15 พฤษภาคม 2547 23:32 น.
The Classic
โป๊ะ! . เสียงลูกโป่งสีแดงแตก ไม่กี่อึดใจเสียงร้องของฉันก็ดังขึ้น แง่แง่ฮือ
แม่ซึ่งอยู่ในครัวและง่วนอยู่กับรายการอาหารของลูกค้าที่เข้ามาในร้านไม่ขาดสายเพราะมันเป็นเวลาพักกลางวันพอดี
แม่ต้องรีบวางตะหลิวแล้วเข้ามาถามฉันว่า
เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไม
ลูกโป่งแตกแล้ว หนูก็จะไม่มีลูกโป่งเล่นแล้ว ฮือ.. ฉันพูดพร้อม ๆ กับเสียงสะอื้น
เอาอย่างงี้ แม่จะทำให้ใหม่นะ แล้วแม่ก็คว้ากระดาษหนังสือพิมพ์ข้างตัวมาพับอย่างรวดเร็ว
หนูไม่เอา มันเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์มันไม่ใช่ลูกโป่ง มันไม่เหมือนกัน ฉันอาละวาดและตะเบ็งเสียงให้ดังกว่าเดิม จนลูกค้าต่างหันมองมาที่ฉัน
ชั่วพริบตาเดียวที่แม่เป่ากระดาษแล้วมันก็กลายเป็นลูกบอลขนาดย่อม ต่างกันก็เพียงแค่มันมีลายหนังสือพิมพ์ที่ดูสวยกว่าของจริงตั้งเยอะ
และวันนั้นก็เป็นวันแรกที่ฉันได้รู้ความลับว่า
มีซูเปอร์ฮีโร่อยู่ในบ้านของฉัน เธอมีความสามารถพิเศษในการเสกกระดาษหนังสือพิมพ์ให้เป็นลูกโป่งได้ด้วย
แต่ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่บอกความลับนี้กับใครอย่างแน่นอน เพราะถ้ามีใครมารู้เข้า แม่ก็คงจะกลายเป็นคนดังและเป็นที่รักของใครอีกหลายคน ฉันไม่ยอมหรอกเพราะแม่จะเป็นที่รักของฉันคนเดียวและฉันก็ยังอยากนอนกอดแม่ทุก ๆ คืนด้วย
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ขึ้น ม. 1 แล้วนะ
เสียงคนข้างบ้านตะโกนออกมาขณะที่ฉันกำลังจะขึ้นรถไปโรงเรียน วันนี้ฉันรู้สึกว่าฉันโตแล้ว ฉันเป็นผู้ใหญ่พอที่จะดูแลตัวเองได้ และเป็นวันแรกที่พ่ออนุญาติให้นั่งรถโดยสารคนเดียวภายใต้คำคัดค้านของแม่
วัยรุ่นเป็นวัยที่เพื่อนสำคัญที่สุด ฉันมีเพื่อนมากมายพวกเรามักจะทำตัวโดดเด่นในโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนของฉันก็จะเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดเล็ก ๆ ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไรก็จะรู้กันหมดราวกับว่าทุก ๆ ที่มีกล้องวิดีโอวงจรปิดติดตั้งไว้เพื่อคอยจับผิดพวกเราอยู่ ซึ่งความประพฤติของพวกเราก็มักจะทำอะไรเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ไม่เกรงกลัวใคร กลุ่มของพวกเราจึงโด่งดังไม่น้อย พวกเรามักจะคิดกันว่าเราโตแล้วไม่ต้องการให้ใครมาบงการ และอาจารย์ฝ่ายปกครองก็คือศัตรูตัวฉกาจของพวกเราเลยทีเดียว
ฉันเริ่มมีแฟนเป็นรุ่นพี่ในโรงเรียน ความรักครั้งแรกของฉันบริสุทธิ์มาก มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วน ๆ ซึ่งผู้ใหญ่ไม่ได้มองอย่างนั้น ทุกคนมักจะคิดว่าเด็กม.1มีแฟนเป็นเรื่องชิงสุกก่อนห่าม ทั้ง ๆ ที่มันเป็นการคบกันด้วยความบริสุทธิ์ใจด้วยคำว่า เรารักกัน
ด้วยความที่เป็นจังหวัดเล็ก ๆ ไม่ว่าจะทำอะไรทุกสายตาก็จับจ้องอยู่ วันหนึ่งฉันกลับบ้าน แม่มีสีหน้าเปลี่ยนไปจนฉันรับรู้ได้ถึงรัศมีบางอย่างที่เปล่งออกมาจากตัวเธอ
มีแฟนใช่มั๊ย ฉันส่งเธอไปเรียนหนังสือ ไม่ใช่ให้ไปทำตัวแบบนี้
วูบแรกรู้สึกเหมือนน้ำเย็น ๆ มารดที่หลัง และคิดในใจว่าวันนี้คงจะเป็นจุดสิ้นสุดความรักของฉันแล้วสิ แม่อาจจะตีฉันจนตายเลยก็ได้ แต่ความดื้อรันก็เข้ามาแทนที่ และคิดว่าต้องมีใครสักคนมาบอกแม่แน่ ๆ อาจจะเป็นอาจารย์ที่มากินข้าวที่ร้านบ่อย ๆ หรืออาจจะเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งก็ได้
แม่รู้มาจากไหน ใครบอก บอกมาซิใครหน้าไหนมาฟ้อง ฉันใส่อารมณ์
เลิกเดี๋ยวนี้นะ ห้ามมีแฟน นี่เป็นคำสั่งของฉัน! แม่ลุกขึ้นยืน
ฉันตะโกนกลับไปอย่างไม่ลดละ
ไม่! นี่มันชีวิตของหนูคนเดียว หนูจะทำอะไรแม่ก็ไม่เกี่ยว
คำพูดนี้แหล่ะ เป็นอาวุธที่ฉันใช้ฆ่า ซูเปอร์ฮีโร่ ของฉันในพริบตา
จากวันนั้น ฉันไม่ยอมพูดกับใครในบ้าน หลังจากเลิกเรียนพิเศษก็จะอยู่กับเพื่อน ๆ จนมืดค่ำแล้วค่อยกลับ และทุกครั้งที่ฉันเดินเข้าบ้านก็จะเห็นแม่นี่แหล่ะที่รอฉันกลับบ้านทุกวัน แต่ฉันก็ไม่เข้าใจว่าแม่จะรอฉันเพื่ออะไรในเมื่อทุกครั้งแม่จะหยิบยกคำบ่นสารพัดมาว่าโน่นว่านี่ และเช่นเดิมเราแทบจะไม่มีสื่อสารในเรื่องอื่นกันเลย
เรื่องราว แฟนฉัน in my memory ก็จบไปอย่างรวดเร็ว เพราะพี่ชายที่แสนดีคนนั้นเรียนจบไปแล้ว พวกเราก็เลยห่าง ๆ กันไป แต่ก็ยังคงเป็นความรักครั้งแรกของฉันที่ยังอยู่ในความทรงจำตราบจนทุกวันนี้
ความตึงเครียดต่าง ๆ ในบ้านค่อย ๆ คลี่คลายลงเมื่อฉันโตขึ้น แต่มันก็เป็นเรื่องน่าแปลกตรงที่เมื่อฉันเริ่มเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ ฉันก็แอบคิดถึงซูเปอร์ฮีโร่คนเก่าคนนั้นอยู่เนือง ๆ เพราะความเป็นเด็กในตัวแม่ค่อย ๆ มีมากขึ้น แม่มักจะชอบงอแง ขี้งอน น้อยใจ โดยไม่มีเหตุผล แม่ของฉันอ่อนแอทั้งกายและจิตใจลงเรื่อย ๆ จนฉันเองก็ระอาที่จะคอยเอาใจแม่แล้ว
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
วันที่ฉันเรียนจบ
ลูกแม่โดมคนนี้ก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยด้วยความภาคภูมิใจ
แต่บทเรียนของโลกภายนอกก็สอนฉันว่าชีวิตมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด เพราะเศรษฐกิจฟองสบู่แตกนั้นมันทิ้งบาดแผลไว้มากมายรวมถึงบัณฑิตใหม่อย่างฉันและเพื่อนร่วมรุ่นอีกมากมาย
ราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด นอกจากจะกลายเป็นบุคคลกึ่งทุพลภาพอันเนื่องมาจากตกงานแล้ว ความรักก็ไม่ราบรื่น อาการอกหัก เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ฉันแบกรับความรู้สึกที่หนักอึ้งนี้ไว้ไม่ไหว อยากมีใครสักคนคอยถ่ายเทความทุกข์นั้นไปถือไว้บ้าง แต่มองไปทางไหนก็ไม่มี เพราะทุกคนก็มีภาระที่ต้องถือไว้เต็มมืออยู่แล้ว ฉันโดดเดี่ยวและอ้างว้างมาก ๆ
แต่แล้วน้ำหยดแรกที่หยาดลงบนดินที่แห้งผากก็ทำให้ใจชุ่มขึ้นเป็นกอง เมื่อแม่โทรศัพท์มาจากต่างจังหวัด
เป็นอะไรไปหรือเปล่าลูก แม่ถามด้วยความเป็นห่วง
ไม่มีอะไรนี่แม่ แม่มีอะไรรึป่าว ถึงได้โทรมา ฉันพยายามทำน้ำเสียงให้ปกติที่สุด
ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่คิดถึง แม่ยังพูดไม่ทันจบฉันก็ร้องไห้ ร้องโฮออกมาเหมือนเขื่อนที่พังลงมาจนยับยั้งไว้ไม่อยู่ด้วยคำว่า คิดถึง ของแม่
แม่ไม่ถามอะไร ซึ่งไม่เหมือนแม่คนเดิมที่จะคอยเซ้าซี้ จู้จี้ถามโน่นถามนี่ แต่วันนี้แม่ไม่พูดอะไร เพียงแค่รอจนฉันหยุดร้อง ซึ่งเป็นการโทรศัพท์ที่นานพอดู
พอฉันเริ่มควบคุมสติได้ แม่พูดเพียงแค่ว่า
ไม่ไหวก็กลับบ้านนะลูก ทุกคนยังรอลูกเหมือนเดิมนะ
ฉันก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการร้องไห้เพราะว่า ฉันรู้แล้วว่าซูเปอร์ฮีโร่คนเดิมที่ฉันคิดถึงตลอดเวลานั้นยังไม่ได้หายไปไหน คน ๆ นั่นยังอยู่ ยังอยู่ในตัวของผู้หญิงคนนี้ตลอดเวลา เพียงแค่ฉันมองไม่เห็นเท่านั้นเอง
ซูเปอร์ฮีโร่ของฉันกลับมาแล้ว เธอคนนั้นก็คือแม่ของฉันเอง และฉันก็จะไม่เก็บเป็นความลับของฉันคนเดียวอีกต่อไป เพราะฉันรู้แล้วว่าไม่ว่าใครก็ไม่สามารถพรากความรักที่ฉันมีต่อเธอและความรักที่เธอมีต่อฉันไปได้ ฉันอยากตะโกนออกมาดัง ๆ โดยไม่อายใครว่า
มีซูเปอร์ฮีโร่อยู่ในบ้านของฉัน เธอมีความสามารถพิเศษในการเสกกระดาษหนังสือพิมพ์ให้เป็นลูกโป่งได้ด้วย !
แล้วซูเปอร์ฮีโร่ที่อยู่ที่บ้านคุณล่ะ มีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง ??
11 พฤษภาคม 2547 17:22 น.
The Classic
เช้าวันหนึ่งหลังจากการหลับไหลอันยาวนานด้วยฤทธิ์ของซาแนกซ์ มันเป็นเช้าที่ปลอดโปร่งทีเดียว แต่มันค่อย ๆ หดหายไปอย่างไม่รู้ตัวเหมือนกับทุก ๆ ครั้ง และแล้วความรู้สึกเดิม ๆ ก็คืบคลานกร่อนกินความสดชื่นของเช้าวันนั้นเหมือนมะเร็งร้ายที่ลุกลามไปเรื่อย ๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ยากจะเยียวยา
แสงแดดรำไรค่อย ๆ แรงขึ้นแรงขึ้น เงาของกิ่งไม้นอกหน้าต่างขริบขอบของตัวเองให้เด่นชัด และค่อย ๆ หดตัวลงจนมาซ้อนทับกับต้นกำเนิดของเงานั้นเอง กว่าก้อยจะมีเรี่ยวแรงพอที่จะปลุกประสาทสัมผัสทั่วร่างให้ลุกขึ้นจากกลุ่มก้อนมืดดำที่กดทับเธอไว้ เธอก็เพิ่งจะรู้ตัวว่ามีความร้อนอบอ้าวตลบอยู่ทั่วทั้งห้องเพราะเครื่องปรับอากาศที่ถูกปิดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มีแต่เพียงพัดลมเล็ก ๆ ส่ายหัวไปมาอย่างอย่างช้า ๆ
ทำไมคนเราต้องกิน ทำไมคนเราต้องทำงาน ทำไมคนเราต้องหายใจ???? คำถามมากมายประเดประดังเข้ามาอีกครั้ง แต่เป็นเพียงคำถามเงียบ ๆ ที่ถูกขังอยู่ภายในกรอบของจิตใจเท่านั้นเอง และแน่นอนคำตอบที่กลายเป็นคำตอบแรกและคำสุดท้ายของคนส่วนมากก็ คือ คนเราต้องมีชีวิตอยู่ แต่สำหรับก้อยแล้วเธอไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบนี้เท่าไรนัก
โจ๊กหมูสับเจ้าอร่อยอยู่บนโต๊ะ ก่อนทานอุ่นด้วยนะจ๊ะบอล โน้ตสั้น ๆ ที่แปะไว้ตรงตู้เย็น เขียนด้วยตัวหนังสือไม่ค่อยสวยนักแต่ก็ยังบ่งบอกถึงความบรรจงของผู้เขียน มือเรียวยาวแต่ขาวซีดของก้อยรีบคว้ากระดาษนั้นไว้และขยำทิ้งลงถังขยะทันที จากนั้นก้อยก็นำโจ๊กชืด ๆ เทใส่ในชาม แล้วยกไปนั่งที่หน้าทีวี
มิวสิควิดีโอของศิลปินยอดนิยมก็ปรากฏขึ้น แต่แล้วช่องต่าง ๆ ก็ถูกเปลี่ยนกลับไปกลับมา จนสุดท้ายเสียงนักข่าวสาวของช่อง CNN ที่พูดรัวและเร็วจนจับใจความได้ยากยิ่งก็กลายเป็นเพื่อนรับประทานอาหารของก้อยที่ดีที่สุด ราวกับว่าทั้ง 2 สื่อสารกันได้ คนหนึ่งพูดโดยไม่แคร์ว่าอีกฝ่ายจะฟังหรือไม่ ส่วนอีกคนหนึ่งสื่อสารด้วยการกินอย่างเชื่องช้าและสายตาที่เลื่อนลอยราวกับพยายามบอกว่าไม่อยากฟัง แต่ขอร้องเถอะ อย่าไปไหนเลยนะ ! เพราะคุณคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันในเวลานี้
###################################################
ก้อยเพิ่งลาออกจากงานเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ท่ามกลางความตะลึงจังก้าของเพื่อนร่วมงาน ภายใต้สีหน้าที่อิ่มเอมของก้อยเธอนึกถึงวันข้างหน้าที่สดใสที่เธอจะหลุดพ้นจากกล่องเฮงซวยนี้ได้ เธอหายใจลึก ๆ 2-3 ครั้ง ราวกับว่าเธอได้สูดเอาความรู้สึกแห่งชัยชนะเข้าไปให้เต็มปอดถึงแม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม แต่น้อยคนนักที่จะได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้ หรืออาจจะไม่มีเลยสักคนเดียว จากนั้นเธอก็คว้ากระเป๋าสะพายออกไปจากบริษัทเหลือทิ้งไว้แต่ความงงงวยของเพื่อนร่วมงานทั้งหลาย รองเท้าส้นสูงถูกทิ้งลงถังขยะหน้าลิฟท์ชั้น 10 ปุ่มลิฟท์ถูกกดซ้ำ ๆๆๆๆๆ ความร้อนระอุที่คุกรุ่นผลักดันให้ก้อยวิ่งลงทางวนของบันไดหนีไฟ ชั้นแล้วชั้นเล่าแลดูเนิ่นนาน ราวกับเข็มบอกเวลามันเหน็ดเหนื่อยที่จะเดินต่อไปข้างหน้าวันแล้ววันเล่า
ก้าวแรกที่เท้าอันบอบบางของก้อยแตะพื้นฟุตบาท เธอก็เริ่มวิ่ง วิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ไม่มีจุดหมาย มารู้สึกตัวอีกทีรั้วบ้านสีคุ้น ๆ ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว บ้านหลังนี้เคยเป็นบ้านที่อบอุ่นแต่บัดนี้มันกลายเป็นความหนาวเย็นที่ชาชืด
บอลกลับมาถึงบ้านด้วยอาการเร่งรีบ เหงื่อเม็ดโตค่อย ๆ ไหลอาบแก้มของเขา ทันทีที่ทราบข่าวของก้อยเขาก็รีบบึ่งรถกลับมาที่บ้าน ภาพแรกที่เขาเห็นสภาพของก้อยกับถุงน่องที่ขาดวิ่นฝ่าเท้าที่มีเลือดไหลซิบ ๆ นั่นทำให้บอลเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าก้อยเลยทีเดียว
บอลอุ้มก้อยหายเข้าไปในบ้าน เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาไม่ขาดสายแต่ไม่มีใครรับ ผ่านไปกี่โมงยามไม่มีใครสนใจ แสงอัสดงค่อย ๆ คลี่ปมร้อนระอุให้แผ่วลง และลมเย็นยามรัตติกาลก็หอบพัดเอาไอร้อนออกไปสิ้น ความยะเยือกกลับเข้ามาโอบล้อมไว้ทั่วทุกอาณาบริเวณ แต่ไม่ว่าอย่างไรเช้าวันใหม่ก็โผล่ลำแสงออกมาทักทายเพื่อเตรียมต้อนรับความร้อนแรงของแดดกล้าอีกครั้ง
###################################################
บางทีคำตอบที่ว่า คนเราต้องมีชีวิตอยู่ นั้นไม่ใช่เหตุผลของการที่ลมหายใจของก้อยยังเข้าออกผ่านร่างกายของเธอ ราวกับว่าโลกนี้เล่นตลกกับเธอไม่หยุดหย่อน ลำแสงจากดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ทักทายเธอด้วยสัมผัสอันร้อนแรง
กลิ่นหอมจากในครัวโชยมาเชื้อเชิญให้ก้อยหยุดมองผู้ชายที่ขมักเขม้นทำกับข้าวอยู่อย่างไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองเขาอยู่เบื้องหลัง
ความทรงจำแวบแรกเกี่ยวกับผู้ชายแสนดีคนนี้คือ รอยยิ้ม รอยยิ้มที่เคยดูอบอุ่น ถึงแม้ตอนนี้มันจะไม่เคยเปลี่ยนแปลงแต่ความรู้สึกของผู้รับรู้นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว คำว่า ขอบคุณ ติดอยู่ในลำคอ เปล่งออกมาเพียงแค่คำพูดที่ไม่ได้สำคัญอะไรนัก
วันนี้ทำอะไรหรือคะ ที่รัก
ก็นี่ไง ของโปรดก้อยเลยนะ หมูทอดกระเทียม กับนี่แกงจืดไข่น้ำไงจ๊ะ นี่ก็จะเที่ยงแล้วนะ ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า แล้วค่อยลงมากินข้าว
ขอบคุณนะ คำ ๆ นี้แทรกผ่านลำคอของก้อยออกมาอย่างแผ่วเบาและยากลำบาก
หา..ว่าอะไรนะ? บอลตะโกน
เปล่าไม่มีอะไร .. ก้อยไปอาบน้ำนะ ก้อยขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้า
บอลซื้อสบู่ขวดใหม่มาอยู่ในถุงหน้าห้องน้ำน่ะ บอลตะโกนไล่หลังไป
แต่เสียงที่ตอบกลับมาคือ ความเงียบ ที่ฟังดูมันจะพูดดังฟังชัดเสียเหลือเกิน เกินกว่าคำพูดไหน ๆ ในบ้านหลังนี้
###################################################
ความทรงจำวัยเด็กของก้อยไม่ค่อยจะเหมือนเพื่อน ๆ คนอื่นนัก เธอค่อนข้างสับสนกับคำว่า แม่ เธอมีแม่ 2 คน คนหนึ่งคือผู้ให้กำเนิดที่เธอรักเกินกว่าสิ่งใดในโลกนี้ แต่อีกคนหนึ่งที่เธอเรียกว่า น้าอร ที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่ตรงกลางระหว่างเส้นแบ่งของความรักและความชิงชัง
ก๊อก ๆๆ
น้าอร ๆ แม่เรียกให้ช่วยเอารถเข้าบ้านหน่อย
สักพักผู้ชายวัยกลางคนพร้อมกับทรงผมยุ่ง ๆ กระวีกระวาดออกมาเปิดประตู สภาพที่เห็นคือ ผ้าขนหนูที่ยังใส่ไม่ค่อยเรียบร้อย
เดี๋ยวนะ ก้อยขึ้นไปนอนก่อน บอกแม่ด้วยว่าเดี๋ยวพ่อจะเอารถเข้าบ้านให้เอง แป๊บเดียวนะ และแล้วประตูก็ปิดลงอย่างเร่งรีบ แต่ก้อยยังคงยืนอยู่อย่างนั้น ก้อยไม่รู้หรอกว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมันคืออะไร เด็กน้อยรู้เพียงว่าพ่ออยู่ในห้องนี้ ห้องที่ไม่ใช่ห้องนอนของแม่ !
###################################################
ยินดีด้วยนะครับ คุณท้องได้ 2 เดือนแล้ว หมอบอกก้อยและบอล
จริงเหรอครับหมอ บอลโพล่งออกไปด้วยอาการตื่นเต้น
ช่วงนี้สภาพจิตใจจะไม่ค่อยปรกติ เพราะฮอร์โมนในร่างการเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง หมอพูดไปด้วยก้มหน้าเขียนใบสั่งยาไปด้วย ควรพักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ และไม่ต้องกังวลอะไรมาก ผมจะสั่งยาบำรุงให้ และกลับมาพบหมอใหม่ในสัปดาห์หน้านะครับ
ก้อยนิ่งเงียบไม่มีแม้แต่เสียงใด ๆ ออกมา แต่แล้วน้ำตาเธอก็ไหล เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำตาที่ไหลออกมานั้นมันคือ น้ำตาแห่งความยินดีหรือเสียใจกันแน่ !
ก้อย เราจะเป็นพ่อเป็นแม่คนแล้วนะ ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ บอลสัญญานะ เราจะดูแลเค้าอย่างดีที่สุดเลย เด็กคนนี้จะโชคดีมากที่เกิดมาเป็นลูกของเรา เสียงของบอลปลอบก้อย แต่น้ำตาของเธอก็ยังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย
###################################################
น้องน่ารักมั๊ย นี่ไงน้องชายของหนู ลองอุ้มดูมั๊ย เด็กน้อยวัย 9 ขวบ ได้อุ้มน้องชายครั้งแรก และเป็นครั้งแรกเช่นกันที่เธอรู้สึกว่าเธอจะไม่เป็นน้องคนสุดท้องอีกต่อไป เธอไม่จำเป็นต้องเอาตุ๊กตามาอุ้มติ๊งต่างเป็นน้องอีกแล้ว ตอนนี้น้องชายที่มีเลือดเนื้อเชื้อสายเดียวกับเธอครึ่งหนึ่งได้อยู่ในอ้อมกอดเธอ และความรักที่ไม่มีข้อกังขาก็ก่อเกิดในหัวใจของก้อย
น้องชื่ออะไรดีคะ แม่
อืม แม่ก็ไม่รู้ ลองไปถามน้าอรดูสิ แม่รับทารกน้อยมาอุ้ม และก้อยก็วิ่งกระวีกระวาดไปหาน้าอร
น้าอรคะ น้องชื่ออะไรดีคะ
ก้อยอยากให้ชื่ออะไรล่ะ น้าอรถามกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย
หนูก็ไม่รู้ เอ..ก้องดีมั๊ยคะ หนูมีเพื่อนชื่อก้องในห้องเรียนเค้าเป็นหัวหน้าห้องด้วย เด็กน้อยยังคงเจื้อยแจ้ว
ก็ดีนะ จะได้คล้องกัน กิ๊ก ก้อย แล้วก็ ก้อง แต่ต้องไปถาม
ดีงั้นชื่อ ก้อง นะ ยังไม่ทันจะฟังเสียงน้าอรพูดต่อ ก้อยก็วิ่งตะโกนออกไปบอกแม่ว่า
แม่ ๆ น้อง ชื่อก้องนะคะ แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็ชะงักอาการตื่นเต้นของก้อยได้ทันทีนั่นก็ คือ คราบน้ำตาของแม่พร้อมกับเด็กทารกในอ้อมกอดของเธอ
บางทีภาพนี้มันก็ดูสวยงามนะ
###################################################
เรามีลูกไม่ได้ ก้อยพูดกับบอลในรถ
ทำไมล่ะ เราเลี้ยงเค้าได้นะ ตอนนี้เราพร้อมทุกอย่างแล้ว
ไม่ ๆ ไม่มีทาง ก้อยไม่อยากมีลูก เราเลี้ยงเค้าให้เป็นคนดีไม่ได้หรอก ก้อยยังคงยืนยันในความคิดเดิม
บอลไม่เข้าใจน่ะ เรารักกันไม่ใช่เหรอ และตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังจะสมบูรณ์นะก้อย ส่วนเรื่องงานไม่ต้องห่วง ก้อยก็อยู่ที่บ้านเฉย ๆ บอลจะเป็นฝ่ายทำงานเองนะ อย่าคิดมากเลย
บอลไม่เข้าใจหรอก และไม่มีวันเข้าใจด้วย ก้อยจะเอาเด็กออก! เมื่อสิ้นสุดคำนี้ความเงียบก็ครอบคลุมทุกอณูของการสนทนาอีกครั้ง
เพลงนี้เพราะนะ มันเคยเป็นเพลงของเราใช่มั๊ย บอลทำลายความเงียบ
ใช่มันเคย..
###################################################
ตั้งแต่พ่อเสียไป นี่เป็นครั้งแรกนะที่ก้อยกลับมาเยี่ยมบ้าน แม่ของก้อยพูดนิ่ง ๆ แต่ไม่สามารถปกปิดรอยยิ้มแห่งความปิติจากแววตาของเธอได้
แม่คะ ก้อยออกจากงานแล้วนะ ก้อยเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
อ้าว แล้วบอลเค้าว่าไงบ้างล่ะลูก
ก็ไม่ว่าอะไร งานมันยุ่งน่ะแม่ คนก็วุ่นวาย กะว่าจะอยู่ว่าง ๆ ซักพักแล้วค่อยหางานใหม่
กลับมาอยู่บ้านมั๊ย แม่เหงาน่ะ ตอนนี้อรก็ต้องดูแลร้านเสื้อ ส่วนกิ๊กก็ไม่ค่อยว่าง เจ้าก้องก็ตามประสาวัยรุ่นน่ะ ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านหรอก
แม่คะ จะว่าอะไรมั๊ยถ้า หนูจะเลิกกับบอล
อ้าว มีปัญหาอะไรกันหรือลูก ก้อยเงียบไป
เราน่ะเป็นลูกผู้หญิงอะไรยอมได้ก็ยอมเค้าไปเถอะลูก
ก้อยหันมาสบตาแม่ แล้วสิ่งที่แม่เคยยอมล่ะคะ มันทำให้ชีวิตแม่เป็นยังไง แม่มีความสุขนักเหรอ
ก้อยเป็นอะไรไปน่ะ ความล้มเหลวของแม่มันเป็นคนละเรื่องกับครอบครัวของลูกนะ
แม่พูดว่าคนละเรื่องกันเหรอคะ ก็เพราะความอ่อนแอของแม่ไม่ใช่เหรอที่ทำให้หนูเป็นแบบนี้น่ะ! ตอนนี้หนูกลายเป็นคนล้มเหลวค่ะแม่ ก็เพราะแม่นั่นแหล่ะ แม่ยอมพวกเค้าทำไม
ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของแม่อีกเลย มีเพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในห้องนี้ นั่นก็คือ สายตาแห่งความเจ็บช้ำของผู้เป็นแม่ แม่เดินออกไปพร้อมกับทิ้งบางอย่างไว้เบื้องหลัง
แต่ ลูก คือ สิ่งสวยงามที่สุดที่แม่เคยสร้างมาในชีวิตนี้นะ
###################################################
เสียงนักข่าวสาวจากช่องภาษาอังกฤษยังคงดังอยู่ ก้อยยังคงทานโจ๊กที่จืดชืดนั้น นาฬิกาบอกเป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว เด็กในท้องยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้แล้วสินะที่หมอในคลินิคนัดก้อยไว้ นับแต่วันนั้นมาบอลและก้อยคุยกันน้อยมาก บอลกลับจากที่ทำงานก็เข้านอน ส่วนก้อยก็ดูโทรทัศน์จนดึกดื่นและตื่นสายโด่ง สิ่งเดียวที่ทั้ง 2 สื่อสารกันนั่นก็คือ post it ที่ล้วนแล้วแต่เป็นลายมือของบอลทั้งสิ้น ก้อยพยายามหลบหน้าบอลเพราะเมื่อไหร่ที่ทั้ง 2 คนต้องเผชิญหน้า บาดแผลที่ความเงียบทิ้งร่องรอยไว้นั้นก็จะถูกสะกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีกว่าถ้าทั้ง 2 คนสร้างเกราะกำบังด้วยการก่อกำแพงของตัวเองและมีโลกของตัวเอง
ก้อยแต่งตัวเสร็จแล้ว วันนี้เธอตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะเธอต้องการปกปิดความโศกเศร้าบางอย่าง ลิปติกสีแดงสดถูกวาดลงบนริมฝีปากซีดเผือด บางทีสีเลือดเช่นนี้อาจจะเป็นตราบาปที่เธอกำลังจะก่อ แต่จะแตกต่างที่ลิปติกเป็นสิ่งที่สามารถลบทิ้งได้แต่บาดแผลที่ก้อยกำลังจะทำร้ายตัวเองนั่นไม่มีวันที่จะลบเลือนได้เลย.
บางทีสิ่งสวยงามอาจจะเหมาะที่จะเป็นของคนบางคนเท่านั้นนะ
###################################################
11 พฤษภาคม 2547 17:11 น.
The Classic
คำว่า ฉันรักเธอ เป็นพลังขับเคลื่อนบางอย่างที่สร้างสรรค์ ถึงแม้คำว่า ฉันก็รักเธอเช่นกัน กลายเป็นเพียงความเพ้อฝันของเราฝ่ายเดียวก็ตาม
ฉันยังจดจำความรู้สึกครั้งแรกที่ได้ยินเพลง ๆ หนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน สมัยที่เพิ่งก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ฉันได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นงานใหม่ ๆ เพื่อนฝูงใหม่ ๆ และการอกหักครั้งใหม่ล่าสุด ! เพราะยังคงเป็นความรู้สึกเดิม ๆ ที่เราคิดว่ามันน่าจะลืมมันได้อย่างรวดเร็วอย่างครั้งก่อน ๆ แต่เวลาก็ไม่สามารถลบล้างความเจ็บปวดนั้นได้ จนมาถึงตอนนี้ผ่านไป 2 ปีแล้วการมองความรักในแง่ดีก็ทำให้ฉันกลายเป็นคนที่รักเขาข้างเดียวที่มีความสุขที่สุดในโลก ด้วยบทเพลงเดิมที่เคยตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับฉันมาแล้ว
นั่งมองภาพเธอทุกวันและทุก ๆ ครั้งฉันก็สุขใจ เวลานั้นผ่านไปนานเท่าไร ที่สองเราเคยใกล้กัน ภาพถ่ายยังคงงดงาม รูปที่เธอยืนเคียงคู่ฉัน วันนั้นเป็นวันที่ฉันช่างมีความสุข
นั่งอ่านลายมือของเธอ จากจดหมายสุดท้ายฉบับนั้น อ่านมันไปมาทุก ๆ วัน แต่ฉันกลับไม่เศร้าใจ กระดาษเริ่มเก่าและบางตัวหนังสือเลือนลางแค่ไหน อย่างน้อยก็ทำให้ฉันพบเธอในใจ
ยังรอคอยเธอเสมอ ไม่ว่าเธออยู่ที่ใด ยังรอรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นมาจากหัวใจ แม้จะไม่มีหนทางและจะนานนานแสนนานเท่าไร แต่ใจของฉันจะมั่นคงอยู่ไม่ขอเปลี่ยนไป
เสียงที่พรั่งพรูออกมาจากปากของฉัน คลอไปกับน้ำเสียงนุ่มนวลของ น้อย วงพรู เนื้อหาของเพลงนี้ ทำให้ฉันร้องไห้ไม่หยุดเพราะฉันคิดว่าการรอคอยอย่างในบทเพลงนี้มันเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุดและเป็นอะไรที่อยากทำให้ได้ แต่มันเจ็บปวดมากฉันเลยปฏิเสธและโกรธตัวเองที่ไปรักเค้า น้ำตามันเอ่อล้นออกมาอย่างที่ควบคุมไม่ได้เช่นเดียวกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ฉันรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าคนที่แต่งเนื้อร้องเพลงนี้คงจะรักคน ๆ หนึ่งมากมากจนสามรถรอคอยใครสักคนอย่างมีความสุขได้ขนาดนั้นซี่งเป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกับฉันในตอนนี้
การรอคอยที่เป็นทุกข์และไร้จุดหมายในวันนั้น กลายเป็นการรอคอยที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ณ วันนี้
ฉันงงมากที่บทเพลง ยังรอคอยเธอเสมอ นี้เป็นเพลงที่ น้อย วงพรู ขึ้นร้องในคอนเสิร์ต ของบอยด์ โกสิยพงษ์ เพราะฉันคิดว่าเพลงนี้สมาชิกในวงคงจะแต่งกันเอง ฉันยังจดจำได้ดีกับเรื่องราวที่ น้อย เล่าว่า บทเพลงนี้เป็นเพลงหนึ่ง ที่บอยด์แต่งขึ้นให้กับเด็กหญิงคนหนึ่งที่เขารอคอยมาตลอด และตอนนี้เด็กหญิงคนนั้นก็ คือ เด็กหญิงดีใจลูกสาวสุดที่รักของบอยด์เอง
ถึงแม้ว่าบอยด์จะสุขสมหวังจากการรอคอย แต่การรอคอยก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนสมหวังไปทั้งหมด อย่างไรก็ตามอารมณ์ของการรอคอยในเนื้อเพลงนี้เป็นการเฝ้ารอด้วยความรักที่เปี่ยมล้นไปด้วยความบริสุทธิ์ซึ่งเป็นพลังอย่างหนึ่งที่เธอคนนั้นมองเห็นและรับรู้ได้
มีเรื่องน่าทึ่งมากมายบนโลกใบนี้ แต่พลังของความรักนั้นก็สามารถสร้างความน่าอัศจรรย์ได้มากมายยิ่งกว่า กว่า 700 บทเพลงที่บอยด์แต่งขึ้นมาตลอดชีวิต ด้วยแรงบันดาลใจจากผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่มีหัวใจพองโตที่สุดจนผู้หญิงทุกคนอดอิจฉาไม่ได้ เธอกลายเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราที่ทำให้เราได้ฟังบทเพลงดี ๆ มากมาย ผู้หญิงคนนั้นก็คือ ภรรยาของเขา
นับจากวันนั้นจนวันนี้ฉันมีมุมมองใหม่กับเพลงนี้มากขึ้น ฉันเปลี่ยนหัวใจในการซึมซับความรู้สึกจากการมองว่าการรอคอยเป็นสิ่งที่เลวร้าย เพราะบางทีการรอคอยที่มีสติก็เป็นคุณสมบัติหนึ่งของความรัก เราไม่จำเป็นต้องหวังว่าเค้าจะกลับมารักเรา เราไม่จำเป็นต้องฝันถึงจุดสิ้นสุดของความรัก มันไม่จำเป็นเลย การรอคอยครั้งนี้เป็นการรอคอยที่ไม่คาดหวัง แต่เป็นการรักและจดจำความรู้สึก ณ วันที่เราเคยมีความสุขที่สุด ซึ่งมันจะก่อให้เกิดความสุขในทุก ๆ วันของเรา เพียงเราไม่ปฏิเสธตัวเองว่าเรารักใคร เพราะความรักเป็นสิทธิที่ไม่มีใครจะสามารถพรากมันไปจากตัวเราได้
วันนี้ฉันยังคงรักเขาอยู่ ฉันยังนึกถึงและคิดถึงเขาอยู่เสมอ ฉันยังโทรศัพท์ไปหาเค้าเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ฉันยังมีข้อความที่ส่งถึงเค้าในวันเกิด วันปีใหม่ วันวาเลนไทน์ หรือแม้แต่วันครบรอบที่เราพบกันครั้งแรก และฉันยังคงเจ็บปวดไปพร้อมกับเขาเมื่อเขาต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง ฉันยังคงรอคอยเค้าเสมอ รอคอยที่จะเฝ้ามองและห่วงใยเค้าอยู่ห่าง ๆ
ในวันข้างหน้าฉันอาจจะพบใครคนใหม่ที่เค้ามีคำตอบกลับมาว่า ฉันก็รักเธอเช่นกัน มันคงจะทำให้ฉันมีหัวใจพองโตไม่แพ้ผู้หญิงคนไหน แต่ในวันข้างหน้านั้นฉันก็จะยังจดจำความรู้สึกดี ๆ ที่เราเคยมอบความรักให้กับใครสักคนอย่างท่อนสุดท้ายของเพลงที่ว่า
เพราะเธอยังอยู่ เธออยู่ในหัวใจ เธอคือ พลังให้ฉันได้เจอวันดีๆเรื่อยไป ในวันที่ตัวฉันแพ้
ในใจท้อแท้แม้ซักเท่าไร แค่ยังมีเธอให้คิดถึงอยู่ ฉันก็อุ่นใจ
######################################
11 พฤษภาคม 2547 17:09 น.
The Classic
เมื่อไรก็ตามที่เราตระหนักรู้ว่าตัวเองเป็นตัวทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นอย่างไม่ตั้งใจ
มันทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่เศษขยะที่ไร้ค่าหรือเชื้อราที่น่ารังเกียจ
เมื่อไรก็ตามที่เราเอาแต่ใจ และเรียกร้องอะไรหลาย ๆ อย่างจากคนที่เขารักเรา
จนทำให้คนอื่นเดือดร้อน มันยิ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสิ่งปฏิกูลที่น่าขยะแขยง
คงไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเราตอนนี้หรอก
คงไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเราได้กลายเป็นนางมารร้ายกับใครบางคน ซึ่งเป็นคนที่เรารักเค้ามากที่สุด
คงไม่มีใครมีวันเข้าใจถึงความเจ็บปวดของเราเมื่อถึงวันนั้นที่เราสำนึกผิด
และเมื่อวันนั้นที่เราลองส่องกระจกมองตัวเองแล้ว มองเห็นปิศาจร้ายอยู่เบื้องหน้า และรำลึกได้ถึงการกระทำที่ผ่านมา ความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสก็ประดังประเดมาสุมอยู่ที่ตัวเรา ทั้ง ๆ ที่
ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เราก่อมันขึ้นมาเองทั้งสิ้น
ตราบาปที่ติดตรึงกับตัวเราช่างร้ายกาจยิ่งกว่าการกระทำที่ผ่านมาของเรารวมกัน
ทำไมนะ ทำไมเราไม่รู้ตัวตั้งแต่แรก และลองแก้ตัวใหม่ แต่ตอนนี้มันสายเสียแล้ว
เราจะเอื้อนเอ่ยคำขอโทษออกไปอย่างไรดีให้เขารับรู้ว่าเราผิดไปแล้ว
ขอโทษนะ เป็นเพียงแค่ประโยคที่ขังตัวมันเองอยู่ข้างในหัวใจ
กลอนแน่นหนาที่ชื่อว่า ทิฐิ ช่างเป็นเสมือนคู่หูของเจ้าปิศาจที่อยู่ตรงหน้า
ความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณเมื่อเวลากลายเป็นตัวคูณของความชอกช้ำ
ยิ่งยาวนานเท่าไร ความเจ็บปวดก็ยิ่งทับถมมากขึ้นเป็นเท่าตัว
เมื่อไรก็ตามที่กุญแจแห่งทิฐิได้รับการค้นพบ เมื่อนั้นเราก็คงได้รับการปลดปล่อยจากบ่วงอันนี้
เมื่อไรที่มันมาถึงการต่อสู้กับตนเองก็จะจบสิ้น
เมื่อไรเมื่อนั้นความสุขก็จะมาเยือน