21 เมษายน 2546 01:00 น.
windsaint
ผมโตมาพร้อมกับมัน กินกับมัน นอนกับมัน ผมต้องเจอกับมันทุกวันทั้งๆที่ผมไม่อยากเจอ
ผมตื่นก็เห็นหน้ามัน จะทำอะไรมันก็คอยผูกติดผมอยู่เสมอ
แต่ทุกครั้งมันจะนำหน้าผมก้าวหนึ่งเสมอ
เมื่อผมเข้าเรียน มันเรียนพร้อมผม ห้องเดียวกับผม มันจะเข้าไปประจบครู คอยลอกการบ้าน ลอกข้อสอบ
แต่ทุกครั้ง มันก็ได้เกรดดีเสมอ พ่อแม่รักมันมากกว่าผม ครูรักมันมากกว่าผม
ผมอยากบอกพ่อกับแม่ว่ามันขโมยเงินพ่อกับแม่ แต่ผมรู้พ่อแม่ไม่เชื่อผม พ่อแม่เชื่อมันมากกว่า
เมื่อผมเข้าทำงานมันทำงานที่เดียวกับผม มันคอยเอาใจเจ้านายจนเจ้านายชื่นชมมัน และมันก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นสูง
ผมไปชอบผู้หญิงคนหนึ่ง มันก็แย่งเธอไปจากผม
แม้มันจะคอยผูกติดกับผม แต่มันก็เหนือกว่าผมเสมอ
แม้ผมจะพยายามหนีมัน แต่ผมก็ยังหนีมันไม่พ้น มันจะคอยตามมาเยาะเย้ยผมด้วยสายตาและถ้อยคำที่เหยียดหยาม
มันบอกว่าผมหนีมันไม่พ้น มันบอกว่าผมไม่มีทางที่จะอยู่เหนือมันได้มันบอกว่าตัวผมต้องแพ้มัน
ผมเกลียดมัน ผมเคยคิดจะฆ่ามัน แต่ถึงผมจะฆ่ามัน ผมก็หนีมันไม่พ้น ผมฆ่ามันไม่ได้
ผมพยายามหาวิธีจะหนีมัน และวันนี้ผมมีวิธีที่จะหนีมันแล้ว ในเมื่อผมฆ่ามันไม่ได้ ผมก็ฆ่าตัวผมเองซะ
ใช่แล้ว ผมกรีดข้อมือของผมด้วยมีดโกนต่อหน้ามัน เลือดไหลอออกมาอย่างมากมายลงพื้น
มันหน้าเสีย ผมยิ้มเยาะอย่างมีชัย คราวนี้ผมชนะ ผมคิดในใจ ผมจะหนีมันได้แล้ว
แต่แล้วก่อนที่สติผมจะสิ้นลงไป ผมได้ยินเสียงมันพูดก่อนที่ผมจะหมดลมหายใจว่า
นายไม่มีทางหนีฉันไปพ้นตลอดไป เพราะนายคือฉัน และฉันคือนาย อนุรักษ์ ฮ่าฮ่าฮ่า
25 มีนาคม 2546 21:54 น.
windsaint
ชัยนั่งมองออกไปตามแม่น้ำ สายตาของเขามองเหม่อไปตามลำน้ำที่เงียบสงบแห่งนี้ ความเงียบสงบและร่มรื่นของบ้านหลังนี่เป็นการดีที่ชัยจะหลบมาพักรักษาแผลใจที่เกิดขึ้น เขาคาดหวังที่จะให้สายลมพัดพาความทรงจำที่เขามีเกี่ยวกับเธอให้หมดสิ้นไป เขาหวังที่จะให้สายน้ำชะล้างความเจ็บปวดภายในใจเขา เขาจึงหลบมาพักที่บ้านหลังนี้
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของปู่ของเขา เมื่อสมัยเขายังเด็กมักจะมาเที่ยวที่นี่บ่อยเพราะบรรยากาศร่มรื่น จนปัจจุบันหลังจากที่ปู่จากไปแล้ว ชัยก็แทบไม่ได้มาที่นี่อีกเลย
ศาลาริมน้ำที่เขานั่งอยู่นั้นมีผู้คนมากมายสัญจรผ่าน ทุกวันเขาจะนั่งอยู่ตรงศาลานี้ตั้งแต่เช้าจนค่ำ นั่งมองการกระทำของผู้คน ชีวิตชนบทที่หาไม่ได้จากเมืองใหญ่ ผู้คนที่ยังสัญจรทางน้ำ แม่ค้าที่ยังคงล่องเรือขายขนมจีนน้ำยา เขาซึมซับชีวิตชนบทเพื่อหลบหนีความวุ่นวายในตัวเมือง เขาหวังที่จะใช้ชีวิตยอย่างสงบในช่วงที่เขาลาพักร้อนนี้ ก่อนที่จะกลับไปผจญกับความสับสนในชีวิตประจำวันในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ทุกๆวันเขาจะมานั่งที่นี่เป็นที่ประจำของเขา และมองดูการกระทำของผู้คนต่างๆ และทุกวันเช่นกันจะมีผู้หญิงคนหนึ่งลงมานั่งที่นั่งฝั่งตรงข้ามของเขาและมองดูดวงจันทร์ทุกคืน
ชัยมองเธอด้วยความรู้สึกประทับใจ เธอเป็นคนดูเรียบๆง่ายๆ และเธอก็มองชัยด้วยความประหลาดใจ และเธอเองก็เป็นคนทำลายความเงียบลง
เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณเพิ่งย้ายมาใหม่หรือคะ ดิฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน
อ้อครับ ผมลาพักร้อนมาพักที่บ้านคุณปู่ ตรงสวนข้างๆนี่แหละครับ ชัยตอบ
ดิฉันเห็นคุณชอบมองแม่น้ำ คุณคงจะชอบแม่น้ำใช่ไหมคะ เอ่อคุณ
ชัย ครับ
ค่ะ คุณชัย ดิฉันพร
ครับคุณพร ผมชอบแม่น้ำ สายน้ำให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็น และช่วยพัดพาความชอกช้ำในจิตใจออกไปได้ แล้วคุณละครับ ท่าทางจะชอบพระจันทร์เห็นนั่งมองอยู่นาน
จริงค่ะ ฉันชอบมองพระจันทร์ ดูสวยงามและอบอุ่น มีทั้งเต็มดวงและไม่เต็มดวง แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดีได้ ยิ่งในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ยิ่งน่ามองเป็นพิเศษ พระจันทร์จะเป็นที่พักใจยามเลิกงานได้อย่างดีทีเดียว
คืนนั้น ทั้งชัยและพรต่างเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก่อนเข้านอน ชัยยังอดไม่ได้ที่จะนั่งมองดวงจันทร์ และยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะนอนหลับไป
วันเวลาผ่านไป ทุกๆคืนทั้งสองต่างจะต้องมานั่งที่ศาลาริมน้ำ มองพระจันทร์ มองแม่น้ำ และพูดคุยเล่าเรื่องต่างๆให้แก่กันและกัน บางครั้งก็ถกเถียงกันในเรื่องปรัชญา ที่ลงท้ายต้องหัวเราะในความดื้อดึงของทั้งสองฝ่าย
จนกระทั่งคืนก่อนวันที่จะหมดเวลาพักร้อนของชัย ชัยและพรยังคงมานั่งที่เดิม
หลังจากวันนี้ ผมคงไม่มีโอกาสที่จะมานั่งที่นี่ทุกวันได้เหมือนที่ผ่านมาแล้วล่ะ เพราะที่ทำงานของผมไกลจากที่นี่เหลือเกิน เราคงไม่ได้พูดคุยกันทุกวันอีกแล้วสินะ
แต่คุณก็ยังมาได้วัน ศุกร์เสาร์อาทิตย์ ไงคะ เราก็ยังได้เจอกันอีก ไม่ได้ห่างหายไปไหน
จริงสินะ ศุกร์เสาร์อาทิตย์ ผมจะมา ผมจะมา ชัยพูดเหมือนให้คำสัญญากับตัวเองอยย่างแน่วแน่
คืนนั้นทั้งสองอยู่คุยกันนานกว่าทุกวันเหมือนจะเป็นการอำลาก่อนที่ทั้งสองจะไม่ได้คุยกันอีกนาน
เมื่อถึงวันจันทร์ ชัยกลับไปทำงานตามเดิม เขาเล่าเรื่องนี้ให้กับโชค เพื่อนร่วมงานที่เขาสนิทด้วยฟัง เมื่อฟังจบโชคจึงออกความเห็นว่า
ฟังจากที่นายเล่า ฉันว่านายกำลังจะมีความรักอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งอกหักมาหมาดๆจากยัยแนนเลขาสาวสวยนะเนี่ย เฮ้อ! ความรักนี่มันก็เหมือนนกเนอะ ยามที่เราสนใจและไขว่คว้ามัน มันก็จะบินหนีจากไป แต่เวลาที่เราไม่สนใจและพยายามจะหนีมัน มันก็จะบินมาเกาะที่ไหล่ของเราอย่างแผ่วเบาในที่สุด
นายนี่มันนักปรัชญาจริงๆว่ะ
ก็จำเขามาทั้งนั้น ฟังจากที่เขาพูดทางรายการวิทยุน่ะ 555
สุดสัปดาห์นั้น ชัยยังคงไปที่บ้านสวนของปู่อีกครั้ง เขาพูดคุยและแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆกับพรเช่นเดิม แต่แววตาเริ่มเปลี่ยนไปและยังคงเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ และสนิทกันมากขึ้นจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน และจากเดือนไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเวลาผ่านไป เขาเริ่มคบกับเธอแบบคนรัก เริ่มรู้จักใกล้ชิดเธอมากยิ่งขึ้น เรื่องราวยังคงดำเนินเป็นแบบนี้ต่อไป
จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีก 2 ปี สุดสัปดาห์นี้ชัยตั้งใจที่จะบอกรักและขอพรแต่งงาน เขาใจจดใจจ่อให้วันศุกร์มาถึงเพื่อที่จะทำในสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ แต่อาทิตย์นั้นเขาไม่ได้ไปที่บ้านสวนเพราะมีงานด่วนที่จะต้องทำ ชัยโทรไปบอกพรและขอโทษ อีกทั้งให้สัญญาว่าอาทิตย์หน้าเขาจะไปพบเธอให้ได้
แล้วในอาทิตย์ต่อมาเขาก็ไปที่บ้านสวนและไปรอเธอที่ศาลาริมน้ำที่เดิม แต่วันนี้เธอกลับไม่มา ชัยรู้สึกกระวนกระวายมากเพราะถ้าเธอติดธุระจะต้องโทรมาบอกเขา ชัยจึงได้แต่รอ สัปดาห์นั้นเธอไม่มาเลยทั้งสัปดาห์ และในวันศุกร์ถัดไปเธอก็ยังไม่มา ชัยร้อนรนและเป็นห่วงเธออย่างมาก เขาไปที่บ้านเธอแต่กลับไม่มีใครอยู่เลย ถามคนข้างบ้านจึงได้ความว่า พรล้มป่วยหนักตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล
เขารีบไปที่โรงพยาบาลทันที เมื่อไปถึงชัยพบแม่ของพรร้องไห้อยู่หน้าห้อง ICU ชัยจึงเข้าไปถามได้ความว่า พรป่วยหนักด้วยโรคธาลัสซีเมียเบต้า อาการหนักอย่างมาก ซึ่งโรคนี้ต้องถ่ายเลือดทุกสัปดาห์ แต่ตอนนี้พนอาการอยู่ในขั้นสุดท้าย ไม่สามารถรักษาได้ เพราะเม็ดเลือดแดงแตกตัวเร็วมาก หมอบอกให้ทำใจและคงมีชีวิตไม่เกินวันศุกร์หน้า ชัยตัดสินใจลางาน 1 อาทิตย์ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนของพรจนวาระสุดท้าย เขาดูแลและใกล้ชิดกับพรจนกระทั่งถึงคืนวันศุกร์ ชัยจึงบอกขอพรแต่งงาน
พรแต่งงานกับผมนะ ถึงจะแค่เพียงวันเดียวก็ตาม แต่ให้รู้ว่าผมรักคุณ ผมรักคุณนะพร
ชัยคะ ขอบคุณสำหรับความรักที่มอบให้พรมาตลอด แค่อยู่ใกล้ๆคุณฉันก็มีความสุขมากแล้วค่ะ
พรผมรักคุณ คืนนี้เราจะนั่งดูดวงจันทร์ด้วยกันนะ
ชัยคะ ถ้าหากชาติหน้ามีจริง คุณอยากเกิดเป็นอะไรคะ ฉันอยากเกิดเป็นพระจันทร์ จะได้คอยมองคุณจากบนฟ้าตลอดไปไงคะ ทุกคืนที่คุณมองขึ้นมาบนฟ้า คุณก็จะเห็นฉันยิ้มให้คุณตลอดเวลา
ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะขอเกิดเป็นสายน้ำ ที่จะคอยสะท้อนเงาของคุณและโอบอุ้มเงาของคุณไว้ตลอดไป
ชัยคะ ชั้นดีใจที่ได้รักคุณ ชั้นรักคุณค่ะ
ผมก็รักคุณพร ชัยโน้มตัวลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากของหล่อนอย่างแผ่วเบา ก่อนที่พรจะหลับตาลงและสิ้นลมหายใจอยู่ในอ้อมอกของชัย และไม่มีวันที่จะลืมตาขึ้นมามองเขาได้อีกต่อไป
22 กุมภาพันธ์ 2546 23:23 น.
windsaint
เช้าวันนี้ผมหวังที่จะหนีบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยไอแห่งความรักที่มันบาดจิตใจผม ไปสู่อีกโลกหนึ่งแห่งความเงียบสงบที่จะช่วยรักษาแผลใจของผมได้
ผมหาสถานที่อยู่เป็นเวลานานจนจับจุดหมายได้ก็ตัดสินใจเก็บของใช้ที่จำเป็นหมายจะไปพักผ่อนสมองสัก 2-3 วัน
ผมออกเดินทางไปแต่เช้า มุ่งหน้าไปยังเกาะช้างที่หมายสำหรับผมในครั้งนี้ เมื่อผมไปถึง ผมนั่งเรือเฟอรี่ข้ามฝั่งไปยังเกาะช้าง ผมเลือกที่นั่งท้ายเรือเพื่อที่จะได้มองเห็นบรรยากาศได้อย่างชัดเจน กระแสลมบางๆบอกกับผมว่าที่นี่จะเป็นที่ที่สามารถพักผ่อนสมองได้อย่างดี
หลังจากได้ที่พักแล้ว ผมก็ลงมานั่งพักยังริมหาด เพื่อที่จะลืมเรื่องราวเก่าๆ ที่เป็นสาเหตุให้ผมต้องมานั่งที่ตรงนี้
และสายตาของผมก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง สายลมทะเลต้องผมยาวสยายของให้เธอให้ปลิดปลิวตามลม ทำให้ผมอดที่จะจ้องเธอไม่ได้ จนกระทั่งเธอคงสังเกตและเดินเข้ามาทักผม
ขอนั่งด้วยคนได้มั๊ยคะ เธอถามผมด้วยเสียงอันนุ่มนวล
เอ่อ ได้สิครับ เชิญๆๆ ผมตอบคำถามของผู้ที่เข้ามาทักด้วยน้ำเสียงสุภาพ
เธอนั่งลงตามคำเชิญของผม และทอดสายตาออกไปสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ด้วยสายตาที่ครุ่นคิด
ทะเลสวยนะคะ
ครับ ทะเลสวย สำหรับคนที่มีความรัก แต่ดูโหดร้ายสำหรับคนที่ถูกปฏิเสธความรัก
ขอโทษนะครับ ทำไมคุณถึงมาคนเดียว ในวันที่เหมาะจะมาเป็นคู่แบบนี้ล่ะครับ ผมถามขึ้นหลังจากที่เห็นเธอนิ่งเงียบไปนาน
ก็คงเหมือนคุณมั๊งคะ อกหักในวันที่คนอื่นมีความรัก เธอตอบด้วยสายตาเศร้าๆ
ถ้าคุณไม่รังเกียจเพื่อนใหม่คนนี้ล่ะก็ คุณจะลองเล่าให้ผมฟังได้มั๊ยครับ เผื่อว่ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้นมาบ้าง
ได้ค่ะ ไม่รังเกียจหรอก แต่คุณต้องเล่าเรื่องของคุณให้ฟังด้วยนะคะ
ได้ครับ ผมรับคำ
วันนั้นเธอเล่าเรื่องชีวิตของเธอให้ผมฟัง และผมก็เล่าเรื่องราวของผมให้เธอฟังด้วย เราสองคนพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนทัศนคติ พูดคุยเรื่องของกันและกัน เล่าเรื่องที่ต่างคนต่างได้พบมาเหมือนกับว่าเราเป็นเพื่อนที่ห่างหายไปนานและได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เราพูดคุยสนิทกันมากกว่าคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน ผมเองรู้สึกว่าเธอเหมือนเพื่อนสนิทของผมที่ห่างหายไปนาน เราพูดคุยกันถึงเรื่องมากมาย เวลาดูช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ผมใช้เวลาเกือบทั้งวันพูดคุยกับเธอ เธอผู้ทำให้ผมลืมสาเหตุที่ผมมานั่งอยู่ที่นี่ ผมรู้สึกเพียงแต่ว่าเธอคือคนที่ผมรู้จักมานาน และผมรู้สึกว่าเธอคนนี้แหละคือคนที่ใช่สำหรับผม คนที่ผมตามหามานาน ระยะเวลา 2 วัน ผมพูดคุยกับเธอทุกวัน เราไปไหนมาไหนด้วยกัน ทานข้าว เที่ยวเล่น พักผ่อน ผมเชื่อว่าเธอคงรู้สึกเช่นเดียวกับผม
จนกระทั่งบ่ายวันอาทิตย์ ถึงเวลาที่เราต้องแยกจากกัน ผมต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริงของผม และเธอต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริงของเธอ คืนก่อนนี้ ผมนอนคิดอยู่ทั้งคืนว่าผมจะบอกความในใจของผมให้แก่เธอหรือไม่ และสุดท้าย ผมก็ตัดสินใจที่จะบอก ความลับในหัวใจที่ผมอยากจะพูดกับเธอมากที่สุด
ถึงเวลาที่เราต้องจากกันแล้วค่ะ ฉันต้องไป ไปสู่โลกของฉัน เช่นเดียวกันกับคุณที่จะไปสู่โลกของคุณ
ผมอยากจะรู้จักคุณให้มากกว่านี้ ผมมั่นใจ และผมเชื่อใจว่า คุณคือคนที่หัวใจของผมค้นหาอยู่
คุณมั่นใจได้อย่างไร เราเพิ่งจะรู้จักกันไม่เกิน 72 ชั่วโมงเอง
ผมเชื่อ ผมเชื่อว่าความรัก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับที่เวลาที่คนสองคนรู้จักกัน แต่มันคือสิ่งที่อยู่ในใจของเราต่างหาก คุณจะเชื่อหรือไม่ผมไม่รู้ แต่ผมเชื่อ ว่าเวลาไม่ใช่สิ่งที่จะมาบ่งบอกว่าเราจะรู้สึกกับใครแบบนี้ แต่มันคือความรู้สึกข้างในต่างหาก
ฉันเชื่อค่ะ ฉันเชื่อคุณ ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่คุณพูด แต่ฉันเชื่อในความรู้สึกของฉัน
คุณจะว่าอะไรมั๊ย ถ้าผมจะติดต่อไปหาคุณ ถ้าเราจะยังติดต่อกันแบบนี้ แบบที่เรียกว่าคนรู้ใจต่อไป
ได้ค่ะ แต่ว่าตอนนี้ฉันต้องไปแล้ว เอาไว้เราค่อยเจอกัน ตามเบอร์ที่ฉันให้นะคะ ลาก่อนค่ะ แล้วเจอกัน
ครับลาก่อน แล้วผมจะติดต่อไป
นับจากวันนั้น ผมกับเธอก็กลายเป็นคนรู้ใจ และผมเชื่อว่าเธอคือคนที่ผมตามหา และต้องขอบคุณวันวาเลนไทน์ที่ทำให้ผมได้รู้จักกับเธอ เธอผู้มากับวันวาเลนไทน์
22 กุมภาพันธ์ 2546 23:12 น.
windsaint
คิดถึงเสียงออดเตือนให้เข้าแถวทุกเช้า
คิดถึงการเข้าแถวเคารพธงชาติ
คิดถึงเพลงชาติ คิดถึงเสียงสวดมนต์ คิดถึงเพลงโรงเรียนที่ร้องทุกวัน
คิดถึงครูที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชให้เราทำงาน ให้เราตั้งใจเรียน
คิดถึงกระดานที่ใช้วาดการ์ตูนล้อเพื่อนในห้อง
คิดถึงสมุดจดรายงานที่มีรูปวาดการ์ตูน
คิดถึงเสียงกีตาร์กับเพลงบ้าๆของคนบ้าๆ
คิดถึงมุขฝืดๆของเพื่อนที่ต้องพยายามขำ
คิดถึงรอยลิขวิดกับรอยขีดเขียนบนโต๊ะเรียน
คิดถึงกระดาษขยำก้อนกลมๆที่เอาไว้ปาหัวเพื่อนเล่น
คิดถึงข้าวแกงเจ้าประจำที่เคยกินบ่อยๆ
คิดถึงคนที่คอยให้ลอกการบ้านตอนเช้าๆ
คิดถึงอาจารย์ที่คอยสั่งรายงานกองโต
คิดถึงฟุตบอล คิดถึงสนามบอล
คิดถึงอาจารย์ที่คอยมาเดินตรวจผม
คิดถึงเสียงเฮฮาเมื่ออาจารย์ไม่เข้าสอน
ฉันคิดถึงเหลือเกิน คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ที่จะไม่มีวันย้อนกลับมา
และจะหลงเหลือไว้แค่เพียงมิตรภาพกับความทรงจำที่จะไม่เลือนหายจากไป
ไม่ว่าเมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้ หรือตลอดไป
คิดถึงเสียงกระดิ่งแปดโมงเช้า
คิดถึงเรื่องคอยเล่าให้ขบขัน
คิดถึงเพลงชาติให้ร้องทุกทุกวัน
คิดถึงความผกผันเมื่อวันวาน
คิดถึงรอยลิขวิดรอยขีดเขียน
คิดถึงครูที่พร่ำเพียรให้การบ้าน
คิดถึงข้าวแกงเจ้าประจำในโรงอาหาร
คิดถึงกองรายงานที่ไม่เคยเบา
คิดถึงรูปการ์ตูนบนกระดาน
คิดถึงการลอกการบ้านตอนเช้าเช้า
คิดถึงเสียงกีตาร์คลอเบาเบา
คิดถึงเพื่อนเก่าเก่าไม่ว่าใคร
คิดถึงความผูกพันคำว่าเพื่อน
คิดถึงภาพที่ไม่เลือนลางไปไหน
คิดถึงเพื่อนที่กอดคอเคียงกันไป
จะเก็บไว้เป็นความทรงจำไม่มีวันจาง
19 กุมภาพันธ์ 2546 00:42 น.
windsaint
ภาพของเพื่อนที่กอดคอกัน ภาพสไลด์แห่งชีวิตจริงผุดขึ้นมาในสมองของฉันเป็นสาย
ตั้งแต่ ม.1 วันเข้าค่ายปฐมนิเทศ เหตุการณ์ในรั้วกุหลาบ
จนถึงวันจากเหย้า วันสุดท้ายแห่งชีวิตนักเรียนสวนกุหลาบฯ
ภาพเหตุการณ์ช่วงสำคัญช่วงหนึ่งในชีวิต
6ปีที่มีค่าและไม่สามารถหาอะไรมาทดแทนได้
น้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้ม ฉันได้พบกับทะเลน้ำตาครั้งที่สามในชีวิตของฉัน
และจะเป็นภาพที่ไม่มีวันลืมเลือน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตา หรือคำว่ามิตรภาพ
ทุกสิ่งยังถูกสลักไว้ในก้อนหินในหัวใจที่เรียกว่าความทรงจำ ซึ่งแม้ว่าจะผ่านกาลเวลาจนเลือนลางไปมากเท่าใด แต่รอยสลักนั้นจะยังคงอยู่เป็นรูปเป็นรอยเดิมตลอดไป
เวลานี้ถึงเวลาที่ฉันจะต้องจากไป ไปสู่หนทางใหม่
มีคนเคยบอกว่ากุหลาบเปลี่ยนกระถางไม่จางสี
และฉันเชื่อว่ากุหลาบช่อนี้ช่อที่ชื่อว่า สสร. จะไม่มีวันจางจากสีชมพู-ฟ้าไป
และยังคงเป็นสีนี้ สีชมพู-ฟ้าต่อไปอีกตราบนานเท่านาน
และจะเป็นกุหลาบที่ไม่มีวันโรยราตลอดไป