21 เมษายน 2548 12:36 น.
TANOI_ZA
พี่อุ่น ยาแก้ปวดชมรมเราจะหมดหลอดแล้วนะ ไปเอามาให้พวกผมใช้หน่อยสิ กริช หรือ ไอ้กริช (ไม่! อย่าคิดว่าเราจะใช้คำนำหน้าชื่อไพเราะเสนาะหู เหมือนเด็กชมรมอื่น) หนุ่มหล่อบาดจิตหญิงตะโกนประโยคบอกเล่าดังออกมานอกห้องชมรมเทควันโดให้ดินฟ้าอากาศรอบกายฉันฟัง เมื่อเห็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญพร่องลงไปเหลือเพียงวิญญาณยาทาบรรเทาอาการปวดในหลอดสีฟ้าขนาดครอบครัว
เฮ้ย! ฉันเพิ่งเข้าไปเอามาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเองนะ
อันที่จริงการ (แกล้งอ่อนแอ เจ็บนู่นเคล็ดนี่) ไปโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย เพื่อรับยาทาบรรเทาอาการปวดฟรีมาให้กับคนในชมรมใช้ทาลดอาการปวดบวมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายควรเป็นหน้าที่ของสมาชิกในชมรมทุกคน แต่เอาเข้าจริงๆ แววตาแป๋วแว๋วของพวกรุ่นน้องในชมรมที่ส่งสายตามาอ้อนวอนก็ทำเอาหัวใจฉันอ่อนยวบพลั้งปากยอมรับหน้าที่นี้เองคนเดียว (เฮ้อ! ) เชื่อไหมว่าฉันแกล้งสำออยถี่จนหมอทั้งโรงพยาบาลจะจำหน้าฉันได้อยู่แล้ว
โธ่! คนชมรมเรามีแค่ 5-6 คน ที่ไหนล่ะเจ๊ ไผ่ไหว (ผู้ชายอะไรวะ ชื่ออย่างกับผู้หญิง) รีบสำทับในขณะที่เดินนำบรรดาทัพวานรมาทางฉันพร้อมกับหลักฐานเพื่อยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้โกหก (เรื่องนั้นฉันก็รู้ว่ามันไม่ได้โกหก แต่ฉันสงสัยว่ามันใช้กันยังไงต่างหากล่ะ! )
แต่ก็ไม่ได้มีถึง 20 นะเว้ย! ทำไมใช้กันกระหน่ำขนาดนี้วะ อย่างนี้ต่อให้ฉันแกล้งปวดบวมทุกอาทิตย์ก็คงหามาให้พวกแกถลุงไม่พอสักทีหรอก
น่านะ เจ๊นะ แค่นี้เอง ช่วยน้องหน่อยเถอะ นี่ผมให้เกียรติเลยนะ เห็นอาวุโสที่สุด พวกเราถึงได้ไว้ใจมอบหมายภารกิจแสนยิ่งใหญ่แบบนี้ให้หรอก ไอ้อ้นที่เข้าไปช่วยกริชและไผ่ไหวขนอุปกรณ์ฝึกซ้อมรีบวิ่งตามพองเพื่อนมาพร้อมกระสอบทรายใบเก่า และทำหน้าที่ลูกคู่ไม่ยั้งอย่างกลัวฉันจะคิดคำบ่นออก
พอเลยไอ้อ้น ไม่ต้องหลอกด่าเลยนะ เอ่อย่ะ! ฉันมันผิดเองที่เกิดมาก่อนพวกแก อีอุ่นมันทั้งแก่ทั้งด้านทั้งหนาที่สุดในชมรม งานใช้ความสามารถเฉพาะหน้าอย่างนี้ถึงไม่เคยพ้นฉันสักที อยากถอนหายใจให้พวกมันฟังดังๆ สักครั้ง แต่ก็ทำไม่ลงสักที
เออใช่ พี่เปิ้ลกระจับโฟมหายไปไหน ทำไมเหลือแต่แบบซัพพอร์ตเตอร์ล่ะ แล้วตัวกระจับก็หายไปอีกด้วย กริชเห็นท่าไม่ดี กลัวฉันจะบ่นน้องอ้นที่เคารพรักยาวตามนิสัยจึงรีบถามขึ้นมาขัดจังหวะ
เออว่ะ ไม่รู้เหมือนกัน พี่ไม่เห็นนานแล้วเหมือนกันนะ ห้องเราใช้เก็บอุปกรณ์หลายชมรมด้วย ไม่รู้ว่าติดไปเป็นอุปกรณ์กีฬาให้ชมรมไหนหรือเปล่า ทุกคนต่างพากันหัวเราะร่า เพราะกำลังนึกภาพเพื่อนร่วมห้องที่เป็นชมรมกีฬาอีกสามสี่ชนิดนำกระจับไปเป็นอุปกรณ์กีฬาตามคำพูดติดตลกของพี่เปิ้ล
อืมม์ๆๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้ไอ้อ้นมันไปเหลากะลามาใช้แทนไปก่อนก็ได้ ไผ่ไหวพูดขึ้นมาหน้าตาเฉยเสมือนการเหลากะลามาใช้แทนตัวกระจับนั้นเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกัน (ซึ่งมันไม่ช่าย!! )
เฮ้ย! อั๊วว่ากะลาไม่ได้ว่ะ ไอ้อ้นพูดขึ้นมาอย่างนี้ ฉันขอเดาว่าประโยคที่มันกำลังจะพูดต่อไปคงทำให้ฉันตะลึงไม่แพ้การเหลากะลามาใช้แทนตัวกระจับแน่นอน
กะลามันแข็งไป ถูกเตะเข้าไปน้องชายอั๊วคงแตกยับไม่เหลือซากแน่เลยว่ะ อีกอย่างนะ กะลามันแข็งไปว่ะ เดี๋ยวพี่อุ่นไม่มีกระจับไปอมกันปากแตกนะเว้ย ไผ่ไหวคู่หูสุดแสบของไอ้อ้นรีบทำหน้าที่ลูกคู่
ไอ้อ้น ไอ้ไผ่ ไอ้ @*#%!^!?!? (คงต้องเซ็นเซอร์) เห็นทีแผนสงบศึกของไอ้กริชคงเหลวไม่เป็นท่า ตราบใดที่พวกปากหมาพฤติกรรมลิงนี่ยังหายใจอยู่
ในขณะที่ทุกคนกำลังปรึกษากันเรื่องโครงการที่วางแผนไว้ เสียงรถมอเตอร์ไซค์สี่จังหวะคุ้นหูก็ส่งเสียงดังมาแต่ไกลและสงบเงียบเสียงเครื่องยนต์อันดังสนั่นราวเครื่องตัดหญ้าลงที่ด้านหลัง ยังไม่ทันหันไปมองหน้าผู้มาใหม่คำตอบก็ปรากฏออกมาเป็นร่างของสาวล่ำหุ่นทหารพราน หากหน้าตาน่ารักขาวใสสวนทางกับรูปร่างอย่างเหลือเชื่อโผล่มาอีกฝั่งของโต๊ะพร้อมกระเป๋าสะพายหลังใบโตที่ถูกเหวี่ยงลงกลางวง
ฝ้ายตีหน้าบึ้งคล้ายมีใครเหยียบอวัยวะส่วนล่างของมันอยู่ตลอดเวลา พี่อุ่นขอตังค์ยี่สิบสิ ดูสิคะ ตกลงนี่มันจะขอเงินหรือมันจะกรรโชกทรัพย์ผู้เคราะห์ร้ายกันแน่เนี่ย (ที่สำคัญผู้เคราะห์ร้ายมักจะเป็นฉันเสียส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเป็นฉันทุกที เฮ้อ! )
ไม่เอาปืนมาจ่อหัวฉันเลยล่ะไอ้ฝ้าย!
แหมๆๆ เดี๋ยวนี้เจ๊มีงอนด้วยนะ
งอนบ้านเตี่ยแกสิไอ้ฝ้าย เขาเรียกว่าประชด ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันไม่เคยคิดโกรธเคืองตัวป่วนพวกนี้ที่มันปีนเกลียวจนฉันแทบไม่เหลือความน่าเกรงขามอยู่เลยสักครั้ง เชื่อไหม! ถ้าพวกนี้รู้ชื่อพ่อชื่อแม่หรือข้อมูลน่าอับอายเมื่อชาติปางไหนของฉันขึ้นมาล่ะก็ เส้นทางชีวิตที่โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบคงถูกพวกนี้ทำบรรลัยวายวอดไม่เหลือร้อยละหนึ่งล้านแน่!
จะเอาไปทำไมวะ
น่า! มาเอาก่อนนะเจ๊ นางสาวกัลยาตบโต๊ะเบาๆ เพื่อยืนยัน (เร่งเร้ามั้ง) ความจริงจังในคำขอของตน แกก็บอกฉันก่อนสิวะ ไม่บอกไม่ให้นะเว้ย!
โห! งกว่ะ! ขอแค่นี้ทำเป็นไม่ให้ ยี่สิบเองนะ ยี่สิบๆ ฝ้ายเริ่มโอดครวญ ฉันแกล้งหันไปหาพี่เปิ้ลที่ปรึกษาชมรมที่เคารพรักอย่างไม่สนใจเสียงโอดครวญลอยๆ ของไอ้ฝ้าย
โธ่เจ๊อุ่น! เป็นรุ่นเจ๊เขาแล้วนะ ผ่านวิกฤตการณ์เกรดคาบเส้นมาได้ตั้งปีสามแล้ว ถ้าไม่เอาเงินมาเลี้ยงน้องแล้วจะเอาเงินไปเลี้ยงใครล่ะ น่านะ ขอหน่อยนะ อ้าวไอ้นี่! ไม่เพียงแค่กรรโชกทรัพย์ นี่มันยังจะเอาเรื่องสมัยปีหนึ่งมาประจานอีกเหรอ
ไอ้ฝ้าย! พืชพันธุ์ที่บ้านฉันไม่ได้ผลิใบเป็นแบงค์ ออกผลเป็นเหรียญนะยะ จะได้หามาให้พวกแกผลาญง่ายๆ น่ะ คนยิ่งจนๆ อยู่
ใจร้าย! น้องนุ่งจะไม่มีเงินกินข้าวอยู่แล้วนะ! ไม่คิดจะช่วยเหลือกันบ้างเลยเหรอ ไอ้ฝ้ายทำบ่นกระปอดกระแปด ตีหน้าเศร้าโศกโศกา อย่างเคย! มุขนี้มันใช้บ่อยแล้วค่ะ รู้จักกันมาตั้งหลายปี ฟังมาแล้วเป็นร้อยๆ หน ไม่มีสักครั้งเดียวที่ฉันจะไม่ใจอ่อนยอมเปิดกระเป๋าสตางค์ควักลูกๆ ที่รักให้มันเลยสักครั้งเดียว แต่ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมใจอ่อนอีกแล้ว ไม่มีทาง! ว่าแต่ฉันบอกไปหรือยังว่าฉันก็เคยบอกกับตัวเองว่า อย่าใจอ่อนกับพวกมันมาแล้วเป็นร้อยๆ รอบเช่นกัน! เฮ้อ!
เอาไป! แกนะไอ้ฝ้าย นี่เพิ่งจะกลางเดือนเองนะเว้ย! เอาเงินไปใช้อะไรของแกวะ ประหยัดๆ หน่อยดิ พ่อแม่ส่งมาเรียนนะเว้ย! ไม่ได้ส่งมาล้างผลาญ ฉันยื่นเงินส่งให้พร้อมกับพี่เปิ้ลที่หลงสงสารไอ้ฝ้ายด้วยอีกคน
พี่เปิ้ล ฝ้ายขอแค่ยี่สิบเอง ไอ้ฝ้ายลอยหน้าลอยตาแกล้งไม่ฟังคำบ่นของยายแก่อย่างฉัน รีบควักเงินทอนผู้มีอุปการคุณอีกรายด้วยธนบัติสีเขียวสี่ใบที่รวมกับลูกของฉันอีกหนึ่งใบให้พี่เปิ้ลไป
เอาตังค์ทอนไปด้วย หนูไม่ชอบโกงลูกค้าหรอก
เฮ้ยไอ้นี่! ไม่มีเงินจะซื้ออะไรยัดท้องอยู่แล้ว ยังจะมีจรรยาบรรณอีกนะ
ช่างน้องมันเถอะอุ่น เรามาคุยกันเรื่องโครงการจัดแข่งขันกันต่อเถอะ จะหมดรอบตัดงบประมาณปีนี้อยู่แล้วนะเว้ย!
จ๊ะ! เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะพี่
พี่ว่าจะขอความร่วมจากคณะสหเวชศาสตร์
อ๋อ! พี่เปิ้ลกลัวว่าโครงการจัดแข่งจะยังไม่เข้าข่ายด้านสุขภาพใช่ไหมล่ะ
อืมม์! พี่ว่าโครงการจัดการแข่งขันที่มีการให้ความรู้ในการดูแลอาการบาดเจ็บหรือขั้นตอนการฝึกซ้อมของนักกีฬาอย่างถูกวิธียังไม่เคยมีใครจัดนะ ทุกวันนี้ครูฝึกประจำยิมต่างๆ ให้นักกีฬาฝึกซ้อมกันตามมีตามเกิด พี่ว่าเป็นอันตรายกับตัวนักกีฬามากเลย ตอนนี้ศักยภาพของมหาวิทยาลัยเราก็มีพร้อมทุกอย่างแล้วด้วย ยอดเยี่ยม! พี่เปิ้ลช่างเป็นที่ปรึกษาชมรมที่ประเสริฐเหลือเชื่อ (แสนซน: เหลือเชื่อเหรอ ชมใช่ไหม? )
ปึบ!! สมุดขนาดฝ่ามือสองเล่มหล่นตุบลงบนโต๊ะอย่างไม่คาดฝัน.. ความจริงมันกระทันหันจนฉันแทบจะตบโต๊ะโวยวายหาเจ้าของสมุดเพราะนึกว่ามีคนมาหาเรื่องด้วยซ้ำ ถ้าเจ้าตัวมันไม่ยักคิ้วหลิ่วตาแสดงความเป็นเจ้าของเสียก่อน
ฮื้อ!? อะไรวะ ฉันถามเมื่อไอ้ฝ้ายไม่ยอมให้ความกระจ่างมีเพียงรอยยิ้มที่ดูแล้วสามารถเห็นภาพความทรงจำเมื่อหลายนาทีที่แล้วระหว่างฉันกับมันผ่านมาเป็นฉากๆ ด้วยความเร็วยี่สิบห้าภาพต่อวินาทีได้โดยไม่ต้องคิด โอ้ชีวิต! อีกแล้วสิเนี่ยยายอิงอุ่นเอ๋ย
ไอ้ฝ้าย! แก! ยี่สิบบาทฉ้าน!! ให้ตายเถอะ! คราวนี้ซวยสองเด้งเลย!
โธ่พี่อุ่น! ก็หนูถูกรุ่นพี่ในคณะบังคับซื้อให้มาขายต่อนี่นา ตั้งหกเล่มแน่ะ พี่อุ่นกับพี่เปิ้ลซื้อไปก็ยังเหลืออีกตั้งสี่เล่ม ไอ้ฝ้ายย่นจมูกขึ้นเน้นให้ฉันเห็นว่ามันเบื่อหน่ายกับการทำมาค้าขายประเภทนี้ แต่
แกก็บอกฉันดีๆ สิวะ ไม่ใช่มาหลอกขายอย่างนี้ ดูสิ! เสียเงินไปแล้วยังรู้สึกว่าตัวเองโง่อีก โอ๊ย! ยิ่งคิดยิ่งเจ็บทรวง นี่ความโง่ของฉันมีค่าแค่ยี่สิบเองเหรอเนี่ย! คิดแล้วก็อยากกระโดดขาคู่ถีบให้หน้าคว่ำจริงๆ
โธ่! เจ๊จ๋า เจ๊ ก่อนหน้านี้หนูก็ไม่มีเงินไง พอพี่ๆ ให้เงินหนูมา หนูก็มีเงินกินข้าวแล้วไง ก็คิดซะว่า สมุดสองเล่มนี้เป็นการทดแทนบุญคุณจากนกกระเรียนพันปีแล้วกันนะ
หึๆๆ ฮาๆๆๆๆ เสียงทุ่มต่ำแปลกหูดังขึ้นมาอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป เล่นเอาฉันตกใจสะดุ้งหันไปมองหน้ารุ่นน้องเพศผู้เอ้ย! ผู้ชายในชมรมเพื่อหาเจ้าตัว หากก็ยังไม่เห็นหน้าไหนมันมีทีท่าคล้ายเคยเผยอปากเยาะเย้ยฉันเมื่อเวลาสองถึงสามวินาทีที่ผ่านมา เฮ้ย! งั้นใครล่ะถ้าไม่ใช่คน แถวนี้ (ฉันกลัวผีขึ้นสมองเลยก็ว่าได้) ฉันพยายามดึงสติ (แตก) กลับมาเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราช เพราะถ้าน้องๆ ที่เคารพรู้ว่าฉันกลัวผีละก็ ฉันตายแน่! (เอ่อ อย่างน้อยไอ้กริชก็รู้คนหนึ่งล่ะ แต่ดีนะที่มันยังมีมนุษยธรรม แกล้งฉันแค่ตอนที่เราอยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย เวรกรรม! ) เมื่อตั้งสติพอระลึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ได้แล้ว เสียงหัวเราะที่ยังคงลอยมากระแทกหูก็เริ่มเข้าที่เข้าทางจนสามารถจับทิศทางของเสียงได้ อ๋อ! มันมาจากด้านหลังของฉันนี่เอง
หัวเราะหาอะไร!? ฉันลุกขึ้นและเดินเข้าไปเท้าเอว แหงนหน้าจนคอเกือบจะตั้งฉากกับพื้น ตาจ้องเขม็งอย่างจะเอาเรื่องชายร่างสูงให้ได้ (ให้ตายเถอะ! เกิดมาไม่มีใครเคยสั่งเคยสอนเรื่องความสูงที่เสียมารยาทอย่างนี้เลยหรือไงเนี่ย)
เฮ้ย! ไอ้อุ่นไม่เอาน่า
พี่เปิ้ลไม่ต้องห้ามหนู หนูไม่ทำอะไรเขาหรอกน่า
ฉันไม่ได้กลัวแกทำอะไรเขา แต่ฉันกลัวแกไม่รอดมากกว่าว่ะ แกดูตัวน้องเขาก่อนดิ เบ้งพอๆกับไอ้กริชเลยนะเว้ย! ท้ายบทสนทนาเบาลงแทบกระซิบพอให้ได้ยินเฉพาะฉันเท่านั้น
มันก็แค่สูงแหละน่าพี่เปิ้ล ผอมแห้งอย่างนี้ไม่รู้จะมีปัญญาอุ้มอุ่นไหวหรือเปล่าเล้ย! ถึงแม้ว่าฉันจะสูงแค่หนึ่งร้อยห้าสิบเซ็นติเมตรหนักแค่สามสิบแปดกิโลกรัมก็เถอะ! แต่ผอมเป็นตะปูแบบนี้ต่อให้แบกฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่าเลย (แสนซน: ตะปูถึงจะเรียวเล็ก แต่ก็หนักนะจ๊ะอิงอุ่น)
แต่พี่ว่า
เอ่อ ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจหัวเราะเยาะอะไรใครหรอก เพียงแต่ผมรู้สึกดีใจแทนน้องห้าวคนนี้ที่ เป็นที่เอ็นดูของน้องๆ ในชมรม เขามองมาทางนี้ตาหยี
พูดยกยออย่างนี้ต้องการอะไร ไม่จริงใจนี่หว่า เก่งมาจากไหนกันพี่ชาย ผอมอย่างนี้มาสู้กันสักตั้งไหมล่ะ
เฮ้ยเจ๊! บรรดาสมาชิกชมรมพากันประสานเสียงอย่างไม่คิดว่าฉันจะคิดสั้นยอมพลีชีพเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองด้วยวิธีนี้
พวกแกไม่ต้องห้าม! ฉันไม่เอาถึงสลบหรอกน่ะ
เปล่าเจ๊ ผมจะเตือนพี่ว่า พี่ยังไม่ได้บอกพวกผมว่าจะสวดวัดไหน ศาลาไหน ชอบกินอะไร ไม่ชอบกินอะไรเลย ประกันภัยพี่ก็ยังไม่ได้ทำ พินัยกรรมก็ยังไม่ได้โอนมรดกให้พวกผมเลยนะ ไอ้อ้นรีบหอนตามประสาคนปากเสีย
ไอ้ @#*฿?$&*#!! (เซ็นเซอร์) ไอ้อ้นอีกแล้ว
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ร่างสูงยิ่งหัวเราะดังขึ้น
นี่! เลิกหัวเราะได้ไหมเนี่ย ฉันยังไม่อยากมีเรื่องนะ
ผมก็เช่นกัน วันนี้ต้องรีบไปทำธุระต่อ ไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ ตาร่างโย่งส่งยิ้มทรงเสน่ห์มาให้ ถ้าเราไม่เริ่มความสัมพันธ์กันแบบหมากับแมวตีกัน ยอมรับเลยว่าฉันคงจะใจละลายไปกับรอยยิ้มละไมนั้นแล้ว เพราะพี่ชายคนนี้หล่อตรงสเป็คฉันโคตร
ฉันกำลังนั่งรอคิวเข้าพบแพทย์ที่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นห้องตรวจคนไข้ชั่วคราวให้กับนิสิตโดยไม่คิดค่าบริการ เพราะกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงห้องตรวจและเช็คสภาพอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ก่อนที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ นางพยาบาลทั้งสาวน้อยสาวใหญ่คุยกันกระหนุงกระหนิง ดูน่ารักเรียบร้อยผิดกับคนอย่างฉันราวนางฟ้ากับนางมาร เอ่อ บอกไว้ก่อนว่าเรื่องที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้ ฉันไม่ได้แอบฟังนะ แค่เสียงเหล่านั้นมันลอยมาเข้าหูนานจนพอจับใจความได้ว่า วันนี้เพิ่งมีนายแพทย์คนใหม่เข้ามาบรรจุและเริ่มเข้าเวรเมื่อสิบแปดนาฬิกา ซึ่งผ่านมานานถึงสี่ชั่วโมงแล้ว (หมอใหม่เหรอ? อ้าวซวยแล้วไง เขาจะวินิจฉัยโรคเอ่อ ป่วยการเมืองของฉันถึงตายไหมเนี่ย) เรื่องนี้จะไม่น่าสนใจสักเท่าไรถ้าไม่มีวลีที่ว่า เพิ่งจบแถมหล่อ ตามมา
ผู้ชายคนหนึ่งที่แค่หล่อ เพิ่งเรียนจบ มีอาชีพหลักเป็นนายแพทย์ อนาคตไกล ไม่ได้ทำให้ฉันกระดี๊กระด๊ามากมายถึงขั้นยอมสลัดคราบเด็กแก่นกะโปโลผมเพ้ายุ่งเพิ้งกระเซิงทิ้ง เพื่อเข้ารับการตรวจอาการ (สำออย) บาดเจ็บในสภาพผู้หญิงไทยใจงามได้หรอกนะ ก็ที่นี่โรงพยาบาลนี่นา ไม่ใช่ป่าชะนี!
อุ่น ถึงคิวเราแล้วนะ พี่พยาบาลสุดสวยนาม กิ่งแก้ว (อันที่จริงคงเรียกว่าพี่ได้ไม่เต็มปากหรอก เพราะเด็กกว่าแม่ฉันไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ) เรียกชื่อฉันอย่างสนิทสนม เนื่องจากฉันมาที่นี่บ่อยชนิดที่หมอเห็นหน้าก็แทบจะยกยาทาบรรเทาปวดให้ทั้งลังอยู่แล้ว
จ๊ะ ฉันยิ้มแฉ่งตอบกลับไปอย่างร่าเริง
พี่กิ่งแก้วแตะที่ต้นแขนเบาๆ แอบกระซิบให้ได้ยินกันสองคนก่อนฉันเข้าห้องตรวจด้วยแววตายิ้มๆ
ระวังคุณหมอคนใหม่ด้วยนะ
ทำไมพี่กิ่ง หมอใหม่ดุเหรอ
ระวังจะใจละลายน่ะสิจ๊ะ หล่อกว่าลูกพี่อีกนะ เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นเล็กน้อยตามระดับความตื่นเต้นของเรื่องที่เล่าสู่กันฟัง
ก็ได้ยินพี่พยาบาลเขาคุยกันนะ แต่หนูไม่ชอบเล่นของสูงหรอกจ๊ะ เจอหล่อๆ กี่หลายไม่เห็นใครแลหนูสักคน ผู้หญิงหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่อย่างหนูคงได้แค่มองเป็นอาหารตาไปวันๆ เท่านั้นแหละพี่ ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับคำบอกกล่าวนั้นอย่างทุกครั้ง (จริงๆ นะ เชื่อฉันเถอะ เชื่อฉันสิ ฉันไม่ได้โกหกใครนะ คราวนี้ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับหมอใหม่ที่รูปหล่อ อนาคตไกลจริงๆ นะ, แสนซน: มีใครเขาค้านอะไรยายคนนี้หรือยังคะเนี่ย)
ไม่จริงมั้ง เราออกจะน่ารัก ดูสิปากนิดจมูกหน่อย เอวบางร่างน้อย ทั้งแก้มแดง ปากชมพูธรรมชาติ นิสัยก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร อย่าถล่มตัวเลยน่าหนูอุ่น เอ จะว่าไปแล้วหมอเป็นต่อก็เห็นส่งตาหวานให้กันอยู่นี่
พูดไปก็แทงใจดำ นายแพทย์เป็นต่อนี่แหละตัวการ เขาเป็นผู้ชายที่ทำให้ฉันเข็ดผู้ชายหน้าตาดีทรงเสน่ห์มากถึงมากที่สุด (อย่างน้อยก็มากกว่าการได้รู้ว่าผู้ชายหน้าตาดีที่หมายใจไว้กลายเป็นเมียชาวบ้านเขาก็แล้วกัน) หมอนั่นแสดงท่าทีว่ามีใจให้ฉันเพียงคนเดียว ชวนไปไหนต่อไหนด้วยกันบ้าง ซึ่งฉันก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง เพียงแต่ไม่เคยไปกับเขาแค่สองคนเท่านั้นเอง
แต่ความลับ (ที่ใครต่อใครก็รู้กัน) ไม่มีในโลก สุดท้ายนายกริชก็เป็นคนขยายความเปิดตาให้ฉันรู้ว่า อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ไม่ปิดกั้นตัวเองเท่านั้น หากยังเปิดรับใครต่อใครไปทั่ว ซึ่งฉันรับไม่ได้! ฉันไม่ปิดกั้นตัวเองกับเขาเพียงคนเดียว แต่เขากลับให้โอกาสชะนีและกระทิงทุกตัวมาเข้าใกล้ (ได้ไงกันวะ! ) ถ้าทัศนะคติของผู้หญิงบางคนในสมัยนี้จะกล่าวหาว่าฉันเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมแบ่งทรัพยากรหายากให้เป็นข้าวของสาธารณะก็ยอมล่ะ เพราะนี่เป็นเรื่องเดียวที่ฉันไม่ยอม โชคดีชะมัดที่ฉันไม่ยอมตกล่องปล่องชิ้นกับหมอหน้าหม้ออย่างนั้นเสียก่อน
ไปตายที่ไหนก็ช่างหัวเขาแล้วพี่
รู้เรื่องที่เขาเจ้าชู้แล้วเหรอ พี่ขอโทษที่ไม่เตือน ฉันได้แต่พยักหน้ารับ ผลักประตูเข้าห้องฉุกเฉินอย่างหมดอาลัยตายยาก
ประตูห้องฉุกเฉินถูดปิดลงเบาๆ เสียงลมหายใจของตัวเองดังก้องในกะโหลกหนาใบนี้เป็นจังหวะช้าและนาน สายตาฉันเบนไปจ้องประตูบานเดิมนิ่งเพื่อทำสมาธิและคิดหาข้ออ้างใหม่ๆ ก่อนปฏิบัติภาระกิจสำคัญให้สมจริงสมจัง ยิ่งได้ข่าวว่าเป็นหมอบรรจุใหม่ด้วยแล้ว ครั้งแรกอย่างนี้ก็ขอลวงกันให้แนบเนียนสักหน่อยเถอะ (หมอเก่าๆ ไม่มีใครเชื่อฉันแล้ว เพียงแต่พวกเขาระอาจนขี้เกียจต้อนฉันจนมุมก็เท่านั้นเอง)
มาเอายาแก้ปวดอีกแล้วสิ น้ำเสียงทุ้มแหบคุ้นหูดังขึ้นข้างหลังอย่างรู้ทัน
ฉันรีบหันกลับไปมองที่โต๊ะอย่างชำนาญสถานที่ ไหนบอกหมอใหม่ไง ทำไมเป็นลุงหมอได้ล่ะคะ ปากบางสีชมพูอ่อนใสไร้การแต่งแต้มทำหน้าที่ฉีกยิ้มโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นหน้านายแพทย์ที่ฉันคุ้นเคยจากการมาโรงพยาบาลเป็นประจำ
หนูอุตส่าห์เตรียมข้ออ้างมาบอกกับคุณหมอคนใหม่เต็มที่เลยนะเนี่ย
เพิ่งเอารายงานของคนไข้รายเมื่อครู่ไปส่งน่ะ
งั้นก็แปลว่าหนูต้องตรวจกับลุงหมอใช่ป่ะ นายแพทย์ถวิลยิ้มให้ฉันเล็กน้อย พลางส่ายหน้าปฏิเสธ
ตรวจกับหมอใหม่นั่นแหละ เก่งมากเลยนะ คนนี้ศิษย์รักของลุงหมอเลย ลุงหมอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนคล้ายผู้ใหญ่เกลี่ยกล่อมเด็กเล็กที่กำลังจะเข้ารับการฉีดยา (แต่ฉันแค่จะเข้ารับการตรวจโรคเองนะ แล้วอีกอย่างฉันก็โตเป็น คนที่สูง ถึงจะแค่ 150 เซ็นติเมตรก็เถอะ แต่มันก็บอกสถานะได้ว่า หนูไม่ใช่เด็กแล้วน้า!! )
อ้าว! งั้นลุงหมอมานั่งทำไมล่ะ
มาดูความเรียบร้อยเฉยๆ เห็นไหมว่าไม่ได้ใส่เสื้อกาวน์
ลุงหมอหันควับเมื่อประตูบานด้านข้างโต๊ะตรวจโรคเปิดออก ดูท่าหมอคนใหม่คงมาถึงแล้ว ตายแล้ว! ไอ้หมอนี่! คือ ไอ้หมอนั่น! เวรกรรม! คงไม่ต้องวินิจฉัยแล้วล่ะ ฉันขอลาตายเองเลยแล้วกัน
มาแล้วเหรอครับ เขายิ้มให้ฉันด้วยแววตาล้อเลียน ในที่สุดก็ยอมบากหน้ามาเองจนได้นะครับ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องบากหน้าเลยย่ะ ฉันแขวะเขาในใจ
เปล่า! มาคุยเล่นกับลุงหมอ
อืมม์! เหรอครับ ผมก็นึกว่ามาเอายาฟรี เฮ้ย! พูดอย่างนั้นได้ไง เสียหายหมด
นี่นาย ไม่พูดจะตายไหมเนี่ย
พูดความจริงผิดตรงไหนครับ ยังไงทุกคนที่นี่ก็รู้อยู่แล้วว่าคุณมาทำไม เรื่องนั้นน่ะรู้แล้ว แต่ไม่ต้องย้ำได้ไหม ฟังแล้วเหมือนถูกหลอกด่าเลยนะเว้ย!
จ้างให้เก็บปากคิดเท่าไรเนี่ย
ข้าวมื้อนึง ลุงหมอเบิกตาโต หันไปมองหน้าผู้เข้ามาใหม่ด้วยแววตาล้อเลียนในวินาทีถัดมา บ้าสิ! ประชดโว้ย! ประชด! เรียนหมอจนเอ๋อ ไม่รู้จักผู้หญิงแล้วหรือไงวะ
ดูท่าทางก็ดี ไม่น่าจะต้องมาขอข้าวใครกินนี่หมอ
ไม่มีคนกินด้วยครับ อยากกินกับคุณมากกว่า เขาพูดออกมาหน้าตาเฉย แต่หน้าฉันตอนนี้คงไม่ต่างกับหมาถูกผีหลอก
ลม เสียงทุ้มแหบพูดชื่อคนที่กำลังยืนจัดของบนโต๊ะเบาจนแทบไม่ได้ยิน เอ่อ อาจารย์หิวข้าว ขอตัวไปหาอะไรกินก่อนนะ คำพูดของลุงหมอทำเอาฉันอึ้งไปพักใหญ่เพราะไม่แน่ใจว่า ท่านกำลังจะทิ้งเรือที่กำลังจม โดยปล่อยฉันไว้อย่างนี้ใช่หรือไม่
สวัสดีครับอาจารย์ ขอบคุณที่เป็นห่วง โชคดีนะครับ
ลุงหมอจะรีบไปไหนคะ ฉันรีบพูดก่อนที่ท่านจะหนีไป ไหนบอกว่ามาดูความเรียบร้อยไง เกิดหมอนี่เอาความแค้นส่วนตัวมาปนกับงาน วินิจฉัยโรคของหนูจนถึงตายขึ้นมา หนูไม่แย่เหรอ (แสนซน: แค้นเชียวเหรอ!? เธอคนเดียวมากกว่ามั้ง ฉันเขียนเองยังจำไม่ได้เลยว่า แต่งให้พวกเธอไปมีเรื่องชกต่อยตบตีขั้นรุนแรงกันมาตั้งแต่เมื่อไร)
คงไม่หรอกหนูอุ่น ลุงหมอว่าหมอลมภูผาน่าจะเขียนใบสั่งยาให้ยาทาบรรเทาปวดเรามากซะจนเอาไปขายได้เลยมากกว่า ลุงหมอเน้นน้ำเสียงจนฉันขนลุกชูชัน
ไม่
อีกอย่าง หมอลมเป็นลูกศิษย์ที่ลุงหมอภูมิใจมากที่สุดเท่าที่เคยสอนมาเลยนะ ลุงหมอยิ้มให้กับลูกศิษย์สุดที่รักด้วยแววตารู้เห็นเป็นใจก่อนจากไป ทิ้งฉันไว้ที่โต๊ะกับหมอนรกเพียงลำพัง ไม่อ๊าว!!! อย่าทิ้งหนูไป
ว่าไงครับ ลุงหมอไม่อยู่แล้ว คุยกับผมแทนได้ไหม เขาชิงพูดตัดหน้าก่อนที่ฉันจะทันหาข้อแก้ตัวเพื่อหนีไปจากตรงนั้น
ไม่คุย! ฉันตอบเสียงสั้นห้วนให้เขารู้ตัวว่าฉันไม่พอใจ แต่มาเอายา ไหนๆ ก็รู้ไต๋แล้วนะ คงไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีก ถ้าไงหมอก็รีบเขียนใบสั่งยาให้มันเสร็จๆ ซะสิ
ผมเป็นเพื่อนคุยให้คุณแทนลุงหมอได้นะ
บอกว่ามาเอายาไง กรุณาแปลเจตนาให้ถูกด้วยค่ะ
ก็เห็นบอกว่าอยากคุยกับลุงหมอ ก็นึกว่าอยากคุยจริงๆ ให้ตายเถอะ อยากจะกระชากคอมาจ้องตาให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยสิ ฉันล่ะไม่ชอบสายตาล้อเลียนแบบนี้ของหมอนี่เลย
เอ หรือว่าคุณชอบคนสูงอายุมากกว่าเอ๊าะๆ อย่างผม
ปึ้ก! ฉันบรรจงเหวี่ยงหมัดขวาลงที่แก้มเขาอย่างหมดความอดทน (แสนซน: ยายนี่มันมีความอดทนที่ไหนล่ะ) แต่มันพลาด เพราะเขาคว้าข้อมือฉันไว้ทัน ปล่อย! นางพยาบาลที่นั่งคุยกันอยู่บริเวณนั้นต่างพากันหันมามองเป็นตาเดียว
รู้ไหมว่าผมชอบความท้าทาย และไม่ชอบให้ใครดูถูก พูดอะไรวะเนี่ย!
ปล่อยสักทีสิ! หูหนวกหรือไง! ฉันขู่เสียงแข็งตามแบบฉบับสาวห้าวซ่าสุดๆ
ผมได้ยินนะ คุณดูถูกผมว่าผอมแห้งแรงน้อย รู้ไว้ซะว่าผมไม่ชอบคนอวดเก่ง ผู้หญิงยังไงก็เป็นผู้หญิงวันยังค่ำ อ่อนแอสู้ผู้ชายไม่ได้หรอก คำพูดของเขาทำเอาอารมณ์ของฉันพุ่งสูงอีกรอบ อ้าวไอ้นี่! อย่ามาดูถูกผู้หญิงต่อหน้าฉันนะเฟ้ย!
ทำไม! เป็นผู้หญิงแล้วไง หนักส่วนไหนของนายไม่ทราบ จำไว้ด้วยนะ ผู้หญิงน่ะ ถึงจะอ่อนแอยังไงคนอย่างนายก็โตมาได้จนป่านนี้เพราะว่าผู้หญิงที่นายเรียกว่า แม่ อยู่ดี ผู้หญิงอาจจะดูอ่อนแอทางสรีระร่างกายและพละกำลัง แต่จิตใจเข้มแข็งมากกว่าที่คุณคิดซะอีก ตานั่นอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ และยังคงอึ้งต่อไป เงียบสนิท เงียบกริบ เงียบไปเลย เอ่อ นั่งนิ่งจนฉันเริ่มรู้สึกผิด นี่เมื่อกี้ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ
อืมม์ นั่นสินะจริงอย่างที่คุณพูดนั่นแหละ แม่เลี้ยงผมด้วยตัวคนเดียวมาตลอดตั้งแต่เกิดยันเรียนจบ เหรอ แล้วมาบอกฉันเพื่ออะไรล่ะ
ถ้าท่านไม่เข้มแข็ง ป่านนี้ผมคงไม่ได้มาเป็นนายแพทย์ลมภูผาอย่างวันนี้ได้หรอก สีหน้าเขาดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันว่า นี่คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเพื่อหลอกให้ฉันสงสารแน่ๆ
เอ่อ ฉันขอโทษ ฉัน ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณสำนึกผิด เอ อันที่จริงฉันควรจะพูดว่า ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ใช่ไหม เฮ้อ! ฉันนี่มันไม่มีหัวเรื่องการพูดปลอบใจคนจริงๆ เลยน้า
ไม่! คุณพูดมาก็ดีแล้ว ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ท้องก่อนแต่ง ถูกทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อใย แต่กลับยืนยัดเลี้ยงลูกตัวเองด้วยตัวคนเดียว
เดี๋ยวนะ! พอก่อน ฉันแค่มาเอายาเท่านั้น ไม่ได้มาฟังเรื่องเศร้าสลดรันทดใจของใคร คือ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากฟังนะ แต่ ฉันคิดว่าคุณน่าจะเอาความรู้สึกสำคัญแบบนี้ไประบายกับคนสำคัญฟังมากกว่า เพราะเขาจะเข้าใจคุณและให้กำลังใจคุณได้มากกว่าคนแปลกหน้าอย่างฉัน
ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเล่าเรื่องส่วนตัวกับ ใครอย่างนี้ แววตาเขาเศร้าหนักกว่าเดิมจนฉันใจอ่อนยวบตามแบบฉบับคนใจง่าย เอ้ย! ใจอ่อน
เอ่อ ถ้าไงคุณก็ดูแลท่านให้ดีนะ คนเราต่อให้เข้มแข็งยังไงก็ต้องมีวันอ่อนล้าบ้าง อยู่ข้างๆ ท่านอย่าห่างล่ะ
ท่านไกลจากผมไปบนนู้นแล้ว จากไปหลังจากผมรับปริญญาได้อาทิตย์กว่าๆ อ้าวเวรกรรม! ยิ่งพูดยิ่งแย่ จะปลอบใจต่อดีไหมเนี่ย พอดีกว่ายายอิงอุ่น รีบๆ เอายาแล้วกลับห้องไปพักผ่อนซะเถอะ
เอ่อ เสียงริงโทนคุ้นหูดังขึ้นช่วยฉุดฉันออกจากเหตูการณ์อึดอัดตรงหน้า
ว่าไงวะ ฉันเอามือป้องปากและกรอกเสียงลงไปอย่างแผ่วเบาพอให้ไอ้กริชได้ยินเท่านั้น
อย่าลืมแวะไปเอายานะพี่อุ่น พวกผมปวดขามากเลยเนี่ย! ฉันรู้สึกเปลืองเวลาคุยขึ้นมาทันทีที่มันบอกจุดประสงค์
ก็นั่งให้หมอจ้องหน้าอยู่นี่ไงเล่า เสียเวลาจริงๆ เลยแก เดี๋ยวก็ให้มาเองซะเลยนี่
โอ๋! แค่นี้ทำประชด ไม่เร่งแล้วก็ได้ ขอบคุณครับพี่อุ่นที่รักยิ่ง
เอ่อ! แค่นี้นะ ฉันตัดสายและรีบเก็บโทรศัพท์ขนาดพกพาเครื่องจิ๋วลงกระเป๋าสะพายหลัง เพราะคิดว่าคุณหมอลมภูผาคงเขียนใบสั่งยาให้ฉันเรียบร้อยแล้ว
จะใจแข็งให้รุ่นน้องมาเอาเองได้เหรออุ่น สีหน้าที่ดีขึ้นทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมาบ้าง หากใจหนึ่งก็อยากต่อว่าเขาที่ถือวิสาสะเรียกชื่อฉันโดยไม่รับการอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของ แต่ใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าความกะล่อน ร่าเริงที่เห็นอยู่นั้นอาจเป็นแค่สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อตบตาผู้คนรอบตัวเขาหรือเปล่า
ไม่หรอก ก็ประชดไปอย่างนั้นเอง เขาอมยิ้มนัยตาเป็นประกายอย่างผู้กำชัยชนะเมื่อแน่ใจแล้วว่าฉันจะไม่ต่อว่าเรื่องที่เขาถือวิสาสะเรียกชื่อฉันสั้นๆ โอ้สวรรค์! แววตาเขาช่างมีอิทธิพลกับอุณหภูมิบนใบหน้าดวงนี้ให้ร้อนผ่าวขึ้นซะแล้วสิ
แล้วไหนใบสั่งยาล่ะ ฉันรีบเปลี่ยนเรื่อง
ยังไม่ได้เขียนเลยครับ รอค่าตอบแทนก่อน เขาฉีกยิ้มมากขึ้น
มั่วแล้วหมอ ยาฟรีจะมีค่าตอบแทนได้ไง
ค่ายาไม่มีครับ มีแต่ค่าเสียแรงตวัดปากกาเขียนใบสั่งยา มีอย่างนี้ที่ไหนบ้าง (วะ! )
เกินไปแล้ว อย่าคิดว่าฉันใจอ่อนแล้วจะไม่โกรธอีกนะ เสร็จกันยายบ๊องเอ้ย! จะบอกเขาไปทำไมว่า ใจอ่อน ไม่โกรธเรื่องเมื่อเย็นนี้แล้วน่ะ โธ่เอ้ย! เห็นไหมล่ะ! นั่นไง รอยยิ้มอย่างผู้ชนะ โอ๊ย! หมั่นไส้โว้ย!
อย่าโกรธจะดีกว่าเพราะอุ่นยังไม่ได้ใบสั่งยาไปอยู่ในมือ ฉันไม่ได้โง่นะ จะได้ฟังประโยคเมื่อกี้แล้วไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าไงน่ะ ซวยพับผ่าเลย
ไม่เอาก็ได้ ไม่ง้อหรอก ฉันแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจ เหย่อหยิ่งให้อีกฝ่ายคิดว่าแผนนี้ใช้ไม่ได้ผล ทั้งที่จริงแล้ว ฉันจำเป็นต้องเอาใบสั่งยาจากเขามากสุดๆ
น้องของอุ่นเมื่อยขาอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่เอายาจากที่นี่ จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อให้ละครับ ตอนนี้ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่า ตกลงหมอนี่ยืนฟังที่ฉันคุยกันเมื่อเย็นอย่างเดียว หรือว่าเขาแอบบันทึกเทปไว้ด้วยหรือไม่
น่านะ ค่าตอบแทนผมไม่เก็บเป็นเงินหรอก หมอใหม่จ้องมาที่ตาฉันเพื่อบอกสิ่งที่เขาต้องการจากคนสวยๆ เช่นฉัน ซึ่งฉันก็ไม่ได้โง่นะ จะได้ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ตัวฉัน?! มากไปแล้วนะ ฉันง้างหมัดเตรียมขว้างลงบนหน้าเขาอีกครั้ง หากอีกฝ่ายรีบยกมือขึ้นตั้งการ์ดเสียก่อน
ไปกันใหญ่แล้ว แค่ไปกินข้าวเอง ไม่ได้จะล่อลวงเด็กอนุบาลอย่างคุณไปข่มขื่นสักหน่อย
หยาบคาย หาว่าฉันหุ่นอนุบาล ไร้เสน่ห์เหรอ
เอาไงแน่ครับ ไม่ได้คิดอกุศลก็ว่า คิดเองเออเองว่าผมคิดอกุศลด้วยก็จะต่อย ตกลงอยากให้ผมคิดหรือไม่คิดกันแน่ เขาอมยิ้มอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
ไม่คิด ฉันพูดได้ไม่เต็มปากนัก เสมองไปทางอื่นเพื่อปิดบังสีหน้าชมพูระเรื่อที่กำลังเปลี่ยนเป็นแดงจัดเพราะความเขิน
ผมก็ว่างั้น
งั้นก็บอกกันดีๆ สิไม่เห็นต้องหลอกด่าเลย
หลอกด่าที่ไหน ไม่ได้หลอกด่าสักหน่อย ผมกลัวอุ่นคิดว่าผมอ้างนู่นอ้างนี่ไปเรื่อยเปื่อยต่างหากล่ะ ตาร่างโย่งยิ้มแป้นโชว์ความจริงใจเต็มที่ แล้ว ตกลงใช่ไหม
ไม่! ฉันรีบตอบปฏิเสธตัดความสัมพันธ์ไม่เหลือใย เขาดูหม่นหมองลงเล็กน้อย
คือ ไม่ว่าง มีนัดแล้ว ฉันเผลอพูดออกไปเพราะอดสงสารไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของอีกฝ่าย
คนที่ตีหน้าเศร้าเมื่อครู่ยิ้มร่าขึ้นมาทันที วันอื่นก็ได้
ไม่ได้หรอก ฉันเสไปมองทางอื่นแวบหนึ่งก่อนตัดสินใจสบตาเขาตรงๆ อีกครั้ง หมอคงไม่อยากทำให้คู่รักเขาผิดใจกันใช่ไหม ประโยคนี้เล่นเอาเขาสะอึกไปพักใหญ่
อ้าวเหรอ! แต่ไปกินข้าวกับเพื่อนเฉยๆ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่
ขอคิดดูก่อนแล้วกัน แต่ตอนนี้หมอเอาใบสั่งยามาก่อนที่ฉันจะรายงานการทำงานแบบนี้ให้กับลุงหมอฟัง คราวนี้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยอมขีดๆ เขียนๆ ลงกระดาษให้โดยไม่ปริปากพูดอะไรต่อ
ฉันทิ้งหัวลงหมอนหลังจากอ่านหนังสือจบได้หลายชั่วโมงแล้ว พลิกตัวซ้ายก็แล้วขวาก็แล้ว นอนดิ้นวนไปวนมาจนหัวไปอยู่ปลายเตียงแต่ก็ยังไม่สามารถหลับสนิทได้อย่างเคย ผู้ชายคนเมื่อเย็นที่เพิ่งพบหน้ากันอย่างคนแปลกหน้า เขาไม่ยอมออกไปจากสมองทื่อทึบนี้สักที ไม่เข้าใจว่าอะไรในตัวหมอคนนั้นที่ทำให้ฉันไม่สามารถปล่อยเขาผ่านไปได้อย่างผู้ชายคนอื่น หน้าตาก็เข้าขั้นว่าหล่อจริง หากปากหมานี่สิที่ไม่ลงสเป็คฉันสักเท่าไร ถือดีก็อีกเรื่อง ไม่สนใจความรู้สึกคนอื่นก็อีกอย่าง ไม่เห็นมีอะไรที่น่าใส่ใจสักนิด คิดเหมือนกันใช่ไหม? ไม่น่าสนใจเลยสักนิดเนาะ แต่ฉันกลับมองผ่านเขาไม่ได้น่ะสิ
รักษาใจตัวเองไว้นะอิงอุ่น อย่าเอาไปให้ใครง่ายๆ อีกเชียว
โปรดติดตามตอนต่อไป
แสนซน