ท้องทะเล ได้ชื่นชมบรรยากาศมีแต่ความสุข มีสิ่งดีๆให้ชีวิตมากมาย แต่ถึงเวลากลับ กลับหงอยเหงา นำความเศร้า และอดีตติดตัวกลับมา อย่างทำอย่างไร ก็ลืมไม่ได้ คงเหมือนเราได้บำบัดหัวใจ บำรุงหัวใจให้อบอุ่น เพื่อจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น มีแรงสู้กับโรคร้ายที่เกาะกุมหัวใจได้ต่อไป แต่กลับซ่อนความเศร้า และ ความอาลัยอาวรณ์
ซึ่งเหมือนบางครั้ง กลับทำให้เราโหยหา อยากกลับไปหา ท้องทะเลไม่สิ้นสุด
สำหรับฉันจุดที่สวยที่สุด คือเรานั่งมองทะเลอยู่อย่างนั่น จนสุดปลายของเส้นขอบฟ้า ซึ่งไม่รู้ว่าขอบฟ้ากับเส้นของขอบทะเลบรรจบกันตรงไหน
เหมือนไม่สิ้นสุด เหมือนเราแสวงหาความต้องการ ของจิตใจ แต่สุดท้าย สิ่งที่ต้องการคือ การปลดปล่อย หรืออยากทิ้งสิ่งเลวร้ายลงไป จะอาจจะเป็นได้ว่า เก็บซึมซับสิ่งดีๆซ่อนไว้ในความทรงจำตลอดไปชั่วชีวิต
ทะเลคงเป็นสิ่งเดียว ที่เราทิ้งอะไรลงไป แล้วไม่มีใครหาเจอ เหมือนความลับที่ฉันเก็บไว้คู่กับทะเล
คงจะมีแต่ฉันกับท้องทะเล เท่านั้นที่จะรู้