11 มิถุนายน 2550 10:43 น.
กชมนวรรณ
"จริง ๆ นะพี่ หนูเจอมาจริง ๆ"
"เจอมากะตัวเองเลย...ไม่ได้ฟังใครเค้าพูด...แต่หนูจะเล่าให้พี่ฟัง แม้!ว่าจะไม่เล่าแล้วนะ มันอดใจ ไม่ได้ มันอึดอัด" เสียงแม่น้องฟ้า ซึ่งพาน้องฟ้า มารักษาตัวด้วยโรคลูคีเมีย บอกฉันด้วยเสียงอัน ตื่นเต้นถึงเรื่องราวที่ได้เจอในวันนั้น หลังจากที่เราเคยเจอกันที่โรงพยาบาลนี้ 2-3 ครั้ง แต่ครั้งนี้เราอยู่เตียงติดกัน สนิทกันยิ่งขึ้น จากที่เมื่อก่อนแค่ยิ้มทักทายธรรมดา ทักกันเล็กน้อยพอเป็นพิธี แต่วันนี้เรานั่งคุยกันหลายเรื่องจนมาถึงเรื่องนี้ซึ่งฉันไม่อยากฟังเล้ย..จริงๆ
แต่ปากก้อดันพูดว่า
"แล้ว เป็นไง หรอค่ะ น้อง เล่ามาเลยค่ะ พี่อยากฟัง" นั่นไม่อยากฟังแต่สมองมันไม่รับ มันสั่งแต่ว่าอยากรู้ค่ะ
"คืน นั้น นะพี่นะ หมอไม่รู้คิด ยังไง โทรมาสั่ง ตี 2 แล้วให้เอาน้องฟ้าไปเอ็กซ์เรย์ ตรวจกระดูก ก่อนให้ คีโม หนูก็ต้องตามลูก ไปด้วยตอนเจ้าหน้าที่เปลเค้ามารับ ตอนไปนะพี่ไม่เป็นไรหรอก แต่สักพักเค้าบอกให้หนู กลับมารอที่ตึกเพราะ คิวยาว เดี๋ยวเค้าจะเอาน้องฟ้ามาส่งเอง หนูนะอยากกลับพร้อมลูกแต่อยากนอนด้วย เลย นะกลับ ก็กลับ"
"ค่ะ น้อง ต่อเลยค่ะ"
"ทีนี้นะพี่ ว่าจะเดินขึ้นทาง บันได แต่ ชั้น 6 เรามันนานนะพี่แล้วกลัวเจอ รัย รออยู่บนบันได ด้วยกะว่าเอาเร็ว นะพี่ใช้ลิฟ นี่แหละชั้น 6 เองกลั้นใจแป๊บเดียว"
"พอ กดลิฟ นะ มันเปิดออก ช้า ๆ หนูเข้าไปกดชั้น 6 นะ พอประตูปิดนะพี่ มันขึ้น พรวดเลยนะ เร็วมาก แต่มันไม่หยุด ชั้น 6 นะพี่ไปหยุดชั้น 8 เลยพี่ พอหยุด ชั้น 8 ประตูไม่เปิด นะ หนูเลยกดลง ชั้น 6 อีกมันลงพรวดเลย แต่ไม่หยุดชั้น 6 นะไปหยุดชั้น G เลย พี่ก็รู้ชั้น นี้เป็นที่เก็บศพ หนูใจเสียหมดแล้วนะพี่ จะออกก็ออกไม่ได้ ต้องกดขึ้นอีก ชั้น 6 มันก็ขึ้นชั้น 8 อีกกดลงมันก็ลง ชั้น G อีกแล้วไฟในลิฟ นะพี่ มัน ติดๆ ดับๆ ด้วยหนูจะชีอค อยู่แล้ว นะ ทีนี้มันเปิดชั้น 6 พี่หนูรีบวิ่งออกมาเลย หันเห็นแมวดำวิ่งตามหลังออกมาด้วย ตัวหนึ่ง หนูรีบวิ่ง เข้าตึกเลย"
" ไม่เอาแล้ว พี่หลังจากนั้น นะหนู ไม่ใช้แล้วลิฟ คนเดียวไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เดินขึ้นบันไดนี่แหละยังไง ได้วิ่ง ฝ่ามันได้แต่ในลิฟ พี่คิดดูนะ วิ่งไปทางไหนก็ไม่ได้ ตายกะตาย" "หลาบแล้วพี่เฮ้อ" แม่น้องฟ้าสรุปพร้อมถอนหายใจ อย่างโล่งที่ผ่านคืนวันนั้นมาได้ โดยหัวไม่โกร๋น ไม่งั้นใคร ๆ คงคิดว่ามารักษาตัวเองแน่ ไม่ใช่พาลูกมารักษา
ฉันฟังเรื่องของแม่น้องฟ้าแล้ว มันคอยคิดอยู่ตลอดเวลาเพราะฉันนะเรื่องกลัว ผี นะรักษายังไงก็ไม่หาย หลอกตัวเองว่าไม่มีก็ไม่ได้ ไม่คิดถึงมันก็ไม่ได้อีกเพราะต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลบ่อยแล้วที่จอดรถของฉันนะติดกับชั้น G แหละที่สะดวกสุดแล้ว เพราะชั้นนี้นอกจากเป็น ที่ของห้องเก็บศพแล้ว
ยังเป็นที่ตั้งของโรงอาหารอีก ซุปเปอร์อีก เรียกว่าไม่จำเป็นก็ต้องจำเป็นต้องลงชั้นนี้แหละ แล้ววันละหลายๆ รอบด้วย เพราะเจ้าตัวเล็กของฉันที่มารักษาตัวด้วยเดี๋ยวจะเอานั่น แม่ เดี๋ยวจะเอานี่แม่ จะกินนั่นแม่ จะกินนี่แม่ (ฉันรู้ว่าเค้าไม่อยากอยู่แต่ในห้องรักษา อยากเดินเล่นมากกว่า ของที่บ่นอยากได้อยากกินนะซื้อมาตั้งถ้าของกินฉันต้องกินเอง ถ้าของเล่นก้อถือติดมือเดี๋ยว เดียว ฉันต้องเก็บใส่ถง ไว้ตอนออกก็ โอนให้เด็กๆ เตียงอื่นไป เพราะที่บ้านจะรกไปด้วยของเค้าที่ขยันซื้อ แต่ไม่ขยันเก็บและเล่นต่อเลย) แต่คิดตั้งใจไว้ว่า ทีนี้ถ้าจะ ซื้ออะไรจะต้องซื้อตอนกลางวัน ไม่ลงตอนกลางคืนแล้ว แต่ต้องลงจนได้ บอกแล้วอย่าไปฟัง อย่าไปฟังก็ไม่เชื่อ รันเอยรัน ตายแน่ตู
คืนนั้น หลังจากหมด เวลาเยี่ยมตอน 1 ทุ่มน้องฟ้าก็เอาบะหมี่ถ้วยมากิน(เด็กพวกนี้ หมอจะไม่ให้กินของพวกนี้นะค่ะ แต่พวกเค้าจะทานอะไรไม่ค่อยได้ เป็น 4-5 วันเราพ่อ แม่ กลัวลูกหิวไม่มีอาหารลงท้องบางครั้งก้อต้องยอมตามใจเค้าค่ะ ถึงหมอบางคนก็เหมือนกัน ถ้าดูชาร์ดของเด็กบางคนที่แม่ไม่ได้มาเฝ้าแล้วเด็ก ไม่ทานอะไร เวลาให้คีโมนะ หมอจะปลีกเวลามานั่งข้างเตียงแล้วคุย บอกให้กินอาหาร อยากกินแบบไหน เดี๋ยวหมอจะสั่งให้ เอาข้าวต้มไหมเอากับข้าวแบบไหน คือยังไงก็ได้ ขอให้เด็กได้ทานสักหน่อย สุดท้ายถ้าเด็กเบื่ออาหาร โรงพยาบาลจริง ๆ ไม่ยอมทานอะไร ก็ต้องยอมให้เค้ากิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่แหละค่ะ แล้วไม่รู้ทำไมเด็กพวกนี้จะทานได้นะค่ะ พวกนี้นะ อาจจะพอชงร้อนๆ แล้วมันหอมน่ากินก็ได้) ที่นี้ พอเจ้าตัวเล็กเห็นพี่ฟ้ากิน อยากกินบ้าง บอกให้ฉันลงไปซื้อ ที่ซุปเปอร์ฉันบอกค่อยกินพร่งนี้นะ แม่จะซื้อมาไว้หลายถ้วยเลยหลายรสด้วย เค้าไม่พูดค่ะว่ายอมเปล่า แต่วิธีการแสดงของเค้าทำให้ฉันทนนั่งเฉยไม่ได้ ต้องรีบลงไปซื้อให้เค้า คือเค้าจะนั่งขัดสมาด บนเตียงแล้วหันมองพี่ฟ้านั่ง กินเฉย ๆ พร้อมไม่พูดอะไรเลย เป็นคุณต่อให้ใจแข็งอย่างไรก็ต้องไปค่ะ
ฉันคว้ากระเป๋า ได้รีบไปเลยพอเดินถึงหน้าลิฟ เอาวะ จะ กดชั้น 1 แล้วเดินลงชั้น G ดีหรือว่าลงชั้น G เลยแล้วรีบเดินไปซื้อแล้วรีบกลับ ฉันเลือกวิธีหลังค่ะ พอลิฟ เปิดชั้น G ปุ๊บฉันกระโดด ออกปั๊บ เหมือนกันรีบก้มหน้าเดิน พอถึงหัวโค้งทางแยก นั่นไงเจ้าหน้าที่แปลเข็นเห็นฝ่าเท้าขาวๆ มาแล้วพร้อมด้วยญาติ 2 คนเดินร้องไห้ตามหลังมา ฉันรู้ด้วยประสบการณ์แล้วว่าเค้าจะไปไหนกัน พยายามไม่มอง แต่ในใจบอก ขอให้เป็นสุข เป็นสุขเถิด แล้วไปที่ชอบนะค่ะ ถึงไม่รู้จักกันแต่ฉันจะทำอย่างนี้นี้ทุกครั้งที่เจอคนตาย ที่ไม่รู้จักกัน
พอซื้อเสร็จรีบกลับมากดลิฟ ขึ้นหาลูกป่านนี้คงคอยแล้วกดเรียกลิฟ ลิฟมาพร้อมเปิดฉันเดินเข้าพร้อมกด ชั้น 6 พยายามไม่คิดเรื่องที่แม่น้องฟ้าเล่า แต่สมองไม่ทำงานอีกแล้ว เอาแต่จะคิด ๆ ๆ พร้อมไฟในลิฟ ดับพรึบ สนิทเลยค่ะ เอาแล้ว เอาแล้ว เอาแล้ว ฉันคิดพลางสั่นพลาง รีบหยิบมือถือมาจะกด อ้าว ตายละหว่า ทำไม ไม่มีสํญญาณเลยว่ะ ตายแน่ ลิฟก็ดังกึก กึก กึก ก็มันไม่เดินนี่ น่าจะประมาณชั้น 3-4 นี่แหละ กึก กึก กึก ทั้งเสียงลิฟ และเสียงหัวใจของฉัน พรึบ ไฟติดขึ้นมา พร้อมลิฟกระชากขึ้นหยุดกึกในทันทีประตู เปิดออกชั้นรีบกระโดดแต่ไม่กลับไปหาแมวดำหรอกนะค่ะ แล้วไม่ค้นหา ความเร็วด้วยว่าฝีเท้าใครจะเร็วกว่ากันระหว่างฉันกับแม่น้องฟ้า คิดอย่างเดียวค่ะ พร่งนี้ตูไปเปลี่ยนซิม แล้วโว้ย เอาที่มันมีสัญญาณ ในลิฟ แล้วจะขอเบอร์พยาบาลในหวอดไว้ทุกคนด้วย..............
9 มิถุนายน 2550 13:49 น.
กชมนวรรณ
วันนี้ฉันเข้าไปกวาดห้องนอนลูก เจ้าตัวเล็กนอนเฉยร้องเพลงอยู่บนเตียงเปิดพัดลมอย่างมีความสุข(ที่ไม่ต้องช่วยแม่ทำงาน) ฉันเห็นกางเกงเล็กๆ ตกพื้นอยู่ เอื้อมมือลงหยิบ พลันมีเสียงเศษเหรียญบาท ตกพื้น กริ๊ง
" เอ๊ะ ตังส์ใครหว่า ตกพื้นแล้ว"
"เหรียญ อะรัย แม่" เจ้าตัวเล็กหยุดร้องเพลงรีบถาม
"เหรียญ สิบ แหละ"
"ของน้อง เอง ของน้องเอง แม่"
"ของน้อง ก็ลงมาหยิบ ซิ" แล้วฉันก็เดิยอมยิ้มออกจากห้อง ได้ยินเสียงเปิดประตูวิ่งตาม หลัง พร้อมเสียงตะโกน ว่า
"แม่ แม่ ทำตังส์ ตก บาทหนึ่ง น้องเก็บให้ เอ้า" พร้อมยื่นเหรียญบาทให้ฉัน...".!!!!!"
8 มิถุนายน 2550 12:30 น.
กชมนวรรณ
ก่อนวันวิสาขบูชาหนึ่งวัน เย็นวันนั้นเจ้าคนโตวัยเรียน ม. 2 กลับจากโรงเรียนบอก "แม่พรุ่งนี้จะไปวัด แม่ทำปิ่นโตให้ด้วยนะ" เอาละซิร้อยวันพันปีมันไม่เคยคิดจะไปวัด ขนาดเรียกให้ตักบาตร กับยาย ตอนเช้า ก็มักบอกไม่เอา ง่วงนอน แต่พรุ่งนี้จะหิ้วปิ่นโตไปวัดเลย แปลกสุดๆ แต่ฉันบอก "ได้ลูก เรื่องงี้แม่ไม่ขัดศรัทธา อยู่แล้ว"แต่ขอถามหน่อยเถอะ ถามไป ถามมาปรากฎว่าย้าย ชุมนุมแล้วค่ะ จากปีแรก เลือกเข้าวงโยทวาทิต ของโรงเรียนฉันก็ท้วงว่า มันเหนื่อยนะ ต้องตากแดด ต้องซ้อมหนักจะไม่มีวันพักนะ ไม่งั้นก็ ไม่เป็นแต่เจ้าหล่อนแย้งว่า ไม่เอาลูกชอบดนตรี จะเข้าวงโย จะเข้าวงโยฯ แค่ปีเดียวค่ะ เปลี่ยนแล้ว แล้วไม่บอกแม่นะ มาบอกเอาตอนครูให้เอาปิ่นโตไปวัดค่ะ ไม่งั้นแม่คงไม่รู้อีกเรื่อง ที่ว่าอีกเรื่องมันมีเรื่องมาก่อนหน้านี้แล้วค่ะ จะเล่าให้ฟัง อ้อ!จากวงโยทวาทิตเปลี่ยนเป็นวิถีธรรมค่ะ ฮา... เอาไม่ว่ากัน ก็ว่าไม่ได้แล้วนี่
ที่คุยไว้ว่าคงไม่รู้อีกเพราะว่า...วันก่อนลูกเจ้าคนนี้อยากจะกินบัวลอยงาดำค่ะ ก็เลยซื้อเครื่อง แป้ง งา น้ำตาลมาตั้งไว้ แต่ไม่ได้ทำวันนั้น อีกวันเป็นวันหยุด เธอเลบบอกทำบัวลอยงาดำดีกว่าแม่ ฉันบอกแม่ไม่อยากทำเลยวันนี้มันขี้เกียจจัง เธอเลยบอกเดี๋ยวลูกทำเองแม่ไม่ต้องช่วย ดีลูกดี งั้นแม่ขอ
แซท นะ ฮา....สักพักใหญ่ๆ หลังจากได้ยินเสียงเครื่องปั่น เปิดแก็ส เปิด/ปิดตูเย็น โครมๆ ลูกสาวก้อเดินถือถ้วยมาส่งให้แม่ เอ้า แม่บัวลอยงาดำเสร็จแล้ว
ฉันมองถ้วยที่ลูกบอกว่าบัวลอยงาดำ ดู มันเป็นขนมลูกโตๆ บิดๆ เบี้ยวๆ สีแดงแจ๊ด กับสีหม่นๆ ปนกันในถ้วย 5 ลูก น้ำสีคลำๆ มีไข่ลอยเป็นเส้นๆ ทั้งสีขาวเหลือง พูดตรงๆ ไม่เหมือนขนมเลยง่ะ เลยแกล้งถาม "กินได้จริงๆ หรอลูก
แล้วทำไม มันแดงแจ๊ด งี้ละ" "อ้อ ลูกเห็นสีที่เราทำขนมชั้นมันเหลือนะ เลยเอามาผสมดู แต่เทมากไปหน่อยค่ะ"
เออ ไม่หน่อยแล้วลูก ออกแดงขนาดนี้ แต่แม่ยอมตาย กินก็กิน (ที่บอกยอมตายนะ รู้ว่าไม่ตายแน่ ก็สีนี่ฉันซื้อเองกะมือ สีผสมอาหารแน่ๆ) เออ รสชาด ใช้ได้ ก็อร่อยดีเพราะชอบกินขนมนี้กันทั้ง 2คน บางถามลูกว่า "นึกไง ทำขนมล่ะ" ลูกตอบกลับเหมือนรอให้แม่ถามทันที "ก้อลูกเปลี่ยนวิชาเลือกแล้วนี่แม่ เลือก ใหม่แล้วเป็นวิชา ทำอาหารน่ะ" ฉันแทบสำลักบัวลอยงาดำถ้วยนั้น รีบวางแล้วถามเปลี่ยนทำไมไม่บอกแม่ "ก็ครูบอกว่าไม่ให้บอกก่อนเดี๋ยวผู้ปกครองไม่ยอมนี่ เห็นมะจริงเลย แต่ลูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้วละ" ฉันกะว่าจะเติมบัวลอยให้กำลังใจลูกอีกถ้วย หมดกันอิ่มเลย ก้อคิดดูจากวิชาเลือก วิทย์-คณิต ที่ฉันอุตส่าห์นึกภูมิใจที่ลูกสามารถเรียนได้ มาปีหนึ่ง มาบอกว่าเปลี่ยนเป็นวิชาทำอาหาร มันต่างกันมากสุดๆ พลางในหูได้ยินลูกสาวพูดต่อว่า "น่าแม่ลูกเรียนหนักมาปีแล้ว เดี๋ยวปีหน้าถ้าครูให้เปลี่ยนลูกก็จะเปลี่ยนอีกแล้วกันนะ แม่ นะ" แล้วฉันจะพูดอะไรได้นอกว่าคำว่า "เออ" แล้วฟังเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข ของลูก .....
5 มิถุนายน 2550 19:23 น.
กชมนวรรณ
แพรวา แต่งงานมา 5 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีลูก มีเงินพอเหลือเก็บเลยขอให้สามีแยกบ้านออกมา และสามารถซื้อ บ้านจัดสรร ได้แห่งหนึ่งอยู่ในเมือง แต่เข้าซอยมานิดหน่อย ไม่พลุกพล่าน เงียบสงบ ไม่สมกับอยู่ในเมือง แพรวาได้ลาพักร้อน 1 อาทิตย์ เพื่อ อยู่ตกแต่งบ้านใหม่ ส่วนสามีลาไม่ได้จะกลับถึงบ้านก็ ราว
2 ทุ่ม วันนี้เป็นวันที่ 3 แล้วที่แพรวาจัดบ้านให้น่าอยู่ พร้อมคิดในใจอยากจะมีลูก สักคน จนเย็น แพรวา จึงละมือจากงานบ้าน คิดว่าจะไปเดินสำรวจหมู่บ้านใหม่สักหน่อย ออกกำลังกายไปในตัวด้วย ก็มันยังไม่ค่ำนี่ แค่หกโมงเย็นเอง คงไม่มีอันตราย อะไรหรอก แพรวาคิดในใจ พักสักครู่จึงเปลี่ยนชุด แล้วเดินออกจากบ้านโดยไม่ลืม ปิดประตู หน้าบ้าน และ รั้ว
แพรวาเดิน สำรวจจนรู้สึกเหนื่อย จึงเดินกลับบ้าน พร้อมคิดว่าตนและสามีคิดถูก ที่มาซื้อ บ้านที่นี่ แม้จะอยู่ต่างจังหวัดจากบ้านเดิม แต่มันก็ใกล้ที่ทำงานของตน และ สามี ราคาก็ไม่สูงมาก สำหรับคนวัยทำงานทั้ง 2 คน พร้อมคิดในใจว่า ถ้ามีลูก คงจะไม่ต้องห่วงมากด้วย เพราะไม่พลุกพล่าน สามารถขี่รถได้สบาย เด็กๆ ก็สามารถถีบจักรยานเล่นตามถนน ในหมู่บ้านได้คิดได้แค่นั้นก็
เห็น เด็กผู้ชาย อายุราว 5-6 ขวบคนหนึ่งขี่จักรยานสวนมา แพรวายิ้มให้เด็กน้อยด้วยความเป็นมิตร และความคิดที่อยากมีลูกก็ จู่โจมเข้ามาในใจแพรวาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แพรวารู้แล้วว่าตนอยากมีลูกชาย เพราะเด็กคนนั้นน่ารัก เหลือเกิน คิดพลางอ้าว ถึงบ้านแล้ว งั้นหนูน้อยคนนั้นก็อยู่ติดกับบ้านแพรวา ซินะ
พรุ่งนี้ แพรวา คิดไว้ในใจ จะต้องทำความรู้จักกับหนูน้อย คนนี้ให้ได้ เพราะน่ารัก น่าชังเหลือเกิน นี่เหลืออีก 3 วัน แพรวาต้องเตรียมตัวไปทำงานแล้ว
รุ่งขึ้น หลังจากสามีออกไปทำงาน แล้ว แพรวาก็ไปด้อมๆ มองๆ แถวบ้านติดกันหลังนั้น เห็นปิดประตูเงียบ คงออกไปทำงาน และ ไปโรงเรียนกันหมดแล้ว แพรวาคิด เดี๋ยวตอนเย็น ค่อยดูใหม่ พร้อมกับเข้าไปจัดบ้านต่อ
จน 6 โมงเย็น แพรวาก็ออกไปเดินเล่นเหมือนเมื่อวานพร้อม เอาขนมติดมือไปด้วย เผื่อเจอ เด็กน่ารักคนนั้นอีก เดินจนเกือบพลบค่ำ จึงเดินกลับบ้าน นั้นไง
เจ้าคนน่ารักกำลังถีบจักรยานออกจากบ้าน สวนทางมา แพรวารีบยิ้ม ทักทาย
พร้อมพูดว่า "หวัดดีจ๊ะ หนุ่มน้อย ชื่อรัยจ๊ะ น้าชื่อ แพรวา อยู่บ้านติดกะหนูนะเพิ่งย้ายมาใหม่จ๊ะ"
"สวัสดี คับ คุณน้า ผมชื่อ น้องปอคับ น้องปอเห็นคุณน้าย้ายมาอยู่ตั้งแต่วันแรกแล้วคับ ดีใจจังคับ"
"แม้ น่ารัก แล้วเรียนที่ไหนจ๊ะ"
" อนุบาล............คับ ชั้น 2 คับ"
"อิอิ อยู่ตึกชั้น 2 หรอจ้า นี่จ๊ะขนม น้าหยิบมาฝากรู้ว่าต้องเจอหนูอีก แน่ๆ"
ยังไม่ทันที่น้องปอจะรับขนม ก็ได้ยินเสียงเรียก เบาๆ ให้น้องปอเข้าบ้าน แพรวาหันไปดู เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ตัวเล็ก ผิวขาวจัด ยืนเรียกน้องปอยู่หน้าบ้าน น้องปอ รีบบอก
"ปอเข้าบ้านก่อนนะ คับ คุณน้า แม่ปอเรียกแล้ว"พร้อมกลับหัวรถจักรยานคันเล็ก กลับทางเดิม ไม่ยอมรับขนมจากมือของแพรวา
แพรวา ส่ายหัวพร้อมยิ้ม เดินเข้าบ้าน เพื่ออาบน้ำ คืนนั้นแพรวาเล่าเรื่องน้องปอให้สามีฟังพร้อม บอก ถ้ามีลูก อยากมีลูกชายอย่างน้องปอสักคน
เพราะน่ารักเหลือเกิน...
คืนนั้น แพรวา ฝันถึงน้องปอ บอกว่ามาบอกลา เพราะคงไม่ได้เจอกับแพรวาอีก น้องปอ ต้องไปอยู่ที่อื่นกับ พ่อ-แม่-พี่สาว แพรวายังจำภาพในฝันได้ดี น้องปอนั่งบนจักรยานคนเล็ก มือหนึ่งจับแฮนด์รถ อีกมือ โปกให้แพรวาแล้วถีบจักรยานเข้าไปในซอยลึก...
รุ่งขึ้นแพรวาตื่นสาย ในหู ได้ยินเสียงดังโครมคราม ๆ ที่บ้านติดกันสักพัก ได้ยินเสียงพระสวด แพรวารีบลุกขึ้นอาบน้ำ แต่งตัวเดินมาข้างล่างคิดในใจว่า บ้านน้องปอคงทำบุญ บ้าน เพราะเสียงพระสวด เลยเดินออกมานอกรั้ว คิดว่าจะแวะไปทำรู้จัก กับครอบครัวน้องปอ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้
ออกมาต้องแปลกใจเพราะ ที่ถังขยะ ของหมู่บ้านมีขยะทิ้งอยู่มากมายทั้งที่นอน เครื่องนอนต่างๆ แต่ที่แพรวาแปลกใจมากๆ คงจะเป็นรถจักรยาน คันเล็กของน้องปอ อยู่ในสภาพ ฝุ่นแขอะ ขละเหมือนไม่ได้ล้างมาสักเดือนทิ้งรวมอยู่ด้วย แพรวาเห็นมีคนในบ้าน วุ่นวายกันอยู่เลยเดิน แล้วไปแล้วถามผู้หญิงท่าทาง คนจีน ท้วมๆ คนหนึ่ง ซึ่งยืนสั่งให้ คนงานขนของออกทางหลังบ้าน "เออ น้องปอ ไปโรงเรียนแล้วหรอค่ะ เอ๊ะวันนี้วันหยุดนี่ น้องปอไม่อยู่หรอค่ะ" หญิงคนนั้นหันมามองแพรวา ด้วยความตกใจ พร้อมถาม "คุณเจอน้องปอ หรอเจอที่ไหน" "ถนนหน้าบ้าน นี่แหละค่ะ แกถีบจักรยานคันนั้นเล่นตอนเย็นทุกวัน แหละค่ะ เมื่อวานเรายังทำความรู้จักกันเลย น้องปอเป็นเด็กน่ารักมากนะค่ะ " ไม่ทันพูดจบ หญิงคนนั้น ร้องไห้ โฮ ออกมา" โธ่ น้องปอ น่าสงสาร จริงๆ ลูก" แพรวาถาม ด้วยความสงสัย "มีรัย กันหรอค่ะ" ฮือ ๆ ๆ ๆๆ ๆ ๆ ๆ
แกบอกว่าแกเป็นป้าของน้องปอ ค่ะ และ...น้องปอได้เสียชีวิตไปเมื่อ 2 เดือนก่อนแล้ว จากน้ำมือของผู้เป็นพ่อ โดยชงโอวัลติน ใส่ยาแมลงให้น้องปอ กับ พี่สาวกิน ก่อนไปโรงเรียน ทั้งๆ ที่สวม ชุดนักเรียนจะไปโรงเรียนแล้ว ส่วนแม่ออกไปซื้อ ของที่ตลาด พ่อซึ่งล้มละลายจากธุรกิจ รับสภาพกับครอบครัวแบบ คนเคยรวยไม่ได้ เลย วางยาพิษลูก 2 คน เมื่อเห็นลูกเสียชีวิตแล้วจึงอุ้มลูกทั้ง 2 นอนบนเตียงรอ คนเป็นแม่ พอ แม่กลับ จึงยิงแม่พร้อมตัวเอง ตายตามกันทั้งครอบครัว จักรยาน คันนั้น น้องปอรักมาก จะถีบเล่นตอนเย็นหลังทำการบ้านเสร็จแล้วทุกวัน.............
แพรวาไม่รู้ว่าตัวเองเดินกลับมาบ้านได้อย่างไร แม้มันจะอยู่ติดกัน แต่ตอนนั้น รู้ตัวว่ามันไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะก้าว ขา แค่ ก้าวเดียว แต่ก็กลับมาถึงบ้านจนได้ เหมือนกับเดินมาเป็นสิบๆ กิโลก็ไม่ปาน พลางทิ้งตัวนอนบนโชฟา น้ำตาไหลพราก น้องปอ ของน้า อย่าไปไหนนะ มาเกิดเป็นลูกน้าอีกครั้งนะ น้าสัญญา ว่าจะเลี้ยงหนู จนเติบโต และ เรียนรู้โลกใบนี้ ให้มากยิ่งขึ้น.......
4 มิถุนายน 2550 20:26 น.
กชมนวรรณ
วันนั้นฉันแวะเยี่ยมเพื่อนที่บ้าน เพราะ รู้ข่าวว่าออกจากงาน มาทำอาชึพเดียวกับฉัน อาชีพรับจ้างสามีไงค่ะ เจอเจ้าแฝด ชาย-หญิงจอมป่วน วัย 7 ขวบประจำบ้าน ขอบอกป่วนจริงๆ ค่ะ พอจอดรถปุ๊บได้ยิน เสียงเจ้าคู่แฝดทั้ง 2 คน ตะโกนพร้อมกัน "ป้า รวย มา" แหะ ไม่ใช่ชื่อฉันหรอกค่ะ มันเพี้ยนนะ แต่ที่แปลกคือเจ้าสองคน ออกชื่อมาเพี้ยน เหมือนกันแด๊ะ ได้ยิน เสียงแม่เจ้าแฝดหัวเราะดังๆ ปลื้มใจ ในความเหมือนของลูก ฉันบอกทีหลัง อย่าเรียกป้านะ ให้เรียกน้า ทั้งสองก้อ หัวเราะพร้อมกันอีก ฉันเดินยิ้มเข้าบ้านเพื่อน เห็นเจ้าแฝดชาย ใส่ชุดสไปเดอร์แมน เจ้าแมงมุม ของเค้าละ วิ่งตาม เข้า ส่วนเจ้าแฝดหญิง นุ่งกระโปรงสวยสีชมพูแหว๋ว สมกับเป็นเด็ก ผู้หญิง แต่ขอโทษ ไม่ใส่เสื้อ ค่ะ ฉันถามทำมัยไม่ใส่เสื้อลูก แม่มันรีบตอบแทน มันร้อนนะ ช่างมันเหอะ ให้มันถอดตอนนี้แหละไม่น่าเกลียด เดี๋ยวมันก็ ถอด ไม่ได้แล้ว ดูความช่างคิดของแม่มันดิ!
นั่งคุยกับเพื่อนแบบ เมาท์สุดๆ กำลังน้ำลายแตกฟอง ลืมนึกถึง เจ้าคู่ แฝด ค่ะ หันไปเจออีกที เจ้าแฝดชาย กำลังปีน ประตู ตรงกลางบ้าน ลองนึกภาพดูนะค่ะ สองมือ กางยัน สองเท้าถึบยัน จนจะถึงฝ้าเพดานชั้นล่างแล้ว ฉันเห็นแล้วตกใจ รีบบอกแม่เจ้าแฝด
"เฮ้ย! ระวังนะอย่าทำตกใจตะโกนไปดังๆ ล่ะเดียวมันจะตก แก ดูลูกแกดิ เร็ว ช่วยเอาลงที มันหวาดเสียว" แม่เจ้าแฝดหันมองเฉย ขอย้ำอีกครั้ง เฉย สุดๆ พลางบอกฉันด้วยเสียงที่ราบเรียบไร้ความตื่นเต้นใดๆ ทั้งสิ้น ว่า
"แล้วแก ไม่เห็นหรอ ว่ามันใส่ชุดรัย อยู่" แถมอธิบาย
"สไปร์เดอร์แมน โว้ย! ไม่ใช่ ขี้ ๆ นะ มนุษย์แมงมุม มันต้องแบบนี้โว้ย!"
แถมด้วย อิอิ อิอิ ด้วยความภูมิใจสุดๆ อีกครั้ง ส่วนฉันอึ้งค่ะ กับคำถามเพื่อนแต่ก้อยังพอมีสติ ตอบกลับเพื่อนไปว่า
"เออ เข้าใจแล้ว วันหลัง ฉันมาบ้านแก อีก แล้ว ถ้าเห็นเจ้าแฝดชายแต่งชุดเป็นชุปเปอร์แมน แล้ว เหาะ ว่อน อยู่ บนฟ้าหลังคา บ้านแก ฉันจะไม่ทักสักคำเลยว่ะ ครั้งนี้ ฉันขอโทษ แกแล้วกันว่ะ ที่เห็นหลานเป็นเด็กธรรมดา แต่ที่จริงหลานฉันเป็น ยอดมนุษย์ โว้ย! วู้ ดีใจฉันมีหลานเป็นยอด มนุษย์ ฮา..."
แม่เจ้าแฝด:!!!! ต่อจากฉันค่ะ ดีสม..