30 กรกฎาคม 2547 18:44 น.
unicorn
อาจารย์สอนปรัชญาเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างเมื่อได้เวลาเรียน
เขาก็หยิบเหยือกแก้วขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้วใส่ลูกเทนนิสลงไปจนเต็ม
จากนั้นก็ถามบรรดานักศึกษาว่า...เหยือกเต็มหรือยัง
นักศึกษาต่างก็ยอมรับว่า...เต็มแล้ว
แต่แล้วอาจารย์ก็หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมาแล้วเทกรวดลงไปในเหยือก
เขย่าเหยือกเบาๆ กรวดก็เลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิส
เขาถามนักศึกษาว่า...เหยือกเต็มหรือยัง
นักศึกษาก็ยอมรับ...ว่าเต็มแล้ว
อาจารย์คนเดิมควักเอากล่องทรายขึ้นมาเทใส่ลงไปในเหยือก
และทรายก็ไหลลงไปแทนที่ตามช่องว่างได้อย่างง่ายดาย เขาถามนักศึกษา
อีกครั้งว่า...เหยือกเต็มหรือยัง
นักศึกษาตอบอย่างหนักแน่นว่า...คราวนี้เต็มแน่แล้ว
ถึงตอนนี้อาจารย์หยิบเบียร์สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะ
แล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ เบียร์ก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด
ทั้งชั้นเรียนหัวเราะกันครืนใหญ่
เอาล่ะ อาจารย์กล่าวขึ้นเมื่อเสียงหัวเราะซาลง
ผมอยากให้พวกคุณจำไว้ว่าเหยือกนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา
ลูกเทนนิสก็คือสิ่งที่สำคัญในชีวิต เช่นครอบครัว คู่ชีวิต สุขภาพ
ลูกๆ เพื่อนฝูง และสิ่งที่คุณสนใจจริงๆ
สิ่งที่ถ้าคุณต้องสูญเสียทุกอย่างไป
และเหลือแต่เพียงสิ่งเหล่านี้ ชีวิตคุณก็ยังเต็มเปี่ยมอยู่
เม็ดกรวดก็เหมือนสิ่งที่สำคัญรองลงมา เช่นงาน บ้าน รถยนต์
ทรายก็คือเรื่องอื่นๆที่เหลือ
รื่องเล็กๆน้อยๆที่เราต้องทำและมักจะหมกมุ่นถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน
คุณก็จะไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวดและไม่มีที่ใส่ลูกเทนนิสแน่
ชีวิตคุณก็เหมือนกัน
ถ้าคุณใช้เวลาและกำลังให้หมดไปกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ
คุณก็จะไม่มีที่ให้เรื่องที่สำคัญสำหรับคุณ
คุณต้องมุ่งความสนใจไปที่เรื่องที่ทำให้คุณมีความสุข เล่นกับลูกๆ
หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตไปเต้นรำ เล่นเทนนิสสักสองสามเซ็ท
คุณยังมีเวลาอีกมากที่จะเอาผ้าไปซัก ทำความสะอาดบ้าน จัดงานเลี้ยง
ซ่อมแซมอะไรต่อมิอะไร ดูแลลูกเทนนิสก่อน ดูแลเรื่องที่สำคัญจริงๆ
เรียงลำดับความสำคัญให้ดี เรื่องอื่นๆมันก็แค่ "เม็ดทราย"
นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถามว่าแล้วเบียร์หมายถึงอะไร อาจารย์ยิ้มน้อยๆ
ผมดีใจที่คุณถาม ผมแค่อยากให้คุณเห็นว่า
ไม่ว่าชีวิตคุณจะเต็มแค่ไหน คุณก็ยังมีที่ว่างพอสำหรับเบียร์เสมอ" -_- !!
27 กรกฎาคม 2547 19:01 น.
unicorn
นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิลใหญ่อยู่ต้นนึง
และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนนึงชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆและเล่นรอบๆต้นไม้นี้ทุกๆวัน
เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิล และก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิล
เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา
เวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว
วันนึง เด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้า
"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม
"ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆต้นไม้อีกแล้ว ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น" เด็กน้อยตอบ
"แต่ฉันไม่มีเงินจะให้ ....เก็บลูกแอปเปิลของฉันไปขายสิ เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น " ต้นไม้ตอบ
เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขาเก็บลูกแอปเปิลไปหมด และจากไปอย่างมีความสุข หลังจากเขาเก็บแอปเปิลไปหมดแล้ว เขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย
ต้นไม้ดูเศร้า......
วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก
"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม
"ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเอง เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม"
"แต่ฉันไม่มีบ้าน... ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ ....เอาไปสร้างบ้าน"
ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมีความสุข
อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า....
วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยกลับมา ต้นไม้ดีใจมาก
"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม
"เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม"
"ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ เพื่อหนูจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข"ต้นไม้ตอบ
ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย
หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา
"ฉันเสียใจ เด็กน้อย ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว ไม่มีผลแอปเปิลให้ ...."
"ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว "
"ฉันไม่มีลำต้นให้ปีนอีกแล้ว"
"ฉันปีนไม่ไหวแล้ว ฉันแก่แล้ว" เด็กน้อยตอบ
"ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย"
"ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว"
"รากของต้นไม้แก่ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้ ...... มาสิ นั่งลงข้างๆฉัน ...หลับให้สบาย....."
เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม...และน้ำตาไหล........
นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆคน ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่
เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ เรารักที่จะเล่นกับพ่อและแม่....
เมื่อเราโตขึ้น เราทอดทิ้งพ่อและแม่ และกลับมาหาท่านเมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อเรามีปัญหา
ไม่ว่าอย่างไร พ่อและแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำได้ หวังเพียงเรามีความสุข
คุณอาจจะคิดว่า "เด็กน้อย" ในเรื่องโหดร้าย แต่นั่นคือความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับท่านอย่างไร ........
แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ....... เด็กน้อย .....???
27 กรกฎาคม 2547 18:57 น.
unicorn
"ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อยได้มั๊ยคะ"คุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น
เมื่อห่อผ้าน้อย ๆอยู่ในอ้อมกอดเธอ เธอค่อย ๆคลี่ผ้าที่ห่อออกเพื่อมองใบหน้าเล็ก ๆ เธอกรีดร้อง หมอต้องอุ้มเด็กออกไปอย่างรวดเร็ว เด็กทารกที่เกิดมาไม่มีใบหู
กาลเวลาพิสูจน์ว่าการได้ยินของเจ้าหนูไม่มีปัญหา
ปัญหามีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอกคือใบหูที่หายไป
หลายครั้งที่เจ้าหนูกลับจากโรงเรียนแล้ววิ่งมาบอกแม่
เธอรู้ว่าหัวใจลูกปวดร้าวแค่ไหน เจ้าหนูพูดโพล่งออกมาอย่างน่าเศร้า "พวกเด็กตัวโต พวกมันล้อผมว่า "ไอ้ตัวประหลาด"
เจ้าหนูเติบโตขึ้นหล่อเหลา เป็นที่รักของเพื่อน ๆ เค้ามีพรสวรรค์ในด้านอักษรศาสตร์ วรรณคดี และดนตรี เค้าอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้น... "ลูกต้องพบปะกับผู้คนบ้างนะลูก" แม่กล่าวด้วยความสงสาร
พ่อของเด็กชายปรึกษากับหมอประจำครอบครัว
"ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้ครับ ถ้ามีผู้บริจาคแต่ใครล่ะจะเสียสละใบหูเพื่อเด็กน้อยคนนี้" คุณหมอกล่าว
2 ปีผ่านไป พ่อบอกกับลูกชาย "ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะ พ่อกับแม่หาคนบริจาคใบหูที่ลูกต้องการได้แล้วแต่นี่เป็นความลับ"
การผ่านตัดสำเร็จด้วยดี คนคนใหม่เกิดขึ้น เค้ากลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ เป็นอัจฉริยะในโรงเรียนในวิทยาลัย จนเป็นที่กล่าวขานกันรุ่นต่อรุ่น ต่อมาได้แต่งงานและทำงานเป็นข้าราชการในสถานทูต
วันหนึ่งชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อ "พ่อครับใครเป็นคนมอบใบหูให้ผม ใครช่างให้ผมได้มากมายแต่ผมไม่เคยทำอะไรเพื่อเค้าได้เลยสักนิด" "พ่อไม่เชื่อว่าลูกจะตอบแทนเค้าได้หมดหรอกเรื่องนี้เป็นความลับ เราตกลงกันแล้ว" พ่อตอบ
หลายปีที่มันยังคงเป็นความลับ แต่แล้ววันหนึ่งวันที่มืดมิดที่สุดผ่านเข้ามาในชีวิตลูกชาย เค้ายืนข้างพ่อใกล้หีบศพของแม่ พ่อค่อย ๆลูบผมแม่อย่างช้าๆ และนุ่มนวลผมสีน้ำตาลแดงถูกเสยขึ้นจนมองเห็น ....
แม่ไม่มีใบหู... ใบหูของแม่ถูกตัดไป.. พ่อกระซิบผ่านลูกชาย "แม่บอกพ่อว่าเธอดีใจที่ได้ทำอย่างนี้เธอไม่เคยตัดผมอีกเลย ไม่มีใครมองเห็นว่าเธอไม่สวยจริงมั๊ย
"จงจำไว้"สิ่งมีค่าที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การมองเห็นหากแต่อยู่ที่สิ่งที่เรามองไม่เห็น
ความรักที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เราได้ทำอะไรแล้วมีคนรับรู้หากแต่อยู่ที่สิ่งที่เรากระทำแล้วไม่มีใครรับรู้ ความรัก บางครั้งไม่จำเป็นต้องพูดพร่ำเพรื่อ
อ่านบทความนี้แล้วลองกลับมาคิด
ถ้าพรุ่งนี้เราตายไปบริษัทสามารถหาคนมาแทนเราได้ภายในไม่กี่วัน แต่ครอบครัวเราต้องสูญเสีย และคิดถึงเราไปตลอด เราใช้ชีวิตกับการทำงานมากกว่าครอบครัว หรือเพื่อชีวิตตนเองหรือเปล่า เป็นการลงทุนที่ไม่ฉลาดเลยจริงๆ
27 กรกฎาคม 2547 14:52 น.
unicorn
การที่เราจะรักใครสักคน
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงไปรักเขาได้
แต่ให้รู้ไว้ว่าทุกวันนี้เรารักเขาและต้องรักให้ดีที่สุดก็พอ
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องสนว่าหนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคมากมายแค่ไหน
แต่ควรนึกขอบคุณโชคชะตาที่สร้างให้มีอุปสรรค เพื่อให้เราทั้งสองได้ร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดว่าเขาทำอะไรเพื่อเราบ้าง
แต่ให้มานั่งถามตัวเองดูว่า วันนี้เราทำอะไรเพื่อคนที่เรารักแล้วหรือยัง
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปมัวระแวงว่าเขาจะไปมีใครอื่นนอกเหนือจากเรา
แต่ควรระวังใจของตัวเองให้เข้มแข็งพอที่จะไม่รับใครเข้ามาในใจ
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของเขาว่าเขาเคยมีใครยังไง
แต่ให้คิดไว้ว่าทุกวันนี้มีเขาและเราอยู่ด้วยกัน...อดีต..ถึงอย่างไรก็คืออดีต
การที่เราจะรักใครสักคน...เมื่อทะเลาะกัน คำว่าแพ้หรือชนะ ก็ไม่สำคัญ
เราจึงยอมให้เขาเป็นฝ่ายชนะเสมอ ถ้าทำให้เขาสบายใจ
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเขา
แต่ควรพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับเขาจะดีกว่า
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ควรหูเบา เพราะอาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่เรารักได้
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ใช่การสัมผัสกันด้วยร่างกาย แต่เป็นการสัมผัสกันด้วยหัวใจต่างหาก
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่จำเป็นต้องบอกรักกันทุกวัน
เพราะการที่เราคอยห่วงใยกันอยู่เสมอ ๆ ก็สามารถทดแทนคำว่ารักได้ดี แม้สักล้านคำ
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่เกี่ยวกับสิ่งของนอกกายใด ๆ เลย
เพราะความรักไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน หรือแลกมาได้ด้วยทรัพย์สิน
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องคอยนับว่าเขามีข้อเสียมากมายสักกี่ข้อ
เพราะข้อดีของเขาก็มีมากพอที่จะทำให้เราลืมข้อเสียทั้งหมดของเขาได้
การที่เราจะรักใครสักคน....ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา แค่เรามีเขาอยู่ในใจทุกนาทีก็พอ
การที่เราจะรักใครสักคน...เมื่อเห็นเขาเสียใจ ไม่ต้องรอจนกระทั่งเขาเสียน้ำตา
แล้วค่อยเข้าไปปลอบใจ แต่ควรรีบเข้าไปแบ่งเบาความทุกข์ของเขา
เสียตั้งแต่เมื่อเราเห็นเขาเงียบ ๆ ซึม ๆ ไป เพราะหากเราปล่อยเขาไว้จนสายเกิน
ผลสุดท้ายแล้วคนที่จะเสียใจที่สุดเมื่อรู้ตัวก็คือตัวเราเอง
การที่เราจะรักใครสักคน...อย่ารอที่จะบอกรัก ให้รีบบอกคนที่เรารักซะ
ก่อนที่จะไม่มีเขาคนนั้นให้บอก***อีกต่อไป
การที่เราจะรักใครสักคน...แม้ว่าอาจทำให้เราตาบอด แต่ก็ทำให้เราได้รับรู้และเข้าใจ
ว่าความสุขจากการที่ได้รักใครสักคน มันมีมากมายแค่ไหน
การที่เราจะรักใครสักคน...จงเชื่อมั่นในตัวเขาให้มาก ๆ
การที่เราจะรักใครสักคน...ง่ายยิ่งกว่าการพยายามลบเขาออกไปจากหัวใจ
.....ความรัก สอนให้เราได้เรียนรู้หลาย ๆ สิ่ง
ความรักเป็นบทเรียนดี ๆ ที่ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง
ความรัก ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทำให้เราเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น
ความรัก ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ....จากการที่เราได้....รัก....ใครสักคน...
----------------------------
18 กรกฎาคม 2547 10:52 น.
unicorn
เรื่องของขนมคุกกี้ 1 ห่อ
ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก
มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดีจำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง
ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง
เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม
และคุกกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกินฆ่าเวลาไปพลาง ๆ
เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง
เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุกกี้ เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม
ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา
สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ
ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุกกี้ออกจากถุง
ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น
เธอมองด้วยความโกรธ
แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุกกี้และเฝ้ามองนาฬิกา
ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป
เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....
ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย" ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น
ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น
ทั้งสองส่งสายตามองกัน
เมื่อคุกกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย...
เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร
ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุกกี้ชิ้นสุดท้าย...แล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น
ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า
"เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุด ๆ
ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"
เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง
ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว
เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า
ก็พบว่ามีขนมคุกกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก
ถ้าคุกกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่
ก็แปลว่า.....คุกกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน เธอลุกขึ้นทันที...
แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม
แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า
มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม
ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด
มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น
และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง
ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย
นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น
หลายๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น
ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสงสัยตัวเองว่า
"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?
เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่"