17 ตุลาคม 2549 19:29 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ฉันนั่งวาดดอกไม้ใต้ลานเมือง
เพื่อเล่าเรื่องเคืองหมองของดอกไม้
ผ่านเส้นสายหลายหลากจากหัวใจ
ที่หม่นหมองร้องไห้ในวันวาน
ฉันเจ็บปวดรวดร้าวและหนาวเหน็บ
ยามก้มเก็บเหมือนดอกไม้ไร้กิ่งก้าน
ไร้คนเหลียวมองผ่านมาแสนนาน
จนดอกไม้ไม่บานใต้ลานเมือง
ฉันนั่งวาดดอกไม้ระบายสี
เติบส่วนที่ขาดยับให้กลับเฟื่อง
แต่งกิ่งก้านผ่านมือหวังเรื่อเรือง
อย่างครบเครื่องพานพบลบหมองมัว
แต่แค่ดอกไม้สิ้นไร้ใครมองข้าม
หมดสิ้นหนามโรยลามืดสลัว
แค่ดอกไม้ไร้สีสันขะมุกขะมัว
แสนหมองมัวแค่ดอกไม้ไร้คนแล
13 ตุลาคม 2549 20:27 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ทิวธารกระทงล่อง
ประกายทองดูเรียงราย
เสน่ห์พรรณรายพราย
ประโลมฝั่ง ณ ถั่งธาร
จีบตองมารองเจียน
ประทีปเทียนชัชวาล
บุปบางามตระการ
ประดับดาววะวาวสี
ปี่ซอแว่วคลอขับ
บรรเลงสรรพดนตรี
เคล้าคลื่นรื่นวารี
ประทับจิตสนิทเสียง
เพลงเรือกังวานก้อง
ประกอบฆ้องเสนาะเพียง
สังคีตกรีดสำเนียง
ประดุจมนต์แห่งคนธรรพ์
อนิษฐานดั่งใจ( ปัจจุบันกาล)
คว้าไขว่เป้าหมาย
พลันธารกระเทือนกระทั่ง
ทำนบพังระทมตรม
ปล่อยลงไป
ในปัจจุบันชม
อุทกหลั่งล้นฝั่งไกล
จุดหมายปลายทาง
ตองโทรมเป็นโฟมจม
( ปัจจุบันกาล)
พลันธารกระเทือนกระทั่ง
ทำนบพังระทมตรม
ในปัจจุบันชม
อุทกหลั่งล้นฝั่งฝาย
ตรองโทรมเป็นโฟมขาว
สาดสีพราวกระจายพราย
บุปผาก็ลากลาย
เป็นพลาสติกทุกก้านแกน
color=#1400C4>
ปี่ซอที่คลอเคลื่อน
" สตริง" เลื่อนมาเทียบแทน
อึกทึกทั่วทุกแดน
คงขาดแคลนคนร้อยเรียง
เพลงเรือต่างลาลับ
ลูกคู่ขับก็ขาดเคียง
หม่นหมองโอ้จองเปรียง
ไม่ทันไรก็ไร้รอย
ตำรับนพมาศล่ม
กระทงจมกระทดถอย
น้ำค้างหล่นพร่างพร้อย
เปลวเทียนดับไม่กลับคืน
( สืบสู่อนาคตกาล)
ประทัดประทุเปรี้ยง
ตระหนกเพียงยินเสียงปืน
ดอกไม้แห่งไฟฟืน
มาเผาใจให้ไขว่เขว
โลกใหม่วิไลศรี
ประเพณีจึงรวนเร
กระทงคงหันเห
และห่างหายจากสายธาร
28 กันยายน 2549 04:36 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ห่างบ้านเกิดถิ่นเก่าที่เราพราก
เหมือนน้ำหลากหลั่งล้นเป็นฝนหลง
ไหลลิ่วสู้ต่ำใต้ห่างไพรพง
ห่างจากดงกันดารและบ้านนา
เสาะแสวงหาสิ่งดีเพื่อชีวิต
เสาะหามิตรความอบอุ่นและคุณค่า
เสาะแสวงหาความหมายในสายตา
ได้ทั้งความเหว่หว้าและอาดูร
ได้ทั้งรอยแผลเล็บความเจ็บปวด
เจ็บยิ่งยวดเจ็บลึกและสิ้นสูญ
สิ้นทั้งเลือดและเนื้อความเกื้อกูล
เสียทั้งสิ่งเทิดทูนเคยศรัทธา
สู่บ้านเกิดถิ่นเก่าที่เรามั่น
ละทิ้งความฝันแห่งเมืองอันเปลืองค่า
ทิ้งสังคมสีเหลืองเมืองมายา
กลับคืนสู่บ้านนาแห่งความจริง
มีใบหน้าแห่งรักประจักษ์ชัด
มีความสุขสงัดให้สู่สิง
มีเรือนชานแหล่งหลักให้พักพิง
มีศัตรูตัวจริงที่เห็นเงา
มาเป็นวิหคผินบนดินอื่น
ช้ำและชื่นหิวโซอย่างโง่เขลา
หวังและก้าวบนทางสายบางเบา
ผ่านความเศร้าเหงาสุขและทุกข์ท้น
จากดวงตาฉ่ำหมายประกายแกร่ง
ค่อยอ่อนแรงโรยลากลางป่าฝน
ถึงวันทุกข์แน่นอกอุทกท้น
น้ำตาหล่นเรี่ยรายท่วมสายทาง
กลับบ้านเกิดถิ่นเก่าที่เราหมาย
สู่เรือนชานสุดท้ายจักทอดร่าง
สู่อดอิ่มหนาวอุ่นคุ้นสรรพางค์
รองรับร่างผ่านสู่เชิงตะกอน
24 กันยายน 2549 14:36 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
เกียรติยศคือสิ่งที่หวงแหน
ทั่วทุกแดนปกป้องผองทั่วหล้า
เพราะเราคือเหล่าทหารพระราชา
เหนือใต้ฟ้าปราบภัยใช้ความดี
เหล่าทรราชย์ซ่อนหุ้นหนุนขายชาติ
วางอำนาจโยกย้ายหลายท้องที่
ชาตินักรบต่อสู้เหล่าไพรี
พร้อมยอมพลีประชาธิปไตยเพื่อไทยเรา
คนแนวหลังอยู่อย่างสุขสงบ
ไร้เรื่องรบเข่นฆ่าอย่างโง่เขลา
ปฎิวัติแบบเรียบง่ายใช้ผ่อนเบา
เรื่องมัวเมาอำนาจขาดกันที
ขอสดุดีสุภาพบุรุษสุดที่รัก
กล้าหาญนักยอมสู้ไม่ถอยหนี
รวมกำลังชี้แจงแบบพอดี
ต่อแต่นี้ประเทศไทยใช่..ของเรา...
23 กันยายน 2549 01:11 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
เดียวดายอ้างว้างเคว้งคว้างนัก
คงสิ้นค่าความรักเขาหักหาญ
เหมือนสูญสลายรักเราเพียงตำนาน
ปวดร้าวรานดั่งมีดคอยกรีดทรวง
เพราะร่ำร้องครวญหาอย่างโหยให้
เมื่อใจนึกถามใจได้แต่ห่วง
ค่าหมดสิ้นหลงคำคนหลอกลวง
เขาตักตวงลวงรักเอาจากเรา
อยากหมดสิ้นเยื่อใยไร้ความรัก
ยักยากฝืนกลืนหักเมื่อรักเขา
เพราะเยื่อใยรัดตรึงซึ้งแน่นเรา
เหมือนมีเงาลบยากไม่อยากจำ
อยากจะลืมใจเจ้ากรรมกลับจำได้
แอบถามใจเพราะอะไรจึงชอกช้ำ
แค่ลมปากคำลวงทุกห้วงคำ
คอยตอกย้ำมากคารมคำคมชาย
อยากหยุดพักเรื่องรักสักแค่นี้
ถ้อยวลีร้อยลิ้นสิ้นความหมาย
จะขออยู่ร้างไร้ใครแนบกาย
โลกสลายรักเราสิ้นฉันยินดี