2 กุมภาพันธ์ 2548 13:11 น.
tiki
๏ เรื่อง*****จริงแท้* ,*****,เคยอ่านมั้ยยยยยย******* ๏
1
สวัสดีค่ะ คุณ :(ล)--
ช่วยอธิบาย ฟหกด่าสว ฟหกด่าสว ฟหกด่าสว ฟหกด่าสว
ให้ฟังหน่อยสิคะ
แล้ว คืออะไร อ่านแล้วงง ไม่ใช่ว่ารู้ไปทุกอย่าง
ขอปัญญาด้วยค่ะ ขอบคุณจะมาอ่านค่ะ
จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 31 ม.ค. 48 23:13:22 ]
#2
ขอบคุณ คุณทิกิ ที่สนใจเข้ามาเป็นคนแรก
กลอนข้างบนนั้น ลอกมาจากหนังสือมูลบทบุรพพิมพ์ ผู้เขียนเมื่อครั้งเป็น หลวงสารพิมพ์ .....กรมพิธีการพิมพ์ บอกไว้ว่า พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๖
แต่บทกลอนที่คัดมานี้ มีคำอธิบายว่าแต่งเติมขึ้นภายหลังนะขอร้าบ
ไม่มีในฉบับโรงพิมพ์ดังกล่าวครับกระพ้ม
ดังนั้นข้าน้อยจึงไม่สามารถจะอธิบายได้ว่า ทำไมท่านจึงเขียนไว้อย่างนั้น
เพียงแต่จะนำมาเสนอท่านพ่อแม่พี่น้องเพื่อนพ้องในอินเตอร์เน็ต..
ให้อ่านกัน
เพื่อประดับความรู้เท่านั้น ขอรับกระผม........
(เชื่อก็ดีนะคร้าบกระพ้ม).
จากคุณ :(ล)-- [ 1 ก.พ. 48 06:53:36 A:610.900.140.XXXX: ]
27 มกราคม 2548 23:48 น.
tiki
*เป็นอย่างไรล่ะ ..รู้ใช่ไหม ว่าพิษความคิดถึงเป็นอย่างไร*
แล้วคุณก็ถือวิสาสะ ก้าวเข้ามา เสยผมของฉัน
นิ้วของคุณ แทรกเข้าเขี่ยเส้นผมข้างหูเบาๆ .
.ในขณะที่สายตาอันมีอำนาจนั้น
จ้องมา ผสานสายตาของฉัน..เมื่อเอ่ยประโยคต่อมา...
* ถ้าไม่รู้ว่าพิษมันเป็นอย่างไร
จะรู้หรือว่าความเจ็บปวดในรักเป็นอย่างไร*
คุณโอบฉันเข้าไปแนบไหล่คุณอย่างง่ายดาย
เหมือนครั้งก่อนที่คุณมา
*คุณมันไม่เคยรักใคร ไม่รัก และ ไม่เคยรักใครจริง*
เสียงคุณกระซิบแม้นแผ่วเบาอยู่ข้างหู แต่น้ำเสียงนั้นดุดัน..
เหมือนคุณโกรธใครที่ไหนมา
* คุณไม่ได้รักฉัน*
ฉันตอบเรียบๆ ขณะนิ้วมือคุณเกลี่ยมาที่ข้างแก้ม
* คุณมันรักเล่น รักลอง รักเผื่อเลือก..*
ฉันตอบคุณแผ่วเบาเช่นกัน คุณ ขบริมฝืปากเข้าที่ใบหูฉันเบาๆ
*แล้วที่รักนี่ มันรักอะไร...?*
* นี่คุณแก้แค้น..*
ฉันตอบกลับไปที่หูของคุณเช่นกัน
คุณขบฟันเบาๆที่ต้นคอฉัน
* อย่าทำเป็นแดร๊คคิวล่าร์*
ฉันถอยห่างจากอ้อมแขนคุณอย่างรวดเร็ว
เรายืนห่างกันแค่ศอก นัยน์ตาคุณเป็นสีแดงวาวโรจน์
* คุณเป็นอสูรร้าย..* ฉันพูดเบาๆ
ไม่สัมผัสความโกรธในหัวใจเลยแม้สักนิด
* คุณเป็นจอมมาร* คุณ มองมาด้วยสายตาเช่นเดิม ..
* แต่น่ารัก*...เป็นคำสุดท้ายที่คุณพูด...ก่อนจะเลือนหายไป
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
23 มกราคม 2548 15:20 น.
tiki
การประกาศอิสรภาพ
เมื่อปี พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฎ เนื่องจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมือง พร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมืองให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการณ์นี้ได้สั่งให้เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู และเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยาด้วย ให้ยกทัพไปช่วย ทางไทย สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปแทน สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126 พระองค์ยกทัพไทยไปช้า ๆ เพื่อให้การปราบปรามเจ้าอังวะเสร็จสิ้นไปก่อน ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงแคลงใจว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าด้วย จึงสั่งให้พระมหาอุปราชา คุมทัพรักษากรุงหงสาวดีไว้ ถ้าทัพไทยยกมาถึงก็ให้ต้อนรับ และหาทางกำจัดเสีย และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติและพระยาราม ซึ่งมีสมัครพรรคพวกอยู่ที่เมืองแครงมาก และทำนองจะเป็นผู้คุ้นเคยกับสมเด็จพระนเรศวรมาแต่ก่อน ลงมาคอยต้อนรับทัพไทยที่เมืองแครง อันเป็นชายแดนติดต่อกับไทย พระมหาอุปราชาได้ตรัสสั่งเป็นความลับว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไป ถ้าพระมหาอุปราชายกเข้าตีด้านหน้าเมื่อใด ให้พระยาเกียรติและพระยาราม คุมกำลังเข้าตีกระหนาบทางด้านหลัง ช่วยกันกำจัดสมเด็จพระนเรศวรเสียให้จงได้ พระยาเกียรติกับพระยาราม เมื่อไปถึงเมืองแครงแล้ว ได้ขยายความลับนี้แก่พระมหาเถรคันฉ่อง ผู้เป็นอาจารย์ของตน ทุกคนไม่มีใครเห็นดีด้วยกับแผนการของพระเจ้ากรุงหงสาวดี เพราะมหาเถรคันฉ่องกับสมเด็จพระนเรศวร เคยรู้จักชอบพอกันมาก่อน
กองทัพไทยยกมาถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2127 โดยใช้เวลาเดินทัพเกือบสองเดือน กองทัพไทยตั้งทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองแครงพร้อมทั้งพระยาเกียรติกับพระยารามได้มาเฝ้า ฯ สมเด็จพระนเรศวร จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งคุ้นเคยกันดีมาก่อน พระมหาเถรคันฉ่องมีใจสงสาร จึงกราบทูลถึงเรื่องการคิดร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยาราม กราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ได้ทราบความโดยตลอดแล้ว ก็ทรงมีพระดำริเห็นว่า การเป็นอริราชศัตรูกับกรุงหงสาวดีนั้น ถึงกาลเวลาที่จะต้องเปิดเผยต่อไปแล้ว จึงได้มีรับสั่งให้เรียกประชุมแม่ทัพนายกอง กรมการเมือง เจ้าเมืองแครงรวมทั้งพระยาเกียรติพระยาราม และทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่อง และพระสงฆ์มาเป็นสักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาชุมนุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อพระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า
"ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป"
จากนั้นพระองค์ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญทั้งปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่า แล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ตั้งประชุมทัพ เมื่อจัดกองทัพเสร็จ ก็ทรงยกทัพจากเมืองแครง ไปยังเมืองหงสาวดี เมื่อวันแรม 3 ค่ำ เดือน 6
ฝ่ายพระมหาอุปราชาที่อยู่รักษาเมืองหงสาวดี เมื่อทราบว่าพระยาเกียรติ พระยารามกลับไปเข้ากับสมเด็จพระนเรศวร จึงได้แต่รักษาพระนครมั่นอยู่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพข้ามแม่น้ำสะโตงไปใกล้ถึงเมืองหงสาวดี ได้ทราบความว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีมัชัยชนะได้เมืองอังวะแล้ว กำลังจะยกทัพกลับคืนพระนคร พระองค์เห็นว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่สมคะเน เห็นว่าจะตีเอาเมืองหงสาวดีในครั้งนี้ยังไม่ได้ จึงให้กองทัพแยกย้ายกันเที่ยวบอกพวกครัวไทย ที่พม่ากวาดต้อนไปแต่ก่อน ให้อพยพกลับบ้านเมือง ได้ผู้คนมาประมาณหมื่นเศษ ให้ยกล่วงหน้าไปก่อน พระองค์ทรงคุมกองทัพยกตามมาข้างหลัง
ข้อมูล จาก thaiheritage.com
17 มกราคม 2548 10:01 น.
tiki
ไม่แปลกหรอกนะคะ..ที่ครูจะต้องมีอาชีพเสริม..
.ในสมัยก่อน ผู้หญิงไทยเรา ย่า ยาย ป้า น้า อา พี่ ญาติ
กลับบ้านก็ทำขนมกล้วย ขนมตาล ท้อฟฟี้ ฯลฯเพื่อไปฝากร้านขาย
ได้เงินมาบรรเทาค่าอาหารมื้อสองมือ แถมได้ขนมเลี้ยงประชากร
ในบ้าน ทั้งบ้าน ให้มีขนมรับประทาน
เคยได้สัมภาษณ์คนดังยุคนี้ของ วงการสื่อสารมวลชน มีเดีย.
..สมัยที่สัมภาษณ์นั้น เธอยังเป็น *เซลล์ขายมีเดียวิทยุและโทรทัศน์*
ให้ตามบริษัทโฆษณา ยักษ์ ทั้งหลาย...
เธอกลับจากทำงาน แวะไปดูร้านเสริมสวยที่ร่วมทำกับพี่สาว
พอทุ่มสองทุ่ม กลับถึงบ้าน เธอทำขนม คุ้กกี้ ใส่กล่องไว้ฝาก
ร้านค้าแถวบ้านขายก่อนไปทำงาน
เธอบอกข้าพเจ้าในวันนั้นว่า..
*ยุ ไม่เที่ยวกลางคืนเทค ผับ อะไรนี่ไม่ไปค่ะ
ทำงานเสร็จทั้งนอกบ้าน ที่บ้าน กลับมาทำขนมไว้ส่งขาย
อาบน้ำแล้ว ไหว้พระ สวดมนต์ โดยเฉพาะพระคาถาชินบัญชร
เพราะยุนับถือหลวงพ่อโตพรหมรังสี
........... บ้านที่ยุอยู่นี่ก็ได้บารมีหลวงพ่อโตท่าน
ช่วยดลใจให้ พระสงฆ์องค์หนึ่งที่เป็นเจ้าของที่ดินท่านเมตตายุ
ขายให้ยุถูกๆ ให้ผ่อนได้..ไม่เช่นนั้นยุคงไม่มีโอกาสได้มีที่ดิน
ได้ปลูกบ้าน...บ้านนี้ บริษัท ส. นี้ ก็ จัดการเรื่องกู้เงินธนาคาร
ให้ยุ ทุกอย่าง..ยุสู้ค่ะ ลำพังเงินเดือนคงไม่พอ..แต่ก็ได้จาก
การที่ยุ ขายทุกอย่างที่เป็นเงินได้..และคงเพราะ ยุ หามาแล้ว
ไม่ไปใช้ฟุ่มเฟือยอย่างไม่จำเป็นมังคะ...*
วันที่สัมภาษณ์วันนั้น ยังจำได้ติดตาติดใจ
เมื่อนำภาพเธอในกรอบเล็กๆขึ้นปะ ภาพโฆษณา
บริษัทรับสร้างบ้านใหญ่โตแห่งนั้น...
.......เธอเป็นตัวอย่างผู้หญิงที่ต่อสู้ด้วยตนเอง
ประหยัด มัธยัสถ์ อดออม โอกาสดี ลูกน้องดัน
ลูกพี่ดึง ขึ้นเป็นเจ้าแม่สื่อมีเดียในทุกวันนี้...
บางทีการก้าวจากจุดที่ตนเองเป็นอยู่
อย่างไม่ท้อแท้..อาจเป็นโอกาสพลิกผันโชคชะตาตนเอง
ทิกิ_tiki
เปิดอ่านบทความและ บทกลอน หลายกระทู้..ในวันที่หลายคน
เขียนถึงสภานะภาพครูในระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่าง
น่าปวดร้าวขมขื่น...ทำให้บทความชิ้นนี้ หล่นออกมาระหว่างบรรทัด
คำตอบ บทกลอนนั้น
หลังบ้านชีวิตคนดังคนนั้น
14 มกราคม 2548 08:00 น.
tiki
......ฉันยังคงเป็นซากแห่งกาลเวลา...
บนยอดวัตถุที่ก่อไว้จาก แกลบผสานดินเผา...เข้าเตาอันใช้ฟืน
และวัสดุเหลือใช้ในชนบท ซึ่ง ถูกเทลงกรอบเหลี่ยม
เผื่อจะเผาแดงตามระบบเดิม หรือ ซึ่งเท ด้วยกรรมวิธีแห้งธรรมชาติ
ซึ่งเคลื่อนไปทั่วประเทศ ให้มือหยาบกร้านเหล่านั้น ได้
หยิบแต่ละก้อนขึ้นมา ปาด ด้วยซิลิคอน ซิลิก้า บดย่อยทั้งหลาย
ผสานอณูหินอันบดย่อยด้วยพลังทะเลแห่งกาลเวลา ผสานเยื่อไย
ไว้ด้วยน้ำ...ที่ผ่านการกรองให้ใส..จากสิ่งที่มองเห็นกันจากสิ่ง
ที่เรียกว่าระบบผันระบายน้ำสู่เมือง
........ก่อซ้ำ ก่อซ้อน .....
........ด้วย การแลกเปลี่ยนกับกระดาษ..ให้พวกเขาได้นำไปซื้อ
อะไรที่เขาว่ามันสำคัญแก่การดำรงชีพในป่า....แห่งแท่ง...เขาเรียกว่า
ป่าปูน ป่าคอนกรีต ที่พวกเขา...กรรมกรเหล่าน้นได้สร้างขึ้นมา
แท่งแล้ว แท่งเล่า...เหมือนภูเขา ที่ยึดโยงไว้ด้วย การเชื่อมโยง
อย่างหลวมด้วย เส้นวัตถุยึดเหนียว ที่เรียกกันว่าเหล็ก....
แล้วบ่มไว้ด้วยลม พอสมกับหยาดน้ำแห่งการเวลาให้แท่งนั้น
เป็นจริงขึ้นมาในคืนและวัน
ทิกิ_tiki