9 กันยายน 2545 18:55 น.
Tawan
ในกลุ่มมีด้วยกันทั้งหมด 5 คน เป็นผู้ชาย 3 คนคือ ต้นกล้า, กวี และเม่น ส่วนผู้หญิงก็มีแค่ทอแสงกับปลายฟ้า ทั้ง 5 คนรู้จักกันตั้งแต่ปี 1 เพราะลงเรียนวิชาเลือกเดียวกัน และอยู่ชมรมเดียวกันคือ ชมรมอาสาพัฒนาชนบทซึ่งปลายฟ้าอีกตามเคยที่ชวนให้ทอแสงเข้าชมรมนี้ แต่ละคนในกลุ่มมีนิสัยและบุคลิกที่แตกต่างกันไป แต่ความผูกพันนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเหมือนหรือความแตกต่าง ต้นกล้าเป็นผู้ชายที่นิ่งและเงียบ เขาแต่งตัวตามสบาย ไม่พิถีพิถันกับการดูแลตัวเอง ชอบวาดรูป ชอบอ่านหนังสือ มีความคิดเป็นของตัวเองและมีอุดมการณ์ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเข้ามาข้องเกี่ยวกับเขา เขาไม่เคยแสดงความสนใจใคร และไม่มีผู้หญิงคนไหนมาแสดงตัวว่าชอบเขาเช่นกัน แต่ทอแสงกับปลายฟ้าเห็นตรงกันว่า ผู้หญิงคงไม่กล้าเข้าหาต้นกล้าเพราะความที่เขาเป็นคนนิ่งและเงียบนั่นเอง
ส่วนกวีนั้นเป็นคนหน้าตาดี แต่งตัวสะอาด มีมนุษยสัมพันธ์ และเป็นที่หมายปองของเพศตรงข้าม แต่กวีนั้นไม่เคยคบใครเป็นตัวเป็นตน และไม่สนใจใครจริงจัง กวีพูดเสมอว่าไม่มีใครรักเขาที่ใจ ที่ความเป็นตัวตนแท้จริงของเขา ฉะนั้น เขาจึงไม่คิดว่าความรักมีอยู่จริง เขาเลยไม่เคยให้ความรักใคร ทอแสงไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของกวี แต่เธอก็รู้ว่าการจะเปลี่ยนความคิดที่ฝังรากลึกของกวีนั้นเป็นเรื่องที่ยากและอาจเป็นไปไม่ได้ ส่วนเม่นนั้น เขาชอบเล่นกีฬา มีน้ำใจ เป็นที่รักของเพื่อนๆ และถ้ารักใครก็จะยึดมั่นในรักนั้นจนบางครั้งดูเหมือนจะมากเกินไป ปลายฟ้ากับทอแสงจึงต้องคอยปรามไม่ให้เม่นจริงจังกับความรักจนเกินไปเพราะกลัวว่าความจริงจังมั่นคงจะกลับมาทำร้ายตัวเอง ทั้ง 5 คนเป็นเพื่อนที่รักกัน ไปไหนก็ไปด้วยกันเสมอจนหลายๆคนคิดว่าที่สุดแล้วต้องมีคู่ใดคู่หนึ่งที่เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนเป็นอย่างอื่น แต่ทุกคนไม่เคยใส่ใจกับข้อสมมติฐานนั้น เพราะต่างก็เชื่อในความหมายของคำว่า เพื่อน ว่ามีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด
ในบรรดาเพื่อนในกลุ่ม ทอแสงเป็นห่วงต้นกล้ามากที่สุด ทั้งที่ในสายตาเพื่อนๆแล้ว ต้นกล้าเป็นคนที่ไม่น่าเป็นห่วงแต่ประการใด ถึงจะเป็นคนที่นิ่ง แต่เขาก็เป็นคนเอาการเอางาน เอาจริงเอาจังกับการเรียนและกิจกรรม แต่ด้วยความที่ต้นกล้าไม่ค่อยดูแลตัวเองเท่าที่ควร ทอแสงจึงดูแลต้นกล้าเป็นพิเศษ ตั้งแต่อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์วาดรูป อาหารเช้า ยาแก้หวัด พลาสเตอร์ยา หรือแม้แต่มีดโกนหนวดในวันถัดมาหากวันนี้ต้นกล้าไม่ได้กวนหนวดก่อนออกจากบ้าน แต่ถึงอย่างนั้น ต้นกล้าก็ไม่เคยแสดงออกว่าทอแสงใส่ใจเขา มากเกินไป เขายินดีรับน้ำใจที่เธอหยิบยื่นให้ หากแต่ก็ไม่เคยแสดงความขอบใจจนมากเกินความเป็นเพื่อน ทอแสงวางตัวให้อยู่ในสถานะเพื่อนที่ดี หากแต่ในใจลึกๆแล้ว เธอกลับมีคำถามว่าเพราะเหตุใดเธอถึงใส่ใจในชีวิตประจำวันของเขามาตลอดเวลา 4 ปีที่เรียน และทำกิจกรรมด้วยกัน
เวลาทำให้ความผูกพันก่อเกิด ต้นกล้า, กวี, เม่น, ปลายฟ้าและทอแสงไม่เคยไปไหนโดยไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะไปทำกิจกรรมออกค่ายอาสา หรือไปเที่ยวต่างจังหวัด และไม่เคยมีใครทิ้งปัญหาของอีกคนโดยไม่ยื่นมือและใจช่วยเหลือ ความใกล้ชิดผูกพันทำให้ไม่มีใครอยากให้เวลาปีสุดท้ายหมดไป หากแต่ไม่มีสิ่งใดหยุดหรือยับยั้งการเดินทางของกาลเวลาได้ เวลาที่เหลือในปีสุดท้ายใกล้เข้ามา ขณะเดียวกับที่ทอแสงรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังจะสูญเสียสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีค่าและสำคัญในชีวิตเธอไป ซึ่งเธอไม่อาจรู้เลยว่าคืออะไรจนกระทั่งผ่านวันรับปริญญาไป และวันเสาร์แรกของเดือนธันวาคมได้เดินทางมาถึง
5 กันยายน 2545 18:28 น.
Tawan
อากาศยามเช้าของเดือนธันวาคมค่อนข้างเย็น สายลมอ่อนๆให้ความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ทอแสงชอบอากาศแบบนี้ที่สุด เพราะมันทำให้เธอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ย้อนไปเมื่อครั้งที่เธอเป็นนักศึกษาและไปออกค่ายต่างจังหวัดเกือบทุกปี ยกเว้นตอนปี 4 ที่เธอเรียนหนักและเตรียมตัวจบ แต่เดิมนั้น ทอแสงไม่เคยคิดอยากไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทที่ไหน เธอรู้สึกด้วยซ้ำไปว่า การออกค่ายอาสาเป็นเรื่องของคนเพียงกลุ่มหนึ่งที่มีอุดมการณ์แรงกล้า ยอมลำบากตราตรำไปต่างจังหวัดที่ทั้งไกลทั้งทุรกันดาร และเสียสละแรงกายเพื่อให้โครงการที่วางไว้บรรลุเป้าหมาย เธอนึกชื่นชมคนกลุ่มนั้นอยู่ในใจ แต่ไม่เคยคิดว่าต่อมาเธอจะเป็นส่วนหนึ่งในคนกลุ่มนั้น
มหาวิทยาลัยปีแรกสอนให้ทอแสงรู้จักการปรับตัว เธอเป็นเด็กผู้หญิงเรียบร้อย และไม่มีเพื่อนมากนักชีวิตของทอแสงนั้นดำเนินมาอย่างราบเรียบ จนกระทั่งวันที่เธอเข้ามาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐแห่งหนึ่ง เดือนแรกของชีวิตนักศึกษา รุ่นพี่กลุ่มที่เธอจับสลากได้จัดให้มีการรับน้องขึ้นที่จังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออก แน่นอนว่าส่วนหนึ่งของการรับน้องนั้นมีทะเลมาเกี่ยวข้อง ทอแสงชอบทะเลแต่เธอว่ายน้ำไม่เป็น ทั้งยังมีประสบการณ์ที่ไม่ดีทางน้ำมาตั้งแต่เด็ก ทอแสงเกือบจมน้ำในสระหากว่าพ่อของเธอ ซึ่งเวลานั้นยังมีชีวิตอยู่ไม่ช่วยไว้ แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมานานมากแล้ว แต่ทอแสงก็ไม่เคยลืมความรู้สึกหวาดกลัวระคนตกใจนั้นได้ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ยอมเรียนว่ายน้ำ แม้ว่ามันจะช่วยให้เธอหายกลัวได้ก็ตาม
ทอแสงมักจะคิดอะไรโดยเชื่อความรู้สึกของตัวเองเป็นหลัก หากว่าเธอไม่เห็นด้วยกับอะไรสักอย่าง เธอก็จะไม่พยายามหาเหตุผลเพื่อหักล้างความรู้สึกส่วนตัวนั้น ทอแสงเชื่อในความรู้สึกของตัวเองมากจนแม่ของเธอเป็นกังวลและมักพูดกับเธอเสมอว่า การอยู่ในสังคมต้องไม่ทำตัวเป็นเส้นตรงมากนัก ต้องยืดหยุ่นให้เป็น จะได้อยู่รอด ปลอดภัย แต่ทอแสงไม่เชื่อว่าคำพูดนั้นจะเป็นจริง เธอยังคงเชื่อในสิ่งที่เธอรู้สึกมาตลอดจนถึงทุกวันนี้
การเดินทางไปรับน้องครั้งนั้นทำให้เธอได้รู้จักเพื่อนร่วมกลุ่มมากขึ้น ทอแสงได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่ง เธอชื่อปลายฟ้า แต่ทุกคนเรียกเธอสั้นๆตามความต้องการของเธอว่า ปลาย ปลายฟ้าเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างแปลก เธอเป็นคนสวยแต่กลับทำตัวเหมือนผู้ชาย ไม่สนใจดูแลตัวเอง ไม่แต่งตัว และมีนิสัยลุยๆ ต่างจากทอแสงที่เรียบร้อยจนเกินไป ทอแสงสนิทกับปลายฟ้าเพราะความที่มีนิสัยคล้ายๆกัน นั่นคือเป็นคนเงียบๆ แต่ท่ามกลางความเงียบกลับก่อเกิดมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ ตลอดเวลา 3 คืนของการรับน้อง ทอแสงและปลายฟ้าจะนั่งคุยริมทะเลหรือไม่ก็นอกชานบ้านพัก และต่างได้รับรู้ชีวิตของกัน
ปลายฟ้านั้นไม่มีทั้งพ่อและแม่ คนทั้งคู่แยกทางกันตั้งแต่ปลายฟ้ายังเล็ก และต่างก็ไปมีครอบครัวใหม่ ทิ้งให้เธออยู่กับป้ามาตลอด เธอย้ายมาอยู่หอพักเมื่อเธอเข้ามหาวิทยาลัย โดยมีเงินส่งเสียจากพ่อและแม่ที่เห็นว่าเงินเป็นสิ่งเดียวที่จะทดแทนความอบอุ่นที่ขาดหายไปของลูก ปลายฟ้าเป็นคนเข้มแข็งพอที่จะไม่เรียกร้องความอบอุ่นจากครอบครัว เพราะเธอเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อว่าเธออยู่ได้แม้จะไม่มีใครคอยกางแขนปกป้องคุ้มภัย ทอแสงเห็นใจและเข้าใจปลายฟ้าดี เธอเข้าใจความรู้สึกของคนที่สูญเสีย เพราะเธอเองก็ขาดพ่อ แต่เธอยังโชคดีที่มีแม่ที่ให้ความอบอุ่นปลอดภัย และช่วงเวลาหนึ่งเธอก็เคยได้รับความรักจากพ่ออย่างเต็มที่แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม
แสงแดดอ่อนๆของยามเช้าให้ความอบอุ่นได้ดีเมื่อถึงฤดูที่ลมหนาวพัดมาเยือน ผ้าม่านสีขาวฉลุลูกไม้พริ้วตามแรงลมหนาวอย่างอ่อนโยน ทอแสงยืนมองลงไปนอกหน้าต่าง เบื้องล่างเป็นสวนขนาดย่อม มารดาของหล่อนกำลังรดน้ำต้นไม้อย่างอารมณ์ดี เธอคิดเสมอว่าถ้าไม่มีแม่คอยดูแล เพาะบ่มจิตใจที่บอบช้ำจากการสูญเสียบิดาในครั้งนั้น เธอจะมีชีวิตและเติบโตมาพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างเวลานี้ได้อย่างไร
3 กันยายน 2545 17:54 น.
Tawan
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกทอแสงจากภวังค์ แสงเสร็จหรือยังครับ เสียงนุ่มๆเสียงหนึ่งดังมาตามสาย ค่ะ ทอแสงตอบเสียงปลายสายอย่างไร้อารมณ์ และวางหูโทรศัพท์แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงชายหนุ่ม ทอแสงเก็บของส่วนตัวใส่กระเป๋าถืออย่างลวกๆ ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างไม่ใยดีกับงานที่ยังค้างอยู่ และออกจากห้องไป
แสง..วันนี้ไปทานข้าวที่บ้านผมนะ คุณพ่อกับคุณแม่เพิ่งกลับมาจากไปเยี่ยมน้องรินที่อังกฤษ ท่านอยากเจอคุณ ผมว่าท่านต้องมีของมาฝากคุณหลายอย่างเลยล่ะ ชายหนุ่มพูดอย่างอารมณ์ดี พลางเปิดประตูรถยนต์คันงามให้หญิงสาวตรงหน้า
ค่ะ ทอแสงตอบด้วยประโยคและอารมณ์เดิม สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ยินดีใดๆ
เป็นอะไรไปหรือเปล่า ชายหนุ่มถามเสียงอ่อนโยน พลางกุมมือหญิงสาวไว้อย่างห่วงใย
เปล่าค่ะแค่เครียดกับงานนิดหน่อย นั่นคือคำโกหก ทอแสงจะเครียดกับงานได้อย่างไร ในเมื่อทั้งวัน เธอแทบไม่ได้แตะงานที่กองสุมบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย
อืมถ้างั้นทานข้าวเสร็จ ผมพาแสงไปฟังเพลงต่อนะ จะได้หายเครียด ชายหนุ่มเสนอ พลางพารถคันงามไปอออยู่บนถนนที่สภาพการจราจรคับคั่งดั่งเช่นทุกเย็น
ไม่ดีกว่าค่ะวายุแสงอยากพักมากกว่า ทอแสงรีบปฏิเสธ เธอไม่อยากให้ผู้ชายที่อยู่ข้างๆดีกับเธอมากไปกว่านี้
ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ทอแสงได้แต่ถามตัวเองว่า ทำไมผู้ชายที่ออกจะเพียบพร้อมสมบูรณ์อย่างวายุถึงมาให้ความสำคัญกับเธอมากถึงเพียงนี้ ทอแสงเคยถามเขาหลายครั้ง หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาทุกครั้งไม่ต่างกันเลย เหตุผลของเขาคือ แสงเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนใคร ผมไม่เคยเห็นใครที่เป็นตัวของตัวเองอย่างแสงมาก่อน แสงจริงใจกับผม และผมก็รักที่แสงเป็นแบบนี้ นั่นออกจะเป็นคำยกยอปอปั้นที่ฟังดูเหมือนประโยคในหนังไทยไม่มีผิด
ทอแสงรู้สึกแปลกใจทุกครั้งที่ได้ยินคำตอบของเขา เพราะเธอแค่เป็นผู้หญิงธรรมดา ฐานะก็ธรรมดา ใช้ชีวิตก็ธรรมดา และไม่เคยคิดว่ามหัศจรรย์แห่งรักจะเกิดกับคนธรรมดาๆอย่างเธอได้ แต่แล้ววันหนึ่งก็มีผู้ชายหน้าตาดี พรั่งพร้อมด้วยคุณสมบัติผ่านเข้ามาในชีวิต และนับจากนั้น เขาก็แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ วายุคอยเอาใจใส่ดูแล เป็นห่วงเป็นใย และไม่เคยอารมณ์เสียใส่ทอแสงเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็คงจะจริงที่ว่า ความดีกับความรักมักเป็นคนละเรื่องกันทอแสงไม่ได้ต้องการเป็นคนพิเศษ หรือคนสำคัญของผู้ชายที่แสนดีอย่างเขา หากแต่ว่าเขาเองที่ดูเหมือนจะต้องการให้เธอเป็น
เย็นนั้น หลังจากทานข้าวเย็นมื้อสำคัญกับครอบครัวของวายุแล้ว วายุก็พาทอแสงมาส่งที่บ้าน บ้านที่แตกต่างจากบ้านของเขาโดยสิ้นเชิง บ้านของทอแสงเป็นบ้านสองชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ ทาสีฟ้าเทา ด้านหน้ามีเฉลียงที่เชื่อมถึงด้านข้างซึ่งยื่นไปในบ่อปลา ทอแสงมักใช้เวลายามว่างอ่านหนังสือหรือแม้แต่ปูผ้านอนเล่นที่เฉลียงด้านข้างเนื่องจากมีเนื้อที่กว้างกว่าด้านหน้า บริเวณตัวบ้านล้อมรอบด้วยต้นไม้ทั้งใหญ่และเล็ก ให้บรรยากาศสงบร่มรื่นอบอุ่น ส่วนบ้านของวายุนั้นเข้าขั้นเศรษฐี ทุกกระเบียดนิ้วของบ้าน ทั้งในและนอก ตกแต่งและใช้แต่ของราคาแพง ทอแสงรู้สึกราวกับว่าตัวเองหลงเข้าไปความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง กระนั้น เธอก็เป็นคนหนึ่งที่วายุพาเข้าออกบ้านหลังนี้เสมอ แต่ทอแสงมิได้รู้สึกยินดีกับมันเลย ตรงกันข้าม เธอรู้สึกอึดอัด และไม่เป็นตัวของตัวเอง ครอบครัวของวายุทุกคนดีกับเธอ และไม่ได้แสดงความรังเกียจที่เธอมิได้อยู่ในสถานะเดียวกับกับพวกเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกอึดอัดของเธอลดลง
ทอแสงล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มคลุมด้วยผ้าห่มสีฟ้าอ่อน นาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลาเกือบ 5 ทุ่ม แม่ของทอแสงเข้านอนหลังจากที่เธอกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย แม่ของเธอให้ความไว้วางใจกับวายุ ราวกับวายุจะมาเป็นลูกเขยของบ้านนี้ ทอแสงไม่ค่อยพอใจนักกับทีท่าของผู้เป็นแม่ เธอรู้สึกเหมือนกับว่าวายุจะต้องเข้ามามีชีวิตร่วมกับเธอในอนาคตเนื่องจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นชอบ ทอแสงพยายามข่มตานอน พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์แรกของเดือนธันวาคม และเป็นวันที่ครบ 3 ปีของการจากไปของใครคนหนึ่งซึ่งไม่เคยจางไปในความรู้สึกของเธอ
ติดตามตอนต่อไปครั้งหน้าค่ะ