3 กันยายน 2547 10:16 น.
TANOI_ZA
...อย่าคิดกลัวเรื่องความต่าง...
หากคุณคิดจะรักใครสักคน
ที่ไม่มีอะไรใกล้เคียงกัน
โปรดอย่าหาคำว่า "ลงตัว"
จากสรรพสิ่งใดๆ ที่ กำเนิดเกิดขึ้น
บนโลกสี น้ำเงิน กลมๆ ใบนี้
สิ่งที่คุณควรหาคือ
คนที่ คุณจะสามารถเข้าใจ
ในสิ่งที่เขาเป็นได้ต่างหาก
ไม่ใช่เสียเวลาตามหา
คนที่เขาจะเข้ากับคุณได้อย่างลงตัว
เพราะขนาดไม้ท่อนหนึ่ง
ที่ถูกตัดด้วยมีดแหลมคม
ให้ขาดออกจากกันเป็นสองท่อน
ยังไม่สามารถประกบกันได้สนิทดี
เมื่อเราคิดจะเอามันกลับมาต่อกันดังเดิม
...............................................
3 กันยายน 2547 10:14 น.
TANOI_ZA
มันคงจะดี... ถ้าชีวิตนี้ จะมีใครสักคน
ที่พร้อมจะผ่าน "ทุกอย่าง" ในชีวิตไปกับเรา
คนที่พร้อมเปิดอ้อมแขนอุ่น เพื่อโอบประคองไป โดยไม่คิดจะทิ้งกัน
เมื่อวันคืนที่โหดร้าย พัดผ่านเข้ามาเยี่ยมเยือน
......ไม่ใช่ให้ใครสักคนประคองใคร......
......แต่เป็นเราช่วยกันประคอง......
มันคงจะดี... ถ้าชีวิตนี้ จะมีใครสักคน
ที่พร้อมจะฟัง "สารทุกข์ สุก-ดิบ" ทุกครั้งที่เราอ่อนแอ
คนที่สามารถยิ้มระรื่นหรือร้องสะอื้นได้ทุกครั้ง
เพียงแค่เราสบประกายตา อันอัดแน่นไปด้วยวันเวลาที่พ้นผ่านมาร่วมกัน
......ไม่ใช่แค่คำหวานสวยหรู......
......แต่เป็นเรื่องราวทั้งชีวิตของเราสองคน ที่สัมผัสได้ทุกครั้งเมื่อ "มองตา"......
มันคงจะดี ถ้ายามที่ผิวหนังเรา ไม่ได้เต่งตึงอย่างทุกวันนี้
แต่กลับมีชายแก่คนหนึ่ง ที่เคยใช้ชีวิต "ผ่านร้อนผ่านหนาว" มาด้วยกันเกือบ "ครึ่งชีวิต"
คอยนั่งกุมมือกันและกัน คอยมองตากันด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากเมื่อ
"แรกรัก"
ความรู้สึกดีที่เกินกว่าคำว่ารัก...
คู่ทุกข์คู่ยาก ฉันคงเรียกเขาอย่างนั้นได้
......ไม่ใช่สักวันหนึ่ง ที่เราจะได้นั่งดูตะวันลับขอบฟ้าคู่กัน ด้วยความรู้สึก "ไม่เดียวดาย" ......
......แต่เป็นบั่นปลายชีวิต ที่เราจะได้นั่งเคียงข้างกันด้วยความรู้สึก "อบอุ่นหัวใจ" ......
มันคงจะดี ถ้า "ฝัน" นี้เป็นจริง เพราะนั่นหมายถึง
นับแต่นี้ไป ทุกวินาทีของชีวิต เราจะมั่นใจได้ว่า
แม้เราต้องจากกันเมื่อลมหายใจสุดท้ายหยุดริน
ก็จะไม่เสียใจที่ได้มีชีวิตอยู่กับใครสักคนอย่าง "คนธรรมดา"
......ไม่แค่แหวนเพชรเม็ดโตบนนิ้วนางข้างซ้าย......
......แต่เป็นเธอที่อยู่ด้วยกันจน "วินาทีสุดท้ายของชีวิต" ......
3 กันยายน 2547 10:11 น.
TANOI_ZA
ที่ไหนเนี่ย! อืมม์... เจ้านาย! " ฉันหันไปร้องทักเจ้านาย พรางส่ายหัวพองาม บิดขี้เกียจสุดฤทธิ์เท่าที่ฉันจะทำได้เพื่อไล่อาการมึนหัวออกไป ก่อนเริ่มสำรวจไปรอบๆ ตัว จนกระทั่งสายตาเจ้ากรรมที่อยากให้บอดขึ้นมาซะดื้อๆ ไปสะดุดเอาความหล่อสมาร์ท ที่ฉันเฝ้าฝันถึงตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา
"อ้าวคุณ! ยังอยู่อีกเหรอ สงสัยจะยังไม่เข็ด เพราะฉันรีบพูดไฟแล่บเมื่อเห็นชายแปลกหน้าที่อยากคุ้นเคยกำลังยืนมองฉัน ด้วยสายตานิ่งเฉย
เมื่อกี้ฉันคงไม่สบาย หูบอดตาหนวกไปสินะ ถึงได้ยินเจ้านายบอกว่า คุณเป็นประธานบริษัท MORE & MOST ตลกชะมัดเลยเนาะ! ประธานบริษัทดีๆ ที่ไหน จะใฝ่ต่ำรักความลำบาก อยากลองของแปลก เสล่อขึ้นรถประจำทางทั้งๆ ที่ไม่รู้แม้แต่สายที่จะต้องนั่งมาทำงานกันน่ะ ดูสิ! ฉันเลยเป็นลมเพราะความช็อคไปฟรีๆ เสียเวลาทำงานจริงๆ เลย ฉันพูดด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นเพียงฝันร้ายในรอบ 20 กว่าปีที่ผ่านมา พร้อมกับหันไปขอความคิดเห็นจากชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทที่ตอนนี้มองฉันด้วยสายตาที่ยากเกินเข้าใจ
ก็ประธานบริษัทเราไงล่ะ ยายประกายชล บอสฉันพูดเสียงเข้มและดังกังวานเต็มรูหูฉันได้หลายอาทิตย์ พรางกอดอก ขึงตาใหญ่เท่าไข่ห่านจ้องฉันด้วยแววตา ที่ทำให้ฉันกลัวจนอยากมุดหัว กลับเข้าไปนอนเล่นในท้องแม่อีกสักปี เพื่อหลบระเบิดลูกเบ้งนี้
ไม่เป็นไรครับคุณดุสิต เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ผมไม่ถือหรอก เขาหันไปพูดกับเจ้านายฉันด้วยน้ำเสียงของผู้มีอำนาจสูงกว่า ก่อนเบนหน้านิ่งไร้อารมณ์ อย่างที่เราเจอกันวินาทีแรกมาทางฉันพรางอธิบายด้วยน้ำเสียงแบนราบเป็นโฟโมตส์ขนาดกระทัดรัดของฉันเอง
วันนั้นรถของผมเสีย แถวป้ายรถประจำทางที่คุณยืนอยู่ และบังเอิญว่าวันนั้น ผมจะรีบไปเตรียมงานกับเลขา เพื่อเข้าร่วมประชุมตอนเช้าด้วย... เขายังพูดไม่ทันจบดี ความสงสัยปนอารมณ์บ้าๆ บางอย่างทำให้ฉันเอ่ยปากขัดเขา
แล้วทำไมไม่ขึ้นรถแท็กซี่ล่ะ
เธอก็ฟังให้จบก่อนซิประกายชล มัวแต่พูดขัด แล้วเมื่อไรเธอจะฟังจบล่ะ
ผมก็ขึ้นไม่เคยขึ้นเหมือนกันครับ พอดีผมเห็นคุณใส่เครื่องแบบพนักงานของบริษัทเรายืนอยู่ตรงนั้น ผมจึงคิดว่า คุณน่าจะไปทำงานที่บริษัทแน่ๆ เลยเข้าไปขอความช่วยเหลือจากคุณ
แล้วไงคะ ฉันเริ่มเบื่อที่จะฟังคำอธิบายด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างนั้นเหลือทนแล้ว
เอ้อ! วันนั้นผมยังไม่ได้ขอบคุณ ที่คุณช่วยพาผมมาส่งที่บริษัทเลย ขอบใจ นะ เอาไว้ผมมีโอกาสเมื่อไร จะตอบแทนคุณให้สมกับที่คุณช่วยประธานบริษัทไว้เลย ขอบใจบ้างล่ะ ส่งบ้างล่ะ! แบ่งชั้นกันเหลือเกินนะ เหอะ! บ้าสินดีเลย แล้วจำไว้ด้วยว่า ฉันก็ไม่ได้เป็นสารถีให้ เจ้าชายใจกาแฟเย็นอย่างคุณหรอกนะ อยากจะตะโกนกรอกหูกลับไปเหลือเกิน เพราะอารมณ์จี๊ดๆ ที่สร้างความรู้สึกปวดหนึบให้อกข้างซ้ายนี่ มันร่ำร้องจะวิ่งหนีเขาไปจากตรงนี้ซะให้ได้ แต่ก็ทำได้แค่ ปั้นหน้านิ่งเฉยสนิทกลับไปอย่างเป็นทางการ แถมยังพูดจาแบบที่ฉันไม่ชอบให้ใครทำเลยกับเขาอีกต่างหาก
คงไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ ดิฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ ที่ท่านประธานยังอุตส่าห์ ขอบใจ พนักงานระดับล่างอย่างดิฉัน ดิฉันขอรับไว้แค่น้ำใจก็ซึ้งเกินพอแล้ว ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอึดอัดหัวใจ แรงอะไรบางอย่างบีบหัวใจแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฉันยิ่งพูดอะไรที่ตรงข้ามใจ
คนระดับอย่างท่านประธาน ไม่ควรเสียเวลาอันมีค่า เพื่อตอบแทนเศษน้ำใจของพนักงานบริษัทอย่างฉันหรอกค่ะ เป็นครั้งแรก ที่ฉันรู้สึกเหมือนคำพูดของตัวเอง แปรสภาพเป็นเสมือนมีดคมที่กรีดลึกลงหัวใจฉัน ทุกครั้งที่แต่ละคำพรั่งพรูออกมา โอ๊ย! ไม่ไหวแล้วโว้ย! มันอารมณ์ไหนกันเนี่ย! นี่ฉันเป็นบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย! พูดบ้าอะไรของเธอประกายชล! พูดแล้วมันได้อะไรกัน!
ถ้าท่านประธานไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวนะคะ สวัสดีค่ะ ไม่เข้าตัวเองเลย ให้ตายเถอะ! ทำไมฉันต้องพูดจาหมาไม่แดกกับคนที่ฉันเฝ้าคิดถึงมาตลอดอย่างนั้นด้วย ไอ้ปากโรคจิตนี่ก็เป็นต๊องอะไรของมันเนี่ย! พูดอะไรตรงข้ามใจมันยกประโยค ไม่ได้ฟังฉันเล๊ย!.. แทนที่คิดได้ขนาดนั้น หน้าเรียวของฉันที่เชิดอยู่เมื่อครู่ จะลดระดับลงบ้าง แต่มันกลับเชิดสูงต่อไป แถมสะบัดหนีสายตาตื่นตกใจของเขา ที่พยายามควบคุมให้มันกลับมาเฉยชาเช่นเดิม ไปทางเจ้านาย ผู้เปิดเผยเรื่องราวชวนร้องไห้นี่ เมื่อเวลา 8 นาฬิกา 30 นาที ของวันเดียวกัน
เจ้านายคะ! เดี๋ยวชลจะไปเตรียมข้อมูลให้ที่ห้อง! กรุณาเร็วๆ ด้วยนะคะ หนูไม่ชอบรอใครนาน!
เอ่อ.. ครับ! แล้วผมจะรีบไป ฉันเดินออกมาจากห้องนั้น โดยไม่สนใจหน้าตาฉงนของเจ้านาย เพราะพฤติกรรมแปลกออกแนวบู๊ล้างผลาญของฉัน ที่ปะทะวาจาแข็งกระด้างใส่ประธานบริษัทคนโปรดของเขา (ถึงแม้ว่า ปกติฉันจะพูดไม่เพราะ แต่ก็ไม่เคยกระด้างใส่ใครจนไม่แหกหูแหกตาขนาดนี้)
เอ่อ.. ฮะๆๆ ตกลง ผมเป็นเจ้านายมันหรือมันเป็นเจ้านายผมกันแน่เนี้ย เจ้านายฉันหันไปพูดติดตลก เพื่อเอาใจชายร่างหนุ่มร่างสูงที่ยืนหัวโด่ อยู่ในห้องกับเขาอีกคนอย่างเกรงใจ แต่รู้สึกว่า ผู้ที่บอสหวังจะหาแนวร่วมด้วยนั้น กลับไม่กระดิกตัวให้รู้สึกถึงอารมณ์โกรธที่คนระดับไอตะวันควรมี เมื่อถูกพนักงานระดับล่างพูดจาเสียมารยาทด้วยสักนิด ร่างสมาร์ทกลับนิ่งเหม่อราวกับไร้จิตใจ เหตุมาจากหัวใจอมชมพูของไอตะวัน ได้ลอยตามติดมากับฉัน ผู้ที่ทิ้งความรู้สึกปวดหนึบหัวใจไว้ให้เขาก่อนจากมา (อุ้ย! เขินจังเลยอ่ะ ผู้อ่านจะคิดว่าฉันเล่าเรื่องเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าเนี้ย) (แสนซน: ชัวร์เลย! คิดแล้ว! คิดแน่ๆ เพราะอย่างน้อย ฉันคนหนึ่งที่คิดไปแล้ว! )
นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาหญิงอย่างฉัน (อย่าเพิ่งตื่นตกใจ! สงสัยว่า นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาหญิงมันมีด้วยหรือ เพราะมันไม่มี หรือถ้ามีจริง! ฉันว่า มันคงจะเป็นสาขาหนึ่ง ที่บูมในหมู่ผู้ชายตาดำๆ ซื่อปนเชื่อง ที่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมหญิง จนคุณนักอ่านต้องรู้จักแล้วล่ะค่ะ) ไม่สามารถหาคำอธิบาย ทฤษฎีการแตกกระจุยของต่อมสะดิ้งที่ซ่อนอยู่ ณ ลืบไหนของจิตใจฉันเอง ถึงขนาดที่ผู้ป่วย ซึ่งก็คือ ฉัน! มีอาการระห่ำแตก แสดงท่าทีต่างขั้วกับใจจริง กระด้างกร้าวร้าวกับผู้มีอิทธิพลกับจิตใจอย่างไอตะวัน ไปแบบนั้น
ฉันควรจะดีใจ ที่ได้เจอกับ เขา คนที่ฉันเฝ้าหามาตลอด 2 อาทิตย์สิ! ไม่ใช่ทำตัวบ้าบอ! สนับสนุนหน้าตาเอ๋อๆ ของตัวเองแบบนี้! โอเค! ฉันยอมรับว่า ผิดหวังอยู่บ้าง..นิดหน่อย เอ่อ ก็มากโขเหมือนกัน นั่นแหละ! มันก็แค่ผิดหวังที่ได้รู้ว่า เขาที่เฝ้าคิดถึงกลายเป็นคนไกลเกินรอ เป็นคนที่ฉันไม่มีสิทธิ์คิดถึง ไม่มีสิทธิ์หวัง เป็นใครก็ไม่รู้ที่ฉันไม่ควรตีสนิทด้วย
เวลาเพียงสองอาทิตย์ ที่ฉันมีแต่เขาในหัวใจ เฝ้าคิดถึงแทบจะกอดเพื่อนจนกระดูกแหลก เฝ้ารอด้วยความหวังที่ว่า เราจะมีโอกาสได้สนิทกันมากกว่าวันนั้น มันคงไม่มีค่ามากพอ ที่จะแลกกับเสียงหัวเราะในวันนั้นให้กังวาลอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่ฉันละเมอมาฝ่ายเดียวตลอด 2 อาทิตย์ แลกได้เพียง แววตาเฉยชา น้ำเสียงวางอำนาจ ใบหน้าเรียบเฉย ท่าทางเย็นชาราวกับไม่เคยมีช่วงชีวิตเกี่ยวข้องกันมากกว่าเรื่องงาน (แสนซน: ฉันตอบได้ค่ะ ว่าประกายชลทำไมถึงบ้าได้ขนาดนั้น ยายนี่กำลังน้อยใจ เลยพูดจาประชดไม่เข้าเรื่องไงคะ คนเราเมื่อผงเข้าตาตัวเอง มักโง่งี่เง่าไม่รู้เรื่องว่าตัวเองเป็นอะไร จะแก้ยังไงเสมอ)
เหตุการณ์สะเทือนประสาทส่วนไฮเปอร์ที่ขึ้นเมื่อเช้านี้ กระแทกจิตใจ จนฉันกลับมานั่งเอ๋อ เหม่อลอย ไม่รับรู้เรื่องราวอะไร แม้แต่เรื่องนินทาชาวบ้าน ที่ฉันสุดจะชอบฟังแต่ไม่ชอบร่วมนินทา ก็ไม่สามารถดึงสติทึบๆ ให้ตื่นตัวได้ตลอดทั้งวัน ทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง ได้แต่เป็นเส้นๆ เล่นเอาเจ้านายด่าเปิงอารมณ์เสียใส่คนทั้งแผนกเพราะฉันคนเดียว
ประกายชลใบเสนอราคาประมูลของบริษัท WORLD ที่ผมให้ไปถ่ายเอกสารอยู่ไหน เอาเข้ามาให้ผมด้วย เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะ ที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษกรีดเป็นฝอย แฟ้มเอสาร โดยปราศจากการแตะต้องดังขึ้นผ่านระบบ Intercom
ชล..ชล! ชล! นี่อยู่หน้าห้องหรือเปล่าเนี่ย หรือว่าไปนั่งฟังคนอื่นเขานินทาเรื่องชาวบ้านอีกแล้ว ชล! เอามาให้ผมด่วนเลยนะ! ท้ายน้ำเสียงของเจ้านายบ่งบอกให้รู้ ถึงอาการรีบร้อน หากแต่อวัยวะที่เคยปราดเปรียว กลับหนักอึ้งเกินตอบโต้อย่างเคย ฉันรวบรวมกำลังใจอยู่นาน กว่าจะลุกขึ้นหอบฝอยกระดาษที่เกลื่อนโต๊ะไปหาเจ้านายในห้อง
หนูเผลอเอาไปใส่เครื่องทำลายเอกสาร ขอโทษด้วยค่ะ
เธอทำอย่างนี้ได้ไงประกายชล! เอกสารสำคัญแบบนี้ทำไมไม่รักษาให้ดี! ดูสิเอากลับมาเป็นเส้นเลย! ตายเลย! แล้วอย่างนี้ผมจะไว้ใจคุณได้ไงเนี่ย น้ำใสๆ ร่วงเผาะลงบนมือฉัน อย่างที่ฉันไม่ทันได้ห้าม
เธอร้องไห้ทำไม! ทำผิดแล้วถูกดุแค่นี้! จะร้องไห้แล้วหรือไง ผมว่าเราคงต้องมาตกลงกันใหม่แล้ว ไม่งั้นอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ฉันเริ่มสะอื้นไห้ออกมา ทันทีที่เจ้านายพูดประโยคเมื่อครู่จบ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องร้องไห้ขนาดนี้ด้วย ฉันไม่ใช่คนที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับฟังคำต่อว่า ฉันรับได้เสมอ ถ้าอย่างนั้นฉันกำลังร้องไห้เพราะอะไรกัน
คือ เธอไม่ต้องร้องไห้นะ คือ ผมแค่อยากจะสอนคุณเท่านั้น เรื่องแค่นี้ เดี๋ยวคุณเอากลับไปพิมพ์หรือโทรติดต่อบริษัท WORLD มาส่งผมที่โต๊ะก็ได้ แต่คุณต้องขอโทษและให้เหตุผลเขาดีๆ นะ ฉันเริ่มปาดน้ำตาที่ไหลพรากเป็นสายธารไม่หยุด เมื่อมองอะไรไม่เห็น
ไม่ได้ว่าอะไรแล้วไง หยุดร้องสักทีสิ เดี๋ยวคนอื่นก็คิดว่าผมรังแกลูกน้องหรอก ผมให้ทำแค่นี้เอง เอากลับไปทำซะนะ ผมไม่ได้ว่าอะไรแล้ว ฉันเอื้อมมือไปกอบเอากองกระดาษที่วางไว้บนโต๊ะเจ้านายมากอด หากแต่ยังยืนสะอึกสะอื้นไม่ยอมเดินไปไหน แถมยังดังกว่าเดิมจนไทยมุงนอกห้องที่มองเข้ามาแค่ 3-4 เมื่อครู่ พากันล้อมเป็นวงเพิ่ม 10 เมื่อฉันยืนสะอึกสะอื้นดังสะนั่น
เจ้านายของฉันลุกขึ้นอย่างหัวเสีย เมื่อฉันยังไม่มีทีท่าว่าจะเดินไปไหน ปาดสายตาคมกริบไปที่ประตูห้องที่แง้ม เพื่อสบสายตานับ 10 คู่ที่พยายามสอดส่องเข้ามาภายในห้อง ก่อนเดินตรงไปกระชากประตูเปิดแล้วร้องดังลั่นจนคนทั้งแผนกสะดุ้ง
โว้ย!!!!!! นี่มันอะไรกันวะ! ดุก็ไม่ได้!
หลังจากเจ้านายเดินออกจากห้องไปไม่นาน ขาที่แข็งอยู่เมื่อครู่ก็อ่อนยวบทรุดลงที่กลางห้องทำงานส่วนตัวของบอส ซึ่งตอนนี้ไร้เงาของใครมากวนใจ และเริ่มคิดเรื่องของชายหนุ่มบนรถประจำทางกับประธานบริษัทหน้ายักษ์อีกครั้ง ได้แต่นึกโกรธใจตัวเองที่ไม่รักดี รู้ทั้งรู้ว่าเขาอยู่เกินเอื้อม แต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่เชื่อฟังสมอง ดื้อดึงคิดถึงเขาไม่เลิก แถมตอนที่เผลอหลับ (แสนซน: นี่ยังมีอารมณ์หลับลงด้วยนะ) ฉันยังแอบฝันว่า มีครอบครัวที่แสนอบอุ่นกับเขา (แสนซน: นี่ขนาดห้ามใจตัวเองนะ ประกายชลยังเพ้อได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้ นี่ถ้าปล่อยเลยตามเลย พี่ท่านไม่ฝันว่า มีเหลนกับเขาเลยเหรอเนี้ย)
หลังเลิกงานฉันพยายามลากสังขารไร้วิญญาณมาจนถึงลานจอดรถอย่างปลอดภัย ฉันเริ่มคิดเหลวไหล อยากเบี้ยวนัดกับเพื่อนสนิทสมัยมัธยม ที่ร้านไอศกรีมเจ้าประจำเสียดื้อๆ เพราะอารมณ์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยนี้มันคงจะผิดสังเกตจนมันจับได้ หากฉันต้องไปรับตาเค้กไปด้วยกันนี่สิ ซึ่งตาเค้กรู้ดีเรื่องนัดครั้งนี้ หากเบี้ยวฉันจะต้องชดใช้กรรมครั้งนี้ด้วยเงินเดือนทั้งปีแน่ๆ ทำให้ฉันจำใจยอมถูกเพื่อนด้วยอารมณ์เซ็งสุดๆ
ทันทีที่ฉันเดินมาถึงที่ลานจอดรถ เสียงดังจากที่ไหนสักแห่งก็ตะโกนตามหลังมาลิบๆ หากฉันกลับเหนื่อยหน่ายเซ็งชีวิตเกินกว่าจะสนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง อยากหันไปมองเสียงทุ้มนุ่มนั้นเหมือนกัน เพราะท่าทางคนพูดน่าจะหน้าตาดีไม่แพ้ตาประธานบริษัทกาแฟเย็น หากใบหน้าเรียวเล็กของฉันมันกลับขยับไม่ไหว ทำได้แค่มองตรงไปที่ไอ้กระป๋องน้อยคันสีเหลืองอ่อนเพราะถูกแดดเลียมานานปีนิ่งอย่างไร้อารมณ์ เสียงนั้นยังคงดังอยู่ไม่ขาด และทวีความดังขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเจ้าของน้ำเสียงนั้นกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นทุกทีๆ
เฮ้อ!... ฉันเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี้ย
เมฆ! เมฆ! รอพี่ด้วย! มีเรื่องจะปรึกษานะ หน่อย คราวนี้เป็นเสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังขึ้นมาบ้าง คุ้นมากชนิดที่ทำให้สติสตึๆ ของฉันเกิดอาการรับรู้เฉียบพลันและสั่งการให้ขาที่ก้าวออกไปอย่างละเหี่ยใจเมื่อครู่ชะงักนิ่ง ใบหน้าที่หนักราวกับหมีสัก 10 ตัวขี่คอฉันเมื่อครู่ กลับเปลี่ยนเป็นเบาหวิวปลิวลม สามารถหันกลับไปมองที่ต้นเสียงได้ราวปาฏิหารย์ ฉันพยายามอ้าปากอยู่หลายครั้งเพื่อกล่าวทักทายตามมารยาท แต่ปากมันก็หนักเกินกว่าจะเผยอเอ่ยประโยคง่ายๆ เพียงไม่กี่คำออกไป เพียงเพราะความว่า เกินเอื้อม มันค้ำคออยู่ คนอย่างเขาคงไม่อยากเสวนากับพนักงานกระจอกอย่างฉันนักหรอก มันเสียศักดิ์ศรีท่านประธาน
คุณประกายชลกำลังจะกลับบ้านเหรอครับ โอ๊ย! พ่อสุภาพบุรุษ! มารยาทงามเหลือเกิ๊น! ฉันเสียมารยาทไปตั้งขนาดนั้น ยังอุตส่าห์ปั้นหน้ามารยาทักกันได้อีกนะ
ให้ผมไปส่งได้หรือเปล่า โอ๊ย! ท่าทางหูฉันคงเพี้ยน จากอาการชาที่เจ้านายโวยวายเมื่อกลางบ่าย แต่สายตาที่เขามองมาที่ฉันบอกให้รู้ว่า ฉันไม่ได้หูฝาดเป็นแน่แท้
ตอบแทนเศษน้ำใจน่ะเหรอคะ คงไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ! คนอย่างฉันมีปัญญากลับเองได้
ปัง! โครม!
โอ๊ย! นี่คือเสียงร้องของยายเปิ่น ที่อยากจะโต้ตอบเจ้าชายกาแฟเย็น ด้วยวาจาและท่าทางเย็นชา จนลืมมองทาง เป็นเหตุให้ชนป้ายห้ามเลี้ยวเข้าเต็มดวง หน้าขมำขาแทบขวิดหัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ เสียงของท่านประธานไอตะวันดูร้อนร้นชอบกล เมื่อก้าวขาพรวดเดียว มานั่งอยู่ข้างฉัน ที่นอนกองกับพื้นและก้มหน้าสบกระเป๋านิ่งด้วยความอาย
คุณ! ทำไมไม่ลุกขึ้นล่ะ! นอนอยู่ทำไม สกปรกนะครับ! เสียงทุ้มที่ดูท่าจะอายุอ่อนกว่าท่านประธานดังตามติดๆ ฉันล่ะอยากจะสวนกลับไปว่า ถ้าไม่เต็มใจสมเพช จะเก็บปากไว้นิ่งๆ ก็ไม่มีใครจุดธูปเรียกหรอกนะ (แสนซน: ฉันว่า ประกายชลก็ปากเสียพอกันแหละค่ะ มากกว่าซะด้วยซ้ำ)
เจ็บตรงไหนบ้างไหมครับ เสียงนี้ถึงแม้จะนุ่มนวล แต่ช่างบาดความรู้สึกน้อยใจของฉันให้เจียนขาดเข้าทุกที ทำไมเขาต้องมาทำดีกับฉันด้วย ทั้งๆ ที่เมื่อเช้านี้ สิ่งที่เขาทำ มันกรีดความรู้สึกดีๆ ของฉันที่ให้เขาให้เปื่อยบางแทบขาดอยู่แล้ว
ฉันสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ มือของชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉัน พยายามจับนู่นแตะนี่เพื่อสำรวจเครื่องจักรของบริษัท หากแต่ฉันกลับไม่ยอมรับความหวังดีใดๆ แกล้งลูบมือผ่านทุกที่ ที่เขากำลังจะเอื้อมแตะ ดูเหมือนเขาจะรู้ตัว จึงลุกขึ้นยืนขึงหน้าบึ้งปั้นหน้าตึง แต่ยังคงยื่นมือมาให้ฉัน
ไม่เป็นไรค่ะ! ขอบคุณ ฉันแข็งใจสะบัดหน้าหนีมือนุ่มที่เคยกุมไว้เมื่อวันนั้น เพื่อไปเก็บข้าวของที่กระจายเกลื่อนรอบตัว
ทันทีที่ลุกอาการมึนจากความดันต่ำก็ทำพิษ เล่นเอาฉันขาเป๋ เซถลาไม่เป็นท่าไปชนเข้าที่ท้ายรถคันโก้สีดำวาว ชายร่างสูงที่พยายามยื่นความอนุเคราะห์ลูกนกตกรังเมื่อครู่ วิ่งเข้ามาจับมือฉันไว้อย่าลืม
ฉันเบิกตาโตด้วยความตกใจ ตกลงที่อุตส่าห์ใจแข็ง! ไม่ยอมจับมือเขาอยู่ตั้งนานสองนาน! ล้มเหลวลงง่ายๆ เพราะตาประธานหน้าซื่อตื่นตระหนกที่ฉันถลาน่ะเหรอ ทำไมตาคนนี้ถึงได้พยายามเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับฉันด้วยนะ! ไม่เข้าใจเลย!
ปล่อยมือฉันได้แล้วมั้งคะ! ฉันกำลังรีบ! เมื่อฉันหายจากอาการตกตะลึง ต่อมสะดิ้งที่เพิ่งปะทุไปเมื่อเช้าก็เดือดพล่าน สั่งการให้ฉันพยายามดึงข้อมือเล็กกระจ้อยร่อยออกจากมือหนาแข็งแรง ที่ใหญ่ขนาดทาบทับใบหน้าเรียวเล็กของฉันสนิทได้สบายๆ
ให้ผมไปส่งดีกว่าไหมครับ น้ำเสียงทรงอำนาจต่างจากที่ฉันล้มเมื่อครู่ บีบบังคับฉันพร้อมกับความแข็งแกร่งของกุญแจมือ (กุญแจมือจริงๆ เพราะใช้มือจับเลย) ที่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดบริเวณข้อมือบางของฉัน หากบ่งบอกให้รู้ว่า เขาจะไม่ยอมปล่อยมือฉันแน่ๆ จนกว่าจะได้คำตอบที่ท่านประธานพอใจ
ใช่! ผมว่า ให้พี่ผมไปส่งเถอะ! ท่าทางคุณดูเอ๋อๆ นะ เกิดเซ่อซ่าจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะยุ่ง อ๋อ! น้องชายหรอกเหรอ! ทำไมการพูดจาของพี่น้องคู่นี้คล้ายกัน แต่ปากหมาไม่เหมือนกันเลยนะ! ฉันเชิดตั้งคอแข็งได้ไม่นาน หางตาเฮงซวยดันเหลือบไปสบสายตาอ้อนวอนแกมของชายร่างสูงที่พยายามคุมเกมส์ฉันอยู่จังเบ่อเร่อ เวรกรรม! ซวยแล้วไง! จะหันไปแลทำไมวะเนี่ย!
รถฉันล่ะ! จะเอาไว้ที่นี่หรือไง! ฉันไม่ได้ร่ำรวยมีรถหลายคันหรอกนะท่านประธาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ทำงานสาย รายได้คุณหายไปหลายล้านไม่รู้ด้วยนะ
เดี๋ยวผมไปรับคุณที่บ้านพรุ่งนี้เช้าเอง เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นระหว่างวันวะเนี่ย! ทำไมตาประธานนี่เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้! แถมยังดูอารมณ์ดี ทำตัวเป็นกันเองต่างกับเมื่อเช้าอย่างกับหน้าเท้ากับหลังมือ!
รถคุณอยู่ไหนล่ะ! ฉันยังคงตีหน้าบึ้งเหมือนไม่พอใจ กระชากเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อยพอให้น่าเอ็นดูถามเขา เมื่อไม่มีทางเลือก (จริงๆ ก็เลือกได้ แต่ใจมันอ่อนไปแล้วนี่)
ก็ที่คุณยืนพิงอยู่นี่ไง เชิญครับ! ชายเจ้าของรถยนต์ราคาเหยียบหลายล้านกดรีโมท คอนโทรล รถยนต์เพื่อปลดล็อค ก่อนคลายมือหนาที่เกาะกุมมือฉันออกช้าๆ ช้าจนฉันเริ่มขมวดคิ้วหนาที่เมื่อครู่คลายลงไปบ้าง ขึ้นมาเป็นปมอีกครั้ง เขาจึงปล่อยออกอย่างไม่ใยดี ก่อนเดินไปฝั่งคนขับโดยไม่หันมามองฉันอีกเลย ตกลงตานี่! เต็มใจพาฉันไปส่งไหมเนี่ย! ฉันเดินฟึดฟัดอย่างหงุดหงิดกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนยากที่จะเข้าใจของเขาตามขึ้นรถ เมื่อเห็นประตูฝั่งที่นั่งของฉันแง้มออกเล็กน้อย จากฝีมือของผู้เป็นเจ้าของรถ ที่อุตส่าห์เอื้อมมือมาเปิดประตูให้
เมื่อปิดประตูรถยนต์ด้วยน้ำหนักมือที่ไม่แรงมากนัก แต่ก็พอให้เขาหันมามองฉันด้วยแววตาผู้ใหญ่ดุเด็กเรียบร้อย ฉันจึงเริ่มเล่นสงครามประสาทกับเขา โดยการเบือนหน้าออกนอกกระจกและนั่งนิ่งอย่างไม่คิดจะพูดอะไร รถคันหรูไม่ยอมขยับสักครู่ใหญ่ ก่อนขยับออกจากที่ หลังจากได้ยินเสียงถอนหายใจของคนที่นั่งด้านข้าง (ไอเมฆน้องชาย ไอตะวัน: แล้วผมล่ะ เขาเอาผมไปไว้ไหน เขาคุยกันเหมือนไม่มีผมยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ แล้วนี่ยังลืมผมไปเลยอีกเหรอ) รถแล่นผ่านหน้าน้องชายเขาไปอย่างไม่มีทีท่าจะจอดพูดคุย ภาพที่ฉันเห็นคือ ชายผู้น้องของเขายืนทำหน้างงปนเอ๋อ เกาหัวแกรกๆ อย่างคนที่ถูกลืม อยากจะร้องทักท่านประธานจอมวางอำนาจว่า ลืมน้องชายหรือเปล่าคะ หรอกนะ ถ้าไม่ติดที่อารมณ์เดาไม่ถูกของเขากับปากเพิ่งหัดเสียของน้องชายเขาล่ะก็
เราสองคนเงียบกันสนิท ชนิดที่ฉันไม่กล้าหายใจ เพราะกลัวเขาจะเอาไปถอดรหัสออกมาเป็นความรู้สึกส่วนลึกในใจฉัน ก็เขาเล่นไม่ยอมเปิดเพลงหรือวิทยุอะไรสักอย่าง ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมเฉยตั้งพักใหญ่ จนฉันเริ่มทนไม่ไหวกับสงครามเงียบเป็นเป่าอากาศนี่ ยอมเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน
นี่! คุณ!
คือ... ผม! โธ่เว้ย! นั่งเงียบมาตั้งนานดันไม่พูด พอฉันจะพูด ก็ดันจะพูดมั่ง! เดาใจยากจริงๆ เลย!
เชิญคุณพูดได้เลยค่ะ เพราะฉันจะบอกให้คุณพูดนั่นแหละ บรรยากาศอึดอัด! ฉันไม่ชอบ! ฉันเริ่มเบนหน้ามาทางเขาหลังจากที่รวบรวมสมาธิอยู่นาน ชายร่างสูงกำพวงมาลัยนิ่งและมองตรงไปข้างหน้า ทั้งๆ ที่รถจอดเกือบสนิทบนถนนที่คลาคลั่งไปด้วยรถหลากสไตล์นับร้อย ไม่นานจึงมีเสียงจริงจังพอได้ยินกันสองคนดังขึ้น
ผม... ไม่อยากให้คุณเข้าใจผมผิดเรื่องเมื่อเช้า
เรื่องไหนล่ะคะ ฉันจำไม่ได้แล้ว มันหลายเรื่อง!
ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดปัง เรื่องที่ผมเป็น ประธานบริษัท แต่
โอ๊ย!... ฉันไม่ได้โกรธคุณด้วยเรื่องแค่นั้นหรอก!
อ้าว! งั้นคุณโกรธผมเรื่องอะไรล่ะครับ คนอะไรวะเนี่ย!
เมื่อเช้าทำอะไรไว้บ้าง! จำไม่ได้เลยเหรอคะ!
ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนี่ครับ! แค่พูดอธิบายเรื่องวันนั้น ผมไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจตอนไหน คุณต่างหาก! ที่พูดจากระแทกแดกดันกันอยู่นั่นแหละ
ฉันไม่เชื่อหรอกว่า คุณไม่ได้ตั้งใจทำตัวเหินห่างกับฉันแบบนั้น! รังเกียจพนักงานต๊อกต๋อยอย่างฉัน! เลยไม่อยากให้คนอื่นเห็นก็บอกมาเถอะ! ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังอย่างนี้!
ผมนี่เหรอเย็นชา ผมเปล่าเย็นชานะ
โอ๊ย! อมพระมาทั้งโบสถ์ฉันยังไม่เชื่อคุณเลย ไม่ต้องมาแก้ตัวกันน้ำขุ่นๆ เลย ทุกอย่างมันชัดเจนหมดแหละ
คุณเข้าใจผิดนะ เมื่อเช้าที่ผมไม่กล้าพูดอย่างคนเคยคุยกัน เพราะผมกลัวว่าคุณจะรังเกียจผมต่างหากล่ะ
โอ๊ยคุณ! ไม่ต้องมากลัวฉันรังเกียจหรอก เพราะฉันน่ะ! คิดถะ!... ถะ! ถะ! ถูกต้องแล้วคร้าบ! โอ๊ย! งี่เง่าสิ้นดีเลย! ยายเบอะ! ไม่มีอะไรที่มันดีกว่านี้แล้วหรือไงยะ! ถึงได้ไหลไปแบบนั้นน่ะ!
ฮึ! ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ คุณนี่ตลกอย่างที่ผมคิดเลยนะ พ่อรูปหล่อหัวเราะจนตาหยีหน้าแดงแจ๋ กับอีแค่ฉันพูดเลียนแบบประโยคยอดฮิตรายการดัง พร้อมลอกท่าทางมาด้วยแค่นี้เอง
แล้วที่คุณว่าคิดถูกน่ะ คิดอะไรถูกเหรอครับ บอกผมได้ไหม ฉันเสมองออกไปนอกตัวรถเรื่อยเปื่อย แกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับไม่ได้ยินประโยคคำถามชวนใจระทึกของเขา หากภายในจิตใจนั้น ร้อนร้นทั้งเรื่องความในใจที่เกือบหลุดออกไป แล้วยังเรื่องหาคำตอบ ที่จะพออ้อมแอ้มถูไถผ่านไปได้อีกเรื่องหนึ่ง แล้วจะตอบยังไงดีเนี่ย! รอดเรื่องแรก แต่ดันกลายเป็นว่า ขุดหลุมฝั่งตัวเองแท้ๆ เลย ยายชลเอ๊ย!
ในทีสุดอาการดื้อปนด้าน ที่ทำเป็นไม่ได้ยินประโยคคำถามเมื่อครู่ ทั้งๆ ที่เขาออกจะเน้นชัดทุกคำ ราวกับรู้ว่าฉันเฉไฉตอบอะไรเรื่อยเปื่อย ก็ทำให้เขายอมแพ้ เปลี่ยนเรื่องคุย
มีอีกเรื่องหนึ่ง! ฉันสะดุ้งโหยง เมื่อเขาเริ่มอ้าปากพูดอีกครั้ง หลังจากที่เรานั่งเงียบไปอึดใจ
ผมไม่เข้าใจที่คุณพูดเหมือนว่า เราไม่ควรคุยกันอย่างสนิทสนม ทำไมเราจะต้องทำตัวห่างเหินกันแบบนั้น! ฉันหันไปมองหน้าเขา เพื่อหาความหมายถูกต้อง ของประโยคที่ทำให้จังหวะหัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้นเมื่อครู่
คือ.. ผมหมายความว่า เราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ ถ้าไม่คิดถึงฐานะทางการงานของเรา" ฉันนั่งนิ่งอึ้งจมอยู่กับความคิดตัวเองอยู่เป็นพัก เพราะไม่รู้ว่า จะดีใจที่เขาอยากสนิทสนมกับฉัน หรือจะเสียใจที่เขาคิดกับฉันแค่เพื่อน
เมื่อฉันไม่มีท่าทีจะให้คำตอบเขา ชายที่มากระชากหัวใจของฉันกลับไปอีกครั้ง จึงเริ่มพูดต่อ
"ที่สำคัญ ผมไม่ชอบให้ใครดูถูกตัวเอง น้ำใจที่ดูถูกตัวเองว่า เศษน้ำใจ สำหรับผมแล้วมันน่าประทับใจที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกตัวเองเลยนะครับ"
ฉันว่า เขาคงต้องการพูดปลอบใจฉัน มากกว่าต้องการสื่อความหมายอย่างอื่นที่ลึกซึ้งกว่านั้น ถึงจะแค่ปลอบใจ แต่มันก็ได้ผล เพราะตอนนี้ฉันนั่งแข็งเป็นหิน เบี่ยงหน้าออกนอกหน้าต่าง เพราะไม่อยากให้เขาเห็นหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกนี่ จนฉันเริ่มปรับสภาพผิวกลับมาสู่ปกติ จึงเริ่มพูดกวนเขา ราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรกับประโยคเมื่อครู่
"ประทับใจที่ฉันพาขึ้นรถเมล์ผิดน่ะเหรอ" เราสองคนหันมาสบตากันอย่างรู้ทัน เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเกรงใจใคร เสียงหัวเราะที่ดังประสานกันนั้น ช่างแตกต่างกับเหตุการมึนตึงเมื่อเช้านี้ราวกับว่า เราสองคนไม่เคยเย็นชาใส่กัน
"จะให้ผมไปทางไหนต่อครับ" เขารีบขัดเสียงหัวเราะทันที เมื่อเราสองคนใกล้ถึงทางแยก ตายแล้ว! มัวแต่เคืองตานี่! ทำตัวอะไรตามอารมณ์ จนลืมไปเลยว่าวันนี้มีธุระ!
"คุณรู้จัก ร.ร.อนุบาลกระดานชนวน หรือเปล่าล่ะ! คือ ฉันต้องไปรับลูกชายก่อนน่ะค่ะ"
"คุณมีลูกแล้วเหรอครับ คุณหน้ายังเด็กอยู่เลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะแต่งงานมานาน ถึงขนาดมีลูกเรียนชั้นอนุบาลแล้ว" น้ำเสียงที่ถามมาราบเรียบ ไม่น่าจะมีอะไรแอบแฝง แต่คำถามที่ละลาบละลวงเกินคนเพิ่งรู้จักควรถามกัน ทำให้ฉันอดจ้องใบหน้าด้านข้างของเขาที่มองตรงไปที่รถคันหน้า เพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่าง ที่มากเกินกว่าความอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านทั่วไป
ใจจริงฉันแค่อยากรู้ว่า เขาไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง ที่ฉันมีครอบครัวแล้ว ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ฉันต้องการให้เขาเข้าใจผิดก็ตาม หากสีหน้าและแววตาที่ไร้ความรู้สึกตื่นตกใจนั่น ก็ทำให้ฉันแอบถอนหายใจ ก่อนยอมอธิบายความจริงให้ฟัง
"ลูกน่ะมีแล้วค่ะ แต่ว่าออกมาจากท้องพี่สะใภ้ ที่เสียชีวิตไปพร้อมกับพี่ชายของฉัน ระหว่างไปทำงานต่างประเทศ เมื่อปีที่แล้วน่ะค่ะ ฉันเลยรับเป็นแม่บุญธรรมให้ตาเค้ก"
'เฮ้อ! ที่เขาอยากให้เราสนิทกัน เป็นเพื่อนกัน มันแค่นั้นจริงๆ เหรอเนี่ย เฮ้อ!... เอาวะ! เพื่อนก็เพื่อน! ดีกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย'
บรรยากาศชวนอึดอัดเมื่อครู่สลายไปในอากาศได้พักใหญ่ ฉันจึงเล่าวีรกรรมบนรถประจำทางแสนน่าอับอาย ชนิดที่ว่า เล่าไปใครเขาจะเชื่อ! อย่างสนุกสนานไร้ซึ่งยางอายอย่างหญิงสาวสามัญ เพียงเพราะเห็นเขาหัวเราะราวกับเด็ก ฉันมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ เฮฮากันจนกระทั่ง ตาเค้กเข้ามานั่งป้อกลองบนตักฉันและถามขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
"ลุงนี่! ใครเหรอ! จะไปกินไอติมกับเราด้วยหรือไง" ฉันที่กำลังก้มหน้าคุยกับตาเค้ก ที่นั่งยุกยิกเล่นอุปกรณ์ตกแต่งรถเพลินมือ นั่งก้มหน้ามองตาเค้กค้างอย่างรู้สึกเกรงใจ ก่อนรวบรวมกำลังใจเหลือบตาขึ้นมองหน้าคนขับอย่างช้าๆ
"ลืมอีกแล้วค่ะ! ว่ามีนัดกับเพื่อนสนิทที่ร้านไอศกรีม เอ่อ สนใจจะไปด้วยกันหรือเปล่าคะ ฉันจะได้แนะนำว่าที่สา.. เอ้ย! คุณให้เพื่อนสนิทของฉันรู้จัก" เขาเงียบไปอึดลมหายใจ ฉันว่าเขาคงเขาคงเป็นอดีตนักว่ายน้ำระดับประเทศแน่เลย เพราะว่าอึดใจของเขามันนานจนฉันแทบจะขาดลมหายใจตาย
"แต่!.. ถ้าคุณติดธุระอะไรละก็! จะถีบหัวส่งเราสองแม่ลูกลงตรงนี้ก็ได้นะคะ! ท่าทางท่านประธานที่นั่งเหม่ออยู่เมื่อครู่หันมองมองหน้าฉัน พร้อมคิ้วหนาที่ขมวดเป็นโบว์
คือฉันหมายความว่า จะให้เราสองคนลงตรงนี้ก็ได้ค่ะ เพราะฉันผิดเองที่ทำอะไรโดยไม่คิดตั้งแต่แรก"
"ว่างครับ! ผมเองไม่ค่อยได้ไปไหนนักหรอก เหงามานานแล้วเหมือนกัน! " ฉันว่าเขาควรไปหัดเรียนภาษาไทยใหม่จะดีกว่า เพราะแต่ละประโยคที่พูดมา ชวนให้คนใจง่าย อืมม์ ใจอ่อนอย่างฉัน ไหวหวั่นทุกทีเลย ดีที่คำว่าเพื่อนยังก้องอยู่ในหู ไม่งั้นฉันคงถอนตัวไม่ขึ้นแน่ๆ
แต่จะว่าไปแล้ว แววตาที่เคร่งขรึมอย่างปกติแปรเปลี่ยนเป็นเหม่อลอยไปวูบหนึ่ง ตอนที่เขาพูดว่า ผมเองไม่ค่อยได้ไปไหนนักหรอก เหงามานานแล้วเหมือนกัน! ' เขาดูเศร้าเหงาจับใจฉันให้อดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรกันที่ทำให้เขาเหม่อลอยได้อย่างนั้น แต่ท่าทีที่เขาพยายามตีสีหน้าเรียบเฉย เพื่อเก็บความเหงาไว้ในใจเพียงผู้เดียว ทำให้ฉันไม่กล้าเอ่ยปากแมวๆ ถามออกไป เพราะเกรงว่า จากความรู้สึกเหงาเศร้าซึมธรรมดาจะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอยากตายขึ้น เมื่อได้ยินบางคำที่มันแทงใจดำ
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด เสียงคุยระหว่างฉันกับเขาเงียบลงได้ไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์ (ระฆังกู้ภัย) ของฉันก็ดังขึ้นมา 'ยัยกลอนนี่เอง! ' เพื่อนสนิทที่นัดกันไว้ โทรมาขอเลื่อนนัด เพราะงานที่มหาวิทยาลัยมีปัญหากระทันหัน
ฉันจึงเปลี่ยนโปรแกรมร้านไอศกรีม เป็นเริ่มต้นด้วยการดูหนัง
เอาไงคะ! ยังอยากเที่ยวอยู่ไหม! วันนี้ตาเค้กแกบ่นอยากดูหนังเหมือนกันน่ะค่ะ โชคดีจริงๆ ที่ตาเค้กหลับไปแล้วเพราะนิสัยนิ่งเป็นหลับขยับเป็นเล่น ไม่อย่างนั้น โกหกคำโตของฉัน คงถูกลูกชายสุดที่รักขัดขึ้นกลางปล้องแน่! (ทำไมต้องมองฉันด้วยสายตาระแวงด้วยล่ะ! ก็เพื่อนกันนี่นา! ชวนเขาไปเที่ยวต่อก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรนี่! แปลกตรงไหนเหรอ! )
ฉันเลือกดูหนังกึ่งครอบครัวอมรสคอมเมดี้เล็กๆ แอบโรแมนติคหน่อยๆ เมื่อถึงเวลาเข้าโรงหนังตาเค้กรีบจัดแจงวางที่นั่งเรียบร้อย เพื่อกันฉันกับคุณน้าแปลกหน้าที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อให้ไกลจากกัน เรื่องนั้นฉันไม่ได้สนใจเท่าไรนัก เพราะมันมีเรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นอีก ก็คนที่เป็นเจ้ามือเลี้ยงเราสองแม่ลูกน่ะสิคะ ให้ตายเถอะ! สาบานได้ว่า ตั้งแต่ออกมาจากท้องพ่อท้องแม่ ฉันยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหน ที่ดูหนังแล้วร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายได้ขนาดนี้เลย ผ้าเช็ดหน้าผืนจ้อยเพียงผืนเดียว ที่เขายื่นให้ฉันเมื่อเห็นฉันเริ่มน้ำตาคลอเบ้า กลับถูกแย่งกันไป-มาโดยเราสามคน เมื่อถึงคราวต่อมเก็กแมนของตาเค้กและชายผู้เป็นเจ้าของผ้าเช็ดหน้าสีเทานี่แตก จนได้ยินเสียงหัวเราะพร้อมประโยคน่าดีใจลอยมาอย่างแผ่วเบาจากด้านหลัง
ฮิๆๆ ดูสิที่รัก คุณพ่อยังหนุ่มคุณแม่ยังสาวพาลูกมาดูหนังแล้วร้องไห้ แย่งผ้าเช็ดหน้ากันใหญ่เลย น่ารักจังเลยค่ะ
เสียงเพลงดังสนั่นไปทั้งโรงหนัง เมื่อฉากสุดท้าย แสนซึ้งประทับใจผ่านสายตาไปไม่ถึงเสี้ยวนาที ฉันหันไปจับมือตาเค้กและแอบสบตาพอให้รู้ใจกัน พรางเหลือบตามองชายตัวโต ที่บัดนี้ยกซับน้ำตาที่ไหลรินเพราะฉากเศร้าซึ้งเมื่อครู่เป็นการใหญ่ ฉันแอบอมยิ้มจนแก้มปริเพราะคิดว่า เขาน่ารักดี ที่ไม่ได้วางมาดแมนเต็มร้อย เมื่อได้ดูฉากเศร้าโศกเสียใจ การที่เราจะร้องไห้เพื่อแสดงความรู้สึกดีๆ ให้อะไรสักอย่างที่ซึ้งประทับใจเรา มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย ไม่ใช่การแสดงความอ่อนแอสักนิด แต่มันน่าภูมิใจที่เราสามารถรับรู้ความรู้สึกของคนรอบข้างได้ต่างหาก แต่ ตาเค้กนี่สิ! หัวเราะเปิดเผยเต็มที่ น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเยาะหยันชัดๆ แถมมีชี้หน้าเขาพรางล้อเลียนอย่างเสียมารยาท จนเขาหน้าแดงแป๊ดเป็นลูกมะเขือเทศ เล่นเอาฉันอยากมุดหน้าลงดินให้มันรู้แล้วรู้รอดไป (แสนซน: เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูกเลยนะ! คุณผู้อ่านคิดเหมือนฉันไหม! )
ตาเค้กมักจะมีองค์เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประจำอำเภอลง ทุกครั้งที่มีผู้ชายเข้ามาทำความรู้จักฉัน (ซึ่งนานทีศตวรรษหนึ่งหน จะมีหลุด เอ้ย! หลง เอ้ะ! ไม่ใช่ๆ ต้องใช้คำว่า 'ผ่าน เข้ามาในชีวิตฉันสิ! ) และครั้งนี้ก็เช่นเคย ตาเค้กสอบถามที่มาที่ไปเสียยกใหญ่ จนฉันแทบไม่ต้องแนะนำสองคนนี้ให้รู้จักกันเลย
เค้กยืนสอบประวัติคุณลุงไอตะวันอยู่หน้าโรงหนังไม่นาน ท้องของฉันก็ร้องดังโครกใหญ่ ตาเค้กกับเพื่อนใหม่ของฉันสบตากันเพื่อหาที่มา ก่อนหันมาทางฉันพรางแอบยิ้มให้กันอย่างเข้าใจความคิดของกันและกัน แต่กลับไม่มีใครกล้าหัวเราะกันเอิกเกริก แน่ล่ะ! ลองหัวเราะกันอย่างเริงร่าสิ คงมีงอนกันบ้างหรอก
ฮึ! ไปกินข้าวกันเถอะครับ ฮึ! ผมหิวแล้ว
ก๊าก!!! ฮ่า!!! โอ๊ย! ฮ่า!!! คราวนี้ตาเค้กหลุดเสียงหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว เมื่อประโยคแสนสุภาพบุรุษของเขา ทำเอาฉันหน้าแดงแป๊ดขึ้นมาบ้าง
งอนแล้วนะ! ทั้งพะ! เพื่อนทั้งลูกเลย! ฉันสะบัดหน้าไปอีกทาง ก่อนเดินหนีไปนั่งในร้านอาหารขยะ ที่ฉันไม่ค่อยจะชอบนัก แต่ในเมื่อลูกชายสุดที่รักฉันชอบจึงจำใจต้องทานบ้างเป็นบางครั้ง (งอนก็ส่วนงอน กินก็ส่วนกิน รักก็ส่วนรักเหมือนกัน)
ช่วงเวลาที่เราทานอาหารกันนี่ เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งของวัน ที่ฉันมีความสุขมากจนอยากจะลุกขึ้นมาเต้นแซมบ้าแก้บนตรงนั้นเสียให้ได้ เหตุมาจากได้รู้เรื่องส่วนตัวของเขา ที่ไม่คิดว่าเขาจะบอก
"ผมจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่ผมมาเที่ยวกับเพื่อนอย่างมีความสุขแบบนี้ มันเมื่อไร
"โห! อย่ามาพูดเอาใจเพื่อนฐานะชาวบ้านอย่างฉันเลยน่าคุณ ชีวิตคุณออกจะสมบูรณ์แบบ เพื่อนฝูงที่มีก็น่าจะร่ำรวยพอกัน ไม่ต้องมาทนเที่ยวอย่างคนฐานะพอมีพอกินแบบฉันหรอก" เขาตวัดหางตาดุเล็กน้อยเมื่อฉันพูดดูถูกตัวฉันเอง (แต่ฉันไม่ได้คิดว่าการที่ฉันมีฐานะแบบนี้ แล้วมันไม่ดีนะ ฉันแค่พูดไปตามเนื้อผ้า)
"ผมหมายถึง สุขทางใจต่างหากล่ะครับ ผมไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทหรอก ที่คุยกันได้ทุกเรื่องเห็นจะมีแค่ ไอเมฆ น้องชายในสายเลือกกับกวีเพื่อนสนิทรุ่นน้องสมัยมัธยม ที่ตอนนี้เรียนต่ออยู่ที่ต่างประเทศ ยังไม่กลับมาเลย"
"อืมม์" ฉันกับตาเค้กพยักหน้ารับพร้อมกันอย่างเห็นใจ จนฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า เพื่อนคนใหม่ของฉันต้องทำคุณไสยกับตาเค้กแน่ๆ เพราะตาเค้กนั่งนิ่ง ไม่ดื้อ ไม่กวน แถมยังตั้งใจฟังอย่าสนใจเสียด้วย
"นอกนั้นเป็นเพื่อนประเภทที่ คอยแต่จะหาผลประโยชน์จากผม กิจกรรมนันทนาการที่คนทั่วไปทำกันอย่างสุขกายสบายใจ พวกเขาทำให้มันเป็นสนามสงครามทางการค้า ที่ต้องปั้นหน้าเข้าหากันตลอดเวลา จนผมลืมบรรยากาศเที่ยวเล่นอย่างคนธรรมดาไปนานมากแล้ว" เขาหันมาสบตาฉันอย่างขอบคุณ
"จนกระทั่งผมมากับคุณวันนี้ จึงได้กลับมารู้สึกสนุกกับการทานข้าว ดูหนังอย่างคนทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกคบคุณอย่างเพื่อน คำว่าเพื่อนที่เขาพูดมา ทำให้ฉันเจ็บแปลบจนต้องหลบตาใสซื่อคู่นั้น
ตั้งแต่วันที่เราเจอกันครั้งแรก ผมเอาแต่คิดว่า 'ถ้าได้คนแบบนี้มาเป็นเพื่อนคงดีไม่น้อย' ขอบคุณมากนะประกายชล ที่ชวนผมมาด้วยวันนี้"
"ไม่เท่าไรหรอก! เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ แม่ผมใจบุญอยู่แล้ว"
"เค้ก! จุ๊! จุ๊! " ฉันหันไปยิ้มแห้งให้เขา หากเขากลับหัวเราะออกมากับท่าทีเราสองแม่ลูก
"อ๋อ! ฉันเข้าใจแล้วล่ะ! ที่แท้เพื่อนแต่ละคนก็ไม่มีใครน่าไปไหนด้วยสักคนนี่เอง คุณถึงดูไม่ยินดียินร้ายกับคำชวนของฉันสักเท่าไร" คงมีแต่รอยยิ้มที่ส่งมาแทนคำตอบ
เอาอย่างนี้ไหม! ถ้าฉันจะไปเที่ยวไหน! ก็จะชวนคุณไปด้วยกัน! เอาไหม!?
ได้เหรอครับ! ผมไม่เกะกะคุณนะ!
เพื่อนกันนี่คะไม่มีคำว่าเกกะหรอก ไปเที่ยวกับเพื่อนมันต้องหลายๆ คนถึงจะสนุก!
ว่าแต่... น้องเค้กจะยอมให้น้าไปด้วยคนไหมครับ ฉันหันไปส่งยิ้มหวานแต่สายตาชวนสยอง พร้อมยกมือขึ้นลูบหัวตาเค้กด้วยน้ำหนักมือที่รู้กันสองคนแม่ลูกว่า รู้ใช่ไหมเค้ก! ถ้าขืนไม่ให้เขาไปด้วยกัน! จะเกิดอะไรขึ้นกับเค้กน่ะ!
อืมม์! ก็ได้! เห็นว่าน่าสงสารหรอกนะ! ไม่งั้นอย่าหวังเลย!
เค้ก! มากไปๆ อายุเท่ากับลุงเขาหรือไง!
คิดจะมาเป็นเพื่อนกันชลก็ต้องยอมผมด้วย ไม่เคยได้ยินสุภาษิตฝรั่งที่เขาบอกว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายเชื่อฟังลูกเพื่อนแล้วจะดีเองเหรอ (ฉันว่าตาเค้กอาจจะต้องเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษใหม่ตั้งแต่ต้นละมั้งเนี่ย)
สมกับที่คุณเลี้ยงมาเลยนะครับ เหมือนกันเหลือเกิน
คำพูดเชิงแซวของเพื่อนใหม่ สร้างความรู้สึกภูมิใจให้ฉัน ที่สามารถเลี้ยงลูกอย่างใกล้ชิด ถึงขนาดที่ตาเค้กซึมซับเอานิสัยฉันไปได้บ้าง เพราะสำหรับคำว่า ลูกบุญธรรมกับแม่บุญธรรม นั้น มันก็แค่กระดาษใบเดียว แต่ไม่ใช่เครื่องยืนยันความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่จับต้องไม่ได้ หากแต่ความสนิทสนมกลมเกลียว นิสัยที่คล้ายกันจนคนอื่นดูออกนี่ต่างหาก ที่เป็นเครื่องยืนยันความเป็นแม่ลูกกันจริงๆ
รถหรูสีดำมันวับปราดมาจอดสนิทนิ่งถึงหน้ารั้วบ้านปิ่นทอง อันที่จริงฉันยังไม่อยากลงรถทันทีหรอก แต่ตาเค้กที่กุลีกุจอเก็บข้าวของเตรียมลงรถกับสีหน้าเรียบเฉยของคนขับรถที่เหม่อลอยเหมือนคิดอะไรอยู่นั่น ทำให้ฉันถอนหายใจและยอมเปิดประตูเตรียมออกจากรถ
กลับบ้านด้วยกันทุกวันได้ไหมครับ! อยากกรี๊ด! ให้มันดังคับซอย! คำนี้แหละที่รอคอย! แต่ก็ทำได้แค่ ตีหน้าไม่รู้เรื่องหันไปมองเขา ราวกับได้ยินประโยคเมื่อครู่ไม่เต็มรูหู
เอ่อ! คือ วันนี้ผมสนุกมากจนอยากไปเที่ยวแบบนี้อีก คุณเองจะไปเที่ยวเมื่อไรก็ไม่รู้
เป็นเด็กเลยนะคะ พอได้ทานขนมอร่อยๆ ชิ้นหนึ่งแล้ว ก็อยากกินชิ้นที่สองต่อทันทีเลย
ตกลงหรือเปล่าล่ะครับ คราวนี้ถามด้วยสายตาอ้อนวอนที่บาดใจฉันมากขึ้นกว่าเดิม เล่นเอาฉันพูดไม่ออก
ก็ได้ไงลุงไอ ถามอยู่ได้! แม่เราใจดีจะตาย โดยเฉพาะกับ ลุง แต่ต้องไปรับเราที่ ร.ร. หลังเลิกเรียนทุกวันด้วยนะ! เข้าใจปะ!?
กะ! เกิ๊น! เค้กอย่าเล่นหัวผู้ใหญ่สิลูก! ฉันไปหันปรามตาเค้กก่อนหันไปตอบตกลงเขาด้วยน้ำเสียงปกติ
ด้วยความยินดีค่ะ! แต่ คุณต้องไปรับทะโมนเค้กที่ ร.ร. ทุกวันด้วยนะคะ! ไหวหรือเปล่า!
ไหวอยู่แล้วครับ! เขารีบละล่ำละลักตอบอย่างดีใจ
ตกลงแล้วนะครับ! เอ่อ แล้วผมอยากให้คุณเรียกผมว่า ไอ ส่วนผม ก็ขอเรียกคุณว่า ชล ได้ไหมครับ น้ำเสียงประโยคท้ายเบาลงเหมือนไม่มั่นใจ หากแต่ใจฉันนั้นตะโกนกู่ก้องไปแล้วว่า ยอมตั้งแต่เกิดแล้วน้อง!
คุณเป็นประธานบริษัท จะเรียกฉันว่า ชล น่ะ! ได้อยู่แล้ว แต่ฉันเป็นพนักงานบริษัท เรียกชื่อคุณสั้นๆ คงไม่ดี คุณจะเสียการปกครองได้
อืมม์ งั้นเอาไว้เรียกหลังเลิกงานก็ได้! โอเคไหมครับ!
ค่ะ! กลับบ้านปลอดภัยนะคะ วันนี้ขอบคุณมากค่ะ ตาเค้กขอบคุณ คุณลุงด้วยสิ! วันนี้อุตสาห์พาเราสองแม่ลูกไปตะลอนเสียนานเลย
ขอบคุณครับ ลุงมีบุญนะเนี่ย! ได้คำขอบคุณจากเราด้วย! ฉันเขกหัวตาเค้กเบาๆ พองามก่อนบอกลาเขาอีกครั้ง
สัญญาแล้วนะครับ! ห้ามเบี้ยวผมนะ โอ๊ย! ถ้าฉันเบี้ยวก็โคตรโง่แล้วค่ะ
ค่ะ! ไปได้แล้วค่ะ โชคดีนะคะ สวัสดีค่ะ เมื่อคุณไอตะวันขับรถพ้นสายตาเราสองคน ฉันจึงชวนตาเค้กเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดี แต่ก็ไม่ลืมที่จะทำหน้าที่คุณแม่สอนลูก
เค้ก! แก่แดดเกินไปแล้วนะเรา! แทนที่จะมีอาการสำนึกผิด ตาเค้กกลับสวนฉันกลับมาว่า
เอ้า! ของมันแน่อยู่แล้ว ผมลูกใครล่ะ เฮ้อ! ตาเค้กพูดอย่างนี้ทีไร ฉันทำอะไรต่อไม่ถูกทุกที ดูสิค่ะ! ตาเค้กแก่แดดขนาดจับจุดอ่อนของฉันได้แล้วว่า ฉันไม่ชอบสอนคนอื่น ในเรื่องที่ฉันเองก็ยังทำไม่ได้ แต่มีหรือที่คราวนี้ฉันจะยอม
แล้วที่แม่เป็นอยู่นี่มันดีนักหรือไงล่ะ! ใช่ว่าจะชอบนะ! คนอื่นก็ไม่ชอบ แล้วเค้กยังเด็กก้าวร้าวกับผู้ใหญ่แบบนั้น ถ้าเป็นคนอื่นมิตบลูกแม่ตัวทิ่มหรือไงครับ แม่น่ะ! ห่วงเรานะ ถึงได้เตือนน่ะ! ตาเค้กไม่ยอมพูดอะไรแกล้งมองซ้ายมองขวา จับต้นไม้ใบหญ้าเล่นไปเรื่อยเปื่อยราวกับไม่ใส่ใจ แต่ฉันรู้ว่านั่นเป็นสัญญาณบอกว่า เขายอมฟังฉันแล้ว เพราะถ้าไม่ฟังตาเค้กไม่หยุดเถียงง่ายๆ หรอกค่ะ!
โปรดติดตามตอนต่อไป
3 กันยายน 2547 10:06 น.
TANOI_ZA
ลองจินตนาการกันนะคะ นิสัยนี้เด้งเด่นขนาดที่เพื่อนๆ เกือบทั้งแผนก พากันเรียกฉันว่า 'ยายเปิ่น' ส่วนชื่อเล่นงามๆ ที่คิดได้ง่ายยิ่งกว่า การด่าใครบางคนด้วยภาษาสุภาพนั่นก็คือ ชล เห็นไหมคะ! ฉันยังไม่ต้องอธิบายอะไร คุณผู้อ่านก็ไม่ต้องเอาชื่อฉัน ไปถอดรหัสโดยเข้าสูตรคณิตศาสตร์สุดหิน ที่ฉันไม่ถนัดนัก ก็สามารถรู้ได้ว่า 'ชล' ย่อมาจากชื่อจริงอีกทีนั่นแหละ
ตัวฉันเองไม่เคยคิดเลยสักนิดว่า ความซุ่มซ่ามค่อนข้างมากกว่าระดับคนปกตินี่ จะเป็นสาเหตุหลักของ อุบัติเหตุรักครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่สุดแสนเรียบง่าย ไร้สีชมพูแป๋นของฉันได้
ส่วนชายผู้ที่ใครๆ ต่างพากันเล่าลือว่า 'ซวยแมนออฟเดอะเยียร์' ชายคนที่เข้ามาแต่งแต้มสีหวาน ปานน้ำตาลไหม้ราดแย้มสตอรเบอร์รี่คนนั้นก็มีชื่อไพเราะเสนาะหูไม่แพ้กันว่า 'ไอตะวัน ประทานทรัพย์' แค่ได้ยินนามสกุล คงเดากันได้ว่า ไอตะวัน เขามั่งคั่งขนาดไหน!..
เรื่องชวนปวดหัวแต่อิ่มสุขทางใจนี้ เริ่มขึ้นในเช้า ที่เต็มไปด้วยความอึกทึก วุ่นวายมากมายอย่างทุกวัน อืมม์... พิเศษกว่าวันอื่นๆ ตรงที่วันนี้ ฉันออกไปทำงานช้ากว่าปกติเท่านั้นเอง เพราะวันนี้เป็นวันครบรอบ 5 ปี ที่ตา 'เค้ก' ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉัน สามารถมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็น โดยปราศจากการคุกคามทางใดทางหนึ่งจาก 'เจ๊ลิซ่า' กะเทยข้างบ้านได้อีกหนึ่งปี
อันที่จริง ตาเค้กไม่ใช่ลูกในไส้ของฉันหรอกค่ะ ตาเค้กเป็นลูกของพี่ชายดีเอ็นเอเดียวกัน ที่ได้รับอุบัติเหตุระหว่างไปทำงานพร้อมกับพี่สะใภ้จนถึงขั้นเสียชีวิต เหลือของต่างหน้าชิ้นล้ำค่าไว้ให้ฉันและพ่อกับแม่ เก็บรักษาไว้เพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ 'ตาเค้ก'
"แม่เห็นแว่นหนูไหมคะ! " 'ให้ตายเถอะ! รีบทีไรเป็นอย่างนี้ทุกทีเลย'
"เค้กเร็วๆ เข้า! เดี๋ยวไม่ทันได้ใส่บาตรพระหรอกนะลูก" ตาเค้กยังคงนั่งนิ่งอยู่หน้าจอทีวีน้ำลายนองปาก อมข้าวเพื่อหมักไว้ทำแอลกอฮอลล์ ไม่สนใจที่ฉันพูดสักนิด
"เค้กเอ๊ย! เมื่อวานนี้เจ๊ลิซ่ามาบอกกับยายว่า จะไปตักบาตรด้วยนะ เห็นบอกว่าให้รอก่อนด้วยนี่นะ! ใช่ไหมยายชล" ฮะๆๆๆ นี่ล่ะ! แม่ฉัน หากใครไม่รู้จักกันมาก่อน อาจจะตระหนกถึงขั้นเป็นบื้อใบ้ เอ๋อรับประทานกันได้ น่าสงสารตาเค้กจริงๆ ที่ยังเด็กเกินจะทันเล่ห์สาวแก่อย่างท่าน
"อะ! อ๋อๆ ใช่ๆ นี่เห็นบอกว่า จะมีของขวัญชิ้นพิเศษมาให้ด้วยนี่! เจ๊ลิซ่าบอกว่า.... ว่าอะไรนะพ่อ! " เค้กเริ่มเอียงหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อเจ๊ลิซ๋า เพื่อนบ้านสุดแสนน่ารักสำหรับครอบครัวเรา หากน่าสยดสยองยิ่งกว่าฝันร้ายยามค่ำคืนของเด็กผู้ชายในละแวกนี้
พ่อฉันที่กำลังกวาดสายตา ไปตามตัวอักษรบนหน้าหนังสือพิมพ์ นั่งนิ่งครู่หนึ่งราวไม่สนใจบทสนทนาของสมาชิกภายในบ้าน ก่อนลดระดับหนังสือพิมพ์ลง เพื่อสบตาใสซื่อของหลานชายสุดที่รัก
"เห็นบอกว่า จูบแรก" 'โป๊ะเช๊ะ! ว่าแล้วว่าพ่อต้องเล่นด้วย' ก็พ่อฉันน่ะ รักตาเค้กจะตายไป ให้ท้ายกันยิ่งกว่าลูกกตัญญูอย่างฉันอีก ฉันกับแม่เมื่อครู่แทบจะหยุดหายใจ ลุ้นแทบตายว่า หัวหน้าครอบครัวอย่างพ่อจะเล่นด้วยกันไหม
เค้กรีบกระโดดข้ามโซฟาสีน้ำตาลอ่อนลายดอก ไปคว้ากระเป๋านักเรียนรูปซุปเปอร์ฮีโร่พันธุ์ใหม่เอี่ยม DUCK BOYS ขึ้นสะพายเองอย่ากระตื้อร้น แถมยังหันมาเร่งฉันอีกต่างหากแน่ะ! แต่ ตาเค้กคงลืมไปมั้งว่า เรายังไม่ได้ไปโรงเรียนกันสักหน่อย เราแค่จะไปใส่บาตรพระท้ายซอยกันเอง แต่ด้วยความหมั่นไส้ ไหนเลยจะเตือนล่ะ ปล่อยให้สะพายไปด้วยนั่นแหละดีแล้ว อยากอืดอาดดีนักนี่! (แสนซน: เอ่อ สงสัยกันไหมคะว่า ยายประกายชลรักเขารักลูกตัวเองไหม!? )
"ชลก็เร็วๆ สิ เค้กน่ะพร้อมตั้งนานแล้วนะ"
"บอกกี่ครั้งแล้วเค้กว่า ให้เรียกแม่น่ะ" ฉันหันไปดุเล็กน้อย ก่อนนึกขึ้นได้ว่า ยังหาแว่นไม่เจอ
"แม่คะ! แว่นหนูล่ะ แว่นหนูหายไปไหนคะ"
"ก็ใส่อยู่ไม่ใช่เหรอเรา" เสียงพ่อที่ก้มลงไปอ่านหนังสือพิมพ์ต่อเมื่อครู่ เอ่ยขึ้นเรียบๆ
"เมื่อไรเราจะเลิกนิสัยแบบนี้สักทีนะชล พ่อล่ะห่วงเราจริงๆ เลย โตสักทีสิ มีลูกแล้วนะเรา"
"หนูก็เหมือนแม่ไงพ่อ หนูเลิกขึ้นมาจริงๆ จะเหงานะเอ้า! ไปแล้วๆ เดี๋ยวหนูต้องไปทำงานอีกด้วยค่ะ"
เราสองคนแม่ลูกต้องออกจากบ้านไปท้ายซอยอีกฝั่ง โดยจักรยานคันน้อย แน่นอน! ฉันนี่แหละที่ถีบ! ปั่นกันตาเหลือตาปลิ้น ไฟงี้แล่บแปล๊บ! เพราะกลัวไม่ทันพระสงฆ์ที่มาบิณฑบาตเช้า หลังไปตักบาตรเรียบร้อยแล้ว ฉันยังต้องกระเตงตาเค้กกลับเข้าบ้านเพื่อ ส่งต่อหน้าที่การนำเจ้าตัวดีไปโรงเรียน ให้กับผู้ที่ฉันเรียกเขาว่า พ่อ จากนั้นจึงรีบซอยเท้าเข้าวินตรงปากซอยที่อยู่ถัดจากบ้านฉันไปไม่กี่หลัง
เหตุมาจากวันนี้ไอ้กระป๋องน้อยเพื่อนเก่ายามแก่ของฉัน (รถยนต์น่ะค่ะ) ดันงอแง กระตุกชักเป็นพักๆ สะอึกเป็นช่วงๆ แล้วดับกระทันหันเมื่อวานนี้เอาดื้อๆ แค่นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากความซวยที่ยังคงเห็นว่าฉันเป็นผู้โชคดี ทำแจ๊คพ็อตแตก 'รายการซวยหลายชั้น' กระหน่ำโชค 7-8 ชั้นให้ฉันอย่างไม่ปรานี ทั้งเรื่องรถประจำทางสมัยนี้ ที่ไม่ค่อยจะง้อใคร ทำให้ฉันต้องกระวีกระวาดทำงานบ้านทุกอย่างด้วยความเร็ว ที่มากขึ้นกว่าเดิมเป็นสามแสนแปดเท่าทีเดียว (เวอร์ไปไหมคะ คือ!.. ฉันกลัวคนอ่านไม่เห็นภาพน่ะค่ะ) จนกระทั่งลืมเซ็ทผมฟูๆ ที่กระเซิงยิ่งกว่ารังหนูนี่เสียอีก
ในขณะที่ฉันกำลังสมเพชชีวิตคับขันอย่างตื่นตระหนกราวกับซ้อมหนีไฟ ที่โกลาหลกันไปเมื่อเช้านี้ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิด รถประจำทางที่ฉันกำลังตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ก็โผล่หัวมาให้เห็นที่สุดลิบตา ฉันรีบควานหาเศษเงินในประเป๋าสะพายข้างใบเขื่องอย่างลนลาน หวังให้อำนวยความสะดวกในการจ่ายเงินบนรถประจำทาง ซึ่งแออัดไปด้วยผู้คน ที่กำลังมุ่งหน้าสู่วีถีชีวิตประจำวัน หากเสียงทุ้มนุ่มบ่งบอกเลเวลหน้าตา ที่ท่าทางจะดีตามน้ำเสียงน่าฟังนั้น ก็ตะโกนเรียกฉันไว้ (คิดดูแล้วกันว่าฉันชำนาญการเรื่องเพศตรงข้ามดีขนาดไหน แค่ตะโกนฉันยังรู้ได้เลยว่า เจ้าของเสียงหน้าตาดีระดับใด... เข้าใจหน่อยเถอะค่ะ! คนมันขาดแคลนทรัพยากรด้านนี้ขั้นวิกฤต จึงทำได้แค่ศึกษาให้เชี่ยวชาญ ไว้รอการตะบบไงคะ)
"คุณครับ! คุณ! คุณ! ที่ทำงานอยู่ 'บริษัท MORE & MOST' น่ะครับ รอผมด้วย คุณช่วยพาผมไปด้วยได้หรือเปล่า.... " ไม่ทันได้ฟังพ่อรูปหล่อพูดจนจบประโยคดี ฉันก็รีบคว้าข้อมือแข็งแกร่งไว้มั่น (ใจจริงอยากโอบประคองเลย แต่เกรงว่า จะอดใจหยุดการกระทำของตัวเองไว้แค่นั้นไม่ไหว จึงทำได้แค่ จับมือ ) และพาขึ้นรถประจำทางทันที ใครที่ไหนเขาจะมัวนั่งคุยกันเป็นหลักเป็นฐาน ตอนรอรถประจำทางล่ะคะ เมื่อเราทั้งสองคนหาที่ยึดเกาะได้อย่างมั่นคง ฉันจึงรีบเอ่ยปากถามธุระของเขาอย่างไม่รอเวลา
"เมื่อกี้คุณจะพูดอะไรนะ ตอนนี้พูดได้แล้วล่ะ แต่เร็วๆ เข้านะ เพราะเดี๋ยวฉันก็ต้องลงแล้ว"
"ผมขึ้นรถประจำทางไม่เป็น ผมก็เลยจะขอให้คุณพาขึ้นรถประจำทางด้วย เพราะผมก็ทำงานอยู่ที่เดียวกับคุณ" 'คนอะไรวะ! โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังขึ้นรถเมล์ไม่เป็นอีก' คิดได้อย่างนั้นฉันก็สำลักเสียงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่
"ฮึๆ ฮะๆๆ ขึ้นรถเมล์ไม่เป็น! นี่คุณสุภาพบุรุษคะ! คุณเองก็ดูแก่กว่าฉันอยู่หรอกนะ แต่กลับไม่มีปัญญาขึ้นรถเมล์เอง เป็นลูกแง่หรือไงกัน ห๊า!.. " ดูสิ! ซุ่มซ่ามแล้วยังปากเสียอีก นี่! เพื่อนๆ ก็แนะนำให้ผ่าตัดเอาฟาร์มหมา ที่ได้สัมปทานโครงการถาวรในปากออกนะ อืมม์... กลับที่เรื่องตาลูกแง่นี่ต่อนะคะ ปากเสียแค่นี้ (แสนซน: 'แค่นี้' เหรอ! นี่พูดไปขนาดนั้น! ยายชล! เธอเรียกว่าแค่นี้เหรอยะ) ฉันยังไม่สำนึกอะไรสักนิด ยังมีหน้าพูดด้วยภาคภูมิใจกับ 'โรงเรียนประกายชลชำนาญการขึ้นรถประจำทาง' อีกว่า
"ต้องฉันนี่คุณ! ต่อให้หลับตาฟังแต่เสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์อย่างเดียว ฉันยังรู้ได้เล๊ย!... ว่ารถเมล์คันที่ผ่านหน้าฉันไปสายอะไร" ฉันเชิดใบหน้าเรียวรูปไข่ ที่ล้อมกรอบด้วยผมยาวยุ่งเหยิงขาดการหนีบไดร์ ขึ้นเพื่อสนับสนุนคำพูดของตัวเอง แต่แล้วผู้โดยสารทั้งคันรถ ต่างพากันหันขวับมาจับจ้องที่ต้นเสียงดังแหวของฉัน ด้วยอาการตื่นตกใจ อาการคล้ายคนอยากรู้อยากเห็น เรื่องของหญิงงามที่กำลังจะถูกปล้นฆ่าหมกรถประจำทาง
"เฮ้ย!.. คุณ! คุณ!...คุณทำงานที่เดียวกับฉันใช่ไหม แล้ววันนี้คุณรีบไปทำงานหรือเปล่า! " มือเรียวเล็กแต่หยาบกร้านของฉัน สะบัดไปกวักที่มือหนาแต่นุ่มผิดชายทั่วไปของเขาเป็นระวิง
"ก็..." ชายร่างสูงแข็งแกร่ง ทำท่าจะยืนคิดอีกนาน ซึ่งคงจะไม่ทันแน่ ฉันจึงรีบพูดตัดหน้าด้วยความรีบร้อน
"เราต้องลงป้ายหน้านี้นะ! คุณเตรียมตัวดีๆ ล่ะ! " ฉันกระชับกระเป๋าสะพายแน่น พรางวาดมือไปเกาะแขนเขาไว้เพื่อกันหลง (ฉันกลัวเขาหลงจริงๆ นะ ไม่ได้มีเจตนาอื่นได้แอบแฝงเลย)
"อ้าว! ทำไมละครับ! จะถึงบริษัทแล้วเหรอ แต่ผมไม่เห็นคุ้นกับแถวนี้เลยนะ" ชายหนุ่มถามพรางขมวดคิ้วเข้มเล็กน้อย
"เหอะน่า! เร็วเข้า! อย่างเพิ่งถามอะไรมากเลย เราต้องลงแล้วล่ะ" ถ้าจะถามถึงเงินที่ต้องจ่ายพนักงานเก็บเงินประจำรถคันนี้ล่ะก็... อยากช้าเองค่ะ! ชักดาบสิคะ! แต่เราสองคนไม่ได้ตั้งใจทำนะ (ก็ลงเรือหรือรถประจำทางลำเดียวกันไง เลยต้องใช้แทนตัวฉันกับเขาว่า 'เรา' ไม่ได้ขี้ตู่อะไรสักหน่อย ทำไมต้องมองหน้าอย่างนั้นกันด้วยล่ะ..) ป้ายที่เราลงนี่ ก็เพิ่งเลยมาจากป้ายแรกแค่ 3-4 ป้ายเอง และพี่กระเป๋ารถเมล์ก็มัวแต่เสียเวลายืนเถียงกับยายฉุอวบอิ่มหน้าตางั้นๆ กับผู้ชายใส่สูทหล่อโคตรๆ ไม่แพ้ตานี่ตั้งนานสองนาน ขืนฉันรอล่ะก็ คงได้เข้าทำงานตอนบ่ายแน่เลย (แสนซน: จำกันได้ไหมว่า เรื่องสั้นเรื่องไหนของความรู้สึกดี ที่เรียกว่ารักเล่ม 9 ที่มีสาวอวบกับหนุ่มหล่อขึ้นรถเมล์แล้วเอ๋อๆ น่ะ พี่ yayoi จะฆ่าเค้าไหมเนี่ย เล่นแซวกันข้ามเรื่องเลย)
ฉันกระชับมือใหญ่แสนอบอุ่นของเขาแน่นกว่าเดิม (เค้าเปล่าหลอกแต๊ะอั๋งจริงๆ นะ! ทำไมต้องมองกันด้วยสายตาจับผิดอย่างนั้นล่ะ.. แต่จะว่าไปแล้ว... ฮิๆๆ ฉันก็ไม่อยากปล่อยเหมือนกันแหละ) ก่อนจูงลงตรงป้ายรถประจำทาง ที่เพิ่งพูดถึงก่อนหน้านี้อย่างทุลักทุเล ทั้งยังต้องต่อรถประจำทางคันใหม่เพื่อย้อนกลับไปอีก 2 ป้ายที่ผ่านมา ถ้ามันจบแค่นี้ได้ก็ดีหรอก แต่มันไม่ได้จบแค่รถประจำทางคันที่สองเท่านั้นน่ะสิ เพราะเรายังต้องเผชิญชะตากรรมบนรถประจำทางคันที่สามด้วยอาการเหนื่อยหอบ จากการผจญภัยท่ามกลางผู้คนที่ต้องแย่งกันขึ้นรถประจำทางสายหลักอีกต่างหาก จนสภาพเราสองคนไม่ได้ต่างไปจากนักรบที่เพิ่งออกศึกล้างจักรวาลเลยสักนิด
เอ่อ... สงสัยกันแล้วใช่ไหมคะ! ว่าฉันพาพ่อหนุ่มท่าทางน่อมแน้มคนนี้ ท่องทั่วมหานครคอนกรีตด้วยรถประจำทาง ในช่วงที่การจราจรสุดเฉื่อยแบบนี้ทำไม ฮะ! ฮะ! ฮะ! อยากจะขำให้คนอื่นฟังเหมือนร้องไห้
เรื่องมันมีอยู่ว่า หลังจากที่ฉันกระหน่ำซ้ำเติม พ่อรูปหล่อคนนี้ เรื่องความงี่เง่าจบหมาดๆ หางตาเจ้ากรรมของฉันแอบเหลือบไปเห็น เส้นทางที่เคยนำฉันไปสู่บริษัททุกวี่วัน กำลังดอลลี่ผ่านไปทางด้านหลัง! ผ่านไป!.. ผ่านไป!... ผ่านไป! อย่างช้าๆ จนสุดลิบตา! รถประจำทางคันนี้ยังคงมุ่งมั่นในเจตนารมณ์เดิมต่อไป โดยไม่มีทีท่าจะวกกลับมาเลี้ยวที่ซอยเมื่อครู่สักนิด (แสนซน: พูดเหมือนรถประจำทางเป็นรถแท๊คซี่งั้นแหละ)
ตอนแรกก็ปรึกษากับตัวเองว่า คนขับอาจจะหลงลืมเส้นทางเล็กน้อย แบบว่ายังไม่ส่างเมา หรือเขาอาจเปลี่ยนเส้นทางใหม่โดยที่ฉันไม่รู้มาก่อน แต่ถึงจะให้กำลังใจตัวเองยังไง ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เพราะมันก็ไม่มีทางใช่เด็ดขาด! อันที่จริงมันก็มีทางเป็นไปได้หลายกรณีนะคะ แต่ข้อสรุปที่ฉันหาให้กับตัวเองได้ตอนนั้นก็คือ... ใช่แล้วล่ะ! ฉันขึ้นรถผิดสายค่ะ!
เมื่อเราสองคนหาที่ยึดเกาะได้อย่างมั่นคง และจ่ายค่ารถโดยสารสำหรับสองคนด้วยเงินของฉัน ให้กับพนักงานเก็บเงินเรียบร้อย (เห็นปากหมาอย่างนี้แต่ใจบุญนะคะ ก็ตานี่ยืนจ้องหน้าฉันตาปริบๆ เหมือนเด็กห้าขวบ ที่กำลังขอเงินแม่ไปโรงเรียนยังไงยังงั้นเลย) ฉันต้องทนรักษาเอกราช จากการคุกคามทางสายตาช่างสงสัยของชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทราคาแพงนี่อยู่นาน ในขณะที่ตาโย่งนี่ ส่งกระแสจิตด้วยกำลังภายในสองหมื่นโวล์เป็นพักใหญ่ จนกระทั่งฉันรำคาญและทนอึดอัดเก็บกด เรื่องโกหก ตอหรดตอ..ตุ๊ด!.. (เซ็นเซอร์) ไม่ไหวอีกต่อไป จึงตัดสินใจบอกสาเหตุที่เขาต้องขึ้น-ลง ขึ้น-ลง ขึ้น-ลง รถประจำทางมากมาย อย่างกับนักสำรวจโลกทำไม
ทันทีที่เรื่องราวบ้าบอ! ไร้สาระ! หลุดออกจากปากนุ่มสีชมพูอ่อนของฉันได้เท่านั้นแหละ เจ้าของคิ้วคมเข้ม ที่ลากยาวปกคลุมตากลมวาวนั่น ก็ทำท่าเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย (สงสัยที่บ้านขายกระทิงแดงมั้ง) ซึ่งฉันคิดว่าเขาไม่ต้องทำจะดีกว่า ก็มันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลยน่ะสิ! คือ... ถ้าทำได้เนียนเหมือนนักแสดง ฉันจะไม่ว่าอะไรเลยนะ เพราะฉันดูไม่ออก แต่นี่สู้ให้เขาหัวเราะเคาะขวดเหล้าออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ยังจะดีซะกว่าอีก แต่ถ้าเขาหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่จริงๆ เขาก็ต้องถูกฉันด่าว่า เสียมารยาทอีกอยู่ดี จริงไหมคะ! ก็คนมันก็คนขี้แพ้ชวนตีนี่! ใครจะทำอะไรก็ต้องผิดเสมอล่ะ!
ดูสิคะ! ดู! จะตายไหมน่ะ! คงอยากหัวเราะจะแย่แล้วมั้ง แต่ด้วยมารยาทหรืออะไรก็ตามที่สั่งสอนให้เขาเป็นคนที่มีมารยางามแบบนี้ เขาจึงไม่ยอมหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ พอจะนึกภาพออกกันบ้างหรือเปล่าคะ ที่คนทั่วไปเรียกกันว่า 'กลั้นหัวเราะ' ไงคะ หน้าคมเข้มรูปไข่เปลี่ยนเป็นดำบ้าง แดงบ้าง ราวกิ้งก่าเปลี่ยนฤดูเมื่อเขากลั้นยิ้ม น้ำหูน้ำตาไหลแทบจะพร้อมใจกันทะลักทะลานออกมาเหมือนเขื่อนแตก ตอนนี้ชายร่างสูงดูสมาร์ทคนเมื่อครู่ ได้ปราศการวางมาดอย่างขรึมแล้ว แก้มขาวใสเนียนเหมือนผิวผู้ดี แทบปริแตกเป็นรอยแยกแผ่นดินจีนกับญี่ปุ่น ตาที่ตี่อยู่แล้วหยีลงจนแทบมองไม่เห็นนัยตาสีน้ำตาลเข้ม ลองจินตนาการดูแล้วกันค่ะว่า เขาขำกับเรื่องนี้ขนาดไหน
'แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามารู้สึกเอ็นดูกับภาพที่เห็นนะแม่สาวปากมอม เพราะว่าที่เขาจะเป็นจะตายอยู่นั่น ก็เพราะเธอหน้าแตก' การที่เขาทำแบบนี้ ยิ่งก่ออาการหน้าแตกให้ทวีเพิ่มไปกว่าเดิมเสียอีก เมื่อกี้ฉันทำตัวเสียมารยาทกับเขาไว้มาก หากพอถึงคราวที่ฉันพลาดบ้าง เขากลับพยายามนิ่งเฉย เพื่อรักษาหน้าฉัน ซึ่งมันก็ไม่เนียนเอาเสียเลย ถ้าคุณเป็นฉันคุณจะรู้สึกเสียหน้าเหมือนฉันไหมล่ะคะ แต่อาจจะไม่เสียหน้า เพราะถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่มีใครกล้าปากเสียกับผู้ชายหน้าตาดี ที่จัดว่าหายากมากในหมู่มนุษยชาติอย่างฉัน
"ถ้าคุณอยากหัวเราะมากขนาดนั้น! ก็หัวเราะออกมาเลยเหอะ! ฉันไม่ถือหรอก! " ปากมอมของฉันหลุดลั่นวาจาท้าประชดเขาออกไปอย่างหมั่นไส้
"ฮึ! ฮึ! ฮะๆ ก๊ากกกก!! ฮ่า!!! " เขาหัวเราะออกมาจริงๆ ด้วยค่ะ! แบบเอาเป็นเอาตายเลยด้วย! หัวเราะได้เด็ดดวง และเข้าถึงอารมณ์มากเลยนะพ่อคุณ!
"โอ๊ย!.. นี่คุณ! ถึงแม้ว่าฉันจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่มันก็แค่ประชดนะ นี่คุณ! นี่...คุณ! อายคนอื่นเขานะ! พอได้แล้วไม่ต้องหัวเราะแล้ว ฉันรู้แล้วว่าคุณขำที่ฉันหน้าแตก พอเหอะนะ! ฉันขอล่ะ แค่นี้ฉันก็อายคุณจะแย่อยู่แล้ว อย่าให้คนอื่นเขาสงสัยที่คุณหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหลขนาดนี้เลย ฉันไม่อยากให้คนอื่นเขารู้นะ! " เห็นไหมคะคุณผู้อ่าน ฉันบอกแล้วว่าถ้าเขาหัวเราะออกมา ฉันก็ต้องไม่พอใจอีกนั่นแหละ
"โอเคครับๆ ฮึๆๆ แต่โอ๊ย!..คุณผมไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ ฮ่า!.. "
"เอ้า!! ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ! ฉันพูดอะไรผิดตรงไหนกัน! นี่คุณ! ถ้าไม่รีบหยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้! ฉันจะปล่อยให้คุณหลงแล้วนะ! "
ชายจมูกโด่งเป็นสันน่าหยิกนั่น นิ่งกริบไปเลย เป็นไงเล่า! เงียบไปเลย แผนนี้ใช้ได้ผลค่ะ เขาเงียบไปเลย แต่ฉันสิ! พอเห็นหน้าที่พยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ของเขาแล้ว กลับรู้สึกว่าเขามีลักษณะบางอย่างคล้ายกับเด็กๆ ที่พยายามกลั้นหัวเราะ ทุกครั้งที่ฉันหน้าแตกจนงอนที่พวกเขาหัวเราะเยาะฉัน ซึ่งเขาก็เหมือนได้น่ารักซะจน ฉันต้องหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู และแล้วเราสองคนก็สบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ พร้อมใจกันอ้าปากหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข อารมณ์เขินอายเมื่อกี้ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว มันเหลือแต่ความรู้สึกดีๆ ของความสุข ตอนที่เราหัวเราะกัน (ฉันคิดว่าเราสองคนรู้สึกอย่างนั้น)
สักพักใหญ่ เราสองคนจึงมาถึงที่หน้าบริษัท ในสภาพโจรป่าที่เพิ่งหนีตำรวจหัวซุกหัวซุน เพื่อนฉันมารออยู่ที่หน้าบริษัท เหมือนกับมารอรับญาติที่ไม่ได้พบกันมานานนับ 20 ปี หรืออีกกรณีก็นี่เลย พี่น้องที่ถูกพลัดพรากจากกัน ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ทุกคนมุ่งหน้ามาที่ฉัน ต่างแย่งกันถามฉันว่า 'ทำไมมาสาย ทุกคนเป็นห่วงเธอนะ ตอนแรกฉันก็นึกว่า เธอซุ่มซ่ามจนเดินไปชนรถใครเขาบุบซะแล้วสิ แต่ดูแล้วคงไม่ใช่มั้ง เพราะไม่เห็นมีเจ้าทุกข์ตามมาเอาเรื่องเลย' (ฉันจะซึ้งใจพวกมันมาก ถ้าไม่มีประโยคท้ายๆ ) พอฉันหันมามองหา 'เขาคนนั้น' กลับหายไปในฝูงชนซะแล้ว แต่ก็ช่างเหอะ อยู่บริษัทเดียวกัน สักวันคงมีโอกาสได้เจอจนได้แหละ
แต่นี่ผ่านไป 2 อาทิตย์กว่าแล้วนะ! ทำไมฉันยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาอีกล่ะ! ชื่อเขาฉันก็ยังไม่รู้เลย! แล้วเขาจะจำฉันได้ขึ้นใจเหมือนที่ฉันจำเขาแม่นยำขนาดนี้ไหมนะ ฉันในตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ฉันจำเขาได้ดีพอๆ กับที่ฉันสามารถจำวิธีหายใจเลยทีเดียว แต่ฉันกลับหาคำอธิบายไม่ได้ว่า 'ทำไมถึงจำเขาได้ขนาดนี้'
เช้าวันนี้ฉันมาสายอีกแล้ว เพราะนั่งปั่นงานให้เจ้านายจนถึงตี 4 กว่าได้มั้ง (ที่เสร็จตี 4 กว่าเพราะว่า ก่อนหน้านั้นนั่งเล่นเกมส์ Computer สำหรับเด็กอายุ5ขวบขึ้นไป เพลิน จนตี 3 กว่าน่ะค่ะ) จึงตื่นสาย ส่วนเรื่องไปส่งตาเค้กก็ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของพ่อฉันอีกแล้ว (พ่อของฉัน รับเคราะห์จาก การกระทำแสนมักง่ายของลูกไม่รักดีอย่างฉันบ่อยมากค่ะ)
ในขณะที่ฉันกำลังรอลิฟท์อยู่นั้น สมองอันพาลหาเรื่องของฉันก็สั่งการให้ หาแฟ้มข้อมูลเพื่อเตรียมให้เจ้านายเพื่อความสะดวกจะดีกว่า มือไวเท่าความคิด ฉันเริ่มทำการค้นหาอย่างสาละวนทันที
"กริ๊ง! " เสียงลิฟท์ดังขึ้น บอกให้รู้ว่า ลิฟท์มาถึงชั้นหนึ่งแล้ว ฉันรีบกุลีกุจอเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ตายังคงสอดส่ายหาของในกระเป๋าไม่วางตา ทันทีที่ลิฟท์ปิดลงฉับ เสียงหนึ่งที่ค่อนข้างคุ้นหูก็ทักฉันว่า
"อะแฮ่ม! อะแฮ่ม! ประกายชล! เธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า" น้ำเสียงเคร่งขรึมบอกให้รู้ถึงความน่าเกรงขามของผู้พูดเป็นอย่างมาก
"คะ!? อ้าวเจ้านาย! อรุณสวัสดิ์ค่ะ เช้านี้อากาศดีนะคะ ชลเตรียมแผนงานมาให้เรียบร้อยแล้วค่ะ เจ้านายอยากจะดูเลยไหมคะ" ฉันรีบร้องทักตอบ เมื่อเห็นชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้านายของฉันอย่างยินดี
"อะแฮ่มๆ ประกายชล! คือ... เมื่อกี้ฉันถามเธอว่า เธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า"
"เอ๊ะ!? เฮ้ย!! ผิดค่ะ! ชลขึ้นผิดจริงๆ ด้วย! ขอโทษค่ะ! ชลไม่ได้ตั้งใจ! คือ... ชลมัวแต่หาแฟ้มอยู่น่ะค่ะ! "
"เออ! พอๆๆ ฉันเข้าใจเธอดี คราวนี้ให้อภัยที่ลูกน้องผมซุ่มซ่าม ขึ้นลิฟท์ผิดสักครั้งได้ไหมครับคุณไอตะวัน" เจ้านายพูดพร้อมกับหันไปขอความคิดเห็น จากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรขึ้นมา ฉันก็ร้องทักคนที่ยืนอยู่ข้างเจ้านายอย่างดีใจว่า
"อ้าว! คุณ! เป็นอย่างไงบ้างคะ? สบายดีหรือเปล่า? เอ๊ะ! อย่างนี้ก็แปลว่า คุณก็ขึ้นลิฟท์ผิดน่ะสิคะ ฉันก็เหมือนกันเลยค่ะ แหม! เราสองคนที่แย่จังเลยนะคะ ซุ่มซ่ามขึ้นลิฟท์ของผู้บริหารได้ไงกัน แย่จริงๆ เลย"
"เธอคนเดียวน่ะสิ ประกายชล" บอสพูดแทรกขึ้นมา ก่อนที่ฉันจะหน้าแตกไปมากกว่านี้
"ท่านนี้คือ คุณไอตะวัน ประทานทรัพย์ ประธานบริษัทของเรา นี่เธออยู่ที่นี่มา 3 อาทิตย์กว่าแล้วนะ! แต่ยังไม่รู้จักประธานบริษัทของเราอีกเหรอ! "
"ห๊า!! เมื่อกี้เจ้านายว่าไงนะคะ! ประธานบริษัทเหรอคะ! คุณ... " ฉันหันเอามือไปชี้หน้าเขาหน้าตาตื่น
"ฉันขอโทษ! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปีนเกลียวคุณนะคะ! " ฉันหันมามองหน้าตาโย่งคนนั้นในฐานะที่เปลี่ยนไปสลับกับหน้าของเจ้านาย ความรู้สึกช็อควิ่งเข้าขยุ้มหัวใจแทบแหลก ฉันช็อค อย่างที่ไม่เคยช็อคมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ช็อคจนกระทั้งเป็นลมคาอกชายผู้แตกต่างกับฉันราว 'หมวกกับรองเท้า'
โปรดติดอ่านต่อตอนไป