11 มกราคม 2546 12:41 น.
Tawan
ระหว่างทางเข้าเมือง มนสิการอยากจะชวนทอแสงคุย แต่ทอแสงได้แต่นั่งเงียบและมองข้างทางพร้อมกับคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ต้นกล้าดูโกรธและไม่พอใจที่ทอแสงมาที่นี่ บางทีเขาอาจไม่ต้องการเจอใครอย่างที่เพื่อนๆบอกก็ได้ แต่เธอก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะอะไร
คุณแสงคะ มนสิการเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
คะ ทอแสงตอบรับ เสียงของมนสิการทำให้เธอหลุดออกจากความคิดที่ถาโถมหนักหน่วง
คุณแสงคิดเรื่องครูกล้าอยู่เหรอคะ น้ำเสียงของมนสิการเต็มไปด้วยความกังวลใจ
ทอแสงไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร เธอได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ
ครูกล้าคงมีเรื่องไม่สบายใจมั๊งคะ ปกติครูกล้าก็ไม่เคยเป็นแบบนั้น
คำพูดของมนสิการยิ่งทำให้ทอแสงไม่สบายใจ ก็จริงอย่างที่มนสิการพูด ต้นกล้าไม่เคยมีอาการโมโหหรือไม่พอใจรุนแรงอย่างนั้นมาก่อน โดยเฉพาะกับเธอ สิ่งที่เกิดขึ้นมันแปลว่าอะไร ต้นกล้าไม่ต้องการให้เธอวุ่นวายในชีวิตเขาอย่างนั้นหรือ
คุณม่อนสนิทกับกล้ามากเหรอคะ ทอแสงโพล่งออกไป เธออยากรู้เหลือเกินว่า เวลานี้ ต้นกล้ามีใครที่สำคัญกับเขาแล้วหรือยัง
อ่อก็ไม่หรอกค่ะ สนิทกันตามประสาคนที่ทำงานด้วยกัน เจอกันทุกวันเท่านั้นเองคะ มนสิการตอบด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มแจ่มใส และเธอก็ดูมีความสุขที่ได้พูดถึงความสัมพันธ์นั้น
ทอแสงเงียบไป บางที มนสิการอาจจะชอบต้นกล้าและต้นกล้าเองก็อาจจะรู้สึกไม่ต่างกัน ความคิดนี้เหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจ ทำเอาน้ำตาพาลจะไหลออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว
คุณแสงสนิทกับครูกล้ามากใช่ไหมค่ะ ครูกล้าเคยเล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนสนิทที่มหาลัยและรักกันมาก มนสิการเริ่มชวนทอแสงคุย แต่ทอแสงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะตอบคำถามหรือเล่าเรื่องระหว่างเธอกับต้นกล้า
ค่ะกล้าเคยพูดถึงพวกเราด้วยเหรอคะ น้ำเสียงของทอแสงนั้นแฝงไว้ด้วยความน้อยใจและเจ็บปวด เพื่อนที่สนิทและรักกันมากอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมต้นกล้าถึงจากมาที่นี่โดยไม่ร่ำลาสักคำได้ลงคอ และถ้าเป็นอย่างนั้น ต้นกล้าคงจะยินดีที่เห็นเธอมาหาเขาแทนที่จะแสดงความโมโหออกมา
บทสนทนายาวนานต่อเนื่องไปจนถึงตลาดในเมือง ทอแสงได้รู้ว่ามนสิการเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เธอใช้ชีวิตในกรุงเทพกับแม่ที่แยกทางกับผู้เป็นพ่อตั้งแต่เธอยังเด็ก จนกระทั่งเรียนจบและทำงานที่กรุงเทพได้หนึ่งปี เธอจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่กับพ่อที่นี่ซึ่งถึงวันนี้ก็เกือบจะ 2 ปีแล้ว
ตลาดในเมืองช่วงบ่ายยังคงคราคร่ำไปด้วยชาวบ้าน ภาพวิถีชีวิตเรียบง่ายที่ได้เห็นทำให้ทอแสงรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง มนสิการซื้อของสดไปมากมาย เธอตั้งใจที่จะต้อนรับเธอและเพื่อนๆของต้นกล้าอย่างเต็มที่ แต่ทอแสงเองกลับกังวลกับการเดินทางมาถึงของปลายฟ้า, กวีและเม่นเพราะเธอไม่แน่ใจแล้วว่าต้นกล้าจะยินดีกับการได้เจอทุกคนหรือไม่
หลังจากกลับจากตลาดสด ทั้งต้นกล้าและวันชาติไม่ได้อยู่ที่บ้านครูใหญ่แล้ว มนสิการชวนทอแสงเข้าครัวเพื่อทำกับข้าว ครูใหญ่ชวนต้นกล้า, วันชาติและทอแสงทานอาหารเย็นที่นี่ ดังนั้น มนสิการจึงลงมือทำอาหารหลายชนิดและไม่ลืมที่จะเตรียมอาหารพิเศษให้ต้นกล้าเช่นทุกครั้งที่เขามาทานข้าวที่บ้าน
เย็นนี้ม่อนว่าจะทำแกงเขียวหวานไก่ให้ครูกล้าด้วย คุณแสงว่าดีไหมคะ มนสิการพูดพลางหั่นเนื้อไก่อย่างอารมณ์ดี
แกงเขียวหวานไก่. ทอแสงทวนคำ เธอรู้สึกว่าหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันที ทอแสงนึกถึงภาพของต้นกล้าในวันที่ทุกคนมาออกค่ายที่นี่เมื่อหลายปีก่อน เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ทอแสง, ปลายฟ้าและเพื่อนผู้หญิงอีก 3-4 คนจะช่วยกันทำอาหาร ต้นกล้ามักจะเสนอให้ทำแกงเขียวหวานไก่ของโปรดของเขา แต่ไม่ใครทำให้เพราะค่อนข้างจะยุ่งยาก ทอแสงเคยบอกเขาว่าวันหนึ่งจะทำให้ทานเอง ต้นกล้าฟังแล้วยิ้มให้แทนคำตอบ แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ทอแสงก็ยังไม่มีโอกาสทำให้เขาทานเลย
คุณม่อน แสงขอทำเองได้ไหมคะ ทอแสงเอ่ยขึ้นหลังจากตกอยู่ในห้วงความคิดและภาพของต้นกล้าในวันเก่าๆ
อ่อได้สิคะ มนสิการรับคำ งั้นม่อนทำอย่างอื่นนะคะ
ทอแสงหัดทำแกงเขียวหวานมาจากแม่ของเธอนับตั้งแต่สัญญากับต้นกล้า เธอจึงอยากจะทำให้เขาตามที่เคยพูดไว้ แม้ว่าตอนนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม ทั้งสองคนใช้เวลาในครัวค่อนข้างนาน แต่ก็ทำอาหารได้หลายชนิด แกงเขียวหวานไก่ของทอแสงนั้นน่าทานจนมนสิการเอ่ยปากชม ทอแสงไม่อยากบอกมนสิการว่านี่เป็นอาหารชนิดเดียวที่เธอทำเป็น
ต้นกล้าและวันชาติมาถึงบ้านก่อนเวลาอาหารเย็น ทั้งสองคนนั่งคุยกับครูใหญ่พักหนึ่งก่อนจะเริ่มทานอาหาร ทอแสงไม่กล้าสบตาต้นกล้าทั้งที่เธอรู้สึกว่าเขาพยายามมองมาหลายครั้ง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยดี ทุกคนพูดคุยกันในเรื่องต่างๆรวมทั้งเรื่องโรงเรียน มนสิการชวนทุกคนคุยพร้อมๆกับตักอาหารให้ต้นกล้าไม่ได้ขาด วันชาติก็มักมีมุขตลกเสริมให้ได้หัวเราะเสมอ ส่วนต้นกล้าก็พูดคุยตามปกติราวกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นตอนกลางวัน มีแต่ทอแสงเท่านั้นที่รู้สึกแปลกแยกเมื่ออยู่รวมกับทุกคน วันชาติสังเกตเห็นทอแสงเงียบกว่าใคร เขาจึงชวนเธอคุยบ่อยๆซึ่งนั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้
หลังมื้ออาหารผ่านไป ครูใหญ่ชวนให้ต้นกล้าและวันชาตินั่งคุยต่อ โดยมีมนสิการคอยบริการผลไม้และเครื่องดื่ม ทอแสงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินของที่นี่ เธออยากจะกลับกรุงเทพและไม่อยากรับรู้ต่อว่าต้นกล้ามีชีวิตอย่างไรที่นี่ เพราะสิ่งที่ทอแสงเห็นคือเขามีความสุขกับสิ่งที่เขาเลือก ได้ทำในสิ่งที่รัก และมีเพื่อนร่วมงานที่ดีซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ทอแสงไม่ต้องเป็นห่วงเขาอีก แต่ในวันพรุ่งนี้ทุกคนก็จะมาถึงที่นี่ ทอแสงไม่อยากจะคิดเลยว่าเมื่อเพื่อนๆได้เจอต้นกล้าแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ต้นกล้าจะยินดีกับการมาของทุกคนหรือไม่ และเธอเองควรจะทำตัวอย่างไรในสถานการณ์ที่ดูเหมือนเธอเป็นส่วนเกินเช่นนี้
6 มกราคม 2546 19:23 น.
Tawan
ฉันเริ่มสั่นศรีษะ นิ้วของฉันจับแฮนด์รถอย่างหวาดกลัว ถ้าหากว่ามีวิญญาณ, ผี หรือว่าสถานที่นี้ถูกผีสิงจริง ฉันก็ไม่ต้องการจะมีส่วนร่วมใดๆ
เราไม่มีเวลาแล้ว ฉันพูดเบาๆพลางดูนาฬิกาข้อมือ ฉันต้องไปเอาคอนแทค เลนส์ตอนสิบเอ็ดโมง
ใจเย็นๆน่า.. เจสันขัดขึ้น นี่มันเพิ่งสิบโมงครึ่งเอง เราจะไปที่ก้อนหินแล้วลองเคาะดูสักสองสามก้อน จากนั้นเราจะออกจากที่นั่นภายในห้านาที
ฉันมองไปที่ลีแอนด้วยสายตาอ้อนวอน แต่เธอกลับสั่นศรีษะ ฉันเข้าไปใกล้ก้อนหินพวกนั้นไม่ได้หรอก เธอพูด พ่อกับแม่บอกว่ามันอันตรายและเด็กหลายคนก็เกิดอุบัติเหตุตอนปีนขึ้นไปบนก้อนหิน ถ้าพวกเธอสองคนไปที่นั่นล่ะก็ระวังตัวด้วยนะ เธอโบกมือลา จากนั้นก็ปั่นจักรยานลงไปตามทางอย่างรวดเร็วจนหายไปจากสายตา เจสันกับฉันจึงอยู่กันตามลำพัง
ฉันหันไปมองรอบๆเพื่อตะโกนเรียกน้องชายของฉัน แต่เขาจอดจักรยานไว้หลังพุ่มไม้ แล้วลอดใต้โซ่เข้าไปที่ก้อนหินร้องเพลง
เจสัน! ฉันตะโกนเสียงสั่นด้วยความโกรธ เจสันกลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ!
หมอกเปลี่ยนเป็นฝนปรอยๆ หยาดน้ำแข็งไหลลงสันหลัง ลมเย็นๆของฤดูหนาวดูเหมือนจะลอยมาจากทิศทางที่มีก้อนหินร้องเพลง ฉันตัวสั่นและเหลือบมองไปที่ทางเข้าผ่านแว่นตาที่พร่ามัวจากสายฝน นอกจากเสียงเสียดสีของกิ่งไม้เบื้องหน้าและเสียงนกร้องเป็นระยะๆแล้ว ป่าก็เงียบสงัด จากนั้นฉันก็ได้ยินอะไรบางอย่าง
เจมี่..มี่..มี่.. เสียงกระซิบดังมาจากทางเข้าใต้โซ่นั่น
เจสันเหรอ? ฉันตะโกน นั่นนายใช่ไหม?
ฉันใจเต้น กระโดดลงจากจักรยาน จอดมันไว้หลังพุ่มไม้ใกล้ๆกับรถของเจสันแล้วรีบมุดใต้โซ่ที่ล้อมรอบก้อนหินร้องเพลง ฉันต้องรีบหาเจสันให้เร็วที่สุด ฉันวิ่งไปตามทางเดินกรวดที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าและรากไม้ ต้นไม้สีดำทะมึนมีรูปร่างเหมือนปีศาจอยู่เหนือศรีษะฉันขณะที่ฉันลื่นและสะดุดลึกเข้าไปในป่า
เจสัน! ฉันเรียกเขาอีกครั้งเพราะกลัวที่จะอยู่คนเดียวในป่าที่มืดครึ้มอย่างนี้
เจมี่..มี่..มี่.. เสียงกระซิบเบาๆที่น่าขนลุกดังขึ้นอีกครั้ง
ความกลัวแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจฉัน และฉันยังต้องคอยปัดกิ่งไม้เตี้ยๆที่ห้อยลงมาด้วยความรู้สึกสิ้นหวังที่จะได้เจอน้องชาย ที่นี่เงียบ, วังเวงและโดดเดี่ยว อะไรๆก็เกิดขึ้นได้กับก้อนหินร้องเพลง เด็กๆที่เฟรนด์ลี่ คอร์เนอร์ก็พูดอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ
ฉันวิ่งไปตามทางแล้วหยุดเพื่อหายใจ และโดยไม่รู้ตัว นิ้วเย็นๆสัมผัสที่คอเสื้อแจ็คแก็ตของฉัน ฉันกรีดร้องด้วยความกลัวแล้วหันไปมองรอบๆ จากนั้นฉันก็ต้องหัวเราะเมื่อเห็นว่ากระรอกกำลังวิ่งข้ามไปบนกิ่งไม้ของต้นข้างๆแล้วทำให้น้ำบนใบไม้หยดลงบนทางเดินข้างล่าง แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้บุกรุกอย่างฉัน
จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงตะโกนห่างไปประมาณสองสามหลาแถวๆหัวโค้ง มันเป็นเสียงน้องชายฉัน และเสียงเขาก็ดูหวาดกลัวทีเดียว
เจสัน! ฉันร้อง และวิ่งสุดฝีเท้าลงไปตามรอยทางเดินซึ่งขาดตอนตรงปลายที่โล่ง ฉันวิ่งผ่านต้นไม้ และหยุดเป็นพักๆ กลุ่มก้อนหินและหินก้อนใหญ่กระจายอยู่ทั่วที่โล่ง ก้อนหินเกรนิตขนาดใหญ่สีน้ำเงินจางๆเหมือนกับป้ายหน้าหลุมศพส่องแสงที่น่าขนลุกท่ามกลางฝนที่ตกปรอยๆ มันดูเหมือนป่าช้า ฉันคิดแล้วก็ขนลุก น่าแปลกทีเดียวที่ไอน้ำดูเหมือนจะหมุนวนอยู่เหนือพื้นดิน ดังนั้นมันเลยดูเหมือนว่ากองทัพปีศาจกำลังพยายามจะหนีออกจากก้อนหิน และตอไม้ผุๆที่ผิดรูปร่างก็ยืนเหมือนคอยคุ้มกันก้อนหินร้องเพลง กิ่งไม้ที่บิดเบี้ยวสีดำชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนหมวกแม่มดซึ่งทำให้ภาพลวงตานี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แต่แล้วฉันก็ต้องรีบหันกลับและเตรียมออกวิ่งเมื่อได้ยินเสียงร้องของเจสันอีกครั้ง ทันทีที่ฉันหันหลัง ฉันก็เห็นเขาอยู่ห่างจากฉันเพียงไม่กี่ฟุต เขากำลังพยายามดึงแขนเขาออกจากก้อนหินอย่างทุลักทุเล
มันกินแขนผม! เขาร้องด้วยน้ำเสียงกลัวๆ เจมี่ อะไรก็ไม่รู้ข้างใต้ก้อนหินพวกนี้ไม่ยอมปล่อยมือผม!
หัวใจฉันเต้นแรง และลืมความกลัวของตัวเองไปชั่วขณะ ฉันตะกายขึ้นไปบนก้อนหินลื่นๆอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันทีที่ฉันปีนไปถึงตัวเจสัน เขาก็ดึงมือขึ้นอย่างง่ายดาย และยิ้มกว้างให้ฉัน
ล้อเล่นหน่ะ เขาพูดไปหัวเราะไป พี่น่าจะได้เห็นหน้าตัวเองเมื่อกี้นะ
ตลกมากเหรอ! ฉันถามเสียงสั่นด้วยความโกรธ ตลกโง่ๆงั้นเหรอ!
เจสันแกล้งคราง แล้วเคาะบนด้านหนึ่งของก้อนหินด้วยค้อน จงออกมา ปีศาจแห่งก้อนหินร้องเพลง เขาพูด จงออกมาดูหน้าพี่สาวใจฝ่อของผม
หยุดนะ! ฉันตะโกน หยุดเคาะก้อนหินพวกนั้นด้วยค้อนนายเดี๋ยวนี้นะ!
ทำไมล่ะ? หรือว่าพี่เชื่อเรื่องผีที่ลีแอนพูดจริงๆ เจสันเหน็บแหนมฉัน และแกล้งเคาะก้อนหินทุกก้อนเท่าที่เขาจะทำได้ คิดว่าวิญญาณที่ถูกขังกำลังนอนคอยเราอยู่งั้นเหรอ?
ฉันผลักไหล่เขาอย่างแรงและดึงค้อนออกจากมือเขา แต่ฉันกลับเสียการทรงตัวและล้มลงบนก้อนหินสีขาวซีดก้อนที่ดูน่าขนลุกพอดี ขณะที่ฉันล้ม ฉันบังเอิญเคาะก้อนหินนั่นด้วยค้อน
"ก็อง...งง" เสียงดังอย่างน่าขนลุก
ฉันนอนเหยียดอยู่บนก้อนหิน หูแนบอยู่กับผิวก้อนหินที่ทั้งสากและชื้น
เจมี่..มี่..มี่.. เสียงที่เย็นชาและกระหายกระซิบ มันเหมือนออกมาจากใต้ก้อนหิน ฉันกลั้นหายใจเบาๆ แล้วก็ตระหนักว่ามันมาจากฉันเอง ฉันอ้าปากแต่ไม่มีคำพูดใดๆออกมา ฉันมองไปที่รอยแตกของก้อนหิน และก็รู้สึกว่าเห็นอะไรบางอย่าง บางอย่างที่มีสีขาวซีด ขาวมากกว่าป้ายหินหน้าหลุมศพเสียอีก ฉันชำเลืองมองเข้าไปในความมืดระหว่างหินสองก้อน มีบางอย่างก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้น มันดูคล้ายใบหน้าจางๆเป็นลักษณะเหมือนวงพระจันทร์ที่เรืองแสง กับตาสีดำสนิทยิ่งกว่าปีกค้างคาว และปากสีแดงฉานที่แสยะยิ้ม
เจมี่..มี่..มี่..
(ติดตามตอนต่อไปนะคะ สนุกแน่ๆ)
2 มกราคม 2546 17:07 น.
Tawan
แต่ตอนนี้ฉันตระหนักด้วยความรู้สึกว่าจะเป็นลมว่าเราดูเหมือนจะหลงทาง
ลีแอนขี่จักรยานนำหน้าฉันไปไกล และเจสันก็ขี่หายไปแล้ว หมอกสีเทาที่ทั้งเย็นและเป็นเหมือนใยแมงมุมซึ่งเริ่มก่อตัวตรงหน้านั้นไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเพราะมันทำให้แว่นตาที่หนาเตอะของฉันพร่ามัว และยากแก่การมองเห็น ฉันตัวสั่นแม้ว่าฉันสวมเสื้อแจ็คแก็ตทับเสื้อไหมพรมและเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ก็ตาม
เฮ้! เจมี่ ระวัง น้องชายวัยสิบเอ็ดปีที่แสนจะบ้าของฉันโผล่ออกจากพุ่มไม้อย่างไม่รู้ตัว เขาแกล้งทำเป็นเสียความทรงตัวตรงหน้าฉัน
ฉันกรีดร้องก่อนที่จะช่วยเหลือตัวเองด้วยการเบรครถด้วยความโมโห ขณะนี้ฉันอยู่ห่างจากจักรยานของเขาเพียงแค่นิ้วเดียว
โอ้โห สนุกจังเลยนะ ฉันตะคอก
เจสันหัวเราะเสียงดังและเลี้ยวจักรยานเข้ามาใกล้
แน่นอน มันสนุกสำหรับผม เขาพูดโดยเลียนเสียงร้องของฉัน
ฉันจ้องเขาก่อนพูดว่า แทนที่นายจะเล่นโลดโผนแบบนี้ นายน่าจะช่วยกันดูว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกัน แต่ถ้านายไม่ได้สังเกตุ เราก็กำลังหลงทาง
เด็กอะไรอย่างนี้ เจสันล้อเลียนฉัน คนอายุสิบสองที่กลัวไปซะทุกอย่าง แม้แต่ป่าใหญ่ๆอย่างนี้
นายนั่นแหล่ะเด็ก ฉันพูด ที่ชอบแกล้งให้ฉันกลัว
เขากลอกตาไปมาและยิงฟันยิ้ม ก็มันไม่ยากอะไรนี่ เฟรดดี้ เบรดี้
อย่าเรียกฉันอย่างนั้นนะ ฉันเอ็ดเขา
ฉันเกลียดชื่อเล่นนั่น เด็กๆเคยเรียกฉันว่าเฟรดดี้ เบรดี้เพราะเปียหนาๆสีบรอนด์เข้มกับอาการหวาดกลัวที่ฉันแสดงออกอยู่เสมอๆ
เจสันยักคิ้วให้ฉัน ใครๆก็เรียกพี่อย่างนั้นนี่
ใช่ นั่นมันตอนอยู่ที่นิว ยอร์ก แต่ตอนนี้เราอยู่ที่เฟรนด์ลี่ คอร์เนอร์ และฉันก็ไม่ต้องการให้ใครที่นี่รู้ด้วยโดยเฉพาะลีแอน เธอเป็นเพื่อนคนแรกที่ฉันมี ฉันไม่อยากให้เธอมองฉันเป็นเด็ก
เจสันหยุดหมุนจักรยานและมองฉัน แน่นอน เฟรดดี้ เบรดี้
เจสัน ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นการเตือน ลีแอนกำลังมาแล้ว อย่าพูดอะไรเกี่ยวกับเฟรดดี้ เบรดี้ เข้าใจไหม
ฉันจ้องเขา เขาไม่เหมือนฉันเลย ฉันเตี้ย ผอม ตาสีน้ำตาลและสายตาสั้นรวมถึงมีผมสี บรอนด์ ส่วนน้องชายฉัน เขาสูง ดูแข็งแรง มีผมหยิกสีดำกับตาสีฟ้าสดใส และมีบุคลิกที่ไม่กลัวอะไร ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขากลัวได้ และฉันก็อิจฉาเขาในข้อนี้ เขาและน้องสาวคนเล็กของฉันที่ชื่อสมันทา เจ้าหญิงวัยเจ็ดขวบที่เสียเด็ก มักเล่าเรื่องสัตว์ประหลาดให้กันฟังก่อนเข้านอน และพอใจที่ได้ร่วมมือกันแกล้งพี่สาวคนโตที่แสนจะขวัญอ่อน
เจมี่ โรส ฟิวส์ เด็กทารกที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก แต่ฉันก็กำลังแก้ไขปัญหานี้อยู่ การผูกมิตรกับคนที่ใจเย็นและไม่หวั่นไหวอย่างลีแอนถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี บางทีความใจเย็นของเธออาจช่วยทำให้ฉันกล้าที่จะเผชิญสถานการณ์ใหม่มากขึ้นอีกหน่อย แต่แม้ว่าฉันจะคิดอย่างนั้น ฉันก็เห็นความกลัวในตาเธอขณะที่เธอขี่จักรยานขึ้นมา ลีแอนเป็นคนสูงโปร่ง มีผมสีดำ รูปร่างดี และเป็นคนอารมณ์เย็น แต่ตาเธอกลับดูกังวลเท่าๆกับที่ฉันเป็นอยู่เสมอ
ออกไปจากที่นี่กันเถอะ เธอพูด เราอยู่ใกล้ก้อนหินนั่นมากกว่าที่ฉันคิด
ก้อนหิน? ฉันถามขึ้นขณะนั่งคร่อมอยู่บนจักรยาน ฉันมองไปที่พื้นดิน จากนั้นก็มองไปที่ทางใกล้ๆซึ่งมีโซ่อยู่ตรงทางเข้า ก้อนหินอะไร?
เจสันชี้ไปที่ทางเข้าพร้อมกับยิงฟันยิ้ม ก้อนหินร้องเพลง เขาพูด หลังโซ่นั่นเป็นที่ลับที่ถูกสิงแห่งเฟรนด์ลี่ คอร์เนอร์ เพื่อนผมที่ชื่อแมทบอกผมเรื่องนี้หมดแล้ว
ฉันมองลีแอน นั่นเขาพล่ามอะไร ? ก้อนหินร้องเพลงเหรอ ? เรื่องตลกใช่ไหม ?
ลีแอนมองข้ามไหล่เธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หัวเราะให้พอนะ แต่แถวนี้มีก้อนหินที่หงายอยู่กับก้อนหินใหญ่ที่ถูกสิง เมื่อตอนที่คนกลุ่มแรกย้ายมาที่เฟรนด์ลี่ คอร์เนอร์ มีสะเก็ดดาวตกพุ่งชนกันบริเวณที่เรายืนอยู่ตอนนี้ และมันก็ทำให้คนตายไปเยอะ ส่วนคนที่เหลือก็ไม่ได้ย้ายหนีไปไหน พวกเขาแค่ย้ายลงไปอยู่ใกล้แม่น้ำ และสร้างใจกลางเมืองขึ้น
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับก้อนหินที่ร้องเพลงได้ด้วยล่ะ? ฉันถาม
(ติดตามอ่านตอนต่อไปค่ะ)