6 กุมภาพันธ์ 2552 13:30 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
วันนี้ คุยกับเพื่อนรู้สึก ว่าบางคนก็เครียด บางคนก็เหนื่อย บางคนก็ท้อ บางคนก็เบื่อ อย่าคิดอะไรกันมากเลยค่ะ พอหมดวันนี้ ผ่านพ้นไปพรุ่งนี้ก็เป็นวันใหม่แล้ว มาทายปัญหาสนุกๆแก้เครียดกันดีกว่าคะ
1) อะไรเอ่ย ทุกวันเวลาเช้าขึ้นทางทิศตะวันออก และเวลาเย็นขึ้นทางทิศตะวันตก (ให้ตอบได้ 5 พยางค์)
ตอบ : พระ พระ พระอาทิตย์ (พูดแบบคนติดอ่างพูด)
(2) วันนี้ลิฟต์มีคนใช้บริการแน่นมาก หลังจากที่ขึ้นไปเพียงชั่วครู่ ลิฟต์ก็ตกลงมา แต่ปรากฎว่าไม่มีผู้ที่บาดเจ็บเลย เพราะอะไร
ตอบ : เพราะตายหมด
(3) เขาอะไรที่ปีนไม่ได้
ตอบ : เขาทราย
(4) มีรถไฟขบวนหนึ่ง มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ มีลมพัดมาทางทิศใต้ ควันไฟจะลอยไปทางไหน
ตอบ : พุทโธ่ รถไฟฟ้าจะไปมีควันได้ไง
(5) สมศักดิ์ท่องภาษาอังกฤษจนคล่องและจำได้หมด เพื่อไปสอบปลายภาคในวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อประกาศผลเขาสอบตก เพราะอะไร
ตอบ : ก็พี่เล่นอ่านอังกฤษ แต่ที่สอบเขาสอบเลขต่างหาก (น่าสงสาร)
(6)แล้วสัตว์อะไรเอ๋ย อยู่บนฟ้ามี 4 ขา บนพื้นดินมี 2 ขา แล้วไงตอนอยู่ในน้ำมี 3 ขา
ตอบ : สงสัยจะเป็นสัตว์ประหลาด
(7)ครูบอกว่า หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง แต่เด็กชายภิเษก บอกว่า เป็นสามครับครู ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ตอบ : เด็กชายภิเษก เขาบวกผิดเองคับ (ครูสอนไม่จำ)
(8) รถแข่งที่มีความเร็วสูงมากคันหนึ่ง ขับเลี้ยวโค้งทำมุม 90 องศาอย่างรวดเร็ว อยากทราบว่าล้อไหนไม่แตะพื้น
ตอบ : ล้ออะไหล่
(9) เวลาไหนที่มีคนเคาะประตูแล้วเราจะไม่เชิญเข้ามาข้างในแน่นอน
ตอบ : คนกำลังอึในห้องน้ำ (เหม็นเชียว)
(10)คนปกติเวลานอน มักนอนหงาย แล้วคนหลังค่อมนอนอย่างไรนะ
ตอบ : คนหลังค่อม ก็นอนปิดตานะสิ (โง่จริง)
(11) มีแก้วน้ำอยู่เจ็ดใบ น้ำเต็มทุกใบเท่ากัน อยากทราบว่าแก้วไหนมีน้ำน้อยที่สุด
ตอบ : ใบที่หก
อย่าคิดมากอ่านขำขำ นะคะ
31 มกราคม 2552 10:15 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
มีคนเคยพูดว่า
ดอกไม้เป็นของคู่กับผู้หญิงคงไม่ผิด
งานดอกไม้บานเทศกาลเชียงราย
ด้วยบรรยากาศและความที่เป็นคนชอบต้นไม้
ทำให้ไปดูถึงสามครั้งไม่รู้จักเบื่อ
เข้าแถวแต่เช้า
เพื่อรอขึ้นเรือข้ามฝากอีกฝั่ง
ด้วยใจจดจ่อ อากาศเย็นหนาวกระทบกาย
สบายๆนั่งเรือ ดู แม่น้ำและผู้คนที่สัญจร
เดินทางมาเที่ยวจากทั่วสารทิศ
เห็นความเร็วของเรือทำให้ น้ำ
กระจายและกระเด็นเป็นฟองรอบๆ
ริมทางมีผู้คนรอคอย บ้าง
ลงเล่นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบ้าง
หาปลาบ้าง อมยิ้มและมีความสุขกับภาพเหล่านั้น
มวลดอกไม้นานาพันธุ์ที่นำมาอยู่ในที่งานนี้
สวยงาม สดชื่น
จนอยากจะเดินวนเวียนในนี้
ไม่อยากให้พระอาทิตย์ตกดิน
คงจะไม่ผิดกับคำที่ว่า
เหมือนเที่ยวแดนสวรรค์
แต่นี้คือ วิมานแดนดิน ถิ่นดอกไม้งาม
เทศกาลเมืองเชียงรายนั่นเอง
29 มกราคม 2552 10:14 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
บรรยากาศ ใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ ได้มีโอกาสมาสัมผัสแดนดินถิ่นเชียงราย
เข้าวัดพระแก้ว ปฏิบัติธรรม
และร่วมพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา
ที่ผู้คนหลั่งไหลมาอย่างมากมาย
ทั่วสารทิศเพื่อเข้าร่วมพิธีที่จะจัดกัน
ในวันส่งท้ายปีเก่าขึ้นปีใหม่ที่จัดทุกปี
เริ่มงานตั้งแต่หกโมงเช้าถึงตีสามของอีกวัน
โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรทั้งสิ้น
แถมทางวัดยังมีบริการอาหารและ
เครื่องดื่มฟรีตลอดงาน
มีระดับเกจิพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทางภาคเหนือ ประกอบพิธีและยังได้บูชาประจำวันเกิด
ของแต่ละคนในแต่ละวันที่เกิด
ถือว่าเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งในชีวิต
รุ่งเช้าของวันใหม่
ต่อแถวขึ้นเรือข้ามอีกฝั่งไปเที่ยวงาน
เทศกาลดอกไม้บาน
โดยเสียค่าเรือโดยสารคนละยี่สิบาทต่อเที่ยว
ไปถึงงาน เที่ยวฟรี ตลอดงาน
ไม่มีการเก็บค่าผ่านประตูอะไรทั้งสิ้น
ต้องตื่นตาและดีใจกับสิ่งที่เห็น
ด้วยอากาศที่เย็นสบาย และความสดสวย
สดใสดอกมวลดอกไม้นานาพันธุ์ที่มาอยู่รวมกัน รอยยิ้มของคนเมืองเหนือและภาษาท้องถิ่น
คงเป็นมนตร์เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่น่าค้นหา
สถาปัตยกรรมที่อ่อนช้อยและงดงาม
ที่น่าสัมผัสอีกอย่างของเป็น
วัดในจังหวัดเชียงราย ไหว้พระ
วัดพระแก้ว ชมพิพิธภัณฑ์
วัดพระสิงห์ วัดงำเมือง
วัดพระธาตุดอยเวา วัดกลางเวียง
วัดร่องขุน วัดดอยทอง ที่เชื่อกันว่า
เป็นจุดของสะดือจักรวาลอยู่ที่นี่
ตามด้วยนมัสการ พ่อขุนเม็งราย
เที่ยวกาดตลาดเชียงราย
ยังไม่จุใจขอสัมผัสบรรยากาศถนนคนเดิน
สมบทบาทเป็นแม่ค้าสักครั้ง สนุกค่ะ
บรรยากาศในนั้น มีวงดนตรีแบบเครื่องดนตรีทางเหนือ ทั้งแบบที่มาเล่นแบบสมัยใหม่ และคำเมือง
นักศึกษามาเล่นดนตรีเปิดหมวกตาม
ทางของขายมากมาย
และของกินของฝากมีให้เลือกหลากหลาย
บรรยากาศได้ใจจริงๆ
แล้วเดินทางต่อไปเที่ยวแดนดินถิ่นแม่สาย
เที่ยวแบบง่ายๆกับคนรู้ใจ
แค่นี้ชีวิตทุกนาทีก็มีความหมายและมีค่า
ในความทรงจำสำหรับปีใหม่ปีนี้
25 มกราคม 2552 13:01 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ทุกวันนี้เด็กได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆอย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกชายวัยสี่ขวบของข้าพเจ้ามีปัญหามาถามทุกวัน หลายปัญหาตอบและอธิบายให้เขาเข้าใจ แต่ก็มีอีกหลายปัญหาที่อยากให้ข้าพเจ้าหาคำตอบมาอธิบายเพิ่มเติม
ดังนั้น วันนี้ข้าพเจ้าขอให้ผู้ที่มีความชำนาญในภาษาไทย หรือผู้ที่เชียวชาญช่วยตอบปัญหาต่อไปนี้ด้วย
ปัญหาที่หนึ่ง...........
พ่อครับ หนูทำผ้าเปียก
ทำไมถึงเปียกล่ะครับ ข้าพเจ้าถาม ในขณะที่ ลูกชายตัวน้อยชูผ้าเช็ดตัวให้ดู
หนูทำผ้าหก ลงน้ำ ครับ
ไม่ถูก หนูต้องพูดว่า หนู ทำผ้าตก
เพราะคำว่า หก ใช้กับของเหลวที่ตกจากที่สูง เช่น น้ำหก นมหก เป็นต้น คำว่าตก ใช้วัตถุ สิ่งของที่ตกจากที่สูง เช่น ผ้าตก เป็นต้น ข้าพเจ้าอธิบายง่ายๆ เพื่อลูกเข้าใจ
พ่อครับ แล้ว น้ำตก ที่เราไปเที่ยวกัน ทำไมเขาไม่เรียก น้ำหก เห็นใครๆเขาก็เรียก น้ำตก ล่ะครับ
???????????????????
ปัญหาที่สอง.......
พ่อครับ ทำไม ครูบอกให้เด็กนักเรียน ถอดรองเท้าไว้หน้าห้องเรียน แต่ครูใส่เข้าไปได้ครับ
ลูกชายได้ถามข้าพเจ้า หลังจากที่ไปตรวจโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งกับคุณแม่
หนูได้ยิน คุณพ่อกับคุณแม่ คุยกันว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันไม่ใช่หรือครับ
"เริ่มแบ่งแยกกันตั้งแต่เด็กเลยพ่อ"
หนู งง
??????????????????????
ปัญหาที่สาม.........
ทำไม ครูชอบ พูดว่า อย่าเพิ่งพูด ให้อธิบายให้จบก่อน
................
ใครมีอะไรถามไหม? ทำไม ไม่ถาม ?
คุณพ่อครับ ตกลงครูเขาจะเอายังงัย พอเด็กจะพูด ก็ไม่ให้พูด พอเด็กไม่พูดก็ให้เด็กพูด
คุณพ่อจะบังคับหนูแบบนี้เปล่าครับ?
ปัญหาที่สี่.............
หนูใส่เสื้อยังครับ ข้าพเจ้าถามลูกชาย
พ่อครับ หนูไม่เข้าใจ เมื่อวาน แม่บอกหนูว่า มา เดี่ยวแม่สวมเสื้อให้ วันนี้คุณพ่อ บอกให้หนูใส่เสื้อ
ตกลงแล้ว หนู ต้อง ใส่ หรือ สวม เสื้อครับ
ปัญหาที่ห้า..................
คุณพ่อครับ หนูจะรักพ่อได้หรือเปล่าครับ
ได้สิครับ หนูถามทำไมล่ะ
หนูได้ยิน คุณพ่อคุยกับคุณแม่ว่า ...........เป็นตุ๊ด เพราะรักผู้ชายด้วยกัน
หนู กับพ่อ เป็นผู้ชาย หนูไม่อยากเป็นตุ๊ด ครับ
..
คุณพ่อครับ สงสัยหนูมีปัญหากับภาษาไทย แน่เลย?
22 ธันวาคม 2551 13:39 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
การเขียนบทกวี ถือได้ว่าเป็นงานศิลปะที่ต้องใช้ความรู้สึก
องค์ความรู้ ถ่ายทอดผ่านถ้อยคำและภาษา เพื่อสื่อให้ผู้อ่านได้รับสารที่กวีส่งถึงโดย
มีความเข้าใจหลังจากได้รับสารนั้นๆ แล้ว
ซึ่งอาจเป็น กาพย์ กลอน โคลง ฉันท
์ ร่าย หรืออื่นๆ ซึ่งในตำราที่ผู้สนใจศึกษาดูจะเห็นว่า
มีลักษณะเหมือนกันคือ
มีแต่รูปแบบของฉันทลักษณ์ของแต่ประเภทร้อยกรอง ซึ่งเหมือนไม่อาจบอกอะไรได้มากกว่านั้น
ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็ศึกษาจาก
กระบวนการเริ่มต้นนี้เช่นกัน
แต่เมื่อได้ลองลงมือเขียนแล้วจริงๆ จึงได้รู้ว่าบทกวี ไม่ได้มีแค่ฉันทลักษณ์ที่งดงามอย่างเดียวเท่านั้น
บทกวีมีหลายสิ่งหลายอย่าง
เท่าที่ผู้เขียนรู้สึกได้นั้น ได้แก่
ความมีชีวิตของคำและภาษาที่กวีสื่อออกมา, ความเคลื่อนไหวหรือความมีชีวิตของถ้อยคำ,
ความยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจมีในที่อื่นๆ เป็นต้น
ซึ่งตัวผู้เขียนเองเรียนรู้ผ่านหลายๆ วิธี โดยเริ่มตั้งแต่การศึกษาฉันทลักษณ์ที่มีอยู่ต
ามที่กล่าวไปแล้ว , การหางานกวีรุ่นเก่า-รุ่นใหม่ มาอ่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้,
การได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกับกวีหรือนักเขียน
เท่าที่มีโอกาส
เนื่องจากว่าในมุมมอง-วิธีคิดและการมองโลก
ของนักเขียนมีอะไรที่น่าสนใจ
(แต่ก็ต้องดูว่ามุมมองนั้นสร้างสรรค์หรือทำลายนะ) ซึ่งทั้งหมดนี้เมื่อผ่านเวลาไปสักพักหนึ่ง
คนเขียนจะเริ่มเห็นแนวทางและความชัดเจน
ในการเขียนมากขึ้น แต่หมายความว่าผู้ที่จะเป็นนักเขียนต้องมี
การฝึกฝนอย่างจริงจังด้วยประการหนึ่ง
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คล้ายว่าเป็นพื้นฐานที่คนเขียนหนังสือหรือบทกวี
ต้องเริ่มพร้อมๆ กัน ในส่วนอื่นๆ ผู้เขียนเอง
พอจะรวบรวมเป็นประเด็นไว้บ้าง ซึ่งอาจเป็นประโยชน์
กับผู้ที่สนใจได้บ้าง ดังนี้
1. เป็นคนช่างสังเกต การเป็นคนช่างสังเกตจะทำให้เรามองเห็นในเรื่องราวต่างๆ
ต่างไปจากคนทั่วไป เช่นว่า ในการเดินทางของเรา เมื่อเราเห็นต้นไผ่ริมทางเราอาจมองให้ลึกซึ้งว่า
ไผ่ไหวเอนหรือไม่ ไหวเอนเพราะอะไร
ให้ความรู้สึกอย่างไร ดินมีสภาพอย่างไร ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งประเด็นจากที่เราเริ่มหัดสังเกต
จะผลต่อไปในอนาคตว่าเราจะสามารถ
เชื่อมโยงสิ่งที่เราสังเกตนี้เข้ากับโลกนี้ได้อย่างไร
เช่น ต้นไผ่ มีที่ไปที่มาอย่างไร
ไผ่เปรียบได้กับอะไร
ไผ่ช่วยโลกและสัมพันธ์กับโลกนี้ได้อย่างไรบ้าง
ไผ่ทำให้คนมีน้ำกิน
มีที่อยู่อาศัย มีอาหารได้อย่างไร
เช่นที่ อาจารย์เนาวรัตน์เขียนไว้ว่า ใบไผ่ไหวตะวัน ก็ลองไปหาคำตอบดูว่าเป็นอย่างไร
2. พยายามใช้ความรู้สึกเข้าไปจับ
หมายความว่า ให้สมมติว่าถ้าเราเป็นสิ่งนั้น
เราจะคิดอย่างไร อย่างที่วิสุทธิ์ ขาวเนียม
เขียนไว้ในบทกวี ที่ชื่อว่า เสียงผีเสื้อว่า
มาเริงรำด้วยกันกับฉันสิ ถ้าเราอ่านดีด
ี จะเห็นว่า กวีกำลังเป็นผีเสื้อแล้ว ความรู้สึกอย่างนี้ต้องพยายามทำให้เกิดให้ได้ในงานเขียน
3. กระบวนการคิดและลำดับเรื่องราว
ตรงนี้นับว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากงานเขียนเป็นงาน
ที่สื่อความคิดเป็นภาษา
ดังนั้นถ้าความคิดของผู้เขียนไม่ชัดจะทำให้คนอ่านสับสนไปด้วย ผู้เขียนจะต้องคิดและลำดับ เรื่องราวให้ถี่ถ้วน ซึ่งในช่วงแรกๆ อาจยากจนทำให้หลายคนวางปากกาไปเลยก็มี ซึ่งถ้าจะยกตัวอย่างที่ไม่ชัดก็มีเช่น
เมื่อเดินทางมาพบประสบรัก
อยู่ริมทางศาลาพัก คนเศร้าหงอย
คงคาไหลเลื่อนเล่นกระทงลอย
แล้วค่อยค่อยเอื้อมเก็บดอกหญ้าดม
จะเห็นว่าสัมผัสได้ตามฉันทลักษณ์ กลอนสุภาพเป็นอย่างดีแต่อ่านเนื้อหาแล้วอยู่คนละเรื่องกันเป็นต้น ซึ่งถ้าจะยกตัวอย่างกลอนที่เป็นเอกภาพเช่น
พับยาเส้นใบจากเชี่ยนหมากไม้
ผู้เฒ่าชราวัยนัยตาฝัน
ชานบ้านไม้ครึคร่ำยามเย็นนั้น
มวลใบจากอวลควันตะวันพลบ
อย่างนี้เป็นต้น
4. การเลือกใช้คำ และภาษา เมื่อเราผ่านกระบวนการคิดในประเด็นที่เราจะเขียนถึงแล้ว ต่อไปก็เป็นการเลือกคำมาใช้ให้เหมาะกับ
เหตุการณ์ที่เราคิดไว้ เช่น ถ้าเราเขียนกลอนถึงเรื่องรัก เราก็ควรที่จะใช้คำหวานๆ ถ้าเราเขียนถึงเรื่องอดีต
ก็ควรใช้คำที่เป็นอดีตบ้างเพื่อให้เห็นภาพของเมื่อวาน เป็นต้น
ซึ่งการเลือกใช้คำนี้ ควรที่จะให้คำทุกคำได้ทำงานเนื่องจากบทกวีมีข้อจำกัดในการใช้คำ ดังนั้นทุกคำควรเป็นคำที่มีความหมายที่คัดแล้วและวางได้อย่างถูกที่
5. การหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา โดยส่วนตัวแล้วนักเขียนควรมีความรู้ที่กว้างและลึก
-รู้รอบและกว้าง เนื่องจากทุกเรื่องราวเป็นประโยชน์
ในงานเขียนของเราทั้งสิ้น ดังนั้น ไม่ว่าทางไหนที่จะเป็นประโยชน์กับเราต้องขวนขวายหามาเก็บไว้
ไม่ว่าจะเป็น การอ่านหนังสือทุกประเภทเท่าที่จะหาได้
ดูข่าว ฟังเพลง ดูหนัง เที่ยว พูดคุย ฯลฯ โดยให้สังเกต
การใช้คำจากที่ต่างๆ ซึ่งในวันข้างหน้ารับรองได้ว่า
จะเป็นประโยชน์แน่นอน
6. การจดบันทึก การจดบันทึกเป็นการเก็บความรู้สึก
ได้ดีที่สุดวิธีหนึ่ง เมื่อเราผ่านเวลาไปนานๆ แล้วเราได้กลับมาอ่านบันทึกเราจะได้ความรู้สึกนั้น
กลับมาด้วยไม่เชื่อลองดู
ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นที่ผู้เขียนเองปฏิบัติอยู่
ซึ่งก็ยังไม่สมบูรณ์ทุกกระบวนการ
และบางประเด็นก็อยู่ในช่วงที่ฝึกฝนอยู่ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดอยู่ที่การฝึกฝน
และความรักที่จะลงมือทำอย่างจริงจัง
ผู้เขียนมีความเชื่อว่า ในความธรรมดาของบทกวีเรา
จะพบความยิ่งใหญ่อัศจรรย์อยู่ในนั้น
ซึ่งไม่อาจอธิบายได้อย่างในตำราซึ่ง
คงอยู่ไม่ไกลแล้วจริงๆ .
ต้นกล้า