9 ธันวาคม 2546 17:41 น.

ความฝันที่ถูกปิดบัง

TANOI_ZA

ตัวฉันเองเป็นอีกคนหนึ่งที่หาความฝันไม่เจอตั้งแต่เด็กๆ จะว่าอย่างนั้น 100 เปอร์เซ็นต์ก็เห็นจะไม่ถูก เพราะในตอนเด็กๆ เมื่อมีคนคนถามฉันว่าอยากเป็นอะไร คำตอบที่ออกจากปากฉันไม่เคยพ้นจากถนนสาย จิตรกร สถาปนิก มัณฑนากร หรือนักออกแบบเสื้อผ้า หากฉันก็ต้องได้ยินเสียงตามหลังมาด้วยว่า ไม่ใช่ๆ อยากเป็นหมอดีกว่าเยอะเลย วิศวกรก็ได้จะได้รวยๆ นะลูก การที่ฉันได้ยินแบบนี้ทุกครั้งที่ฉันตอบคำถามเรื่องความฝันของตัวฉันเอง ทำให้ฉันจำไม่ได้ว่าเลยว่าฉันเลิกฝันไปตั้งแต่เมื่อไร ชีวิตฉันเดินไปอย่างไม่มีเป้าหมายตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ว่ามันนานเหลือเกิน นานมากจนฉันลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าฉันเคยอยากเป็นจิตรกร ถึงวันนี้ฉันไม่เสียใจอีกแล้วที่เดินมาอย่างไร้จุดหมาย เพราะตอนนี้ฉันเจอความฝันสายใหม่เรียบร้อยแล้ว มันอาจจะไม่ใกล้เคียงกับฝันเมื่อตอนที่อายุ 6 7 ขวบ แต่มันก็เหมือนจะไม่ไกลด้วยเช่นกันเพราะฉันต้องใช้จินตนาการในการทำความฝันชิ้นนี้ แต่จะมีสักกี่คนละที่จะเจอความฝันสายใหม่ได้อย่างฉันและเขาจะเจอกันเมื่อไร ใกล้ตายอย่างนั้นเหรอหรือเมื่อเขาแก่จนทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว 
จริงๆ แล้วการที่ฉันได้เจอฝันสายใหม่ก็ไม่ได้หมายความฉันจะได้เดินบนถนนสายนั้นจนฉันสามารถเรียกมันได้ว่า นี่คืออาชีพการงานของฉัน เพียงแต่ฉันจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้วิ่งตามความฝัน เพราะบ้างทีการที่เราได้วิ่งตามความฝันอาจจะมีความสุขกว่าการรักษาความฝันที่เราคว้ามาไว้ในมือแล้วก็เป็นได้ 
มีเพื่อนหลายคนอิจฉาฉันที่เจอความฝันตัวเองแล้ว ถึงแม้ว่าตอนที่ฉันฟังมันจะรู้สึกขัดๆ ในใจเล็กน้อยที่พวกเขาดีใจที่ฉันเจอความฝันเมื่อโตมาขนาดนี้เนี้ยนะ (มันก็คงดีกว่าไม่เจอเลย คำพูดนี้ต่อว่าฉันในใจทุกครั้งที่ฉันคิดแบบนี้) จริงๆ แล้วฉันอยากให้คนเราเจอความฝันตั้งแต่เล็กๆ ด้วยซ้ำ ฉันเคยถามเพื่อนเมื่อตอนที่ยังเรียนมัธยมว่า โตขึ้นมาอยากทำงานอะไร น้อยคนที่จะสามารถตอบได้อย่างเต็มปากว่าอยากเป็นอะไร ส่วนใหญ่ตอบว่า ยังไม่รู้ ตอนนี้ขอแค่เอนทรานซ์ติดก็พอใจแล้ว ตัวฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ตอบว่า ยังไม่รู้ตอนนี้ขอแค่เอนทรานซ์ติดก็พอใจแล้ว ฉันได้แต่รู้สึกโมโหตัวเองในใจที่โตจนป่านนี้แล้วแต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะเป็นอะไรอีก แล้วอย่างนี้มันจะมีกำลังในการทำงานได้ไง อย่างนี้ก็คงไม่ต้องสงสัยเลยใช่ไหมว่าทำไมเวลาเราไปเข้ารับการบริการงานแล้วรู้สึกว่าเขาไม่เต็มใจดูแลเรา ก็เพราะเขาไม่มีแรงจูงใจจากใจจริงอย่างไรละ
พูดถึงความฝันทุกคนมีกันทั้งนั้น ฝันอยากได้นู่นอยากได้นี่ ฝันอยากเป็นนู่นอยากเป็นนี่ หลากหลายความฝันในตอนเด็ก หากคุณเคยสังเกตไหมว่าน้อยคนนักที่จะได้สานต่อความฝันนั้น และถ้าหากคิดดูดีๆ ความฝันในวัยเด็กมีไม่กี่แบบหรอก แพทย์ วิศวกร ทหาร พยาบาล ตำรวจ คำพูดที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ถูกปลูกฝังมาโดยผู้เลี้ยงดูว่า โตขึ้นหนูต้องเป็นอย่างนั้นนะ หนูต้องเป็นอย่างนี้นะ เด็กๆ ไม่มีโอกาสหาความฝันด้วยตัวเอง เพราะเราผู้ตั้งความหวังไว้กับเขาพูดกรอกใส่หูอยู่ทุกวันปิดปังความฝันที่แท้จริงของตัวเด็กไว้ 
คุณเคยถามตัวเองไหมว่าเป้าหมายในอนาคตจริงๆ ของคนเราอยู่ที่ไหน บ้างคนตอบว่า เข้าโรงเรียนชื่อดังให้ได้ บางคนตอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังและบรรจุเป็นหมอให้ได้ แต่ทุกคนกลับมองข้ามเรื่อง่ายๆ ที่เป็นพื้นฐานในการเป็นแรงจูงใจให้เราตั้งใจไปให้ถึง นั่นคือสิ่งที่ตัวเองชอบเพราะไม่เคยมีผู้ใหญ่คนไหนบอกให้เราหาความฝันตัวเองให้เจอตั้งแต่ยังเด็ก กว่าจะเจอก็เดินมาผิดสายเสียแล้ว 
ถ้าอย่างนั้นฉันก็อยากจะถามต่อว่าแล้วเมื่อไหร่ละที่เด็กควรจะหาความฝัน ฉันก็ต้องตอบว่าเด็กๆ เรียนรู้ที่จะรัก ที่จะมีความฝันตั้งแต่เพิ่งเกิดมาใหม่ๆ แล้ว หากไม่เคยได้รับรู้ถึงมันเลยสักครั้งเพราะความหวังที่ผู้ใหญ่ฝากไว้อย่างไม่ลดละ ทำให้เด็กๆ ท้อที่จะวิ่งตามความฝันของตัวเอง จนในที่สุดเด็กๆ เหล่านั้นก็จะใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมายที่แท้จริง มีแค่เพียงความฝันจอมปลอมที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ คอยกรอกใส่หูทุกวันเป็นเป้าหมายในชีวิต

การที่ฉันเขียนบทความนี้ขึ้นก็เพราะไม่อยากให้ใครพลาดเอาความสุขในอนาคตของลูกหลานตัวเองมาใส่กรอบที่ตัวเองหวังไว้ว่าอยากให้เขาเป็นอะไรบ้าง คุณควรจะปล่อยให้ให้เขาตามหาความฝันของตัวเองเจอตั้งแต่เด็กๆ และสนับสนุนต่อไปด้วยความจริงใจ ฉันเคยได้ยินมาว่า  คนเราจะเก่งอะไรก็เอาให้ดีไปเลยอย่างเดียวก็เกินพอ แล้วคุณจะเห็นว่าผลมันคุ้มค่าที่รอคอย				
13 พฤศจิกายน 2546 19:42 น.

ประกายชล - ไอตะวัน 3

TANOI_ZA


ตอนที่สาม เริ่มรัก
          หลังจากนั้น ฉันกับคุณไอและตาเค้กก็กลับบ้านด้วยกันเป็นประจำทุกวัน แต่จะมีในบางคืนที่ฉันจะพาเขาไปเที่ยวสถานที่เที่ยวยามกลางคืน เช่น ผับหรือตลาดกลางคืน โดยปราศจากเงาตาเค้กค่อยติดตาม เพราะตาเค้กจะต้องนอนแต่หัวค่ำทุกคืน (อันที่จริงแล้ว ที่พาไปเที่ยวกลางคืน เพราะอยากไปไหนมาไหนกันแค่สองคนด้วยนั่นแหละค่ะ) 
          วันนี้ก็เช่นกัน เราก็มาผับเดิมที่เรามักจะมาเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ เนื่องจากว่าร้านนี้เป็นร้านประจำของฉันกับยัยกลอน หรือ ร้อยกรอง ทองประพันธ์ ซึ่งวันนี้ฉันได้นัดยัยกลอนมาด้วย เพราะตั้งใจอยากจะให้ไอ (แน่ะๆ! เริ่มไม่เรียกคุณแล้วนะยัยชล) มีเพื่อนคนอื่นนอกจากฉันบ้าง ในตอนที่เราสองคนไปถึงกลอนได้นั่งรอเราสองคนอยู่แล้ว ฉันจึงรีบจูงมือไอเข้าไปทัก
"มานานหรือยังกลอน รอนานหรือเปล่าวะ ก็ตาเค้กหลานรักเธอน่ะสิ กว่าจะทำการบ้านเสร็จ กินอิ่ม นอนหลับได้ ก็ปาไป 3 ทุ่มครึ่งแล้ว กลอนเงยหน้ามองแล้วตอบว่า 
ไม่นานเลยย่ะ แค่เกือบชั่วโมงเอ....เอง ยัยกลอนชะงักไปนิดนึง คงเพราะตกใจไม่คิดว่าฉันจะพาคนอื่นมาด้วย ฉันจึงเริ่มแนะนำตัวทั้งสองคนให้รู้จักกัน
อ้อ! นี่คุณไอตะวัน ประทานชล ประธานบริษัทของเรา แต่ตอนนี้เวลาเลิกงาน ตำแหน่งเลยเท่ากันแล้ว เลยเรียกไอเฉยๆได้ และฉันก็แนะนำกลอนให้ไอรู้จักต่อทันที
ส่วนนี่ ยัยกลอน เพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมค่ะ 
          ทั้งคู่เงียบไปสักพักหนึ่ง จึงเริ่มกล่าวคำทักทายซึ่งกันและกัน วันนี้ทั้งกลอนและไอเงียบผิดปกติ เหมือนกับว่ากำลังคิดถึงอะไรบางอย่างกันอยู่ ซึ่งฉันน่าจะสังเกตได้ไม่ยากนัก แต่ดูเหมือนว่าใจจริงของฉัน ก็กลัวจนไม่กล้าพอที่จะสังเกตพฤติกรรมนั้น
          ช่วงเวลาหลังจากวันนั้น ยัยกลอนก็เข้ามาร่วมก๊วนบ่อยขึ้น แต่ถ้าฉันเข้าใจสีหน้าและท่าทางของไอไม่ผิด ฉันว่าเขาไม่ชอบให้ยัยกลอนเขาไปยุ่งเกี่ยวกับเขามากนัก 
          อย่างเช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งเรา 4 คนไปเดินซื้อของกัน แล้วฉันก็มองเห็นเสื้อตัวหนึ่ง ซึ่งฉันคิดว่าทั้งแบบทั้งสีต้องถูกใจคุณไอแน่ๆเลย จึงชวนทุกคนให้หยุดมอง
"นี่ เสื้อตัวนั้นสวยจัง ไอฉันว่าคุณต้องชอบแน่ๆเลย เราแวะดูกันก่อนเถอะ พวกเราจึงพากันเดินไปที่ร้านเสื้อร้านนั้น 
คุณไอตะวันชอบสีไหนคะ ชอบสีฟ้าหรือสีแดง แต่กลอนว่า คุณไอตะวันต้องชอบสีฟ้าแน่เลย ใช่ไหมค....
ไม่ใช่! สีแดง เขาสวนขึ้นมาทันควัน ทั้งๆที่ยัยกลอนยังพูดไม่จบดีด้วยซ้ำ น้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่พอใจและแฝงความหมายอะไรบางอย่างซึ่งฉันก็ไม่สามารถเข้าใจเขาได้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเขายังไม่เคยแสดงกริยาแบบนี้กับฉันเลยสักครั้ง
ผมชอบสีแดง แล้วก็ไม่ได้ชอบสีฟ้าอีกต่อไปแล้ว โปรดเข้าใจไว้ด้วย
          เขาหันไปหาพนักงานและบอกให้จัดเสื้อตัวสีแดงใส่ถุงให้ด้วย ทั้งคู่อาจจะไม่ทันสังเกตุถึงรอยแตกแยกที่แสดงออกมา เพราะ ณ เวลานั้น ดูเหมือนว่าเขาสองคนจะลืมไปแล้วด้วยซํ้า ว่าฉันเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกัน ซึ่งมันก็ทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ที่ตอนนี้ฉันเองก็ยังอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน 
          ฉันในตอนนี้รู้แต่ว่า คุณไอยังชอบสีฟ้าอยู่แน่ๆ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ฉันเคยชี้ให้เขาดูเสื้อสีแดงตัวหนึ่ง แต่เขาก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะเอาเสื้อตัวสีฟ้าอีกตัว ทั้งๆที่แบบเสื้อมันแก่เกินวัยเขาไปมาก 
          ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่ร้านเสื้อในวันนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่มากไปกว่านั้นอีก แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆทุกครั้งที่เขาสองคนพบกัน จนกระทั่งวันหนึ่งไอก็บอกกับฉันว่า 
"คุณชล คือ...วันนี้เราไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลงกันโดยที่ไม่กลอนได้ไหม 
          ฉันอยากจะถามเหตุผลเขาใจจะขาดว่า ทำไมเขาถึงรังเกียจกลอน ถึงขนาดที่ไม่อยากให้ไปไหนมาไหนด้วย จะเป็นเพราะว่ากลอนเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราสองคนก็ไม่น่าจะใช่ (เอาเข้าไปคนเราเวลาอย่างนี้ยังจะมีอารมณ์มาเข้าข้างตัวเองอีก) แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่ถามเขาออกไป เพราะฉันคิดว่าเขาต้องมีเหตุผลของเขา ที่ยังไม่พร้อมจะบอกฉัน 
          แต่สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของฉัน มันถามเขาแทนคำพูดของฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัว จนกระทั่งเขาส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้ฉันพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันหวั่นไหว
"ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่..วันนี้ผมอยากอยู่กับคุณแค่สองคน ก็เท่านั้นเอง
          หลังจากที่เราดูหนัง กินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขับรถไปส่งตาเค้กที่บ้านก่อนตามปกติ แต่วันนี้ใจฉันที่มันสั่นไปด้วยความหวั่นไหว อันเกิดจากสายตาเขาที่ส่งมาให้ฉันเมื่อเย็น จนฉันอยากจะให้ตาเค้กนอนดึกสักวันเพื่อไปเป็นเพื่อนฉันเอาซะดื่อๆ แต่ฉันก็เข้าใจต้องยอมปล่อยตาเค้กไปนอนตามปกติ 
แต่กว่าฉันจะยอมออกจากบ้านได้ ก็โอ้เอ้อยู่นานจน 4 ทุ่มครึ่งได้ เราสองคนถึงเริ่มเดินทางออกจากบ้านของฉัน 
          ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างทาง ต่างคนต่างนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่บ้าง ฉันรู้แต่ว่าฉันอยากจะรู้ความหมายของสายตาที่เขาส่งมาให้เมื่อเย็นนี้ ว่ามันจะใช่อย่างที่ฉันเข้าใจหรือเปล่า ในเมื่อเขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ใครจะกล้าสรุปอะไรเข้าข้างตัวเองล่ะ ไม่นานนักเราสองคนมาถึงที่ร้าน เมื่อเรานั่งที่โต๊ะและสั่งเครื่อง ดื่มเบาๆกันเรียบร้อยเขาก็พูดออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมสายตาที่ชวนฉันรู้สึกจั๊กจี้ใจ
"วันนี้ผมดีใจนะที่ทั้งคุณกลอนและเค้กไม่ได้มาด้วย เขาเริ่มพูดอะไรที่ทำให้ใจฉันสั่นและเริ่มกลัวเขาขึ้นมาเล็กน้อย
คือผมมีอะไรอยากจะบอกคุณให้รู้เอาไว้ รับฟังผมด้วยแล้วกัน ถึงแม้ว่ามันออกจะกระทันกันไปหน่อย แต่ผมก็คิดดีแล้วล่ะ ว่าผมรักคุณ และอยากให้คุณเท่านั้นมาเป็นแฟนผม 
คะ! ว่าไงนะคะ! ฉันตะโกนพร้อมกับทำตาโตด้วยความตกใจ
          แต่สักพักก็รู้สึกถึงความร้อนจากจุดต่างๆของร่างกายที่เริ่มพุ่งขึ้นสู่ใบหน้าเป็นจุดเดียว ใจสั้นไม่เป็นจังหวะ มือไม้อ่อนแรงแถมยังเกะกะจนไม่รู้จะจับไปวางไว้ที่ไหน และใบหน้าก็ยังหนักจนไม่มีแรงจะยกขึ้นมาสบตาคนพูดด้วยซํ้า สักพักเครื่องดื่มที่เราสั่งไปเมื่อกี้ก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าเราสองคน ฉันไม่รออะไรแล้วล่ะค่ะ มือที่รู้สึกเกะกะเมื่อกี้เหมือนเจอที่พักพิง รีบดิ่งไปหยิบนํ้าส้มขึ้นเทลงคอแบบรวดเดียวจบ
'เอ้ะ! แต่ว่าทำไมนํ้าส้มมันรสชาติแปลกๆนะ เอ้า! แล้วทำไมนํ้าส้มมันถึงมีสองแก้วได้ล่ะ ก็เมื่อกี้..คุณไอสั่งบรั่นดีไปไม่ใช่เหรอ
คุณไอ ทำไมมองชลแปลกๆล่ะคะ
ก็ตั้งแต่รู้จักคุณมา ผมไม่เคยเห็นคุณดื่มเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์เลยนี่ครับ เรื่องที่ผมบอกรักคุณมันทำให้คุณกลุ้มใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ
          คำพูดที่เหมือนจะห่วงใยและสำนึกผิดที่บอกรักฉันกระทัน แต่ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆหรอก เขาต้องการจะแซวที่ฉันหยิบแก้วผิด เพราะเขินที่เขาบอกรักฉัน ก็เขาอมยิ้มที่แสนจะน่ารักไว้จนแก้มปริเลย ฉันจึงแกล้งทำเป็นงอนแก้มป่องให้เขาง้อเล่น แต่เขาไม่ยอมง้อ กลับถามฉันต่อว่า
"แล้วคุณรักผมหรือเปล่า เรื่องอะไรจะตอบ ก็ฉันยังเขินยังงอนอยู่เลยนิ
งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ผมชวนคุณออกไปเต้นรำเพลงต่อไปดีกว่า ถ้าคุณออกไปเต้นกับผมแสดงว่าคุณเองก็รักผมด้วยเหมือนกัน ตกลงเอาอย่างนี้นะครับ 
          สักพักเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ก็จบลง และเพลงใหม่ก็เริ่มบรรเลงอินโทรไปพร้อมกับหัวใจฉันที่เริ่มสั่นแรงยิ่งกว่าเดิมอีกครั้ง เขาออกไปยืนรออยู่ที่ลานเต้นรำ แต่ฉันก็ยังไม่ยอมลุกตามเขาออกไป เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอย่างเดียว เพราะว่าฉันยังเขินอยู่เลยนี่นา 
          ครู่ต่อมาเมื่อฉันก็รวบรวมความกล้าได้ ก็ลุกขึ้นเอามือโอบรอบเอวเขาไว้พร้อมกับซุกหน้าลงที่อกของเขาทันที 
ยอมเต้นรำได้ด้วยก็ได้ เพราะเห็นว่าใจกล้าบอกรักคนอย่างเราหรอกนะ แต่ฉันก็ต้องรู้สึกแปลก เพราะว่าเขากลับไม่ยอมขยับตัวเลยสักนิดเดียว ออกจะแข็งๆด้วยซ้ำไป ก็คงตลึงนั่นแหละคงไม่คิดว่าฉันจะกล้าขนาดนี้ ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้ตาฝาดหรือฉันไม่เป็นบ้าไป แต่ฉันก็ต้องตกใจสุดขีด (เน้นอีกครั้งนะคะว่า สุดขีด จริงๆ) เมื่อพบว่าคนที่ฉันเอาหน้าไปซบอกเมื่อกี้เป็นหนุ่มหล่อที่ไหนก็ไม่ทราบ 
ไม่จริ๊ง......ใครว่ะเนี้ย โคตรหล่อเลย เอ้ย!! ไม่ใช่ ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เวลามาเหล่หนุ่มหล่อนะยัยบ๊อง ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้เล่า
          ฉันอยากจะเป็นลมให้มันรู้แล้วรู้รอดไปตอนนั้นเลย แต่ว่ายังทำไม่ได้ เพราะหนึ่งหนุ่มหล่อผู้นี้ จะต้องไม่รับตัวฉันที่กำลังจะล้มลงไปแน่ๆเลย (แถมยังจะมีเตะซ้ำอีกด้วย ข้อหาหน้าตายังไม่สวยเข้าขั้น แต่ดันถือโอกาสลวนลามคนหล่อ) และสองไอตะวันอยู่ไหนล่ะ ก็เมื่อกี้ฉันฉันยังเห็นเขาอยู่ตรงนี้อยู่เลยนี่นา ฉันจึงหันหลังเพื่อมองหาเขา ปรากฎว่าเขายืนทำหน้าเหวอเหมือนเห็นผียังไงยังงั้นเลย เขาคงคิดว่าฉันปฏิเสธเขาละมั้ง แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็จะทำร้ายจิตใจเขาเกินไปแล้ว ซึ่งฉันจะไม่มีทางทำแน่ๆ 
          แล้วเขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร (ซึ่งใครที่ว่าก็คือ ฉันนั่นแหละ) และถ้าฉันเดาไม่ผิด คงจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นสีหน้าที่เหวอกว่าของฉัน แบบที่ไม่สามารถสรรหาคำใดๆในโลกนี้มาอธิบายได้เลย 
          ตอนนี้เขาก็คงจะรู้แล้วว่าฉันไม่ได้จะปฏิเสธเขา แต่มันเป็นเพราะว่าฉันเขินมากจนซุ่มซ่ามเซ่อซ่าทำให้สารภาพรักผิดคน ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่แสนจะโรแมนติคและน่าประทับใจ (คืออันนี้มันก็ประทับใจนั่นแหละ แต่ฉันไม่อยากให้เราประทับใจกันแบบนี้นี่) แล้วเขาก็รีบพาฉันออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งพ่อหนุ่มรูปหล่อยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 
          เมื่อเราสองคนเข้ามานั่งในรถและหันมาสบตากัน เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งแถมยังดังกว่าเดิมอีกด้วย
"โอ๊ย!! ให้ตายเหอะผมไม่อยากจะเชื่อเลย โอ๊ย!! ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะขนาดนี้ แต่ผมกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆนะคุณ
          ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนที่จะเสียมารยาทกับใครได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะกับคนที่เขาพึ่งจะสารภาพรักไป แต่เขาก็เสียมารยาทกับฉัน เพราะฉันดันทำตัวซุ่มซ่ามน่าหัวเราะเยาะเองนี่นา เป็นใครเขาก็ต้องหัวเราะลืมตายกันทั้งนั้นแหละ
'แต่เขาก็ไม่ควรจะหัวเราะขนาดนี้นี่'
          ฉันเลยไม่คิดจะพูดอะไรเพื่อเป็นการแก้ตัว แต่มันก็ทำให้เขาค่อยๆเบาเสียงหัวเราะลงอย่างเกรงใจฉัน เราสองคนนั่งเงียบมาตลอดทางฉันเองก็เอาแต่นั่งนึกว่า
'ฉันยังไม่ได้บอกรักเขาเลย อุตส่าห์จะบอกก็ดันทำแผนเสีย โอ๊ยนึกทีไรอยากจะเอาหัววิ่งชนนุ่นให้ตายไปเลยจริงๆเชียว
          เราเงียบกันจนกระทั่งตอนเขาก็ขับรถผ่านทุ่งหญ้ากว้าง ติดริมแม่น้ำ ทำให้ฉันนึกอะไรดีๆออก และหวังว่าคราวนี้คงไม่เกิดอะไรที่น่าประทับใจมากไปกว่าตอนที่อยู่ในผับอีกแล้ว ฉันจึงรวบรวมความกล้าพูดออกมาว่า
"อยากนั่งดูดาวริมแม่น้ำจังเลยค่ะ 
          ไม่มีคำตอบจากเขา แต่เส้นทางเดินรถได้เปลี่ยนจากที่ขับอยู่บนถนน ไปเป็นขับฝ่าทุ่งหญ้าและจอดที่ริมแม่น้ำ ฉันเปิดเพลงช้าให้เข้ากับบรรยากาศรอบๆตัวเรา แล้วจึงเปิดประตูเดินลงจากรถ ไปนั่งกอดเข่ารอเขาด้วยใจที่แทบจะออกมาเต้นแร็พอยู่ข้างนอกตัวอยู่แล้วที่ริมแม่น้ำ (แถวบ้านชลและท่านผู้อ่านหลายๆท่านอาจจะเรียกมารยาหญิงชนิดนี้ว่า อ่อย ก็ได้นะคะ แล้วเหยื่อจะติดเบ็ดหรือเปล่าลองอ่านกันต่อค่ะ) แล้วเขาก็เดินมายืนอยู่ข้างๆ 
'นั่นไง! ติดกับแล้ว เอ้ย!!ไม่ใช่ มาอ้อนเราแล้ว' (อาการอาจจะนอกหน้านอกตาไปบ้าง แต่ก็อย่างว่า นานจะหลงมา ก็ต้องรีบ รวบหัวรวบหางไว้ คุณคนโสดเช่นดิฉันคงเข้าใจดี) สักพักหนึ่งฉันก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่แสนอบอุ่น เพราะเสื้อคลุมไหล่ที่มาพร้อมกับกลิ่นนํ้าหอมจางๆและสัมผัสที่เขาวางลงบนไหล่ของฉัน
คลุมไว้ดีกว่า อากาศเย็นๆแบบนี้ ถ้าคุณไม่สบายผมคงไม่เป็นอันทำอะไรพอดี เขาหน้าแดงแป๊ดเลย คงรวบรวมความกล้าที่จะพูดอะไรทำนองนี้อยู่นานเลยสินะ แต่ฉันยังไม่ยอมพูดขอบคุณเขาหรอกนะ เพราะว่าฉันเองก็กำลังรวบรวมความกล้าที่จะบอกรักเขาอยู่ 
          ตอนนี้ก็เลยได้แต่มองไปที่ประกายของแม่นํ้าที่เกิดจากแสงจันทร์และแสงดาวที่กระทบกับคลื่นแม่นํ้าจนกลายเป็นประกายแวววาว เพื่อรวบรวมความกล้า (เกี่ยวกันไหมเนี้ยที่มองดูประกายของแม่นํ้าแล้วมีความกล้าเพิ่มขึ้นได้เนี้ย พูดเหมือนกับเรื่องรักโรแมนติคจะกลายเป็นหนังแปลงร่างอย่างนั้นแหละ แต่ว่ามันทำให้ใจฉันที่สั่นอยู่สงบลงไปเยอะเลยล่ะ)
"ไอ เราอยากเต้นรำกับไอ....ได้ไหม!? สายไปหรือเปล่า" 
          พูดจบฉันก็ร้องไห้ออกมา ทั้งๆที่มันก็แค่ขอเขาเต้นรำเพื่อแทนคำตอบที่เขาถามฉันที่ผับ แต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกตื้นตันขนาดนี้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่า ฉันเคยคิดว่าระหว่างฉันกับเขามันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะฐานะเราต่างกันมากเหลือเกิน หรือไม่ ความรู้สึกลึกๆในใจ ฉันรู้สึกว่าไขว่คว้าใจเขาไม่ได้เลย ในใจลึกๆของฉันที่ไม่กล้ายอมรับว่า เขาได้ให้ใจใครคนหนึ่งไปแล้วตลอดกาล ฉันตอนนี้เหมือนฝันอยู่ กลัวว่าอีกประเดี๋ยวก็อาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้ กลัวความไม่มั่นคง และอีกหลายๆความรู้สึกที่มันเต็มอยู่ข้างในใจ
"เป็นอะไรชล อยากเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ ผมยินดีอยู่แล้ว ผมกลัวแต่ว่าคุณจะไม่ยอมเต้นกับผมซะอีก ฉันสวนขึ้นมาทันทีว่า
เต้นซิเต้น เราจะเต้นกับไอคนเดียวเลยทั้งชีวิตนี้ ห้ามไอเผลอใจไปเต้นกับใครแล้วด้วยนะ เขาเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับนํ้าตาฉันเบาๆ และโอบกอดฉันไว้อย่างอ่อนโยน
จะเต้นเลยไหม ผมอยากเต้นรำกับคุณแล้ว เขาประคองฉันขึ้นมา แล้วเราก็กอดกันพร้อมกับยํ่าเท้าไปตามจังหวะดนตรีที่ผสมผสานกับเสียงจิ้งหรีดเรไร ฉันคิดได้อย่างเดียวว่าตั้งแต่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ เพลงนี้เป็นเพลงที่เพราะที่สุดในชีวิตฉันแล้ว 
"เรารักไอนะ....รักมานาน แต่รู้ว่าไม่ควรไขว่คว้า รู้ว่าไม่เคยอยู่ในฐานะอื่น นอกจากคนที่ไออยากเป็นเพื่อนด้วย ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมา เหมือนมีเส้นบางๆที่เรามองไม่เห็นมากั้นกลางระหว่างเราไว้ แต่ตอนนี้เรากลับกลัวมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
กลัวอะไรหือ!? ไม่เห็นมีอะไรที่น่ากลัวเลย จริงอยู่ว่าตอนแรกผมก็แค่ประทับใจชล อยากได้เพื่อนอย่างชล แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้ชลเป็นแค่เพื่อนแล้วนะ
เรากลัวความไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าสักวันหนึ่ง จะมีใครเข้ามาทำให้ไอกลับไปหาหรือเปลี่ยนใจไปจากเราหรือเปล่า เรากลัวจะเสียไอไป แต่ถ้ามันถึงวันนั้นจริงๆละก็ เราอยากให้ไอบอกเราตรงนะ ไม่ต้องทนฝืนอยู่กับคนที่ไอไม่ได้รักหรอก
พอเหอะชลยิ่งพูดยิ่งใจหาย อย่าพูดอีกเลยนะ ผมจะหายไปไหนได้ยังกัน ผมไม่ไปไหนหรอกจะอยู่กับชลนี่แหละ ผมสัญ.... ฉันเอื้อมมือไปปิดปากเขาเบาๆ ก่อนที่เขาจะหลุดคำที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาทำมันไม่ได้หรอกออกมา
อย่าสัญญาเลย มันไม่แน่นอนหรอก เราเองก็แค่พูดเผื่อๆไว้เท่านั้นเอง ถ้ามันจะมีวันนั้นเราก็แค่อยากให้ไอได้อยู่กับคนที่ไอรักจริงๆมากกว่าทนอยู่กับเรา แต่ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ เราจะทำใจปล่อยไอไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย 
          ไม่มีคำพูดใดๆจากเขา ฉันเองก็กำลังงงกับสิ่งต่างๆที่ฉันเพิ่งพูดออกไป ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมถึงแช่งตัวเองแบบนั้น แต่มันเหมือนอะไรบางอย่างบอกให้ฉันพูดออกไปเช่นนั้น
"เอ่อ.....ชลผม..มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกชล.. 
          ตู๊ดๆ...ตู๊ดๆ... เสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้นมา เขาจึงขอตัวไปคุยโทรศัพท์ก่อน สักพักเขาก็วิ่งกลับมา ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
ผมมีธุระด่วน!! ต้องรีบไปจัดการ เดี๋ยวผมไปส่งชลที่บ้านก่อนแล้วกันนะ 
เฮ้อ...ฉันจะโล่งอกหรือกลุ้มใจต่อดีละเนี้ย ที่เขายังไม่ได้พูดสิ่งที่ส่วนลึกในใจฉันสงสัยและรํ่าร้องอยากที่จะรู้ความจริงอยู่ 
          ตลอดทางกลับบ้านสีหน้าเขาดูเคร่งเครียดมาก จนฉันไม่อยากจะถามอะไร เพราะแค่นี้เขาก็เครียดกับงานจะแย่อยู่แล้ว เมื่อถึงบ้าน ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไร เขาก็ชิงพูดตัดหน้าฉันว่า
"โชคดีนะครับ ราตรีสวัสดิ์ แล้วพรุ่งนี้ผมจะมารับ ฉันจึงรีบหันไปเปิดประตูรถและเดินลงไปอย่างสนับสนุนอาการเร่งรีบของเขา แต่พอเขาลับตาไป ฉันก็เดินยิ้มอย่างมีความสุขเข้าบ้าน
จะขี้โกงเกินไปหรือเปล่านะที่มีความสุขจนล้นใจขนาดนี้ในขณะที่เขากำลังเคร่งเครียดกับเรื่องงาน แต่มันก็คนละส่วนนี่นา มีความสุขก็มี เป็นห่วงก็เป็นห่วงไง ไม่เรียกว่าขี้โกงหรอก (แบบนี้แถวบ้านเขาเรียกว่า แก้ตัวเข้าข้างตัวเองแล้ว)

          ฟ้าสวยสดใสมักน่ากลัวกว่าฟ้าที่หม่นหมอง เพราะอะไรที่มองแล้วถูกใจ มองแล้วมีความสุข เรามักไม่อยากให้มันจากเราไปเร็ว ทั้งๆที่เราทุกคนก็รู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่า เราจะได้มองเห็นฟ้าสวยสดใสนี้ไม่ได้นานนักหรอก สักวันก็ต้องมีวันที่ฟ้าหม่นหมองเข้ามาแทนที่ ดังนั้นทุกครั้งที่เรามองท้องฟ้าที่สวยสดใสก็จะมีความรู้สึกกลัวไปด้วยพร้อมกัน และตอนนี้ประกายชลก็ได้มีโอกาสเห็นฟ้าที่สวยสดใสสมใจเธอ ก่อนที่ฝนจะเข้ามาสร้างความเปียกปอนหัวใจที่อัดแน่ไปด้วยความกลัวสิ่งที่เธอคิดว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น 
TANOI_ZA				
12 พฤศจิกายน 2546 15:40 น.

ประกายชล -ไอตะวัน 2

TANOI_ZA



          ตอนที่สอง เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่มีความหมายขึ้นของประกายชลลองติดตามอ่านกันดูนะคะ 

          เอ้ะ! ที่ไหนเนี้ย อืม...อ้าวเจ้านาย งั้นเมื่อกี้ฉันก็ฝันไปนะสิ โชคดีจริงๆที่เป็นแค่ฝัน" ฉันหันไปร้องทักเจ้านายด้วยอาการที่ยังมึนงงอยู่ และเริ่มมองสำรวจไปรอบๆตัว จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเอาความหล่อ ที่ฉันฝันถึงมาตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา

"อ้าวนาย! ได้เจอกันอีกครั้งจนได้นะ เอ้อนี่! เมื่อกี้ฉันฝันว่านายเป็นประธานบริษัทของเราด้วยล่ะ ตลกชะมัดเลย ประธานบริษัทดีๆที่ไหนจะรักความลำบากชอบขึ้นรถเมล์มาทำงานกันเน้าะ ฉันพูดพร้อมกับหันไปขอความคิดเห็นจากไอตะวัน (แล้วคนดีๆที่ไหนจะพูดไม่คิดแบบฉันมั่งนะ)

ก็ประธานบริษัทเราไงล่ะ ยัยประกายชล บอสฉันพูดเสียงเข้ม พร้อมกับกอดอกมองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่อยากจะบรรยายเลยว่ามันน่ากลัวขนาดไหน

ไม่เป็นไรหรอกครับคุณดุสิต เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผมไม่ถือหรอก แล้วเขาก็หันมาทางฉันพร้อมกับอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น

วันนั้นบังเอิญ รถของผมเสียแถวๆป้ายรถเมล์ที่คุณรอรถเมล์อยู่ พอดีวันนั้นผมก็รีบไปเตรียมงานกับเลขาเพื่อเข้าร่วมประชุมตอนเช้าด้วยก็เลย...

อ้าว แล้วทำไมไม่ขึ้นรถแท็กซี่ล่ะ 

เธอก็ฟังให้จบก่อนซิประกายชล มัวแต่พูดขัดขึ้นมาเธอจะฟังจบหรือเปล่าล่ะ

ครับ ผมก็ขึ้นไม่เป็นอีกนั่นแหละครับ แล้วบังเอิญตอนนั้น ผมเห็นคุณซึ่งใส่เครื่องแบบพนักงานของบริษัทเรายืนอยู่ ผมจึงคิดว่าคุณคงจะไปทำงานที่บริษัทแน่ๆ ก็เลยไปขอความช่วยเหลือคุณ เขาอธิบายให้ฟังยกใหญ่

เอ้อ!! วันนั้นผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณ ที่ช่วยพาผมขึ้นรถเมล์เลย ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอขอบคุณคุณไว้ ณ ตรงนี้เลยนะครับ เอาไว้ผมมีโอกาสเมื่อไหร่ จะตอบแทนคุณให้สมกับที่คุณช่วยประธานบริษัทไว้เลย

ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกคะ ฉันสิต้องขอบคุณคุณที่ยังอุตส่าห์ขอบใจฉัน เอาเป็นว่าฉันขอรับไว้แค่น้ำใจก็แล้วกัน เพราะคนระดับอย่างคุณ อย่ามาเสียเวลาตอบแทนเศษน้ำใจของพนักงานบริษัทที่ไม่มีค่าอะไรอย่างฉันอยู่เลย งั้น..ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวเลยก็แล้วกัน สวัสดีค่ะ ฉันพูดใส่เขาด้วยเสียงที่ห้วน สั้น (จนฉันเองยังสงสัยเลยว่า ทำไมถึงพูดใส่คนที่ฉันคิดถึง แบบตัดเยื่อขาดใยขนาดด้วย) และฉันก็หันไปบอกเจ้านายว่า

เอ้อ!! เจ้านายค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปเตรียมข้อมูลให้ที่ห้องนะคะ กรุณาเร็วๆด้วยนะคะ หนูไม่ชอบรอใครนานๆ

ครับ ได้ครับคุณประกายชล เจ้านายตอบรับฉัน ด้วยสีหน้าที่งงๆในพฤติกรรมแปลกๆของฉันที่พูดใส่ประธานบริษัทคนโปรดของเขา

ตกลง นี่ผมเป็นเจ้านายมันหรือมันเป็นเจ้านายผมกันแน่เนี้ย. รู้สึกว่าผู้ที่บอสหวังว่าจะให้แสดงความคิดเห็นด้วย กลับไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย เพราะใจของไอตะวันได้ลอยตามติดไปกับฉันผู้ที่เพิ่งจากไป (อุ้ย! เขินจังเลยอ่ะ ผู้อ่านจะคิดว่าฉันเล่าเรื่องเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าเนี้ย)

              

               เพราะอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน ที่ทำให้ฉันแสดงท่าทีกับไอตะวันไปแบบนั้น ทั้งๆที่ฉันควรจะดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งสิ มันอาจจะเป็นเพราะว่าฉันผิดหวังที่ฉันได้รู้ว่า จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่อยู่คนละระดับกับฉัน เป็นคนที่ฉันไม่มีสิทธิ์คิดถึงไม่มีสิทธิ์หวัง ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันมีแต่เขาในหัวใจ คิดถึงเขาทุกวัน รอเขาด้วยความหวังทุกวัน ว่าเราจะมีโอกาสได้สนิทกันมากกว่าวันนั้น แต่พอได้มารู้จักกันอย่างเป็นทางการ เขากลับกลายเป็นใครแล้วก็ไม่รู้ที่ฉันไม่ควรตีสนิทด้วย (โอ๊ย!! ยัยบ๊องเอ๊ย.....เรื่องง่ายๆแค่นี้ยังไม่เข้าใจอีก เขาเรียกว่าน้อยใจก็เลยประชดไปอย่างนั้นไง) 

               เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ทำให้ฉันนั่งเหม่อตลอดทั้งวัน ทำงานก็ผิดๆพลาดๆ เพราะว่านั่งคิดแต่เรื่องของเขา ได้แต่นึกโมโหตัวเองที่ทำตัวไม่รักดี รู้ทั้งรู้ว่าไอตะวันเขาอยู่เกินเอื้อมแล้ว ฉันก็ยังจะคิดถึงเขาไม่เลิกอีก แถมตอนที่แอบเจ้านายหลับ ก็ยังฝันว่าได้มีครอบครัวที่แสนอบอุ่น กับเขา(นี่ขนาดห้ามใจตัวเองนะเนี้ย ยังเพ้อได้ขนาดนี้ ฝันซะเป็นตุเป็นตะเลย นี่ถ้าไม่ได้ห้ามไว้ล่ะก็ฉันคงฝันว่าฉันมีเหลนกับเขาเลยละมั้งเนี้ย) 

               

               ในตอนเย็นขากลับบ้าน ฉันก็ต้องไปรับตาเค้กที่ ร.ร.อนุบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง และจะพาเขาไปกินไอศกรีมร้านประจำกับเพื่อนสนิทฉันอีกคนหนึ่งด้วย

               พอฉันเดินมาถึงที่ลานจอดรถ ก็เจอชายคนหนึ่งถามฉันว่าอะไรซักอย่าง แต่ฉันก็ไม่ทันได้ฟังอะไร และเหมือนว่าเขาพยายามจะพูดอะไรต่อ แต่ว่าฉันในตอนนั้นไม่มีอารมณ์จะฟังอะไรแล้วทั้งนั้นก็เลยจะเดินหนีและก็พูดบ่นกับตัวเองว่า

เฮ้อ!!...นี่ฉันเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี้ย ไม่มีอารมณ์จะฟังใครเขาพูดอะไรหรือไงนะยัยชล เฮ้อ!!......

เมฆๆ เมฆ รอพี่ด้วย พี่มีเรื่องจะปรึกษาหน่อย เรื่องใหญ่มากๆเลย พี่ไม่เคยเจอปัญหาที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลยในชี...........วิต เสียงนี้ทำใ ห้ฉันที่กำลังจะจากไป หยุดนิ่งแล้วหันมามองที่ต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ฉันทำท่าจะกล่าวทักทายในตอนแรกแล้ว แต่ก็เปลี่ยนใจ (แบบเพิ่งนึกได้ว่าเขาอยู่เกินเอื้อม) ไม่อยากพูดคุยเสวนากับคนที่อยู่คนละระดับ เดี๋ยวคุณไอตะวันเขาจะดูต้อยตํ่า ฉันจึงตัดสินใจที่จะเดินต่อไป แต่แล้วก็มีเสียงมาห้ามไว้ว่า

คุณประกายชลกำลังจะกลับบ้านเหรอครับ ให้ผมไปส่งได้หรือเปล่า

ตอบแทนเศษนํ้าใจฉันน่ะเหรอค่ะ คงไม่ต้องหรอกค่ะเพราะฉันกลับเองได้อยู่แล้ว ปัง!!!!!โครม เสียงฉันเดินชนป้ายห้ามเลี้ยว ที่วางอยู่ตรงลานจอดรถบริษัท จนหน้าควํ่า แต่ว่าคราวนี้ไอตะวันกลับไม่มีทีท่าว่าจะขำหรือมีอาการใดๆ นอกเสียจากสีหน้าที่แสดงความสงสัยอย่างเต็มเปี่ยม (TANOI_BONG: อ้าวไม่ห่วงเลยเหรอ แค่สงสัยอย่างเดียวอ่ะนะ) แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยฉัน ซึ่งก็ไม่รู้เพราะอะไร ฉันถึงได้ยินยอมเขาโดยไม่ขัดขืนสักนิด

เป็นไรมากหรือเปล่าครับ

ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ ปล่อยมือฉันได้แล้วมั้งคะ ฉันรีบมาก

ให้ผมไปส่งดีกว่าไหมครับ

ใช่ผมก็ว่าอย่างนั้นนะครับคุณคนสวย ผมว่าให้พี่ผมไปส่งเถอะ คุณดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะยุ่ง ไอเมฆ ประทานทรัพย์กล่าวเสริมทัพพี่ชาย

นะครับคุณประกายชล ผมมีธุระจะคุยกับคุณด้วยเเหมือนกัน แล้วฉันก็ต้องยอมเขาเพราะสายตาที่อ้อนวอนแกมดุเหลือเกินของเขาข่มฉัน

ไหนล่ะ รถคุณน่ะ แล้วรถฉันด้วยจะเอาไว้ที่นี่หรือไง พรุ่งนี้ฉันไม่มีรถขับมาทำงานนะคุณ เดี๋ยวก็มาทำงานสายหรอก งานคุณจะเสียได้นะ ฉันยอมเขาก็จริงอยู่ แต่ก็ยังไม่วายประชดเขานิดๆตามประสาคนขี้ใจน้อย

ก็เดี๋ยว พรุ่งนี้ผมค่อยไปรับคุณที่บ้านก็ได้นี่ ไม่เป็นไรหรอก เขาดูอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ฉันเองที่เมื่อกี้ก็กลัวเขาอยู่เหมือนกัน เริ่มผ่อนคลายลงไปบ้าง แล้วเราสองคนก็พากันออกมาจากบริษัทด้วยรถเบนซ์คันหรูของเขา โดยลืมว่าน้องชอยของเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกัน

               

               เราสองคนเงียบกันได้สักพัก ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา เขาเองก็เหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ยังไม่ยอมพูด ต่างคนต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นานจนกระทั่ง

คือ........ผม

นี่!! คุณ

ไม่ต้องมามัวเกี่ยงกันว่าให้ใครพูดก่อนหรอก เชิญคุณพูดได้เลยค่ะ เพราะฉันจะบอกให้คุณพูดน่ะแหละ บรรยากาศมันอึดอัดฉันไม่ชอบ เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วก็มีเสียงออกมาจากปากเขาด้วยนํ้าเสียงจริงจังว่า

ผม.........ไม่อยากให้คุณเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดปังคุณหรอกนะเรื่องที่ผมเป็นประธานบริษัท แต่มันเป็นเพราะว่าวันนั้น...

โอ๊ย!... ฉันไม่ได้โกรธคุณด้วยเรื่องแค่นั้นหรอก

อ้าว งั้นโกรธผมเรื่องอะไรละครับ

ก็เรื่องที่ฉันอุตส่าห์เฝ้าคิดถะ..........เปล่าไม่มีอะไร ฉันไม่โกรธคุณหรอก ฉันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ภายใต้สีหน้าที่ไม่รู้ไม่ชี้นั้น ตกใจแบบสุดๆ เพราะฉันเกือบจะหลุดเอาความในใจของฉันที่มีให้กับเขาออกไปอยู่แล้ว

ไม่จริง!!ผมไม่เชื่อคุณหรอก ก็คุณเมื่อกลางวันนี้ เขาเริ่มพูดเสียงแข็งขึ้นมาอีกรอบ เพื่อบังคับให้ฉันบอกความจริงกับเขา แต่เรื่องอะไรฉันจะบอกความในใจฉัน สู้พูดเปิดโอกาสให้ตัวเองสามารถคุยกับเขาได้ไม่ดีกว่าเหรอ ก็เมื่อกลางวันดันไปพูดตัดเยื่อขาดใยไว้ซะขนาดนั้น ต้องรีบพูดเดี๋ยวเขาไม่ง้อให้เราคุยด้วยจะยุ่ง

อ่ะ ก็ได้ๆ ฉันไม่โกรธคุณแล้วก็ได้ คุณก็ไม่ต้องอยากรู้เลยนะ ว่าฉันโกรธคุณเรื่องอะไร เขางงกับคำด่วนสรุปเอาเองแบบเอาแต่ใจของฉัน แต่ก็ต้องจำยอม เพราะดูเหมือนว่าฉันจะไม่ยอมพูดอะไรอีก และเขาจะไม่มีโอกาสได้รู้เหตุผลที่ฉันโกรธเขาแน่ๆ 

มีอีกเรื่องหนึ่ง คือ.....ผมไม่เข้าใจที่คุณทำแบบนั้น ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ ผมไม่อยากให้คุณทำเหมือนว่าเราไม่ควรคุยกันอย่างสนิทสนม มันไม่จำเป็นเลย ที่เราจะต้องทำตัวห่างเหินกันแบบนั้น คือผมหมายความว่า เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ถ้าเราจะไม่คิดถึงฐานะหน้าที่ทางการงานของเราสองคน" 

               พูดจบความเงียบ ก็เข้ามาครอบคลุมเราสองคนอีกครั้ง แต่คราวนี้ฉันและเขาไม่มีความรู้สึกอึดอัดเหลืออยู่เลยสักนิด มันกลับเป็นความรู้สึกโล่งอก เขาจะรู้หรือเปล่านะว่า คำพูดที่เขาพูด มันทำให้ฉันดีใจมากขนาดไหน ความน้อยใจเมื่อเช้านี้มันได้ถูกทำลายไปจนไม่เหลือเลยนะ 

               แต่ฉันเดาว่าเขาต้องรู้แน่เลยเพราะว่าฉันเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมานิดนึง จนฉันจรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยดุเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว ครู่ต่อมา เขาก็พูดขึ้นมาทำลายความเงียบภายในรถ และก็ทำลายฝันกลางวันของฉันด้วยค่ะ เพราะเมื่อกี้ฉันเผลอนึกถึง วันที่เราสองคนแต่งงานกัน (นี่ขนาดแค่บอกว่าให้เป็นเพื่อนกันได้เท่านั้นเองนะ ฉันยังเพ้อได้ขนาดนี้ ถ้าเขาบอกว่าสนิทกันได้ ฉันจะไม่เพ้อว่าฉันมีลูกกับเขาเลยเหรอเนี้ย)

"และที่สำคัญ ผมไม่ต้องการให้คุณดูถูกตัวเอง ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม แล้วน้ำใจของคุณ มันไม่ใช่แค่เศษน้ำใจเลยสักนิด น้ำใจที่คุณให้ผมมาในวันนั้นทำให้ผมประทับใจและคิดถึงคุณมาตลอด เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกตัวเองอีกเลยนะครับ" 

               ฉันว่าเขาคงต้องการพูดปลอบใจฉันมากกว่าต้องการสื่อความหมายอย่างอื่น แต่มันก็ได้ผลนะ มันทำให้ฉันเขินที่ฉันเขาประทับใจฉัน ฉันเลยพูดขัดเขาเพื่อแก้ไขบรรยากาศที่มันชวนจักจี้หัวใจของฉันว่า

"คุณประทับใจที่ฉันพาคุณขึ้นรถเมล์ผิดขนาดนั้นเลยเหรอ"

               ทั้งที่เรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าหัวเราะมากมายอีกแล้ว แต่มันก็ทำให้เราสองคน หันมาสบตากันและประสานเสียงหัวเราะกันจนเหมือนกับว่า เมื่อกลางวันฉันกับเขาไม่ได้ทะเลาะกันเลย เมื่อขับรถมาถึงทางแยก เขาจึงถามว่า

"จะให้ผมไปทางไหนต่อครับ"

"คุณไอตะวันรู้จักร.ร.อนุบาล...หรือเปล่าคะ คือฉันต้องไปรับลูกชายฉันที่นั่นด้วยค่ะ"

"อ้าว! นี่คุณประกายชลมีลูกแล้วเหรอครับเนี้ย แถมยังเรียนตั้งอนุบาลแล้วด้วย ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องแต่งงานมานานพอสมควรเลยน่ะสิ"

               ฉันตอบเขาพร้อมกับหันไปจ้องหน้าเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ฉันก็แค่อยากจะรู้ว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไงที่รู้ว่าฉันมีครอบครัวแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ฉันต้องการจะให้เขาเข้าใจผิดก็ตาม (งงไหมคะว่าทำไม ก็ถ้าเขามีใจให้กับฉัน และพอเขารู้ว่าฉันมีลูก เขาก็น่าจะแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาใช่ไหมคะ)

"ลูกน่ะมีแล้วค่ะ แต่ไม่ใช่ลูกที่มาจากท้องของฉัน ตาเค้กเป็นลูกของพี่ชายกับพี่สะใภ้ของฉัน ที่เสียชีวิตระหว่างไปทำงานที่ต่างประเทศเมื่อปีที่แล้วน่ะค่ะ ฉันเลยรับเป็นแม่บุญธรรมให้ตาเค้ก"

               สรุปแล้วฉันก็ต้องผิดหวัง เพราะฉันไม่เห็นสีหน้าที่แฝงความหมายอะไรสักอย่างที่ฉันอยากเห็นจากสีหน้าของเขา 

'นี่ที่เขาบอกว่า ให้เราสนิทกันได้ เป็นเพื่อนกันได้ เขาก็หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆเหรอเนี้ย ไอ้เราก็อุตส่าห์คิดไปถึงเรื่องที่เราได้แต่งงานกัน เฟื่องไปแล้วมั้งเรานี่ เฮ้อ..แต่ก็ช่างมันเหอะ เพื่อนก็เพื่อนวะ ดีกว่าทนคิดถึงเขาล่ะ' เมื่อเรารับตาเค้กขึ้นมาอยู่บนรถเรียบร้อย ตาเค้กก็ทวงสัญญาขึ้นมาทันที

"ชลๆ คุณน้าคนนี้จะกินไอติมกับเราด้วยเหรอ" ทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า 

'เอ้าตายแล้วฉัน มัวแต่นึกถึงเรื่องของตัวเองจนลืมลูก ลืมผัวเลย เอ้ะ!!ผัว เอ้ย! สามียังไม่มีนี่นา ก็มีแต่ที่อยากให้มาเป็นละน้า' ฉันนึกอะไรแผลงๆและก็เผลอมองไปที่เป้าหมายที่วางไว้ในความคิด

"คือ...ฉันลืมไปเลยค่ะว่าฉันนัดเพื่อนสนิทของฉันกับตาเค้กไว้ ว่าเราจะไปร้านไอศกรีมเจ้าประจำกัน คุณไอตะวันสนใจจะไปด้วยกันหรือเปล่าคะ ฉันจะได้แนะนำว่าที่สามี เอ้ย!! ไม่ใช่ เพื่อนใหม่ของฉันให้เพื่อนสนิทของฉันรู้จักด้วย" เขาเงียบไปอึดใจ 

'รึว่าเขาจะอึ้ง ที่ฉันเปิดเผยขนาดนั้นนะ แต่ว่า..คงไม่ใช่หรอกมั้ง สีหน้าเขาไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไรเลยนิ' ฉันจึงถามขึ้นอย่างเกรงใจและอย่างพึ่งนึกขึ้นได้ว่า

"แต่ถ้าไม่ว่าง ก็ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวเราสองแม่ลูกลงตรงนี้ก็ได้ค่ะ" นี่ต้องเน้นคำว่าแม่ลูกให้เยอะๆเข้าไว้ จะได้ดูเป็นนางสาวไทยกับเขาบ้าง ช่วยด้วยแล้วกันนะตาเค้ก นี่แหละคนที่แม่อยากให้เป็นพ่อเราน่ะ

"ว่างสิครับ ว่าง ตกลงเดี๋ยวผมไปด้วยก็ได้ครับ ผมเองก็ไม่ค่อยได้เที่ยวไหนนักหรอก เหงามานานแล้ว"

               ตอนที่เขาพูดว่า 'ผมเองก็ไม่ค่อยได้เที่ยวไหนนักหรอก เหงามานานแล้ว' เขาดูเศร้าลงมานิดนึง แต่ก็กลับเข้าสู่สีหน้าปกติได้อย่างรวดเร็วแต่มันก็ไม่สามารถรอดจากความรู้สึกฉันไปได้หรอก ในขณะที่เรากำลังนั่งคุยกันอยู่นั่นเอง เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นขัดจังหวะเรา 

'โธ่ ยัยกลอนนี่เอง' มันโทรมาบอกว่ามันมาไม่ได้แล้ว เพราะว่างานที่มหาวิทยาลัยมีปัญหานิดหน่อย ให้ฉันกับตาเค้กไปร้านไอศกรีมกันสองคนได้เลย 

'แต่เสียใจย่ะ วันนี้ฉันมีคุณไอตะวันว่าที่ลูกเขยบ้านฉันมาด้วยแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องเธอเบี้ยวนัด เรื่องจิ๊บๆ' เราสามคนจึงเปลี่ยนโปรแกรมกัน โดยเริ่มจากดูหนัง 

'ให้ตายเถอะค่ะท่านผู้อ่าน เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหน ที่ดูหนังรักโรแมนติคแล้วร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้เลย ทำให้เราทั้ง 3 คนต้องแย่งผ้าเช็ดหน้าที่มีอยู่เพียงผืนเดียว (ซึ่งเป็นของเขา ที่ให้ฉันมาในตอนแรกน่ะแหละ เพราะว่าฉันเป็นคนเริ่มร้องไห้ก่อน) กันยกใหญ่' 

               พอออกมาจากโรงหนังได้ ฉันกับตาเค้กก็พากันหัวเราะที่เขาร้องไห้ซะยกใหญ่ ซึ่งเจตนาของฉันคือ ฉันคิดว่าเขาน่ารักจังเลยที่ดูหนังเศร้าแล้วร้องไห้ได้ขนาดนั้น เขาเหมือนกับตาเค้กเวลาดูละครเรื่องบ้านทรายทองกับดาวพระศุกร์ไม่มีผิดเลย ส่วนตาเค้กนี่สิเรียกว่าหัวเราะเยาะได้เลย แถมยังแซวจนคนถูกแซวหน้าแดงแป๊ดเลย และฉันเริ่มสังเกตุได้ว่า ดูเหมือนวตาเค้กจะไม่ค่อยชอบใจเขาสักเท่าไหร่ เพราะตาเค้กชอบพูดแซวและถามประวัติคุณไอตะวันจนละเอียดยิบชนิดที่ฝ่ายทะเบียนประจำอำเภอยังยอมแพ้เลย แต่มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่มีผู้ชายเข้ามาทำความรู้จักฉัน (ซึ่งนานๆ แบบว่าโคตรนานมากๆจะมีหลุด เอ้ย! หลง เอ้ะ!ไม่ใช่ๆต้องเป็นคำว่า 'เข้ามาในชีวิตฉัน' สิ) เพียงแต่ว่าคราวนี้ ตาเค้กแปลกๆอย่างไรก็ไม่ทราบ ฉันเองก็บอกไม่ถูก เพราะเหมือนว่าตาเค้กก็จะยอมๆเขาบ้าง อาจจะเป็นเพราะว่าคุณไอตะวันสุภาพกับฉันและเอาใจตาเค้กเก่ง 

'เอ้ะ! หรือตาเค้กดูออกว่าคุณไอตะวันไม่ได้คิดอะไรกับฉันหว่า'

               ตอนที่เราไปนั่งกินข้าวกันถือว่านี่เป็นเวลาที่ฉันมีความสุขมากเลย (TANOI_BONG:ก็แหม ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคุณพ่อคุณแม่คุณลูกนี่  ประกายชล:คือ.......อันนั้นมันก็ใช่แหละค่ะ แต่มันมีที่ทำให้มีความสุขมากว่านั้นคือ ฉันได้รู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับเขา) ตอนที่เรานั่งกินข้าวกันอย่างมูมมาม เอ้ย! อย่างมีความสุข (มูมมาม ถ้าจะเรียกให้ดูดีต้องเรียกว่ากินข้าวอย่างมีความสุขนะคะ หมายเหตุ 'กินข้าวอย่างมีความสุข' มีผลบังคับแค่กับเราสองแม่ลูกเท่านั้น คนอื่นไม่มีผลค่ะ) อยู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาว่า

"ผมจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่ผมกินข้าวแล้วมีความสุขน่ะ มันเมื่อไหร่" 

"อ้าว ทำไมละคะ ชีวิตคุณก็ออกจะดูสมบูรณ์ดีไม่ใช่เหรอคะ"

"ผมหมายถึงความสุขทางใจต่างหากละครับ" 

'เอ้ะ พูดงี้หมายความว่าไงเนี้ย คนฟังใจพองโตแล้วนะ'

"ผมไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท ที่เรียกว่าจริงใจกับผมสักเท่าไหร่หรอก จะมีที่คุยกันได้ก็ ไอเมฆน้องชายผมกับนายกวีเพื่อนอีกคนที่ตอนนี้ไปเรียนอยู่ต่างประเทศ ยังไม่กลับมาเลย"

"อืม" ฉันและตาเค้กพยักหน้ารับฟังพร้อมกัน

'แปลกแหะ ตาเค้กนั่งนิ่งเชียวไม่กวนแล้วหรือพ่อตัวยุ่ง'

"เพื่อนที่มีอยู่ตอนนี้ ตอนไปดูหนังด้วยกันก็คอยแต่จะคิดว่า 'บริษัทเพื่อนจะพัฒนาไปถึงไหนกันแล้วนะ' พอไปกินข้าวด้วยกันก็คิดแต่ว่า 'จะทำยังไงดีจะพูดยังไงดี ถึงจะได้กำไรหรือผลประโยชน์จากบริษัทที่มานั่งกินข้าวกันด้วยกันนะ' ทำให้ผมลืมบรรยายกาศการดูหนังและการกินข้าวที่คนปกติเขาทำกันไปนานเลย" แล้วเขาก็หันมาสบตาฉัน

"จนกระทั่งวันนี้ ที่ผมได้มากับคุณ ผมถึงได้กลับมารู้สึกสนุกกับการนั่งกินข้าวและการดูหนังอีกครั้งหนึ่ง ผมคิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกจะเป็นเพื่อนคุณ ตั้งแต่วันนั้นผมก็เอาแต่คิดว่า 'ถ้าได้คนแบบนี้มาเป็นเพื่อนก็คงจะดี' ขอบคุณ คุณประกายชลมากนะครับที่ชวนผมมากับคุณด้วยวันนี้"

"ก็ ไม่เท่าไหร่หรอก เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ แม่ผมใจบุญอยู่แล้ว"

"ตาเค้ก!! จุ๊ๆ" ฉันส่งเสียงพร้อมสายตากำราบตาเค้ก 

'แหม ตาเค้กนะ ตาเค้ก แม่อุตส่าห์ดีใจที่เรานั่งเงียบฟังคุณไอตะวันมาตลอด หลงนึกว่าลูกเราไม่ต่อต้านคุณไอตะวันแล้วซะอีก' แล้วเขาหัวเราะออกมาได้กับท่าทีเราสองคน ฉันอุทานออกมาอย่างเข้าใจเขาว่า

"มิน่าล่ะ! ตอนที่ฉันชวนคุณมาด้วย ถึงเอาแต่นั่งเหม่อและก็พูดเหมือนไม่ค่อยยินดียินร้ายกับการไปเที่ยวไหนสักเท่าไหร่เลย ที่แท้เพื่อนที่มีอยู่แต่ละคน ก็ไม่มีใครน่าไปไหนด้วยสักคนนี่เอง" เขาไม่ตอบอะไรออกมา มีแต่รอยยิ้มที่ส่งมาแทนคำตอบ

งั้นเอาอย่างนี้ไหม ต่อไปนี้ถ้าฉันจะไปเที่ยวไหนฉันจะชวนคุณไปกันนะ

ได้ครับผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ว่าแต่..........น้องเค้กจะยอมให้น้าไปด้วยได้ไหมครับ ฉันหันไปมองหน้าตาเค้ก เพื่อส่งสายตาบอกให้ตาเค้กตอบรับคุณไอตะวัน

อืมๆก็ได้ๆ นี่เห็นว่าน่าสงสารหรอกนะ แล้วชลก็ส่งสายตามาอ้อนวอนอีกด้วย ไม่งั้นอย่าหวังเลย

นี่ตาเค้ก มากไปๆ อายุเท่าไหร่กันหรือไงเรา จะไปเทียบรุ่นกับน้าเขาได้ไง 

ก็นั่นแหละ ก็น้าไอยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องพึ่งเค้กนี่ ฉันต้องหันไปขอโทษไอตะวันในความแก่แดดของพ่อยอดยุ่ง แต่เขากลับพูดว่า

สมกับที่คุณเลี้ยงมาเลยนะครับ เหมือนกันเหลือเกิน 

               แทนที่ฉันจะเคืองกับการแซวของเขา ฉันกลับภูมิใจที่ฉันเลี้ยงตาเค้ก แล้วเขาสามารถซึมซับนิสัยฉันไปได้บ้าง เพราะสำหรับการที่เราเป็นแค่ลูกบุญธรรมกับแม่บุญธรรมนั้น ไม่ได้มีอะไรที่สามารถเป็นเครื่องยืนยันความเป็นแม่เป็นลูกกันได้ นอกจากกระดาษแค่ใบเดียว เพราะฉะนั้นความสนิทสนมจะเป้นอีกอย่างที่ทำให้เรารักกันได้เหมือนเราเป็นแม่เป็นลูกกันจริง ฉันจึงหันไปหัวเราะพร้อมกับเขา โดยมีตาเค้กนั่งงงอยู่ ว่าเราหัวเราะกันเรื่องอะไร

 

               เมื่อเขามาส่งเราสองแม่ลูกที่บ้าน ก่อนลงรถเขาก็พูดขึ้นมาว่า

เรากลับบ้านด้วยกันทุกวันได้ไหมครับ ผมสนุกมากเลยวันนี้ และผมก็ยังติดใจอยู่เลย คุณเองเมื่อไหร่จะไปเที่ยวก็ไม่รู้ ผมคงอดใจทนไม่ไหวแน่ๆเลย 

เอาอีกแล้ว คุณไอตะวันขา....คำพูดที่ชวนให้คนฟังเข้าใจผิดแบบนี้ ขยันพูดให้คนฟังหัวใจพองอยู่เรื่อยเลยนะ

เป็นเด็กเลยนะคะ ได้ขนมที่อร่อยๆชิ้นหนึ่งแล้วก็อยากกินชิ้นที่สองต่อขึ้นมาทันทีเลย

แล้วตกลงหรือเปล่าละครับ

ก็ได้ไง ถามอยู่ได้ แม่เราเขาใจดีจะตาย โดยเฉพาะกับนาย แต่นายต้องไปรับเราที่ร.รหลังเลิกเรียนทุกวันด้วยนะเข้าใจป่ะ ตาเค้กตอบแทนฉันที่กำลังยืนอึ้งเพราะความดีใจ (แบบว่า จริงๆอยากจะตอบไปเลยทันทีที่เขาถามเลยด้วยซํ้าว่า ได้เลยค่ะ แต่ว่ามารยาเอ้ย!! มารยาทหญิงที่แม่สอนมาตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็ก มันคํ้าคอให้ทำท่าคิดก่อนที่ตอบตกลง)

เกินไปตาเค้ก ฉันหันไปส่งสายตาพร้อมกับเสียง เพื่อปรามความซ่าของตาเค้กก่อนเล็กน้อย แล้วจึงหันไปตอบตกลง

ได้ค่ะ แต่ต้องไปรับตาเค้กที่ร.ร.ทุกวันด้วยนะคะ คุณจะไหวเหรอ

ได้ครับ ผมไหวอยู่แล้ว ตกลงแล้วนะครับ แล้วอีกอย่างนึง คุณจะเรียกผมว่า ไอ เฉยๆก็ได้ครับ ส่วนผมขอเรียกคุณว่า ชล นะครับ

คุณน่ะเป็นประธานบริษัทจะเรียกฉันว่าชลสั้นๆน่ะได้อยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ฉันนี่สิเป็นแค่พนักงานบริษัทจะเรียกชื่อคุณเฉยๆได้ไงไม่ดีหรอก เดี๋ยวพนักงานในบริษัทคนอื่นๆก็ไม่เคารพคุณกันพอดีสิ

อืม...งั้นเอาอย่างนี้ ไว้คุณเรียกผมว่าไอตอนหลังเลิกงานก็ได้ครับ

โอเคค่ะ กลับบ้านปลอดภัยนะคะ วันนี้ขอบคุณมากค่ะ ตาเค้กขอบคุณน้าเขาด้วยสิ วันนี้เขาอุตสาห์พาเราสองแม่ลูกไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่นะ

ขอบคุณครับ นายมีบุญนะเนี้ยได้คำขอบคุณจากเราด้วย

งั้นโชคดีนะคะ สวัสดีค่ะ เมื่อคุณไอ (ได้เรียก ไอ สั้นๆเป็นครั้งแรกแล้ว ดีใจจัง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่การเรียกในใจก็เหอะ) ขับรถพ้นไปจากสายตาเราสองคน ฉันจึงชวนตาเค้กเข้าบ้าน ขณะที่เราจะเข้าบ้านฉันก็ตั้งใจว่า จะทำหน้าที่คุณแม่สักหน่อยจึงพูดขึ้นว่า

ตาเค้ก! แก่แดดเกินไปแล้วนะเรา แทนที่จะมีอาการสำนึกผิดหรือเข้าใจความหมายอะไรสักหน่อย ตาเค้กกลับพูดว่า

เอ้า!! ก็ของมันแน่อยู่แล้ว ผมลูกใครล่ะ ตาเค้กพูดอย่างนี้ทีไร ฉันทำอะไรต่อไม่ถูกทุกที ดูสิค่ะท่านผู้อ่าน ตาเค้กแก่แดดขนาดจับจุดอ่อนของฉันได้ว่า ฉันไม่ชอบสอนคนอื่นในเรื่องที่ตัวเองก็ยังไม่สามารถทำได้ ฉันจึงไม่พูดเรื่องนี้อีก ก็ด้แต่คิดว่าสักวันฉันจะต้องหาทางอื่นมาสอนตาเค้กให้ได้

ตอนนี้อาจเรียบๆไม่มีอะไรมาก แต่มันจะเป็นพื้นฐานของตอนต่อไปนะคะ

โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป(ด้วยนะคะ อิๆ) TANOI_ZA				
28 กันยายน 2546 19:18 น.

ประกายชล-ไอตะวัน ตอนที่ 1

TANOI_ZA

ฉันมีชื่อว่า ประกายชล ปิ่นทอง ค่ะ นิสัยที่เด่นที่สุดก็คือ ซุ่มซ่าม จนเพื่อนๆพากันเรียกฉันว่า 'ยัยเปิ่น' ชื่อเล่นฉันคือ 'ชล' ค่ะ ตัวฉันเองก็ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่า ความซุ่มซ่ามของฉันจะทำให้ฉันมีโอกาสได้พบกับคนที่ฉันจะสามารถรักเขาได้ตลอดชีวิตของฉัน เขาคนนั้นมีชื่อว่า 'ไอตะวัน ประทานทรัพย์' นามสกุลก็บอกแล้วใช่ไหมคะว่าไอตะวันเขารวย 

                แต่วันที่เรารู้จักกันครั้งแรก ฉันไม่รู้หรอกนะคะ ว่าเขาเป็นประธานบริษัทที่ฉันทำงานอยู่ เพราะว่าฉันเพิ่งเริ่มทำงานที่นั่นแค่ 1 อาทิตย์เอง อยากรู้กันไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างความรักวิบากของเราสองคนบ้าง

               เรื่องมันเริ่มจากวันนั้น วันนั้นเป็นวันที่ฉันออกมาทำงานช้ากว่าปกตินิดหน่อย เนื่องจากว่า วันนี้เป็นวันเกิดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉันที่ชื่อว่า เค้ก (อันที่จริงแล้ว ตาเค้กไม่ใช่ลูกชายของฉันหรอกค่ะ ตาเค้กเป็นลูกของพี่ชายของฉัน แต่ว่า...พี่ของฉันได้รับอุบัติเหตุระหว่างไปทำงานพร้อมกับพี่สะใภ ้จนถึงขั้นเสียชีวิต เหลือสมบัติล้ำค่าไว้ให้ฉันและพ่อกับแม่เก็บรักษาไว้เพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ ตาเค้กนี่แหละ)

                แถมวันนั้นไอ้กระป๋องน้อยของฉัน (รถยนต์น่ะค่ะ) ก็ดันมาเสียเมื่อวานนี้อีก ทำให้ฉันต้องรีบมากเป็นพิเศษเลย ก็แหม...รถเมล์มันไม่ค่อยจะง้อใครนี่คะ ไม่รีบฉันได้ไปทำงานสายแน่เลย

'อุ้ย!! รถเมล์มาแล้ว' ฉันจึงรีบวิ่งเพื่อที่จะขึ้นรถเมล์ให้ทัน แต่ในขณะที่ฉันกำลังรีบอยู่นั่นแหละ ก็มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งวิ่งมาพูดกับฉันว่า

"คุณครับ! คุณครับ คุณที่ทำงานอยู่บริษัท...น่ะครับ รอผมด้วย คุณช่วยพาผมไปด้วยได้หรือเปล่าครับ คือผมขึ้นรถเมล์ไม่เป...." ฉันยังไม่ทันได้ฟังอะไรนักหรอกค่ะ ฉันก็รีบคว้าข้อมือเขา แล้วพาขึ้นรถเมล์ไปด้วยทันที ก็ใครเขาจะมัวนั่งคุยกันตอนรอรถเมล์ล่ะคะ พอขึ้นมาบนรถเมล์ได้ฉันก็บอกให้เขาพูดต่อ

"ว่าไงคะ เมื่อกี้คุณจะพูดอะไรเหรอ ตอนนี้ก็พูดได้แล้วล่ะค่ะ แต่ว่าคงพูดได้ไม่นานนักหรอกนะ เพราะว่าเดี๋ยวฉันก็ต้องลงแล้วล่ะค่ะ"

"คือผมขึ้นรถเมล์ไม่เป็น ผมก็เลยจะขอให้คุณพาขึ้นรถเมล์ด้วย เพราะผมก็ทำงานอยู่ที่เดียวกับคุณ" ฉันหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ เผยให้เห็นลักยิ้มน่ารักๆอันเป็นพรสวรรค์ที่พ่อแม่ให้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด (หลงตัวเองซะไม่มี)

"ขึ้นรถเมล์ไม่เป็น โห่!!คู๊ณ......เกิดมาตั้งกี่ปีแล้วเนี้ย คุณเองก็ดูแก่กว่าฉันอยู่หรอกนะ ถึงมันไม่น่าจะมากกว่ากันสักเท่าไหร่ก็เหอะ แต่กลับยังไม่มีปัญญาขึ้นรถเมล์อีกเหรอ" (ดูฉันสิซุ่มซ่ามแล้วยังปากเสียอีกต่างหาก จนเพื่อนๆต้องบอกให้ฉันไปหาคุณหมอ เพื่อผ่าตัดเอาฟาร์มสุนัขที่ได้สัมปทานในปากของฉันออกโดยด่วน)

                ยังไม่ทันที่เขาจะได้คัดค้านอะไรฉันหรอก ฉันก็รีบพูดอย่างภาคภูมิใจ ในความชำนาญด้านการขึ้นรถเมล์ของฉันว่า 

"ต้องฉันนี่คุณ ตอนนี้นะต่อให้หลับตาฟังแต่เสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์อย่างเดียว ฉันยังรู้ได้เล้ย... ว่ารถเมล์คันที่ผ่านหน้าฉันไปสายอะไร" ฉันเชิดหน้าขึ้นเพื่อสนับสนุนคำพูดของฉันเอง แต่แล้วคนทั้งรถเมล์ก็ต้องหันมามองเราสองคนเป็นตาเดียว เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็ฉันร้องเสียงดังลั่นรถเลยน่ะสิ

"เฮ้ย........................!!"

"คุณ คุณ...คุณทำงานที่เดียวกับฉันใช่ไหม แล้ววันนี้คุณรีบไปทำงานหรือเปล่า" ฉันพูดพร้อมกับสะกิดไหล่เขาด้วย

"คือ...เราต้องลงป้ายหน้าโดยด่วนแล้วนะคุณ เตรียมตัวดีๆล่ะ"

"อ้าว!! ทำไมละครับ จะถึงแล้วเหรอ แต่ผมไม่เห็นคุ้นกับแถวนี้เลยนะ"

"เหอะน่า! เร็วเข้าอย่างเพิ่งถามอะไรมากเลย เราต้องลงแล้วล่ะ" 

                ฉันจูงมือเขาให้ลงที่ป้ายรถเมล์นี้ เพื่อต่อรถเมล์คันใหม่ให้กลับไปอีก 2 ป้ายที่ผ่านมา ทำไมน่ะเหรอคะ ก็เมื่อกี้น่ะสิคะ ฉันเหลือบไปเห็นว่ารถเมล์มันไม่เลี้ยวตรงที่มันควรจะเลี้ยวเป็นประจำทุกวัน แต่มันกลับตรงต่อไปแบบไม่มีทีท่าว่าจะเลี้ยวเลยสักนิด (ตอนแรกมีคิดแบบนี้ด้วยนะคะ 'คนขับต้องหลงแน่เลยแบบว่ายังไม่ส่างเมาจากเหล้าที่กินไปเมื่อวาน หรือไม่เขาเปลี่ยนเส้นทางใหม่' เพราะฉันเองก็ไม่ได้ขึ้นรถเมล์มานานแล้วเหมือนกัน แต่ดูยังไงๆก็ไม่มีทางใช่เด็ดขาด) ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมคะคุณผู้อ่าน ใช่แล้วล่ะค่ะฉันขึ้นรถเมล์ผิดสายไงคะ

                หลังจากนั้น พอฉันพาเขาขึ้นรถเมล์คันใหม่ได้ ฉันจึงบอกสาเหตุให้เขารู้ว่า ทำไมเขาถึงต้องลงรถเมล์คันเมื่อกี้ แล้วก็ต่อรถอีกสายเพื่อกลับมาอีก 2 ป้าย พอเขารู้เท่านั้นแหละ เขาก็ทำท่าเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ซึ่งฉันคิดว่าเขาไม่ต้องทำก็ได้ เพราะมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลย สู้ให้เขาหัวเราะออกมาเลย ยังจะดีซะกว่าที่เขาทำแบบนี้ (แต่ฉันว่านะถ้าเขาหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ละก็ เขาก็ต้องถูกฉันว่าว่าเสียมารยาทอีกแหละ จริงไหมคะ ก็คนมันก็คนขี้แพ้ชวนตีนี่ ใครจะทำอะไรก็ต้องผิดเสมอล่ะ) 

                ฉันดูออกเลยว่า เขาอยากหัวเราะจะตายอยู่แล้ว แต่ด้วยมารยาทหรืออะไรก็ตามที่สั่งสอนให้เขาเป็นคนที่มีมารยางามแบบนี้ ทำให้เขาไม่ยอมหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ (พอจะนึกภาพออกกันบ้างหรือเปล่าคะ ที่เขาเรียกกันว่า กลั้นหัวเราะแหล่ะคะ เขากลั้นซะจนหน้าดำหน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหล แก้มปริ ตาหยี คิดดูเอาเองนะคะ ว่าเขาขำกับเรื่องนี้ขนาดไหน) ยิ่งเขาทำแบบนี้ ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหน้าแตกยิ่งกว่าเก่าอีก เพราะว่าเมื่อกี้ ฉันทำตัวเสียมารยาทกับเขาไว้มาก แต่พอถึงคราวที่ฉันพลาดบ้าง เขากลับนิ่งเฉยเพื่อรักษาหน้าฉัน (ก็แล้วมันจริงไหมล่ะยัยเปิ่น ก็ตัวเองอยากทำตัวเสียมารยาทออกไปซะขนาดนั้นเองนิ) ฉันก็เลยพูดประชดเขาไปว่า 

"ถ้าคุณอยากจะหัวเราะมากขนาดนั้น ก็หัวเราะออกมาเลยเหอะ ฉันไม่ถือหรอก"

"ฮึๆ!! ฮะๆ ก๊า................................ก!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" เขาหัวเราะออกมาจริงๆด้วยค่ะ แบบเอาเป็นเอาตายเลยด้วย หัวเราะได้เด็ดดวง และเข้าถึงอารมณ์มากเลยนะพ่อคุณ ฉันจึงพูดห้ามเขาให้หยุดหัวเราะออกไปว่า

"นี่คุณ!......ถึงแม้ว่าฉันจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ฉันก็พูดประชดคุณนะ นี่คุณ นี่...คุณ อายคนอื่นเขานะ พอได้แล้วไม่ต้องหัวเราะแล้ว ฉันรู้แล้วว่าคุณขำที่ฉันหน้าแตก พอเหอะนะฉันขอล่ะ แค่นี้ฉันก็อายคุณจะแย่อยู่แล้ว อย่าให้คนอื่นเขาสงสัยที่คุณหัวเราะจนหน้าดำ หน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหลขนาดนี้เลย ฉันไม่อยากให้คนอื่นเขารู้นะ" (เห็นไหมคะคุณผู้อ่าน ฉันบอกแล้วว่าถ้าเขาหัวเราะออกมา ฉันก็ต้องไม่พอใจอีกนั่นแหละ)

"โอเคๆ ฮึๆๆโอ๊ย..คุณผมไม่ไหวแล้วจริงๆนะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"

"เอ้า!! ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้เล่า ฉันพูดอะไรผิดตรงไหนเล่า นี่คุณถ้าไม่รีบหยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะปล่อยให้คุณหลงไปเลยด้วย"

                นิ่งกริบไปเลย เป็นไงเล่าเงียบไปเลย แผนนี้ใช้ได้ผลค่ะ เขาเงียบไปเลย แต่ฉันสิพอเห็นหน้าเขาที่พยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ มันช่างเหมือนกับเวลาที่ เด็กๆพยายามกลั้นหัวเราะเวลาที่ฉันหน้าแตก แล้วงอนที่พวกเขาหัวเราะฉัน และพวกเขาก็ต้องมาง้อฉัน และที่เขากำลังทำอยู่มันก็น่ารักซะจนฉันต้องหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู แล้วเราสองคนก็สบตากันและหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างมีความสุข อารมณ์เขินอายเมื่อกี้ก็ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว มันเหลือแต่ความรู้สึกดีๆที่มีความสุขตอนที่เราหัวเราะกัน (ฉันคิดว่าเราสองคนรู้สึกอย่างนั้น)

                สักพักเราสองคนก็มาถึงที่หน้าบริษัท เพื่อนฉันก็มารออยู่ที่หน้าบริษัทเหมือนกับว่ามารอรับญาติที่ไม่ได้พบกันนานเป็นเวลา 20 ปีได้ หรืออีกกรณีก็นี่เลย พี่น้องที่ถูกพลัดพรากจากกัน ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ทุกคนมุ่งหน้ามาที่ฉัน ต่างแย่งกันถามฉันว่า 'ทำไมมาสาย ทุกคนเป็นห่วงเธอนะ ตอนแรกฉันก็นึกว่า เธอซุ่มซ่ามจนเดินไปชนรถใครเขาบุบซะแล้วสิ แต่ดูแล้วคงไม่ใช่มั้ง เพราะไม่เห็นมีเจ้าทุกข์ตามมาเอาเรื่องเลย' (มันจะดีมากเลยนะ ถ้าไม่มีประโยคท้ายๆนะคะเพื่อนๆ) พอฉันหันมามองหา 'เขาคนนั้น' (เขาคนนั้นของฉันก็คือ ไอตะวันนั่นแหละค่ะ ท่านผู้อ่าน) ก็ไม่อยู่ซะแล้ว แต่ก็ช่างเหอะ อยู่บริษัทเดียวกัน เดี๋ยวสักวันก็ต้องมีโอกาสได้เจอจนได้แหละ

                

               แต่นี่ผ่านไป 2 อาทิตย์กว่าแล้วนะ ทำไมฉันยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาอีกล่ะ ชื่อเขาฉันก็ยังไม่รู้เลย แล้วเขาจะจำฉันได้เท่ากับที่ฉันจำเขาได้แม่นยำไหมนะ ฉันในตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ฉันจำเขาได้ดีพอๆกับที่ฉันสามารถจำวิธีที่ใช้หายใจได้เลย แต่ฉันก็อธิบายไม่ได้หรอกว่า ทำไมถึงจำเขาได้ขนาดนี้

                เช้าวันนี้ฉันมาสายอีกแล้ว เพราะนั่งปั่นงานให้เจ้านายจนถึงตี 4 กว่าได้มั้ง (ที่เสร็จตี 4 กว่าเพราะว่า ก่อนหน้านั้นนั่งเล่นเกมส์Computerเพลิน จนตี 3 กว่าน่ะค่ะ) เลยตื่นสาย เรื่องไปส่งตาเค้กก็เลยต้องยกให้เป็นหน้าที่ของพ่อฉันอีกแล้ว

                ในขณะที่ฉันกำลังรอลิฟท์อยู่ฉันก็คิดว่า น่าจะหาแฟ้มข้อมูลเพื่อเตรียมให้เจ้านายดีกว่า ว่าแล้วฉันก็เริ่มทำการค้นหาทันที เสียงลิฟท์ดังขึ้น บอกให้ฉันรู้ว่า ลิฟท์มาถึงชั้นหนึ่งแล้ว ฉันรีบเดินเข้าไปทันที ทั้งๆที่ตาฉันยังคงก้มหาของในกระเป๋าไม่วางตา พอลิฟท์ปิด ก็มีเสียงทักฉันว่า

"อะแฮ่มๆ!! ประกายชลเธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า"

"คะ!? อ้าวเจ้านาย อรุณสวัสดิ์ค่ะเช้านี้อากาศดีนะคะ ชลเตรียมแผลงานมาให้เรียบร้อยแล้วค่ะ เจ้านายอยากจะดูเลยไหมคะ"

"อะแฮ่มๆ ประกายชล คือ..เมื่อกี้ฉันถามเธอว่าเธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า"

"เอ้ะ!? เฮ้ย!! ผิดค่ะ หนูขึ้นผิดจริงๆด้วย ขอโทษค่ะหนูไม่ได้ตั้งใจ คือ...หนูมัวแต่หาแฟ้มอยู่น่ะค่ะ"

"เอ่อ! พอๆๆ ฉันเข้าใจเธอดี คราวนี้ไม่เป็นไรแล้วกันนะครับคุณไอตะวัน ทีลูกน้องผมซุ่มซ่ามขึ้นลิฟท์ผิด" เขาพูดพร้อมกับหันไปขอความคิดเห็นจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรขึ้นมา ฉันก็ร้องทักคนที่ยืนอยู่ข้างเจ้านายของฉันอย่างดีใจว่า

"อ้าว!! คุณเป็นอย่างไรบ้างคะ? สบายดีหรือเปล่า? เอ้ะ!อย่างนี้ก็แปลว่าคุณก็ขึ้นลิฟท์ผิดเหมือนกันเลยสิคะ ฉันก็เหมือนกันเลยค่ะ แหม! เราสองคนที่แย่จังเลยนะคะ ซุ่มซ่ามขึ้นลิฟท์ของผู้บริหาร"

"เธอคนเดียวน่ะสิ ประกายชล" บอสพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ฉันจะหน้าแตกไปมากกว่านี้

"คนๆนี้คือ คุณไอตะวัน ประทานทรัพย์ ประธานบริษัทของเรา นี่เธออยู่ที่นี่มา 3 อาทิตย์กว่าแล้วนะ แต่เธอยังไม่รู้จักท่านประธานบริษัทของเราอีกเหรอ"

"ห้ะ!! เมื่อกี้เจ้านายว่าไงนะคะ ประธานบริษัทเหรอคะ คุณ....ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปีนเกลียวคุณนะคะ" ฉันหันมามองหน้าไอตะวันอย่างช็อคที่สุด อย่างที่ไม่เคยช็อคมาก่อนในชีวิต แล้วฉันก็เป็นลมคาอกไอตะวันไป


โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป....TANOI_ZA				
27 กันยายน 2546 18:19 น.

เหตุผล

TANOI_ZA

เคยได้ยินมาเป็นพันเหตุผลที่คนรักใช้ตอบคนที่เขารัก เวลาที่คนที่เขารักต้องการรู้ถึงเหตุผลว่า ทำไมเธอถึงรักเขา แต่สำหรับฉันไม่เคยหาเหตุผลเลยสักครั้ง ตอบได้แค่เพียงว่า "ไม่รู้สิ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรัก ว่าทำไมถึงต้องเป็นเธอ" และก็ตามมาด้วยประโยคนี้ "ความรักไม่มีเหตุผลไงล่ะ" จริงๆแล้วไม่เคยทราบซึ้งกับประโยคนี้มาก่อน 
                     จนกระทั่งฉันหาคำตอบให้คนที่ฉันรักไม่ได้ว่า ทำไมฉันถึงรักเขา แต่ก็ไม่คิดจะหาเหตุผลหรอกเพราะฉันเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เวลาที่คนเราทำอะไรด้วยเหตุผล เมื่อสักวันหนึ่งที่เหตุผลนั้นมันหมดไป เราก็จะไม่ต้องการที่จะทำสิ่งนั้นต่อไปแน่ๆ เช่น ถ้าฉันชอบเธอเพราะเธอหล่อ/สวย และถ้าสักวันหนึ่งเธอไม่สวย/หล่อขึ้นมาล่ะ ฉันคงเปลี่ยนใจไปจากเธอแน่ๆเลย แล้วถ้าฉันชอบเธอเพราะว่าเธอเป็นคนดี แต่พอวันหนึ่งฉันได้รู้อีกมุมหนึ่งของเธอขึ้นมา ฉันก็คงไปจากเธออีกแหละ เพราะเธอไม่ใช่คนดีอย่างที่ฉันคิด (แต่ฉันก็รู้ว่าไม่มีใครเป็นคนดีได้หมดหรอกนะ) 
                     เพราะฉะนั้นคำถามที่ฉันไม่อยากให้คนที่รักกันถามกันก็คือ "เธอรักฉันเพราะอะไร" และได้โปรดเถอะที่รัก ฉันไม่ต้องการได้ยินเหตุผลที่เธอรักฉันเลย เพราะมันจะทำร้ายกันทุกครั้งที่ได้ยิน มันจะทำให้ฉันกลัวว่า สักวันหนึ่งถ้าฉันไม่ได้เป็นแบบที่เธอชอบอีกแล้ว เธอคงจะไปจากฉันอย่างง่ายดายแน่นอน เพราะมันไม่เหตุผลใดๆอีกแล้ว ที่เธอจะรักคนที่ไม่มีอะไรที่จะทำให้เธอรักได้ 

ถ้าคิดดูดีๆแล้วมันก็เหมือนกับการบอกเลิกล่วงหน้าทั้งที่เราพึ่งเริ่มรักกันเท่านั้นเอง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงTANOI_ZA