3 กันยายน 2547 10:06 น.
TANOI_ZA
ลองจินตนาการกันนะคะ นิสัยนี้เด้งเด่นขนาดที่เพื่อนๆ เกือบทั้งแผนก พากันเรียกฉันว่า 'ยายเปิ่น' ส่วนชื่อเล่นงามๆ ที่คิดได้ง่ายยิ่งกว่า การด่าใครบางคนด้วยภาษาสุภาพนั่นก็คือ ชล เห็นไหมคะ! ฉันยังไม่ต้องอธิบายอะไร คุณผู้อ่านก็ไม่ต้องเอาชื่อฉัน ไปถอดรหัสโดยเข้าสูตรคณิตศาสตร์สุดหิน ที่ฉันไม่ถนัดนัก ก็สามารถรู้ได้ว่า 'ชล' ย่อมาจากชื่อจริงอีกทีนั่นแหละ
ตัวฉันเองไม่เคยคิดเลยสักนิดว่า ความซุ่มซ่ามค่อนข้างมากกว่าระดับคนปกตินี่ จะเป็นสาเหตุหลักของ อุบัติเหตุรักครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่สุดแสนเรียบง่าย ไร้สีชมพูแป๋นของฉันได้
ส่วนชายผู้ที่ใครๆ ต่างพากันเล่าลือว่า 'ซวยแมนออฟเดอะเยียร์' ชายคนที่เข้ามาแต่งแต้มสีหวาน ปานน้ำตาลไหม้ราดแย้มสตอรเบอร์รี่คนนั้นก็มีชื่อไพเราะเสนาะหูไม่แพ้กันว่า 'ไอตะวัน ประทานทรัพย์' แค่ได้ยินนามสกุล คงเดากันได้ว่า ไอตะวัน เขามั่งคั่งขนาดไหน!..
เรื่องชวนปวดหัวแต่อิ่มสุขทางใจนี้ เริ่มขึ้นในเช้า ที่เต็มไปด้วยความอึกทึก วุ่นวายมากมายอย่างทุกวัน อืมม์... พิเศษกว่าวันอื่นๆ ตรงที่วันนี้ ฉันออกไปทำงานช้ากว่าปกติเท่านั้นเอง เพราะวันนี้เป็นวันครบรอบ 5 ปี ที่ตา 'เค้ก' ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉัน สามารถมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็น โดยปราศจากการคุกคามทางใดทางหนึ่งจาก 'เจ๊ลิซ่า' กะเทยข้างบ้านได้อีกหนึ่งปี
อันที่จริง ตาเค้กไม่ใช่ลูกในไส้ของฉันหรอกค่ะ ตาเค้กเป็นลูกของพี่ชายดีเอ็นเอเดียวกัน ที่ได้รับอุบัติเหตุระหว่างไปทำงานพร้อมกับพี่สะใภ้จนถึงขั้นเสียชีวิต เหลือของต่างหน้าชิ้นล้ำค่าไว้ให้ฉันและพ่อกับแม่ เก็บรักษาไว้เพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ 'ตาเค้ก'
"แม่เห็นแว่นหนูไหมคะ! " 'ให้ตายเถอะ! รีบทีไรเป็นอย่างนี้ทุกทีเลย'
"เค้กเร็วๆ เข้า! เดี๋ยวไม่ทันได้ใส่บาตรพระหรอกนะลูก" ตาเค้กยังคงนั่งนิ่งอยู่หน้าจอทีวีน้ำลายนองปาก อมข้าวเพื่อหมักไว้ทำแอลกอฮอลล์ ไม่สนใจที่ฉันพูดสักนิด
"เค้กเอ๊ย! เมื่อวานนี้เจ๊ลิซ่ามาบอกกับยายว่า จะไปตักบาตรด้วยนะ เห็นบอกว่าให้รอก่อนด้วยนี่นะ! ใช่ไหมยายชล" ฮะๆๆๆ นี่ล่ะ! แม่ฉัน หากใครไม่รู้จักกันมาก่อน อาจจะตระหนกถึงขั้นเป็นบื้อใบ้ เอ๋อรับประทานกันได้ น่าสงสารตาเค้กจริงๆ ที่ยังเด็กเกินจะทันเล่ห์สาวแก่อย่างท่าน
"อะ! อ๋อๆ ใช่ๆ นี่เห็นบอกว่า จะมีของขวัญชิ้นพิเศษมาให้ด้วยนี่! เจ๊ลิซ่าบอกว่า.... ว่าอะไรนะพ่อ! " เค้กเริ่มเอียงหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อเจ๊ลิซ๋า เพื่อนบ้านสุดแสนน่ารักสำหรับครอบครัวเรา หากน่าสยดสยองยิ่งกว่าฝันร้ายยามค่ำคืนของเด็กผู้ชายในละแวกนี้
พ่อฉันที่กำลังกวาดสายตา ไปตามตัวอักษรบนหน้าหนังสือพิมพ์ นั่งนิ่งครู่หนึ่งราวไม่สนใจบทสนทนาของสมาชิกภายในบ้าน ก่อนลดระดับหนังสือพิมพ์ลง เพื่อสบตาใสซื่อของหลานชายสุดที่รัก
"เห็นบอกว่า จูบแรก" 'โป๊ะเช๊ะ! ว่าแล้วว่าพ่อต้องเล่นด้วย' ก็พ่อฉันน่ะ รักตาเค้กจะตายไป ให้ท้ายกันยิ่งกว่าลูกกตัญญูอย่างฉันอีก ฉันกับแม่เมื่อครู่แทบจะหยุดหายใจ ลุ้นแทบตายว่า หัวหน้าครอบครัวอย่างพ่อจะเล่นด้วยกันไหม
เค้กรีบกระโดดข้ามโซฟาสีน้ำตาลอ่อนลายดอก ไปคว้ากระเป๋านักเรียนรูปซุปเปอร์ฮีโร่พันธุ์ใหม่เอี่ยม DUCK BOYS ขึ้นสะพายเองอย่ากระตื้อร้น แถมยังหันมาเร่งฉันอีกต่างหากแน่ะ! แต่ ตาเค้กคงลืมไปมั้งว่า เรายังไม่ได้ไปโรงเรียนกันสักหน่อย เราแค่จะไปใส่บาตรพระท้ายซอยกันเอง แต่ด้วยความหมั่นไส้ ไหนเลยจะเตือนล่ะ ปล่อยให้สะพายไปด้วยนั่นแหละดีแล้ว อยากอืดอาดดีนักนี่! (แสนซน: เอ่อ สงสัยกันไหมคะว่า ยายประกายชลรักเขารักลูกตัวเองไหม!? )
"ชลก็เร็วๆ สิ เค้กน่ะพร้อมตั้งนานแล้วนะ"
"บอกกี่ครั้งแล้วเค้กว่า ให้เรียกแม่น่ะ" ฉันหันไปดุเล็กน้อย ก่อนนึกขึ้นได้ว่า ยังหาแว่นไม่เจอ
"แม่คะ! แว่นหนูล่ะ แว่นหนูหายไปไหนคะ"
"ก็ใส่อยู่ไม่ใช่เหรอเรา" เสียงพ่อที่ก้มลงไปอ่านหนังสือพิมพ์ต่อเมื่อครู่ เอ่ยขึ้นเรียบๆ
"เมื่อไรเราจะเลิกนิสัยแบบนี้สักทีนะชล พ่อล่ะห่วงเราจริงๆ เลย โตสักทีสิ มีลูกแล้วนะเรา"
"หนูก็เหมือนแม่ไงพ่อ หนูเลิกขึ้นมาจริงๆ จะเหงานะเอ้า! ไปแล้วๆ เดี๋ยวหนูต้องไปทำงานอีกด้วยค่ะ"
เราสองคนแม่ลูกต้องออกจากบ้านไปท้ายซอยอีกฝั่ง โดยจักรยานคันน้อย แน่นอน! ฉันนี่แหละที่ถีบ! ปั่นกันตาเหลือตาปลิ้น ไฟงี้แล่บแปล๊บ! เพราะกลัวไม่ทันพระสงฆ์ที่มาบิณฑบาตเช้า หลังไปตักบาตรเรียบร้อยแล้ว ฉันยังต้องกระเตงตาเค้กกลับเข้าบ้านเพื่อ ส่งต่อหน้าที่การนำเจ้าตัวดีไปโรงเรียน ให้กับผู้ที่ฉันเรียกเขาว่า พ่อ จากนั้นจึงรีบซอยเท้าเข้าวินตรงปากซอยที่อยู่ถัดจากบ้านฉันไปไม่กี่หลัง
เหตุมาจากวันนี้ไอ้กระป๋องน้อยเพื่อนเก่ายามแก่ของฉัน (รถยนต์น่ะค่ะ) ดันงอแง กระตุกชักเป็นพักๆ สะอึกเป็นช่วงๆ แล้วดับกระทันหันเมื่อวานนี้เอาดื้อๆ แค่นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากความซวยที่ยังคงเห็นว่าฉันเป็นผู้โชคดี ทำแจ๊คพ็อตแตก 'รายการซวยหลายชั้น' กระหน่ำโชค 7-8 ชั้นให้ฉันอย่างไม่ปรานี ทั้งเรื่องรถประจำทางสมัยนี้ ที่ไม่ค่อยจะง้อใคร ทำให้ฉันต้องกระวีกระวาดทำงานบ้านทุกอย่างด้วยความเร็ว ที่มากขึ้นกว่าเดิมเป็นสามแสนแปดเท่าทีเดียว (เวอร์ไปไหมคะ คือ!.. ฉันกลัวคนอ่านไม่เห็นภาพน่ะค่ะ) จนกระทั่งลืมเซ็ทผมฟูๆ ที่กระเซิงยิ่งกว่ารังหนูนี่เสียอีก
ในขณะที่ฉันกำลังสมเพชชีวิตคับขันอย่างตื่นตระหนกราวกับซ้อมหนีไฟ ที่โกลาหลกันไปเมื่อเช้านี้ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิด รถประจำทางที่ฉันกำลังตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ก็โผล่หัวมาให้เห็นที่สุดลิบตา ฉันรีบควานหาเศษเงินในประเป๋าสะพายข้างใบเขื่องอย่างลนลาน หวังให้อำนวยความสะดวกในการจ่ายเงินบนรถประจำทาง ซึ่งแออัดไปด้วยผู้คน ที่กำลังมุ่งหน้าสู่วีถีชีวิตประจำวัน หากเสียงทุ้มนุ่มบ่งบอกเลเวลหน้าตา ที่ท่าทางจะดีตามน้ำเสียงน่าฟังนั้น ก็ตะโกนเรียกฉันไว้ (คิดดูแล้วกันว่าฉันชำนาญการเรื่องเพศตรงข้ามดีขนาดไหน แค่ตะโกนฉันยังรู้ได้เลยว่า เจ้าของเสียงหน้าตาดีระดับใด... เข้าใจหน่อยเถอะค่ะ! คนมันขาดแคลนทรัพยากรด้านนี้ขั้นวิกฤต จึงทำได้แค่ศึกษาให้เชี่ยวชาญ ไว้รอการตะบบไงคะ)
"คุณครับ! คุณ! คุณ! ที่ทำงานอยู่ 'บริษัท MORE & MOST' น่ะครับ รอผมด้วย คุณช่วยพาผมไปด้วยได้หรือเปล่า.... " ไม่ทันได้ฟังพ่อรูปหล่อพูดจนจบประโยคดี ฉันก็รีบคว้าข้อมือแข็งแกร่งไว้มั่น (ใจจริงอยากโอบประคองเลย แต่เกรงว่า จะอดใจหยุดการกระทำของตัวเองไว้แค่นั้นไม่ไหว จึงทำได้แค่ จับมือ ) และพาขึ้นรถประจำทางทันที ใครที่ไหนเขาจะมัวนั่งคุยกันเป็นหลักเป็นฐาน ตอนรอรถประจำทางล่ะคะ เมื่อเราทั้งสองคนหาที่ยึดเกาะได้อย่างมั่นคง ฉันจึงรีบเอ่ยปากถามธุระของเขาอย่างไม่รอเวลา
"เมื่อกี้คุณจะพูดอะไรนะ ตอนนี้พูดได้แล้วล่ะ แต่เร็วๆ เข้านะ เพราะเดี๋ยวฉันก็ต้องลงแล้ว"
"ผมขึ้นรถประจำทางไม่เป็น ผมก็เลยจะขอให้คุณพาขึ้นรถประจำทางด้วย เพราะผมก็ทำงานอยู่ที่เดียวกับคุณ" 'คนอะไรวะ! โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังขึ้นรถเมล์ไม่เป็นอีก' คิดได้อย่างนั้นฉันก็สำลักเสียงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่
"ฮึๆ ฮะๆๆ ขึ้นรถเมล์ไม่เป็น! นี่คุณสุภาพบุรุษคะ! คุณเองก็ดูแก่กว่าฉันอยู่หรอกนะ แต่กลับไม่มีปัญญาขึ้นรถเมล์เอง เป็นลูกแง่หรือไงกัน ห๊า!.. " ดูสิ! ซุ่มซ่ามแล้วยังปากเสียอีก นี่! เพื่อนๆ ก็แนะนำให้ผ่าตัดเอาฟาร์มหมา ที่ได้สัมปทานโครงการถาวรในปากออกนะ อืมม์... กลับที่เรื่องตาลูกแง่นี่ต่อนะคะ ปากเสียแค่นี้ (แสนซน: 'แค่นี้' เหรอ! นี่พูดไปขนาดนั้น! ยายชล! เธอเรียกว่าแค่นี้เหรอยะ) ฉันยังไม่สำนึกอะไรสักนิด ยังมีหน้าพูดด้วยภาคภูมิใจกับ 'โรงเรียนประกายชลชำนาญการขึ้นรถประจำทาง' อีกว่า
"ต้องฉันนี่คุณ! ต่อให้หลับตาฟังแต่เสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์อย่างเดียว ฉันยังรู้ได้เล๊ย!... ว่ารถเมล์คันที่ผ่านหน้าฉันไปสายอะไร" ฉันเชิดใบหน้าเรียวรูปไข่ ที่ล้อมกรอบด้วยผมยาวยุ่งเหยิงขาดการหนีบไดร์ ขึ้นเพื่อสนับสนุนคำพูดของตัวเอง แต่แล้วผู้โดยสารทั้งคันรถ ต่างพากันหันขวับมาจับจ้องที่ต้นเสียงดังแหวของฉัน ด้วยอาการตื่นตกใจ อาการคล้ายคนอยากรู้อยากเห็น เรื่องของหญิงงามที่กำลังจะถูกปล้นฆ่าหมกรถประจำทาง
"เฮ้ย!.. คุณ! คุณ!...คุณทำงานที่เดียวกับฉันใช่ไหม แล้ววันนี้คุณรีบไปทำงานหรือเปล่า! " มือเรียวเล็กแต่หยาบกร้านของฉัน สะบัดไปกวักที่มือหนาแต่นุ่มผิดชายทั่วไปของเขาเป็นระวิง
"ก็..." ชายร่างสูงแข็งแกร่ง ทำท่าจะยืนคิดอีกนาน ซึ่งคงจะไม่ทันแน่ ฉันจึงรีบพูดตัดหน้าด้วยความรีบร้อน
"เราต้องลงป้ายหน้านี้นะ! คุณเตรียมตัวดีๆ ล่ะ! " ฉันกระชับกระเป๋าสะพายแน่น พรางวาดมือไปเกาะแขนเขาไว้เพื่อกันหลง (ฉันกลัวเขาหลงจริงๆ นะ ไม่ได้มีเจตนาอื่นได้แอบแฝงเลย)
"อ้าว! ทำไมละครับ! จะถึงบริษัทแล้วเหรอ แต่ผมไม่เห็นคุ้นกับแถวนี้เลยนะ" ชายหนุ่มถามพรางขมวดคิ้วเข้มเล็กน้อย
"เหอะน่า! เร็วเข้า! อย่างเพิ่งถามอะไรมากเลย เราต้องลงแล้วล่ะ" ถ้าจะถามถึงเงินที่ต้องจ่ายพนักงานเก็บเงินประจำรถคันนี้ล่ะก็... อยากช้าเองค่ะ! ชักดาบสิคะ! แต่เราสองคนไม่ได้ตั้งใจทำนะ (ก็ลงเรือหรือรถประจำทางลำเดียวกันไง เลยต้องใช้แทนตัวฉันกับเขาว่า 'เรา' ไม่ได้ขี้ตู่อะไรสักหน่อย ทำไมต้องมองหน้าอย่างนั้นกันด้วยล่ะ..) ป้ายที่เราลงนี่ ก็เพิ่งเลยมาจากป้ายแรกแค่ 3-4 ป้ายเอง และพี่กระเป๋ารถเมล์ก็มัวแต่เสียเวลายืนเถียงกับยายฉุอวบอิ่มหน้าตางั้นๆ กับผู้ชายใส่สูทหล่อโคตรๆ ไม่แพ้ตานี่ตั้งนานสองนาน ขืนฉันรอล่ะก็ คงได้เข้าทำงานตอนบ่ายแน่เลย (แสนซน: จำกันได้ไหมว่า เรื่องสั้นเรื่องไหนของความรู้สึกดี ที่เรียกว่ารักเล่ม 9 ที่มีสาวอวบกับหนุ่มหล่อขึ้นรถเมล์แล้วเอ๋อๆ น่ะ พี่ yayoi จะฆ่าเค้าไหมเนี่ย เล่นแซวกันข้ามเรื่องเลย)
ฉันกระชับมือใหญ่แสนอบอุ่นของเขาแน่นกว่าเดิม (เค้าเปล่าหลอกแต๊ะอั๋งจริงๆ นะ! ทำไมต้องมองกันด้วยสายตาจับผิดอย่างนั้นล่ะ.. แต่จะว่าไปแล้ว... ฮิๆๆ ฉันก็ไม่อยากปล่อยเหมือนกันแหละ) ก่อนจูงลงตรงป้ายรถประจำทาง ที่เพิ่งพูดถึงก่อนหน้านี้อย่างทุลักทุเล ทั้งยังต้องต่อรถประจำทางคันใหม่เพื่อย้อนกลับไปอีก 2 ป้ายที่ผ่านมา ถ้ามันจบแค่นี้ได้ก็ดีหรอก แต่มันไม่ได้จบแค่รถประจำทางคันที่สองเท่านั้นน่ะสิ เพราะเรายังต้องเผชิญชะตากรรมบนรถประจำทางคันที่สามด้วยอาการเหนื่อยหอบ จากการผจญภัยท่ามกลางผู้คนที่ต้องแย่งกันขึ้นรถประจำทางสายหลักอีกต่างหาก จนสภาพเราสองคนไม่ได้ต่างไปจากนักรบที่เพิ่งออกศึกล้างจักรวาลเลยสักนิด
เอ่อ... สงสัยกันแล้วใช่ไหมคะ! ว่าฉันพาพ่อหนุ่มท่าทางน่อมแน้มคนนี้ ท่องทั่วมหานครคอนกรีตด้วยรถประจำทาง ในช่วงที่การจราจรสุดเฉื่อยแบบนี้ทำไม ฮะ! ฮะ! ฮะ! อยากจะขำให้คนอื่นฟังเหมือนร้องไห้
เรื่องมันมีอยู่ว่า หลังจากที่ฉันกระหน่ำซ้ำเติม พ่อรูปหล่อคนนี้ เรื่องความงี่เง่าจบหมาดๆ หางตาเจ้ากรรมของฉันแอบเหลือบไปเห็น เส้นทางที่เคยนำฉันไปสู่บริษัททุกวี่วัน กำลังดอลลี่ผ่านไปทางด้านหลัง! ผ่านไป!.. ผ่านไป!... ผ่านไป! อย่างช้าๆ จนสุดลิบตา! รถประจำทางคันนี้ยังคงมุ่งมั่นในเจตนารมณ์เดิมต่อไป โดยไม่มีทีท่าจะวกกลับมาเลี้ยวที่ซอยเมื่อครู่สักนิด (แสนซน: พูดเหมือนรถประจำทางเป็นรถแท๊คซี่งั้นแหละ)
ตอนแรกก็ปรึกษากับตัวเองว่า คนขับอาจจะหลงลืมเส้นทางเล็กน้อย แบบว่ายังไม่ส่างเมา หรือเขาอาจเปลี่ยนเส้นทางใหม่โดยที่ฉันไม่รู้มาก่อน แต่ถึงจะให้กำลังใจตัวเองยังไง ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เพราะมันก็ไม่มีทางใช่เด็ดขาด! อันที่จริงมันก็มีทางเป็นไปได้หลายกรณีนะคะ แต่ข้อสรุปที่ฉันหาให้กับตัวเองได้ตอนนั้นก็คือ... ใช่แล้วล่ะ! ฉันขึ้นรถผิดสายค่ะ!
เมื่อเราสองคนหาที่ยึดเกาะได้อย่างมั่นคง และจ่ายค่ารถโดยสารสำหรับสองคนด้วยเงินของฉัน ให้กับพนักงานเก็บเงินเรียบร้อย (เห็นปากหมาอย่างนี้แต่ใจบุญนะคะ ก็ตานี่ยืนจ้องหน้าฉันตาปริบๆ เหมือนเด็กห้าขวบ ที่กำลังขอเงินแม่ไปโรงเรียนยังไงยังงั้นเลย) ฉันต้องทนรักษาเอกราช จากการคุกคามทางสายตาช่างสงสัยของชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทราคาแพงนี่อยู่นาน ในขณะที่ตาโย่งนี่ ส่งกระแสจิตด้วยกำลังภายในสองหมื่นโวล์เป็นพักใหญ่ จนกระทั่งฉันรำคาญและทนอึดอัดเก็บกด เรื่องโกหก ตอหรดตอ..ตุ๊ด!.. (เซ็นเซอร์) ไม่ไหวอีกต่อไป จึงตัดสินใจบอกสาเหตุที่เขาต้องขึ้น-ลง ขึ้น-ลง ขึ้น-ลง รถประจำทางมากมาย อย่างกับนักสำรวจโลกทำไม
ทันทีที่เรื่องราวบ้าบอ! ไร้สาระ! หลุดออกจากปากนุ่มสีชมพูอ่อนของฉันได้เท่านั้นแหละ เจ้าของคิ้วคมเข้ม ที่ลากยาวปกคลุมตากลมวาวนั่น ก็ทำท่าเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย (สงสัยที่บ้านขายกระทิงแดงมั้ง) ซึ่งฉันคิดว่าเขาไม่ต้องทำจะดีกว่า ก็มันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลยน่ะสิ! คือ... ถ้าทำได้เนียนเหมือนนักแสดง ฉันจะไม่ว่าอะไรเลยนะ เพราะฉันดูไม่ออก แต่นี่สู้ให้เขาหัวเราะเคาะขวดเหล้าออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ยังจะดีซะกว่าอีก แต่ถ้าเขาหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่จริงๆ เขาก็ต้องถูกฉันด่าว่า เสียมารยาทอีกอยู่ดี จริงไหมคะ! ก็คนมันก็คนขี้แพ้ชวนตีนี่! ใครจะทำอะไรก็ต้องผิดเสมอล่ะ!
ดูสิคะ! ดู! จะตายไหมน่ะ! คงอยากหัวเราะจะแย่แล้วมั้ง แต่ด้วยมารยาทหรืออะไรก็ตามที่สั่งสอนให้เขาเป็นคนที่มีมารยางามแบบนี้ เขาจึงไม่ยอมหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ พอจะนึกภาพออกกันบ้างหรือเปล่าคะ ที่คนทั่วไปเรียกกันว่า 'กลั้นหัวเราะ' ไงคะ หน้าคมเข้มรูปไข่เปลี่ยนเป็นดำบ้าง แดงบ้าง ราวกิ้งก่าเปลี่ยนฤดูเมื่อเขากลั้นยิ้ม น้ำหูน้ำตาไหลแทบจะพร้อมใจกันทะลักทะลานออกมาเหมือนเขื่อนแตก ตอนนี้ชายร่างสูงดูสมาร์ทคนเมื่อครู่ ได้ปราศการวางมาดอย่างขรึมแล้ว แก้มขาวใสเนียนเหมือนผิวผู้ดี แทบปริแตกเป็นรอยแยกแผ่นดินจีนกับญี่ปุ่น ตาที่ตี่อยู่แล้วหยีลงจนแทบมองไม่เห็นนัยตาสีน้ำตาลเข้ม ลองจินตนาการดูแล้วกันค่ะว่า เขาขำกับเรื่องนี้ขนาดไหน
'แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามารู้สึกเอ็นดูกับภาพที่เห็นนะแม่สาวปากมอม เพราะว่าที่เขาจะเป็นจะตายอยู่นั่น ก็เพราะเธอหน้าแตก' การที่เขาทำแบบนี้ ยิ่งก่ออาการหน้าแตกให้ทวีเพิ่มไปกว่าเดิมเสียอีก เมื่อกี้ฉันทำตัวเสียมารยาทกับเขาไว้มาก หากพอถึงคราวที่ฉันพลาดบ้าง เขากลับพยายามนิ่งเฉย เพื่อรักษาหน้าฉัน ซึ่งมันก็ไม่เนียนเอาเสียเลย ถ้าคุณเป็นฉันคุณจะรู้สึกเสียหน้าเหมือนฉันไหมล่ะคะ แต่อาจจะไม่เสียหน้า เพราะถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่มีใครกล้าปากเสียกับผู้ชายหน้าตาดี ที่จัดว่าหายากมากในหมู่มนุษยชาติอย่างฉัน
"ถ้าคุณอยากหัวเราะมากขนาดนั้น! ก็หัวเราะออกมาเลยเหอะ! ฉันไม่ถือหรอก! " ปากมอมของฉันหลุดลั่นวาจาท้าประชดเขาออกไปอย่างหมั่นไส้
"ฮึ! ฮึ! ฮะๆ ก๊ากกกก!! ฮ่า!!! " เขาหัวเราะออกมาจริงๆ ด้วยค่ะ! แบบเอาเป็นเอาตายเลยด้วย! หัวเราะได้เด็ดดวง และเข้าถึงอารมณ์มากเลยนะพ่อคุณ!
"โอ๊ย!.. นี่คุณ! ถึงแม้ว่าฉันจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่มันก็แค่ประชดนะ นี่คุณ! นี่...คุณ! อายคนอื่นเขานะ! พอได้แล้วไม่ต้องหัวเราะแล้ว ฉันรู้แล้วว่าคุณขำที่ฉันหน้าแตก พอเหอะนะ! ฉันขอล่ะ แค่นี้ฉันก็อายคุณจะแย่อยู่แล้ว อย่าให้คนอื่นเขาสงสัยที่คุณหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหลขนาดนี้เลย ฉันไม่อยากให้คนอื่นเขารู้นะ! " เห็นไหมคะคุณผู้อ่าน ฉันบอกแล้วว่าถ้าเขาหัวเราะออกมา ฉันก็ต้องไม่พอใจอีกนั่นแหละ
"โอเคครับๆ ฮึๆๆ แต่โอ๊ย!..คุณผมไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ ฮ่า!.. "
"เอ้า!! ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ! ฉันพูดอะไรผิดตรงไหนกัน! นี่คุณ! ถ้าไม่รีบหยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้! ฉันจะปล่อยให้คุณหลงแล้วนะ! "
ชายจมูกโด่งเป็นสันน่าหยิกนั่น นิ่งกริบไปเลย เป็นไงเล่า! เงียบไปเลย แผนนี้ใช้ได้ผลค่ะ เขาเงียบไปเลย แต่ฉันสิ! พอเห็นหน้าที่พยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ของเขาแล้ว กลับรู้สึกว่าเขามีลักษณะบางอย่างคล้ายกับเด็กๆ ที่พยายามกลั้นหัวเราะ ทุกครั้งที่ฉันหน้าแตกจนงอนที่พวกเขาหัวเราะเยาะฉัน ซึ่งเขาก็เหมือนได้น่ารักซะจน ฉันต้องหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู และแล้วเราสองคนก็สบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ พร้อมใจกันอ้าปากหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข อารมณ์เขินอายเมื่อกี้ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว มันเหลือแต่ความรู้สึกดีๆ ของความสุข ตอนที่เราหัวเราะกัน (ฉันคิดว่าเราสองคนรู้สึกอย่างนั้น)
สักพักใหญ่ เราสองคนจึงมาถึงที่หน้าบริษัท ในสภาพโจรป่าที่เพิ่งหนีตำรวจหัวซุกหัวซุน เพื่อนฉันมารออยู่ที่หน้าบริษัท เหมือนกับมารอรับญาติที่ไม่ได้พบกันมานานนับ 20 ปี หรืออีกกรณีก็นี่เลย พี่น้องที่ถูกพลัดพรากจากกัน ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ทุกคนมุ่งหน้ามาที่ฉัน ต่างแย่งกันถามฉันว่า 'ทำไมมาสาย ทุกคนเป็นห่วงเธอนะ ตอนแรกฉันก็นึกว่า เธอซุ่มซ่ามจนเดินไปชนรถใครเขาบุบซะแล้วสิ แต่ดูแล้วคงไม่ใช่มั้ง เพราะไม่เห็นมีเจ้าทุกข์ตามมาเอาเรื่องเลย' (ฉันจะซึ้งใจพวกมันมาก ถ้าไม่มีประโยคท้ายๆ ) พอฉันหันมามองหา 'เขาคนนั้น' กลับหายไปในฝูงชนซะแล้ว แต่ก็ช่างเหอะ อยู่บริษัทเดียวกัน สักวันคงมีโอกาสได้เจอจนได้แหละ
แต่นี่ผ่านไป 2 อาทิตย์กว่าแล้วนะ! ทำไมฉันยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาอีกล่ะ! ชื่อเขาฉันก็ยังไม่รู้เลย! แล้วเขาจะจำฉันได้ขึ้นใจเหมือนที่ฉันจำเขาแม่นยำขนาดนี้ไหมนะ ฉันในตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ฉันจำเขาได้ดีพอๆ กับที่ฉันสามารถจำวิธีหายใจเลยทีเดียว แต่ฉันกลับหาคำอธิบายไม่ได้ว่า 'ทำไมถึงจำเขาได้ขนาดนี้'
เช้าวันนี้ฉันมาสายอีกแล้ว เพราะนั่งปั่นงานให้เจ้านายจนถึงตี 4 กว่าได้มั้ง (ที่เสร็จตี 4 กว่าเพราะว่า ก่อนหน้านั้นนั่งเล่นเกมส์ Computer สำหรับเด็กอายุ5ขวบขึ้นไป เพลิน จนตี 3 กว่าน่ะค่ะ) จึงตื่นสาย ส่วนเรื่องไปส่งตาเค้กก็ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของพ่อฉันอีกแล้ว (พ่อของฉัน รับเคราะห์จาก การกระทำแสนมักง่ายของลูกไม่รักดีอย่างฉันบ่อยมากค่ะ)
ในขณะที่ฉันกำลังรอลิฟท์อยู่นั้น สมองอันพาลหาเรื่องของฉันก็สั่งการให้ หาแฟ้มข้อมูลเพื่อเตรียมให้เจ้านายเพื่อความสะดวกจะดีกว่า มือไวเท่าความคิด ฉันเริ่มทำการค้นหาอย่างสาละวนทันที
"กริ๊ง! " เสียงลิฟท์ดังขึ้น บอกให้รู้ว่า ลิฟท์มาถึงชั้นหนึ่งแล้ว ฉันรีบกุลีกุจอเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ตายังคงสอดส่ายหาของในกระเป๋าไม่วางตา ทันทีที่ลิฟท์ปิดลงฉับ เสียงหนึ่งที่ค่อนข้างคุ้นหูก็ทักฉันว่า
"อะแฮ่ม! อะแฮ่ม! ประกายชล! เธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า" น้ำเสียงเคร่งขรึมบอกให้รู้ถึงความน่าเกรงขามของผู้พูดเป็นอย่างมาก
"คะ!? อ้าวเจ้านาย! อรุณสวัสดิ์ค่ะ เช้านี้อากาศดีนะคะ ชลเตรียมแผนงานมาให้เรียบร้อยแล้วค่ะ เจ้านายอยากจะดูเลยไหมคะ" ฉันรีบร้องทักตอบ เมื่อเห็นชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้านายของฉันอย่างยินดี
"อะแฮ่มๆ ประกายชล! คือ... เมื่อกี้ฉันถามเธอว่า เธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า"
"เอ๊ะ!? เฮ้ย!! ผิดค่ะ! ชลขึ้นผิดจริงๆ ด้วย! ขอโทษค่ะ! ชลไม่ได้ตั้งใจ! คือ... ชลมัวแต่หาแฟ้มอยู่น่ะค่ะ! "
"เออ! พอๆๆ ฉันเข้าใจเธอดี คราวนี้ให้อภัยที่ลูกน้องผมซุ่มซ่าม ขึ้นลิฟท์ผิดสักครั้งได้ไหมครับคุณไอตะวัน" เจ้านายพูดพร้อมกับหันไปขอความคิดเห็น จากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรขึ้นมา ฉันก็ร้องทักคนที่ยืนอยู่ข้างเจ้านายอย่างดีใจว่า
"อ้าว! คุณ! เป็นอย่างไงบ้างคะ? สบายดีหรือเปล่า? เอ๊ะ! อย่างนี้ก็แปลว่า คุณก็ขึ้นลิฟท์ผิดน่ะสิคะ ฉันก็เหมือนกันเลยค่ะ แหม! เราสองคนที่แย่จังเลยนะคะ ซุ่มซ่ามขึ้นลิฟท์ของผู้บริหารได้ไงกัน แย่จริงๆ เลย"
"เธอคนเดียวน่ะสิ ประกายชล" บอสพูดแทรกขึ้นมา ก่อนที่ฉันจะหน้าแตกไปมากกว่านี้
"ท่านนี้คือ คุณไอตะวัน ประทานทรัพย์ ประธานบริษัทของเรา นี่เธออยู่ที่นี่มา 3 อาทิตย์กว่าแล้วนะ! แต่ยังไม่รู้จักประธานบริษัทของเราอีกเหรอ! "
"ห๊า!! เมื่อกี้เจ้านายว่าไงนะคะ! ประธานบริษัทเหรอคะ! คุณ... " ฉันหันเอามือไปชี้หน้าเขาหน้าตาตื่น
"ฉันขอโทษ! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปีนเกลียวคุณนะคะ! " ฉันหันมามองหน้าตาโย่งคนนั้นในฐานะที่เปลี่ยนไปสลับกับหน้าของเจ้านาย ความรู้สึกช็อควิ่งเข้าขยุ้มหัวใจแทบแหลก ฉันช็อค อย่างที่ไม่เคยช็อคมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ช็อคจนกระทั้งเป็นลมคาอกชายผู้แตกต่างกับฉันราว 'หมวกกับรองเท้า'
โปรดติดอ่านต่อตอนไป
19 กุมภาพันธ์ 2547 18:02 น.
TANOI_ZA
ความรู้สึกระหว่างที่ขับรถช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมาน เจ็บปวดราวกับว่ามีใครสักคนกำลังปีบหัวใจผมให้แหลกคามือเขาเสียให้ได้ ใจผมไปถึงมือหมอตั้งแต่วูบแรกที่อักษรล้มลง อยากวอนขอใครสักคนบนฟ้าให้ช่วยเปิดเส้นทางจาราจรให้โล่งไร้ผู้คนเสียจริงทั้งที่ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ รถราที่อัดแน่นอยู่เต็มถนนทำเอาผมอึดอัดมากขึ้นจนร้องไห้ออกมาเพราะกลัวสิ่งที่ผมยังไม่รู้แน่ว่ามันคืออะไรจะมาพรากอักษรไปจากผม ทุกนาทีที่เดินผ่านราวกับวันเวลาผ่านไปนานหลายเดือนหลายปี มันช่างเป็นวันเวลาแห่งความโหดร้ายที่สามารถฆ่าคนทั้งเป็นได้เสียจริง
ทำไมผมไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพยายามปิดบังผมให้เร็วกว่านี้นะ ถ้าคุณเป็นอะไรไปผมจะทำอะไรเพื่อใครล่ะ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกระตุกสติของผมให้ตื่นจากอาการสับสนเจือกลิ่นน้ำตาที่ไหลนองอยู่สองข้างแก้มด้วยความเสียใจ คุณยายโทรมานั่นเองผมพยายามควบคุมสติและเอื้อมมือสั่นราวกับคนป่วยไปรับโทรศัพท์อย่างช้าๆ
อักษรเป็นลมเหรอลูก
คุณยาย! ฮือ! เมื่อได้ยินเสียงคุณหญิงพิมลความอึดอัดที่ผมพยายามเก็บกดไว้เพื่อให้มีความเข้มแข็งพอที่จะดูแลอักษรได้ก็ทะลักล้นออกมา อักษร! อักษร! เป็นอะไรทำไมไม่มีใครบอกผมเลย!
อะไรลูก อักษรก็เป็นลมอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ ตกใจอะไรกันนักหนา
ฮือ! ผมสูดหายใจเข้าลึกก่อนถามคุณหญิงออกไปอย่างชัดถ่อยชัดคำ
ช่วงนี้อักษรเป็นลมบ่อยใช่ไหมคุณยาย คุณยายก็รู้สึกเหมือนผมไหมว่าอักษรไม่ค่อยจะร่าเริงสักเท่าไร เหมือนเขามีเรื่องอะไรไม่สบายใจและกำลังคิดอะไรอยู่คนเดียวใช่ไหม และที่สำคัญช่วงนี้เขาพูดกับผมเหมือนกับว่าเขาจะอยู่กับผมได้อีกไม่นาน
ไม่ใช่ลูก! ทำไม! ไม่จริงหรอกลูก จารึกอย่าพูดอะไรเหลวไหลสิ! คุณยายตอบย้อนผมมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
หนูอยู่ที่ไหนลูก เดี๋ยวยายจะไปหาอรัณย์แล้วจะไปหาที่โรงพยาบาลนะ
คุณยายถามให้ได้นะครับ คุณยายต้องรู้ให้ได้นะครับว่าอักษรเป็นอะไรกันแน่
ใจเย็นๆ ก่อนนะลูก เดี๋ยวยายก็พากันร้องไห้ทั้งบ้านหรอก อักษรอาจจะไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงอย่างที่จารึกคิดก็ได้ แค่นี้ก่อนนะ
ผมส่งตัวคนรักของผมถึงมือหมอได้ไม่นานคุณหญิงพิมล คุณแม่แก้วตา คุณน้าหวานใจ อรัณย์ก็มาถึงด้วยสีหน้าตื่นเต้นคละเคล้ากับสีหน้าที่ทำให้ผมรู้สึกใจหาย
ตกลงว่าไงหมออรัณย์! หมออรัณย์ยังคงก้มหน้านิ่ง
หมอตอบสิหมอ! ตอบผมมาเดี๋ยวนี้ว่าอักษรเป็นอะไร! เธอเป็นอะไร! เธอเป็นอะไรกันแน่! ผมเขย่าร่างคุณหมออรัณย์จนแทบจะพาตัวเองล้มไปพร้อมเขา
จารึกลูก! จารึก! จารึกฟังเขาก่อนนะ! คุณยายห้ามผมด้วยน้ำตาที่เอ่อนองทั้งสองแก้ม
คุณยายไม่โกรธที่เขาปิดเรื่องแบบนี้กับเราไว้หรือครับ
อักษรเป็นคนทำให้มันเป็นแบบนี้เองครับ คำตอบของหมออรัณย์สะกิดอารมณ์โกรธของผมให้กระพือโหมมากยิ่งขึ้นจนผมยั้งตัวเองไม่อยู่
ไอ้หมอนี่! ทำผิดพลาดเองแล้วยังจะโทษคนอื่นอีกเหรอ! ผมขว้างหมัดไปที่แก้มของคุณหมอดังตุบจนคุณหมอเซล้มลงไป
จารึก! คุณแม่ของอักษรวิ่งถลาเข้ามากอดผมไว้จากด้านหลังก่อนที่ผมจะเข้าไปซ้ำคุณหมออีกครั้งทำให้ผมได้สติขึ้นมาวูบหนึ่ง เป็นโอกาสให้คุณหมอได้มีโอกาสเอาคืนจนผมเป็นฝ่ายล้มลงไปกองกับพื้นบ้าง
รู้ไว้ด้วยว่าที่เขาไม่ยอมบอกอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองตั้งแต่แรกก็เพราะนายนั่นแหละ ร่างของหมออรัณย์หอบจนตัวโยน มือสั่นๆ ของเขาพยายามดันกรอบแว่นเข้าที่ด้วยสีหน้าโมโหจัด ไม่ใช่หมัดของหมออรัณย์ที่ทำให้ผมตกตะลึงจนแทบจะบ้าหรอก แต่เป็นคำพูดของเขาต่างหากที่ทำให้ผมมองเห็นภาพทั้งหมด ผมเข้าใจเรื่องตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงตอนนี้เลยทีเดียว
ผมทำให้เธอไม่อยากอยู่ในโลกนี้เหรอ ไม่มีใครสักคนพูดอะไรออกมาก ตอนนี้ทุกคนคงจะโมโหผมมากจนอยากจะบีบคอผมให้ตายไป เธอเป็นมานานหรือยังหมอ คุณหมออรัณย์เม้มปากอย่างคนที่กำลังพยายามเก็บอารมณ์โกรธ
คงนานแล้ว น่าจะก่อนที่เธอจะรู้จักนาย เพียงแต่เธอไม่เคยบอกใคร เรื่องบางเรื่องถ้าเราไม่ตรวจละเอียดหมอก็ไม่สามารถรู้ได้ ดังนั้นถ้าคนไข้ไม่บอกอาการผิดปกติเฉพาะจุดเราก็จะไม่ตรวจ โดยเฉพาะยายษรที่อ่อนแออยู่แล้วด้วยดังนั้นการที่เขามีอาการอ่อนแอจึงไม่ใช่เรื่องผิดสังเกต
เป็นก่อนรู้จักผม!? ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าอักษรไม่อยากอยู่ตั้งแต่แรกแล้วน่ะสิ
ไม่น่าจะใช่ เพราะษรดูร่าเริงและมีความสุขดี บางทีเธอเองก็อาจจะไม่รู้ตัวเองด้วยเหมือนกัน
ยายรู้ว่าอักษรไม่ได้ร่าเริงจริงๆ หรอก ษรพยายามทำทุกอย่างให้พวกเราเลิกเป็นห่วงแก เมื่อช่วงที่แกได้รู้จักจาแกดูร่างเริงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเราทุกคนอยากรู้จักคนที่ทำให้อักษรยิ้มได้แบบนี้ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อักษรก็เปลี่ยนไปเป็นคนเก่า
หมออรัณย์รู้เรื่องนี้นานหรือยัง
ก่อนหน้านี้ไม่นานนักหรอก
เพราะผม! ผมทำให้เธอไม่อยากอยู่บนโลกนี้!
อย่าโทษตัวเองสิจา เธอทำให้อักษรเปลี่ยนมาเป็นคนร่าเริงนะ เธอทำให้อักษรมีความสุข ผู้เป็นแม่ของอักษรรีบปลอบใจผมที่บอบช้ำเพราะน้ำมือตัวเอง
แต่ผมก็ทำได้ไม่ดีพอ ผมเห็นแก่ตัวอักษรถึงได้เป็นอย่างนี้ ผมเงียบไปพักหนึ่งก่อนนึกอะไรออก
หมอ! เธอจะหายไหม เธอเป็นโรคอะไรหมอ
คือ
หมอตอบผมมาสิ! หายไหม! หมออรัณย์ยังคงก้มหน้ามองพื้นอย่างสิ้นหวัง
อย่าทำอย่างนี้สิ! บอกผมมา! ผมทรมานจะตายอยู่แล้วนะ!
รอถามหมอข้างในเองแล้วกัน
รู้ตอนไหนก็เหมือนกัน เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วนะ ยังจะปิดกันไปถึงไหน
จนกว่านายจะรู้จากปากอักษรได้ก็ยิ่งดี เสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดอ้าพร้อมสายตาของพวกเราที่เลื่อนไปจับจ้องที่หมอผู้ตรวจ
เป็นไงบ้างคะ
เป็นไงบ้างครับ พวกเราเอ่ยปากถามหมอที่เพิ่งออกมาจากห้องหน้าตาตื่นแทบจะพร้อมกัน
ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วครับ แต่..
แต่อะไร!
คือหมอเกรงว่าจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 2 ปี
หลานจะตายเหรอหมอ ทำไมล่ะไม่มีอะไรช่วยหลานฉันได้แล้วหรือ ช่วยได้ไหม
คือว่า..มันเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้วครับ ถ้าเรารู้ไวกว่านี้ก็อาจจะมีทางอยู่บ้าง ทั้งคุณยายและคุณแม่ของอักษรเป็นลมล้มลงไปทันที ดีที่ผมกับอรัณย์วิ่งเข้าไปรับไว้ทัน
หลังจากนั้น 1 วันเต็มๆ อักษรก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้นมามองหน้าหรือยิ้มให้ผมอีกเลย ผมแทบจะทิ้งการเรียนมาดูแลอักษร เพราะอยากเป็นคนแรกที่เธอเห็นเมื่อตอนลืมตาตื่น เธอจะได้ยิ้มเพราะความดีใจที่รู้ว่าผมไม่เคยหายไปไหน แต่ความรับผิดชอบต่องานที่ผมยังสะสางไม่เสร็จสิ้นทำให้ผมมีโอกาสกลับมาดูแลเธอได้ในตอนเย็น ในขณะที่ผมกำลังนั่งทำใจก่อนขึ้นไปพบอักษรได้อย่างเข้มแข็งดังเดิม ร่างสูงโปร่งที่ผมจำได้แม่นยำหลังจากวันที่ผมหักหลังอักษรก็เดินออกจากลิฟท์มาพอดี
มาทำไมอีก! ถ้าใครจะทำให้คนที่ผมรัก. ผมพูดด้วยน้ำตาที่แทบร่วงลงจากตา
เป็นอะไรไปมากกว่านี้อีกละก็.. ลลนามองหน้าผมด้วยแววตาสมเพชแล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสงสาร
พอเถอะ ฉันก็แค่มาเยี่ยมและมาขอโทษเธอเท่านั้นแหละ น้ำตาเริ่มซึมออกมาเพราะความที่ผมคิดอะไรได้แต่ละเรื่องก็ล้วนแล้วแต่เจ็บปวด
มันไม่ใช่เลย ผมโทษคนนู้นคนนี้ว่าทำร้ายเธอ แต่ที่จริงแล้วคนที่ทำให้เธอเจ็บขนาดนี้กลับเป็นผม ทุกอย่างเป็นเพราะผม ทำไมผมถึงได้เป็นคนอ่อนแอร้องไห้ง่ายดายเสียจนไม่น่าเลื่อมใสอย่างนี้
เมื่อครู่เธอตื่นแล้วนะ เราคุยอะไรกันเยอะมากจนทำให้ฉันอยากเกิดเป็นคุณ ความรักของเธออยู่ในโลกแคบๆ แต่บริสุทธิ์และสวยงาม ทุกลมหายใจของเธออยู่เพราะความรักที่มีต่อคุณ คุณรู้ไหมฉันเคยคิดว่าการที่ใครคนหนึ่งจะมีความหมายสำหรับใครอีกคนถึงขนาดควบคุมทุกลมหายใจของอีกคนได้นั้นมันไม่มีจริงหรอก จนกระทั่งฉันได้ฟังเธอพูด
แต่เธอจะไม่อยู่แล้ว
คิดดูให้ดีนะคุณจารึกว่าคุณควรจะทำตัวอย่างไร ระหว่างร้องไห้ฟูมฟายให้เธอเศร้าใจไปกับคุณทุกวันหรือคุณควรจะทำให้เธอมีความสุขก่อนจากคุณไป แล้วทำให้เธอรู้ว่าคุณจะมีความสุขเช่นกันถ้าไม่มีเธอ นี่คือสิ่งที่เธอต้องการจะให้กับคุณและคือเหตุผลที่เธออยากอยู่กับคุณ ผมไม่รอให้อะไรๆ มันผ่านไปโดยที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรอีกแล้ว ผมรีบยิ้มให้เพื่อนคนใหม่ของผมอย่างจริงใจและขึ้นไปหาอักษรทันที
อักษร! เธอหันมาทางผมราวกับได้ยินเสียงเรียกพร้อมส่งยิ้มที่ทำให้ผมสุขใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกันมาต้อนรับผม
ไปไหนกันหมดแล้ว
กลับบ้านไปทำงานกัน ไปเอากับข้าวมาให้ด้วย
ดีขึ้นแล้วนี่ ยิ้มหวานได้แล้ว
เรียนเป็นไงบ้างยากหรือเปล่า วันนี้เหนื่อยกว่าเมื่อวานไหม
ไม่เลย ผมไม่เหนื่อยเลย ผมเรียนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่จะได้นำทุกอย่างมารักษาษร
ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ เราไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ก็แค่โรคภูมิแพ้ธรรมดา พวกเราตกลงกันว่าจะบอกกับอักษรว่า ผมคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่รู้เรื่องเธอ
ก็ผมอยากดูแลภรรยาของตัวเองนี่นา เผื่อวันหน้าผมจะสามารถรักษาโรคนี้ได้จนคุณแข็งแรงและไม่เป็นอะไรเลยไง อักษรอยู่รอผมก่อนนะรอให้ผมเรียนจบและเป็นหมอมารักษาคุณนะ เธอนิ่งไปพักก่อนเริ่มขยับมืออีกครั้ง
พูดอะไรอย่างนั้น เราก็ยังอยู่ตรงนี้ยังไม่ไปไหนสักหน่อย ผมเลื่อนมือมาบีบกระชับมือของเธอไว้ให้แน่นก่อนกลั้นใจพูดต่อไป
ก็ผมกลัวว่าใครจะมารักษาอักษรให้หายป่วย ก่อนที่ผมจะได้รักษาคุณด้วยตัวผมเองไง แต่ในที่สุดมันก็เกินกลั้น น้ำตาที่ผมฝืนไว้ค่อยๆ ซึมออกมา ผมซบหน้าลงไปที่มือเธออย่างหมดแรง เธอจึงลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบใจผมด้วยความรู้สึกห่วงใย ดูสิครับมาถึงขนาดนี้แล้วแทนที่ผมจะเข้มแข็งเพื่อทำให้เธอรู้ว่าผมมีความสุขดีและไม่รู้เรื่องอะไร ผมก็ยังทำได้ไม่แนบเนียนจนอักษรต้องเป็นฝ่ายมาปลอบใจผมแทน ผมซบหน้านิ่งอยู่กับมือเธอนานจนสงบจิตใจลงมากและมีโอกาสคิดอะไรภายใต้มือบอบบางและอ่อนโยนของเธอที่กำลังปลอบใจผมอยู่
เราแต่งงานกันนะอักษรเดี๋ยวผมจะไปบอกหม้าให้หม้ามาขอษรให้ผมนะ
ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้นล่ะ เรายังไม่ตายสักหน่อย ทำไมเธอต้องพูดอย่างนี้โดยที่เธอยังยิ้มระรื่นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย
ก็แค่รักษร ก็เลยอยากแต่งงานด้วยไม่มีอะไรหรอก
แต่เรายังไม่อยากแต่งนี่นา เผื่อวันหนึ่งจาเปลี่ยนใจหรือเราอยู่.. ผมรีบคว้ามือเธอไว้ก่อนที่เธอจะพูดอะไรที่ทำร้ายตัวเธอเองมากไปกว่านี้
ผมอยากแต่งจริงๆ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงผมก็ยินดีจะมีความสุขกับเรื่องเหล่านั้นขอแค่ษรมีความสุขกับผมก็พอ ได้ไหม!? ผมพยายามสื่อทุกความรู้สึกของตัวเองผ่านแววตาเจ็บปวดที่ต้องซ่อนมันไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่งได้แล้วเหรอ จารึกยังเรียนอยู่เลยนะ
แต่งได้สิ แต่งได้แล้วผมอายุ 22 แล้วนะ ทำไมจะแต่งงานไม่ได้ หรือถ้าแต่งไม่ได้จริงๆ เราก็ยังไม่ต้องจดทะเบียนก็ได้ แต่เราต้องแต่งกันนะ แต่งกันเถอะนะ ผมแกล้งทำหน้าเป็นอ้อนวอนขอเธอแต่งงาน หยอกล้อเธอจนเธอยิ้มและหัวเราะออกมาให้ผมรู้สึกชื้นใจและรับรู้ถึงความสดใสที่ยังมีอยู่ในตัวเธอ
ว่าไงตกลงไหม แต่งงานกับผมนะ
เรามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกจา คือ เธอส่ายหน้าเล็กน้อย ท่าทางเธอคงกำลังจะคุยกับความคิดที่แตกออกเป็นสองฝ่ายของตัวเอง
เราคงอยู่ได้. ผมรีบคว้ามือบอบบางเธอไว้ก่อนที่เธอจะบอกคำพูดโหดร้ายที่จะทำร้ายเราทั้งสองคน น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ผมแอบน้อยใจที่เธอไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญขนาดนี้ผมรู้ แต่ตอนนี้ผมกลับไม่อยากให้เธอพูดออกมา อาจจะเป็นเพราะผมกลัวเธอจะแหลกสลายไปเพราะคำพูดแบบนี้ของเธอ ผมจึงจำใจต้องเลี่ยงโดยบอกเธอว่า หรือว่าอักษรไม่รักผมแล้ว ไม่อยากให้ผมมีความสุขแล้วหรือไง รู้ไหมว่าผมจะมีความสุขที่สุดถ้าผมได้แต่งงานกับคุณนะ เธอส่ายหน้าที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำใสๆ ไหลลงจากตาอยู่นองสองแก้ม ผมจึงกอดเธอที่กำลังสะอื้นจนตัวโยนไว้ในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกที่อยากเธอรู้ว่าผมมั่นคงขนาดไหนจนเธอสงบลง
จะไม่เสียใจแน่นะที่แต่งงานกับเราน่ะ ผมกำลังจะยืนยันหากแต่เธอจับหน้าผมไว้ก่อน
สัญญาก่อนว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจาก็จะมีความสุขต่อไปนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้นึกถึงใจตัวเองเป็นอันดับแรกอย่าคิดถึงแต่เรานะ ดูแลตัวเองให้ดีที่สุดถ้าวันหนึ่งจะไม่มีเรา เราสองคนปล่อยให้น้ำตาซึมออกมาพร้อมกันอย่างเงียบๆ ในขณะที่เธอกำลังเอ่ยคำพูดที่ราวกับคำสั่งเสียแต่เต็มไปด้วยความห่วงใยซึ่งเธอมิได้ห่วงตัวเองเลย ในที่สุดผมจึงยกปลายนิ้วมือขึ้นแตะมือเธอที่กำลังพูดเป็นระวิงอยู่นั้นและชิงเธอพูด
ผมจะสัญญาว่าจะมีความสุขต่อไปไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม และจะรักอักษรตลอดไปด้วยนะ
อย่ารักเราตลอดไปเลย
อย่าห้ามผมเลย เพราะการรักษรเป็นความสุขของผมนะ เป็นความสุขที่สุดในชีวิตเลยด้วย ผมเลื่อนมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอย่างแผ่วเบาก่อนถามเธอีกครั้งว่า
ว่าไงครับ ตกลงแต่งงานกับผมนะ เธอสบตามองผมทั้งน้ำตาก่อนหัวเราะคิกคักออกมาอย่างอายๆ แล้วจึงแกล้งโยนคำตอบไปให้คุณยาย
แล้วแต่คุณยายแล้วกันค่ะ ถ้าคุณยายไม่ว่าอะไรเราก็จะยอมแต่งงาน
ทำไม ผมโบกมือเปลี่ยนคำพูด
แน่ใจนะ! พูดแล้วไม่คืนคำนะ! เธอพยักหน้ายืนยันคำพูดอย่างหนักแน่น
ความสุขของจาคือความสุขทั้งหมดของเรา ผมลุกขึ้นกอดเธอด้วยอารมณ์ที่ยากเกินอธิบายเพราะหลากหลายความรู้สึกที่มีต่อเธอมันเยอะเสียจนผมหาคำนิยามให้ไม่ได้ มือของเธอยังคงลูบหัวผมไม่เลิกลาทำให้ผมอุ่นใจ แต่มันคงจะอุ่นใจแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน
เวลาทั้งหมดนอกเหนือจากที่ผมเรียนหรือทำงานกิจกรรมต่างๆ ผมจะยกให้เธอเกือบหมดตัวเลยทีเดียวและจะพาปะป๊าและมะหม้ามาเยี่ยมเธอบ้างในวัน แน่นอนว่าปะป๊ากับมะหม้าของผมต้องแสดงละครร่วมไปกับผมเพื่อความสบายใจของพวกเราทั้งหมด ผมอยากให้เวลาของเธอที่เหลืออยู่เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายที่สุดตั้งแต่เธอเกิดมา อยากให้อักษรรู้ว่าเธอจะไม่เสียใจเลยถ้าสักวันหนึ่งเธอจะต้องจากโลกนี้ไป เพราะพวกเราทุกคนจะยังรักเธออย่างนี้ตลอดไปและเธอจะไม่ผิดหวังกับความสุขที่เธอพยายามมอบให้ทุกคนตลอดมา
วันที่ผมเดินเข้าไปบอกท่านว่าผมจะแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งทั้งๆ ที่ผมยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกภูมิใจที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ และท่านทั้งสองก็ยังส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยนพร้อมพูดให้กำลังใจผมด้วยความเข้าใจ
กับใครหรือจา ปะป๊าถามด้วยน้ำเสียงเรียบขรึมอย่างผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว
กับอักษรครับ
แน่ใจแล้วหรือลูก มะหม้าของผมรีบถามสวนมาราวกับรู้คำตอบ แต่น้ำเสียงของท่านนั้นบอกว่าท่านให้ความเมตตากับอักษรมาก
อักษรกำลังจะ จาจะยอมแต่งงานกับคนที่จะอยู่กับจาได้อีกไม่นานแน่เหรอลูก
ครับ ผมอยากทำให้ผู้หญิงที่ผมรักมีความสุขด้วยมือผมเองก่อนที่เธอจะจากผมไป อย่างน้อยผมก็อยากให้เธอรู้ว่าผมไม่เคยเสียใจเลยที่รักเธอ
จารู้ไหมลูกว่าทำไมหม้าถึงยอมให้เราคบกับคนพิการ ผมนั่งคิดอยู่นานจนกระทั่งมะหม้าผมต้องพูดเอง
ลูกเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ ชีวิตดูมีความหมายขึ้นทุกวัน มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เสียจนบางทีหม้าก็ตกใจ แต่ป๊ากับหม้าก็อยากให้จาคิดให้ดีก่อนนะ ทั้งชีวิตเลยนะลูก ลูกอาจจะเจอใครได้อีกหลายคน
แต่ผมก็แน่ใจว่าวันนี้ผมอยากทำให้คนที่ผมรักมีความสุข ผมอยากให้เธออยู่ต่อไปกับผมในวันรุ่งขึ้นของทุกเช้าแต่ในเมื่อไม่มีใครห้ามความตายได้ ผมก็อยากมีความสุขไปพร้อมกับเธอในขณะที่เธอยังมีลมหายใจอยู่เคียงข้างผม ให้ผมแต่งงานกับเธอเถอะนะป๊า หม้า ท่านทั้งสองหันมองหน้ากันอย่างคิดไม่ตกก่อนหันมายิ้มให้
เอาแหวนของหม้าไปให้เขานะ ไว้เมื่อไรที่ลูกปิดเทอมเราจะจัดงานแต่งงานกัน
งานแต่งงานของผมกับอักษรถูกจัดขึ้นอย่างเป็นกันเองที่บ้านของอักษรตามความต้องการของเธอและผมที่จำต้องตามใจเธอ และไม่มีมากจดทะเบียนสมรสเพราะคำขอร้องของอักษรอีกเช่นกัน ผมรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เธอคงไม่อยากผูกมัดผมไว้กับเธอที่กำลังจะจากผมไปน่ะ ดังนั้นเราสองคนจึงเถียงกันเรื่องนี้เป็นเวลานานจนกระทั่งผมยอมแพ้ต่อความดื้อแพ่งของเธอ งานวันนั้นมีเพียงญาติสนิทของฝ่ายผมและฝ่ายเธอกับเพื่อนสนิทอีก 7-8 คนที่รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ภายในงานเป็นไปอย่างอบอุ่นเพราะเราทุกคนพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อให้เธอสบายใจ ชุดแต่งงานของเราเรียบแต่มันก็ทำให้เธอดูน่ารักกว่าทุกวันได้อย่างไม่อยากเย็น ชุดกระโปรงวันพีชเปิดไหล่สีขาวที่ชายกระโปรงบานออกกำลังดีคลุมเข่าเธอลงมาไม่มากเมื่อจับคู่กันกับมงกุฎดอกไม้ที่ถูกวางไว้เหนือเส้นผมที่ปกติปล่อยยาวแต่วันนี้ถูกเกล้าขึ้นมาไว้เรียบร้อยทำเอาเพื่อนๆ ผมมองตาค้างไปนานจมผมเริ่มหวงเธอขึ้นมา ส่วนผมก็แต่งงานตัวธรรมดาเสียจนเพื่อนแซวว่า ตกลงเจ้าบ่าวไม่มาใช่ไหมทำไมไม่เห็นมีใครเหมือนเจ้าบ่าวสักคน ข้าจะได้เสียบแทนเพราะเจ้าสาวไม่เห็นเหมาะกับใครเลย ก็แหมถึงแม้ปกติผมจะแต่งตัวเก่งอยู่บ้างตามนิสัยเพลย์บอยเก่า แต่วันนี้ผมเขินจนไม่อยากเด่นขึ้นมากลางงานที่มีแต่คนสนิทของเราสองคนน่ะสิครับ ผมจึงใส่แค่สูทสีขาวล้วนเปิดให้เห็นแผงอกและไม่ยอมผูกเนคไทให้ดูเป็นทางการมากกว่านี้บวกกับมงกุฎที่ทำขึ้นมาคู่กันกับของอักษรนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความร้อนที่ระอุบริเวณหน้าผมตลอดงาน
เมื่อเราสองคนถูกส่งตัวเข้าหอจนกระทั่งเหลือเราอยู่ในห้องกันเพียงสองคน อักษรนั่งหันหลังให้ผมอยู่อีกฝั่งของเตียงด้วยอาการประหม่าและปราศจากท่าทีมีความทุกข์อยู่สักนิดเลย อาจจะเป็นเพราะเธอรู้ว่าเราทุกคนมีความสุขเพราะเธอก็ได้ ผมนั่งมองเธอจากด้านหลังอยู่นานเพราะไม่คาดคิดว่าจะมีวันนี้ถึงแม้ว่ามันก็อาจจะอยู่กับผมได้อีกไม่นาน ผมค่อยเขยิบตัวเข้าไปกอดอักษรจากด้านหลังก้มลงหอมแก้มเธอเบาๆ แต่เธอก็ยังสะดุ้งและผงะหน้าหนีผมอยู่ดี เธอร้องไห้อีกแล้วแต่ผมรู้ว่ามันเป็นน้ำตาแห่งความสุขใจผมจึงจับไหล่เธอให้หันมาหาผม มือหนาของผมซับน้ำตาที่กำลังส่องเแสงเป็นประกายเพราะแสงไฟกับแสงจันทร์ที่ส่องกระทบ ตอนนี้มันไม่มีคำพูดใดที่จะสามารถอธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างใจของเราสองคนอีกแล้วความรู้สึกที่มีพรั่งพรูออกมาเป็นการกระทำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความสุขที่เราอยากมอบให้กันและกัน เธอหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขภายใต้อ้อมอกแข็งแรงของผมตลอดทั้งคืน
เช้าแห่งความสดใสหลังแต่งงาน ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นที่อักษรยกมาถึงเตียง ทั้งที่ผมควรจะเป็นฝ่ายตื่นมาดูแลเธอแต่ก็ยังตื่นไม่ทันเธออยู่ดี อันที่จริงผมนอนไม่หลับมาตลอดคืนเพราะอยากมองเธอนอนอยู่ข้างกายผมอย่างนี้นานๆ แต่ท้ายที่สุดก็เผลอหลับไปก่อนเช้าได้ไม่นานจนกลายเป็นว่าอักษรต่างหากที่เป็นฝ่ายลุกขึ้นมาเอาใจผมแทน ช่างเป็นความสุขที่แสนเจ็บปวด ความสุขที่เรารู้ว่ามันจะอยู่ในมือเราอีกไม่นาน ความสุขที่ไม่ว่าจะพยายามยื้อไว้สุดกำลังที่มีก็รั้งเอาไว้ไม่ได้ แต่ถึงจะเจ็บปวดอย่างไรผมก็ยินดีรับมันไว้เพื่อให้คนที่ผมรักได้รับรู้ว่าผมมีความสุขดี
เราสองคนอยู่กันด้วยความสุขแบบที่คนปกติทั่วไปเขามักหาเจอกันหลังแต่งงานได้อีกปีกว่า ก่อนหน้าเธอจะจากไป 2 เดือนเราตัดสินใจพาเธอเข้ารับการผ่าตัดท่ามกลางความเสี่ยง 80% คือเสียชีวิต แต่ 20% คือรอดชีวิต หลังจากผ่าตัดอักษรก็สามารถมีลมหายใจต่อได้อีก 2 เดือนท่ามกลางความประหลาดใจของหมอที่ให้การรักษาเธอ คุณเชื่อไหมครับแม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายที่เธอจากจะผมไปเธอก็ยังคงไม่ยอมพูดความจริงออกมา เธอกลับพยายามยกมือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นพูดกับผมด้วยพลังที่เธอเหลืออยู่
ง่วงจังเลยจารึก เราอยากนอนจังเลย
ไม่เอาไม่ให้หลับ อย่าหลับนะ ผมร้องไห้ออกมาราวกับรู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้สื่อสารกันแบบนี้
ร้องไห้ทำไมกัน เป็นพ่อคนแล้วนะต้องเข้มแข็งไว้สิไม่อย่างนั้นจะเลี้ยงลูกให้เข้มแข็งได้เหรอ เราอยากให้จาดูแลปกป้องลูกนะ เธอเลื่อนมือมาลูบหัวเด็กหญิง เพียงรัก ประดิษฐ์นพรัตน์ ลูกสาวของเราสองคนทั้งน้ำตา
อย่าหลับเลยนะ ห้ามหลับนะไหนบอกว่าจะรอผมเรียนจบก่อนไงล่ะ นี่ไงจะจบแล้วอีกไม่กี่เดือนเอง
ก็แค่หลับเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็ตื่นมามองหน้าจากับลูกเหมือนเดิมแล้ว กลัวอะไรกันนักหนา
กลัวมากเลย กลัวที่สุด
จำที่ให้สัญญากับเราก่อนแต่งงานได้ไหม อย่าลืมนะ! ห้ามลืมนะ!
ไม่เคยลืมเลยสักวันเดียว
ถ้าจำได้ก็อย่าร้องไห้สิ บอกแล้วว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่น แล้วอีกไม่นานจาก็จะมารักษาเราให้หายจากโรคภูมิแพ้ไง ผมสะอื้นออกมาเพราะกลั้นธารน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว บางทีอักษรอาจจะรู้ว่าผมรู้เรื่องโรคร้ายของเธอมานานแล้วและที่กำลังทำทุกอย่างอยู่นี่ก็เพื่อให้เธอสบายใจก่อนจากผมไป
ตอนนี้เราสองคนมีลูกด้วยกันแล้ว ความสุขของจาต้องส่งผ่านไปให้ลูกเยอะๆ นะ พวกเราจะมีความสุขร่วมกันนะ ผมพยักหน้ารับและรวบมือทั้งสองข้างของอักษรมาไว้ที่หน้าอก เราสองคนนั่งสบตากันได้ไม่นานเธอก็เริ่มพูดขึ้นอีก
จะนอนแล้วง่วงเหลือเกิน ไม่ไหวแล้วอยากหลับมากเลย
จากวันที่เธอจากผมไปอย่างเงียบสงบ นี่ก็ผ่านมา 8 ปีแล้ว ผมยังไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นอีกเลย นอกจากวันที่ผมไปหาเธอที่สถูปเพราะอดคิดถึงวันเวลาทั้งหมดที่เรามีร่วมกันไม่ได้ เธอสอนให้ผมเข้าใจอะไรหลายอย่างที่หาไม่ได้ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย นั่นคือความรักความห่วงใย หลายคนคิดว่าผมฝืนหัวเราะ ฝืนยิ้ม แต่พวกเขาคิดผิดผมไม่เคยฝืนยิ้มฝืนหัวเราะเลยสักครั้งเดียว ทุกอย่างที่ผมทำคือความสุขของพวกเรา ถ้านรก-สวรรค์มีจริง อักษรอาจจะกำลังยิ้มหรือมีความสุขอยู่ก็เป็นได้ถ้าหากเธอรู้ว่าผมเลี้ยงลูกด้วยความรักในส่วนของเธอด้วย และผมก็ยังสามารถยิ้มหรือหัวเราะได้อย่างมีความสุข ความปรารถนาดีจากเธอ ความห่วงใยของเธอ ความรักที่ยังคงอบอวนทั่วทุกมุมบ้านทำให้ผมเข้าใจสิ่งที่ผมและเธอมอบให้กันโดยปราศจากคำพูดมาตลอดนั่นคือ เราอยากให้อีกคนยิ้มและหัวเราะได้อย่างมีความสุขนั่นเอง สำหรับเราสองคนการกระทำสื่อสารกันได้ดีมากกว่าคำพูดหลายเท่า เพราะหัวใจโกหกใครไม่เป็น
ทุกวันนี้ผมตัดสินใจที่จะสานต่อจุดมุ่งหมายของการเป็นหมอต่อไป เพราะผมเข้าใจแล้วว่าอาชีพนี้มีความสำคัญต่อคนเรามากขนาดตัดสินความสุขของคนสิ้นหวังได้ด้วยมือของผมคนเดียว อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังนะครับผมไม่เคยเห็นความสำคัญของอาชีพนี้นอกจากคิดถึงเรื่องรายได้และหน้าตาของตัวเองที่จะได้รับจากสังคมจนกระทั่งได้เจออักษร ความรักที่มีต่อเธอเปลี่ยนจุดหมายปลายทางของผมเกี่ยวกับอาชีพนี้ว่าให้นึกถึงเรื่องการดูแลรักษาเธอด้วยสองมือของผมเองนอกจากคิดถึงตัวเอง แต่แล้วการสูญเสียอักษรไปก็ทำให้ผมรู้ว่าการช่วยชีวิตใครคนหนึ่งให้สามารถมีชีวิตอยู่เคียงข้างกับคนที่เขารักต่อไปได้นั้นมันมีค่ามากมายและยิ่งใหญ่สำหรับใครต่อใครอีกหลายคนขนาดไหน ทีนี้ก็รู้กันแล้วนะครับว่าผมอยากเป็นหมอเพราะอะไร เพราะรักเธอ
นายแพทย์ ด.ร. จารึก ประดิษฐ์นพรัตน์
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอักษร
แสนซน
19 กุมภาพันธ์ 2547 17:59 น.
TANOI_ZA
ผมพาตัวเองมาถึงผับเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เมื่อก่อนผมเคยมาเที่ยวกับเพื่อนฝูงบ่อยจนรู้ที่รู้ทางดีได้อย่างไรไม่ทราบ มันเศร้าเสียใจ หมดแรงที่จะทำอะไรต่อมิอะไร อึดอัดจนแทบระเบิด ผมจะจัดการอย่างไรกับตัวเองดี ผมจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไปโดยขอเป็นเพื่อนกับเธออย่างนี้ต่อไปส่วนผมก็มีทางของผมเองดีหรือเปล่า ความคิดนับล้านผ่านเข้ามาในหัวผมจนจับต้นชนปลายไม่ถูก สับสนหาทางออกไม่ได้
ผมกินเหล้าไปแก้วที่เท่าไรก็จำไม่ได้เพราะมันมากเหลือเกิน พยายามกินจนกว่าจะลืมเธอแต่ยิ่งกินกับเหมือนยิ่งจำยิ่งตอกย้ำความทรงจำและภาพต่างๆ เกี่ยวกับเธอ รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาแต่ผมบังคับให้มันหยุดไหลไม่ได้ ผมคงดูไม่ได้แล้วล่ะตอนนี้น่ะ คงเละเทะยิ่งกว่าหมาข้างถนนก็ไม่ปาน ผมไม่ได้อกหักนะเพราะเรายังไม่ได้เป็นคนรักกัน และเพราะผมไม่ยอมทิ้งความกลัวต่างๆ ของผมสักทีผมถึงต้องมาอยู่ในสภาพไม่ต่างจากหมาอยู่นี่ไง เสียงหวานใสกังวาลจนผมรู้สึกปวดหัวดังมาจากด้านข้าง
มาทำอะไรอยู่แถวนี้เหรอคะจารึก
ใคร!? เธอเป็นใคร!? เธอจะฟังผมพูดรู้เรื่องหรือเปล่านะ เพราะตอนนี้ผมว่าเสียงผมต้องอู้อี้เพราะฤทธิ์เหล้าแน่ๆ เลย
ที่จำไม่ได้เพราะว่าเมาหรือว่าไม่ได้จำคะ
อย่ามายุ่งกับผมดีกว่า ผมอยากอยู่คนเดียว
แหมไม่อยากได้เพื่อนคุย หรือว่าเพื่อนแก้เหงาหรือไงคะ
ไม่ ผมหยุดคิดสักครู่เพราะความรู้สึกชั่วร้ายกระตุ้นมาจากจิตใต้สำนึกว่า บางทีผมอาจใช้แม่สาวคนนี้เพื่อลืมอักษรได้
ก็ได้ นั่งสิคุณชื่ออะไรล่ะ
ลลนาไงคะจำไม่ได้หรือไงกัน
ลลนาเหรอ เธอเป็นใครครับ ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่าเธอเป็นใคร ผมจำเธอไม่ได้เลย
เป็นอะไรไปคะทำไมถึงมานั่งอยู่คนเดียวที่นี่ได้
เรื่องของผม ผมจะอยู่คนเดียวหรือยู่กับใครมันก็เรื่องของผม คุณจะขอนั่งเป็นเพื่อนคุยก็กรุณาอย่าพูดเรื่องส่วนตัว
ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นมาคุยเรื่องของเราดีกว่า สายตายั่วยวนที่ผมไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว ผมหายห่างไปจากการพบปะผู้หญิงประเภทนี้นานเสียจนรู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่ได้สบตาเธอเลยหรือนี่
ผมว่าเราไปต่อที่อื่นดีไหม เพราะเดี๋ยวที่นี่ก็ปิดแล้ว ผมตาฟาดหรือเปล่านะ เพียงเสียวหนึ่งผมรู้สึกเหมือนเห็นเธอยิ้มเย้าะที่มุมปากเมื่อผมชวนเธอไปต่อที่อื่น
ก็เอาสิคะ เธอเอานิ้วมาลูบแผ่วเบาที่แขนอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของผม พรางส่งแววตาเจ้าชู้มาให้จนผมเริ่มควบคุมสันดาลดิบไม่ได้ แล้วเราจะไปไหนกันดีคะ
ผมคว้าข้อมือเธอด้วยความรวดเร็วจนแทบจะเรียกได้ว่ากระชากไปที่รถของผม ผมขับตรงดิ่งไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่ผมเคยไปเป็นประจำเมื่อสมัยที่ผมยังไม่เจออักษร ในที่สุดเรื่องของเราก็จบลงที่โรงแรมโดยที่ผมขาดสติลืมนึกถึงสิ่งสำคัญบางอย่างไปเสียสนิท
ผมตื่นเช้ามาพร้อมอาการปวดหัวหน่วงๆ อันเกิดจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ รู้สึกได้ถึงน้ำหนักอะไรบางอย่างที่พาดผ่านหน้าท้องผม ทันทีที่ผมขยับตัวเสียงดังอู่อี้ก็ดังมาจากร่างบางที่นอนอยู่ข้างกายผม ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อทบทวนเรื่องราวบางอย่างได้ เมื่อคืนนี้ผมกับเธอทำเรื่องที่ผิดกับอักษรไปเพราะผมน้อยใจอักษรและเมาเหล้า ให้ตายเถอะ! ผมได้แต่ก้มหน้าซบมือทั้งสองข้างอย่างไร้หนทางสักพักจึงรู้สึกถึงอ้อมแขนที่โอบผ่านท้องผมมาจากด้านหลัง เสียงออดอ้อนที่เปล่งออกมาหวานเสียจนผมอยากอ้วก
ตื่นแล้วหรือคะ ผมพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ คิดอะไรไม่ออกยิ่งกว่าเมื่อวานนี้อีก
ไม่ต้องกลัวฉันไม่บอกยายใบ้นั่นหรอก
คุณเองหรือ! ทำไม! ทำไมคุณต้องมาวุ่นวายกับผมอีก!
หึๆๆ ถึงเมื่อคืนนี้ไม่ใช่ฉันคุณก็ต้องไปกับคนอื่นอยู่ดี
กับใครก็ได้ที่ไม่ใช่คุณ! ผมตวาดใส่เธอเพราะทนไม่ไหวแล้ว อันที่จริงเธอไม่ผิดอะไรหรอกคนที่ผิดคือผมต่างหากที่ไม่รู้จักคิดหน้าคิดหลัง หรือยับยั้งชั่งใจก่อนที่จะทำเลว
จะเอาไงต่อดีน้า.. ลลนาลากเสียงยาวออดอ้อนผมเสียจนผมนึกเกลียดเธอมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า
อย่ามายั่วโมโหกันหน่อยเลย คุณเองก็คงจะมีทางให้ไปผมรู้
มีสิ! แต่ยายใบ้เพื่อนคุณนั่นแหละทำให้เขาไม่เหมือนเดิม ผมไม่เข้าใจที่เธอกำลังตัดสินความผิดให้อักษร และเขาคนนั้นที่เธอกำลังพูดถึงคือใครกัน พูดเรื่องอะไรของเธอ
จะบอกว่าไม่รู้เรื่องกันเลยอย่างนั้นสินะ ยายใบ้นั้นคงไม่ได้ฟ้องคุณล่ะสิ
อะไร! เธอทำอะไรอักษร! ทำอะไร! บอกมาเดี๋ยวนี้นะ! ใครก็ได้ห้ามผมทีผมกำลังโมโหมาก ลลนาทำอะไรอักษร ถ้าลลนาไม่บอกตอนนี้ล่ะก็เชื่อได้เลยว่าผมอาจทำร้ายผู้หญิงได้โดยไม่รู้ตัว
ปล่อยมือออกจากไหล่ฉันก่อนสิ
ก็แค่เขียนจดหมายขู่ไปที่บ้านแม่นั่นทุกวัน ว่าอย่ามายุ่งกับพยัคเฆนทร์ซึ่งตอนนี้เป็นผัวชาวบ้านไปแล้วอีก ถ้ามันยังยุ่งกับเขาอยู่อีกฉันจะตามฆ่ามัน ลลนาเล่าด้วยสีหน้าที่ไม่รู้สึกผิด ยิ่งทำให้ผมรู้สึกโมโหมากขึ้นไปอีก
จะบ้าไปใหญ่แล้ว! ผู้หญิงอย่างอักษรไม่มีวันทำอย่างนั้นหรอก!
ทำสิ! ลลนาหันมาสบตาผมอย่างไม่เกรงกลัวด้วยความโกรธ
พี่เฆนทร์กลับมาที่นี่ทีไรไม่เคยแวะไปหาฉันเลย ดีแต่แวะไปหายายนั่นทุกวัน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดเอ่อออกมาคลอเต็มตาเธอ
ฉันเหงานะ! ฉันเจ็บมากที่เขาไม่เคยให้ความสำคัญกับฉันเท่าเด็กผู้หญิงที่เป็นรักแรกของเขา เขาเห็นฉันเป็นแค่ตัวแทนของเธอได้ไงกันใจร้ายที่สุด! ลลนากรีดร้องออกมาพร้อมน้ำตาที่ทะลักล้นออกมาจนผมเริ่มสงสารเธออยู่บ้างหากไม่คิดถึงเรื่องที่เธอทำกับอักษร
แต่ตอนนี้ฉันแก้แค้นเธอได้สำเร็จแล้ว เพราะฉันแย่งคุณมาเป็นของฉันได้ สายตาของเธอเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างหากแฝงไปด้วยความเจ็บปวด คำพูดของเธอสะกิดใจดำของผมจนแทบอยากจะตบเธอ หากแต่ความรู้สึกสงสารลลนายังพอมีอยู่บ้างและเพราะผมคิดถึงอักษรขึ้นมาในวูบที่ผมจะตบลลนา อักษรคงเสียใจถ้ารู้ว่าผมทำร้ายผู้หญิง ผมไม่อยากเป็นคนเลวสำหรับอักษรมากไปกว่านี้แล้ว ผมจึงทำได้แค่สบถออกมาแล้วลงไปที่หมอนด้านข้างตัวเธอ
โธ่เว้ย! สีหน้าลลนาตกใจที่เห็นผมโกรธจนทำร้ายตัวเอง ผมทำอย่างนี้ทำไม! ผมได้อะไรขึ้นมาบ้าง! ผมทำร้ายจิตใจคนที่ผมรักได้ไงกัน!
เราจะได้หายกันแล้วนะ ยายใบ้แย่งผัวฉันไป ส่วนฉันก็ได้เพื่อนรักของมันมา
ผมจะไม่มีวันยอมให้เรื่องมันจบแค่นี้แน่นอน ผมขอร้องคุณได้ไหมได้โปรดอย่าทำร้ายเธออีกเลย แค่เธอมีชีวิตอยู่ในโลกเงียบ ถูกคนอย่างผมทำร้ายจิตใจ เธอก็คงจะละเอียดสลายคามือผมแล้ว ลลนาไม่ตอบอะไรกลับมา หากลุกขึ้นยืนใส่เสื้อผ้าเก็บข้าวของและหันมายิ้มให้ผมอย่างเศร้าใจก่อนจากไป แต่ก่อนจากเธอทิ้งคำพูดหนึ่งไว้ให้ผมคิด
ไม่ใช่แค่ยายใบ้คนเดียวหรอกที่เจ็บปวดเจียนตาย ฉันเองก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร ฉันแค่อยากได้สิ่งที่ฉันควรจะได้ เธอบอกว่าเธอไม่ใช่คนใจร้ายแต่กลับจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ควรจะได้ ผมจะไว้ใจเรื่องความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของผมในวันนี้ได้ไหมครับ และผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเธอจะไม่ขู่อักษรอีก
วันนี้ผมเรียนแทบไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียว อุตส่าห์กลั้นใจมาเรียนเพื่ออนาคตที่ผมอยากจะเป็นผู้รักษาโรคภูมิแพ้ให้เธอเอง เพราะผมอยากจัดการทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอด้วยมือของผมเอง
เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียน ผมขอตัวกับเพื่อนในชมรมโดยอ้างกับพวกเขาว่ามีธุระด่วนมากที่ต้องทำ ผมใช้เวลาเดินทางไปถึงบ้านเธอไม่นานเลย อักษรออกมาต้อนรับผมด้วยสีหน้าดีใจมากที่ได้เห็นผม แววตาใสซื่อไร้แววกังวล ก็แน่อยู่แล้วล่ะเพราะเธอยังไม่รู้เรื่องผมกับลลนานี่ ถ้าเธอรู้เธอคงจะโกรธจนไม่อยากพบหน้าผมอีกแล้ว เอ้ะ! ไม่สิเธออาจจะไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้ เพราะเธอมีชายคืนนั้นข้างกายคอยอยู่เคียงข้างเธอแทนผมแล้วนี่! แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกเจ็บที่เธอยังยิ้มให้ผมได้อย่างเต็มที่ในขณะที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าผมทำเลวลับหลังเธอไว้อย่างแสนสาหัสขนาดไหน มันทรมานจนทนเก็บไว้ไม่ได้อีกต่อ ผมจึงแล่นมาที่ทันทีที่เลิกเรียนไงครับ
ผมพาเธอไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะที่เราพบกันครั้งแรกโดยไม่ยอมพูดอะไรเลยระหว่างทาง ผมรู้สึกได้ถึงแววตากังวลและเป็นห่วงผมจากเธอที่มองตรงมาที่ผมตลอดทาง แต่ผมต้องทำเป็นไม่สนใจเพราะผมกลัวจะร้องไห้ออกมาทันทีที่ได้สบสายตาที่บ่งบอกถึงความห่วงใยคนเลวอย่างผม
คุณเคยโกหกใครคนหนึ่งที่ดีกับคุณมากบ้างไหมครับ มันเป็นความรู้สึกเดียวกัน เจ็บทุกครั้งที่เขายังมองเราด้วยสายตาไร้เดียงสา ยังปรารถนาดีกับเราทุกอย่าง ยังเป็นห่วงเป็นใยเราในขณะที่เรากำลังเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องความผิดที่กำลังผิดบังไว้
ผมจอดรถและรีบเดินจูงมือเธอลงจากรถอย่างร้อนรน ทันทีที่เราลงจากรถความผิดที่ผมเก็บไว้ยังไม่ถึงวันมันก็จะระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว มันล้นปรี่จนผมแทบจะกระอักมันออกมา ผมคงดูไม่สบายใจมากจนอักษรเอื้อมที่ว่างอีกมือหนึ่งของเธอมาแตะเบาๆ บนมือผมที่กำลังจูงเธอเพื่อไปหาที่สงบสำหรับคุยกันเงียบๆ ความรู้สึกของเธอถ่ายทอดมาให้ผมโดยที่ผมไม่ต้องหันไปมองหน้าเธอ อุ้งมือที่ผมเคยจับอยู่บ่อยครั้งวันนี้เพียงแค่เธอแตะลงบนมือคนบาปอย่างผมมันระอุไปด้วยความห่วงใย ความอ่อนโยน ความอบอุ่นและอีกนานาความหวังดีจากเธอ จนผมรู้สึกสงบลงมาบ้าง
เราหาที่ม้านั่งติดริมน้ำและริมสุดของทางเดินเท้าเรียบฝั่งแม่น้ำที่ทางเทศบาลจัดไว้ให้ผู้คนได้มาพักผ่อนกัน เธอหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าตัวนั้นด้วยรอยยิ้มที่เธอมักจะใช้ปลอบใจผม จะต่างจากครั้งก่อนๆ ตรงที่เธอไม่ได้สบตาผมเช่นเคย เธอมองเหม่อไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ เธอยังคงปล่อยให้ผมจับแขนเธอไว้และยังไม่ยอมปล่อยมือข้างที่แตะมือผมไว้เช่นกัน สักพักเธอจึงกระตุกแขนข้างที่อยู่ในอุ้งมือผมเบาเป็นเชิงเรียกให้ผมนั่งลงข้างเธอ แต่ผมไม่กล้านั่งลงเคียงข้างเธอในตอนนี้ ผมไม่มีค่าพอให้เธอปลอบใจด้วยซ้ำ ผมจึงทำได้แค่ก้มหน้าและคุกเข่าลงกับพื้นหญ้าด้านหน้าเธอด้วยอาการราวกับคนหมดเรี่ยวแรง เราอยู่สองคนนั่งกันอยู่อย่างนั้นนานจนผมทำใจเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอได้ และผมก็ต้องตกใจ เธอกำลังมองผมอยู่ทั้งน้ำตา แต่เมื่อเธอเห็นผมเงยหน้าขึ้น เธอก็รีบส่งยิ้มที่แสนอบอุ่นมาให้ผม แววตาเธอพยายามหาเหตุผลที่ผมหมดอาลัยตายอยากได้ขนาดนี้ ผมจึงเริ่มเอ่ยปากเล่าให้เธอฟังอย่างที่ผมเคยทำทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาโดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมไม่รู้ว่าเธอจับใจความได้หรือเปล่าว่าผมกำลังสารภาพบาปกับเธอ แต่ยิ่งผมเล่าอักษรก็ยิ่งสะอึกสะอื้นร้องไห้เสียงดังมาก ทันที่ผมเล่าจบและเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธออีกครั้งเธอก็ชักมือออกจากการเกาะกุมของผมและพูดภาษามือบอกผมว่า
ไม่เป็นไร ถ้าการที่จามีสีหน้าเศร้าโศกขนาดนี้เพราะความรู้สึกผิดที่ทำอะไรบางอย่างกับเรา เราก็ขอลืมความรู้สึกผิดที่จาพยายามถ่ายทอดให้เรารับรู้เมื่อครู่แล้วกัน เธอรู้ว่าผมกำลังพยายามบอกอะไรเธอ แต่ผมเชื่อว่าเธอไม่รู้แน่ๆ ว่ามันหนักหนาขนาดไหน ผมจึงตัดสินใจบอกเธอด้วยการเขียนตัวอักษรลงบนมือเธอ
เมื่อคืนนี้ผมไม่ได้นอนคนเดียว ข้างกายผมมีผู้หญิงคนอื่นที่ไม่รู้จักนอนกอดผมอยู่ อักษรร้องไห้สะอึกสะอื่นออกมาราวกับเด็กเล็กเพราะเธอคงควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว ผมเอื้อมแขนทั้งสองข้างไปโอบรอบเอวเธอแน่นเพื่อไม่ให้เธอหนีผมไปและร้องไห้ออกมาอย่างสุดเสียงทันทีที่เธอกอดหัวผมไว้อย่างอ่อนโยน
ผมขอโทษษร ผมขอโทษ ผมมันเลว ผมไม่น่าใจร้ายกับคุณขนาดนี้เลย ผมทำกับคุณแบบนี้ได้ยังไง ยกโทษให้ผมนะ ยกโทษให้คนเลวๆ อย่างผมได้ไหม อย่าทิ้งผมไปเลย ผมรักคุณนะษรผมรักคุณ ผมพูดออกไปอย่างนี้เธอจะเข้าใจผมอย่างเมื่อครู่อีกหรือไม่ เธอจะรู้ไหมว่าผมบอกรักเธอแล้วและผมเพิ่งรู้ตัวเองว่าผมไม่ยอมเสียเธอให้ใครแน่ ผมเงยหน้าขึ้นจากการโอบกอดอักษรเพื่อสบเววตาที่สั่นไหวของเธอและสะอึกสะอื้นพูดต่อไป
ผมจะไม่ใจร้ายกับคุณอีกแล้วนะษร ผมจะซื่อสัตย์ต่อใจของตัวเอง จะไม่สนใจสายตาใครจะไม่กลัวเรื่องอนาคต จะไม่ทำให้ษรเสียใจ อักษรยังคงร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดท่าทางไม่ยอมรับรู้อะไร ผมจึงค่อยๆ เลื่อนมือไปจับมือเธอไว้เบาๆ สบตาเธอนิ่งๆ ยิ้มให้เธอเพื่อบอกเธอว่ามันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว แก้มผมเอียงเข้าหาฝ่ามือเธอช้าๆ เพื่อซึมซับความเจ็บปวดทั้งหมดจากเธอ ไม่นานเธอเริ่มหยุดร้องไห้ ผมจึงหลับตาทิ้งน้ำหนักไปที่ฝ่ามือนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเพื่อบอกกับเธอว่า ผมจะหยุดทุกอย่างของผมไว้ที่เธอ จะฝากทุกอย่างไว้ที่เธอ จะไม่ไปไหนแล้วทั้งนั้น อักษรวางมือลงที่หัวผมลูบมันอย่างเอ็นดูและทะนุถนอมเพื่อปลอบใจผมทั้งๆ ที่เราสองคนก็บอบช้ำพอๆ กัน ผมจุมพิตหนักแน่นลงที่ฝ่ามือเธอและเขียนลงไปที่มือเธอว่า
ผม รัก - คุณ และเพื่อความแน่ใจผมจึงทั้งพูดภาษาปากและภาษาเขียน
ความเปิ่นของผมจึงทำให้เธอหัวเราะออกมาจนได้ เธอทั้งร้องไห้และหัวเราะออกมาพร้อมกัน แต่ผมแน่ใจได้เลยว่าเธอมีความสุขอยู่อย่างแน่นอนเพราะรอยยิ้มของเธอนั้นกลับมาสดใสเหมือนเดิมแล้ว ผมจึงถือโอกาสอ้อนเธอโดยลุกขึ้นนั่งข้างตัวเธอและเอนตัวนอนบนม้านั่งไม้และใช้ตักนิ่มของอักษรแทนหมอน เธอหน้าแดงเลยครับ น่ารักจังเลย การที่ผมได้บอกรักเธอมันทำให้ผมรู้สึกดีขนาดนี้เลยเหรอ ผมไม่ต้องพยายามห้ามใจตัวเองอีกต่อไปแล้ว อยากอ้อนเธอก็อ้อนได้เลยโดยไม่ต้องกลัวว่าเราสองคนจะถลำใจรักกันมากกว่าเดิม มีความสุขเสียจริง แต่ยังมีอีกสองเรื่องที่มันยังคาใจผมไม่เลือนคือผู้ชายที่ผมเห็นคืนนั้นซึ่งเรื่องนี้ผมต้องถามเธอแน่ๆ แต่อีกเรื่องนี่สิผมจะถามเธอดีไหม ผมกลัวว่าถ้าถามออกไปแล้วจะทำให้เธอกลัวขึ้นมาได้ ถึงจะอยากรู้ทั้งสองเรื่องขนาดไหนแต่วันนี้ผมคงไม่ถามให้เสียบรรยากาศหรอกครับ เพราะถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นคนรักคนใหม่ของอักษรขึ้นมาจริงๆ คำสารภาพรักที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีที่ผ่านมาของผมคงจบเร็วจนผมรับไม่ทัน
จริงเหรอจา! จะให้ยายจัดฉลองให้เลยไหม คุณยายสุดที่รักของอักษรเริ่มเปลี่ยนวิธีการพูดเมื่อสนิทกับผมได้ 4-5 เดือนแล้วล่ะครับ
หรือจะให้ยายไปขอจาที่บ้านเลยไหมลูก คุณแเก้วตาผู้เป็นแม่ของคนรักผมอดล้อเลียนกับอาการดีใจเกินหน้าเกินตาของผู้เป็นแม่ตัวเองไม่ได้
เกินไปจ้ะแก้วตา เราต้องรักษากิริยาไว้มั่งนะลูกอย่ารีบร้อน
นี่คุณแม่คิดจะไปสู่ขอตาจารึกจริงๆ เหรอคะ
ก็ใช่น่ะสิ ใครว่าแม่ไม่คิด จริงไหมลูก คุณหญิงพิมลหันไปลูบหัวหลานสาวที่กำลังนั่งเหม่อท่ามกลางความยินดี
เป็นอะไรไปลูกหือม์ คุณหญิงเลิกคิ้วพรางถามอักษรเป็นภาษามือ ผมเองก็สังเกตเห็นตั้งแต่ในรถแล้วเหมือนกันว่าเธอมีท่าทีแปลกไป ตอนที่ผมบอกรักเธอก็ดูมีความสุขดี แต่ทำไมตอนที่เธอขึ้นรถมากับผมตลอดเส้นทางอักษรก็นิ่งไปราวกับว่าเธอมีเรื่องราวไม่สบายใจบางเรื่อง ดูท่าจะหนักมากด้วยครับเพราะเหมือนเธอคิดไม่ตก ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าจนผมต้องกุมมือเธอไว้นั่นแหละถึงได้มีโอกาสเห็นเธอยิ้มขึ้นมาบ้าง
เป็นอะไรลูกบอกยายได้ไหม ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า ไม่ดีใจหรือไงที่จารึกเขาก็รักหนูด้วยน่ะลูก
ดีใจสิคะ ดีใจที่สุดในชีวิตเลย ชาตินี้คงไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้หนูดีใจได้มากกว่านี้อีกแล้ว
พูดเกินไปแล้ว เพิ่งจะเกิดมา 20 ปีกว่าเอง มั่นใจได้ยังไงลูก
ก็หนูอ่อนแอ จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ทำไมเธอพูดอะไรอย่างนั้น! ใจร้ายจังเลยนะอักษร ทำไมเธอถึงพูดทำร้ายจิตใจคนที่เป็นห่วงเธอได้ขนาดนี้ เพราะผมคนหนึ่งล่ะที่จะพยายามรักษาเธอไว้ให้อยู่กับผม
ทำไมพูดอย่างนั้น ผมถามเธออกไปตามใจคิดด้วยสีหน้าโกรธ เธอเลือกที่จะหลบตาผมแทนคำตอบ อ๋อ! หรือว่าเรื่องผู้ชายคนนั้น
หรือว่าเพราะผู้ชายคนที่มาส่งคุณเมื่อคืนนี้ อักษรตาโตเมื่อผมถามออกไปในขณะที่คนในบ้านไม่ได้มีปฏิกิริยาตกใจอะไร คุณหญิงพิมลเพียงแต่อธิบายถึงความเป็นมาให้ฟังแทนหลานที่กำลังตกใจอยู่
อ้าว! จำพ่ออรัณย์ลูกพี่ลูกน้องของอักษรที่เป็นหมอประจำตัวษรไม่ได้หรือจา เป็นคนพาอักษรไปพบเขาเองก็ออกบ่อย
คือ..คืนนั้นผมเห็นไม่ชัดน่ะครับ มันมืดๆ ด้วย ไกลอีกต่างหาก แล้วษรไปกับเขาทำไมตั้งดึกดื่นขนาดนั้นครับ
เมื่อวานนี้อยู่ๆ แม่อักษรก็เป็นลมล้มพับลงไป ตกใจกันทั้งบ้านจึงพาไปหาตาอรัณย์ที่คลีนิกและฝากไว้ให้ดูอาการให้หน่อยว่าเป็นอะไรมากไหม ยายอยากตรวจแม่อักษรให้ละเอียดเลย เพราะช่วงนี้เป็นบ่อยเหลือเกิน
กลับดึกมากเลยนะครับ คลีนิกอะไรเปิดดึกขนาดนั้น
แหมพ่อจารึก ตาอรัณย์เขาก็พาลูกพี่ลูกน้องเขาไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงปลาตามประสาญาติๆ บ้างสิจ้ะ รู้ความจริงแล้วก็ยังจะหึงหลานยายกับตาอรัณย์อีกหรือไง ผมขอยืนยันว่าผมไม่ได้หึงนะครับ!ก็ได้คือผมหึงนิดหน่อย!.. ก็ได้ๆ หึงครับหึง กับลูกพี่ลูกน้องผมก็หวงที่รักของผมอยู่ดี สมัยนี้ลูกพี่ลูกน้องแต่งงานกันเองก็มีถมไป คนรักผมน่ารักออกปานนี้ไม่หวงไม่หึงไหวหรือครับ แต่ที่ผมถามย้ำกับคุณยายก็เพราะว่าผมรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่ทราบ รู้สึกผิดสังเกตยังไงชอบกล แต่ผมยังไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไรและจะเริ่มจากตรงไหนดีจึงได้แค่เก็บไปสงสัยในใจเพียงคนเดียว
ผมก็แค่เป็นห่วงนี่ครับ อะไรที่มันไม่เป็นปกติก็ต้องถามให้หายสงสัย
จ้าพ่อนักสืบ ตกลงเรียนจบจะเป็นคุณหมอหรือจะเป็นตำรวจคะลูก
ผมอยากเป็นหมอครับ ก่อนรู้จักอักษรผมอยากเป็นหมอเพราะพ่ออยากให้เป็นและมันเป็นงานที่เงินดีงานหนึ่ง ที่สำคัญคนนับหน้าถือตาก็เยอะด้วย
ถ้าอย่างนั้นพอจาเจอหลานสาวยายแล้วจาอยากเป็นหมอเพราะอะไรล่ะ คุณหญิงพิมลแกล้งถามทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ท่านก็อยากฟังอะไรที่ทำให้เธอประทับใจในพ่อหนุ่มเพลย์บอยเก่าให้ชื่นใจ ผมหันไปมองหน้าคนรักและยิ้มอย่างอายๆ ให้ หากเพื่อยืนยันความรักของผมที่มีต่อเธอให้บรรดาญาติของเธอรู้ผมจึงต้องหน้าหนา (หรือที่ปกติผมจะเรียนหน้าด้าน) บอกเหตุผลไป ดังนั้นผมจึงขอจับมือและโอบเธอไว้หลวมๆ เพื่อขอกำลังใจก่อนพูดต่อ
จุดมุ่งหมายในการเป็นหมอของผมเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้รู้จักอักษร ผมไม่เคยรู้สึกถึงความสำคัญของเป้าหมายในอาชีพหมอมาก่อน แต่อักษร.. ผมกระชับมือแน่นกว่าเดิมพร้อมกับระดับความอายที่เพิ่มมากขึ้น
เงียบทำไมล่ะจา อ้อมไปอ้อมมาอยู่นานแล้วนะ คนรอฟังลุ้นกันจนจะเอาหูไปแนบปากเธอแล้วนะนั่น
เรื่องส่วนตัวนะครับคุณแม่ ไม่ใช่เรื่องสาธารณะ
เอากับเขาสิ! ยายยอมให้แกว่าวันหนึ่ง ตกลงจะเล่าดีๆ หรือว่าจะให้ฉันจับเราแยกกับแม่อักษรก่อน
จะไม่มีอะไรแยกเราสองคนออกจากกันได้อีกแล้วล่ะครับ นอกจากความตาย
เอ้ะ! วันนี้เป็นอะไรกันเนี่ยพูดแต่เรื่องตายเรื่องเจ็บ อย่ามัวเฉไฉเลยจา พูดต่อเลยนะ
คร้าบ.. ถึงไหนแล้วนะ ผมยังอดยวนไม่เลิกก็หมั่นไส้นี่ครับ น่ารักกันทั้งบ้านเลยน่าแกล้งนักเชียว
จารึก! ทุกคนที่กำลังรอฟังคำพูดผมด้วยใจระทึกรีบพูดเสียงเขียวดังเสียจนผมต้องยอมใจอ่อนเลิกแกล้ง แล้วจึงหันไปสบตาอักษร พูดช้าๆ เพื่อให้เธออ่านปากผมออกและเข้าใจเหตุผลที่ผมอยากเป็นหมอเพื่อใคร
เพราะว่าผมอยากเป็นคนดูแลคนที่ผมรักด้วยตัวผมเอง ผมไม่อยากให้ใครมาดูแลเธอนอกจากผม ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอผมจะต้องเป็นคนช่วย ทุกครั้งที่อักษรป่วยจะต้องเป็นผมที่ดูแลเธอ เพราะคงไม่มีใครคนไหนดูแลเธอได้ดีเท่าผมคนที่รักเธอ
จาเธอรู้ตัวไหมว่าเสน่ห์ของเธออยู่ที่ไหน
เร้าใจมั้งครับ ผมก็พูดไปอย่างนั้นเพราะตั้งใจจะล้อเล่นแต่ไม่คิดว่าทั้งบ้านจะทำหน้าตาตื่นกันขนาดนี้จนผมอดขำไม่ได้
เหลวไหลน่ะ ยายถามจริงๆ รู้ตัวเองไหม
รูปร่างหน้าตาล่ะมั้งครับ หรือฐานะทางบ้านก็ไม่รู้เหมือนกัน
สำหรับยายนะ ถ้ายายยังสาวยังสวยสู้แม่อักษรได้ละก็ ยายคงหลงรักจาที่ความคิดและคำพูดของเธอนั่นแหละ ใครฟังเขาก็รู้สึกดี อย่างยายฟังที่เธอพูดยายก็อยากให้หลานสาวของยายได้คนอย่างเธอมาอยู่เคียงข้าง คุณยายของอักษรพูดชื่นชมผมเสียจนผมเขิน แต่มันก็ต้องมีคำถามต่ออีกนั่นแหละ แล้วทำไมอักษรรักผมทั้งๆ ที่เธอไม่สามารถฟังถ้อยคำสละสลวยเหล่านั้นได้
คุณยายผมขอตัวไปข้างนอกกับอักษรนะครับ
เอาสิจะเอาไปต้มยำทำแกงที่ไหนก็ตามแต่เธอเถอะ
ก็แค่พาไปเดินตากน้ำค้างให้ไม่สบายเล่นที่หน้าบ้านเท่านั้นแหละครับ
จ้าๆๆ ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปหาอะไรทำกันบ้างเถอะนะแม่แก้วตา ตาจารึก แม่หวานใจ ปล่อยหนุ่มๆ สาวๆ เขาไปหาที่จู๋จี๋กันสองคนดีกว่า คุณหญิงเรียกบรรดาลูกสาวและหลานชายลุกขึ้น แต่ยังไม่วายชายตามามองอักษรให้เธอรู้สึกเขินที่ท่านรู้ทัน
ผมพาอักษรมานั่งตรงซุ้มเรือนไทยที่ทำจากไม้ท่าทางจะอยู่กับบ้านหลังนี้มานานหลายปีแต่สภาพของมันไม่ได้เก่าตามกาลเวลาเลย เพราะคงมีคนคอยดูแลเป็นอย่างดี ผมนั่งจับมือของอักษรอยู่นานจนเราต่างคนต่างเงียบหากมันไม่ใช่ความเงียบที่สร้างความรู้สึกอึดอัดให้เราสองคน ในที่สุดผมก็รวบรวมความกล้าถามคำถามคาใจกับเธอไปด้วยภาษามือ
ทำไมถึงรักผม เธอส่งยิ้มให้แต่กลับไม่ยอมตอบคำถามผมราวกับไม่เห็นสิ่งที่ผมกำลังพยายามสื่อให้เธอตอบ ผมจึงย้ำกับอักษรอีกรอบพร้อมบีบมือเธอเบาๆ
ทำไมถึงรักผม อักษรรวบมือทั้งสองข้างของผมไว้ ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้พรางส่ายหน้าอย่างไม่ยอมบอกคำตอบ จากนั้นเธอจึงค่อยๆ คลี่มือบางออกและจับมือผมให้แบออกเช่นกัน ผมรู้แล้วว่าเธอจะทำอะไร
ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเราจาจะอยู่ต่อไปใช่ไหม
ทำไมถามอย่างนี้! ผมตกใจกับคำถามของเธอมากจนส่งเสียงอุทานออกมาดังลั่น ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่แล้วที่เธอมีท่าทีแปลกประหลาดรวมถึงคำพูดก็แปลกไม่ต่างกัน แล้วนี่ยังจะถามอย่างนี้อีก อักษรคุณมีอะไรปิดบังผมไว้หรือเปล่า
มีอะไรไม่สบายใจที่อักษรไม่ได้บอกให้ผมรู้ใช่ไหม บอกผมมาก่อนผมจะอึดอัดตายลงตรงนี้เสียก่อนนะ
เปล่านี่ ก็แค่คิดว่าตั้งแต่นี้ต่อไปเพียงได้เห็นหน้าจาทุกวัน มีจาอยู่เคียงข้างเราไปจนวันสุดท้ายของชีวิต เราก็พอใจที่สุดแล้ว ผมรู้ว่าเธอทำเป็นยิ้มอย่างใจดีสู้เสือ ก็ได้ผมจะตามใจเธอ ไม่อยากบอกผมก็ตามใจแต่ไม่ใช่ว่าผมจะยอมแพ้นะ ผมจะต้องสืบรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ผมจึงแกล้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยและไม่ทันเล่ห์หลอกของเธอ
หรือจะเฉไฉไม่ยอมบอกเหตุผลที่รักคนอย่างผม รักผมเพราะอะไรครับบอกมาเดี๋ยวนี้นะ
อย่าให้รักของเราขึ้นอยู่กับคำว่าเหตุผลเลย อักษรเคลื่อนที่มือไปมาอย่างชำนาญเพื่อบอกผม
ถ้าเรารักใครสักคนด้วยเหตุผลมันคือ การใช้สมองคิดคำนวณหาข้อได้เปรียบเสียเปรียบในการที่เราจะรักเขาคนนั้นต่างหาก แต่ความรู้สึกที่บอกว่าทุกอย่างที่เป็นเธอคือ ความสุขของฉันนี่สิถึงจะเรียกว่าความรัก ที่รักของผมมักจะมีคมให้ผมได้ซึ้งใจเป็นประจำ คงเป็นเพราะโลกของเธอสดใสเจอแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ อักษรจึงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสียจนคนรอบข้างมีความสุขเมื่ออยู่ใกล้เธอ ผมอยากจุมพิตเธออีกจัง ความรู้สึกจากรอยสัมผัสบางเบาบนริมฝีปากของผมในวันนั้นยังคงไม่ลืมและโหยหามาตลอด ซึ่งคำพูดของเธอก็ทำให้ผมต้องการหวนระลึกถึงความหวานจากรอยจูบนั้นอีกครั้ง
เราสองคนนั่งสบตากันนิ่งเนิ่นนาน มือของอักษรช่างอบอุ่นและอ่อนโยน ที่รักของผมถ้าคุณไม่อยากให้ผมเสียมารยาทกับคุณอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าคราวนี้เราจะเป็นคนรักกันแล้วก็ตาม คุณก็จงหยุดยิ้มแบบสดใสและไร้เดียงสาอย่างนั้นเสีย รู้ไหมว่ารอยยิ้มแบบนั้นมันทำให้ผมเผลอขโมยจุมพิตของคุณได้นะ ทันทีที่ผมเริ่มขยับตัวอักษรก็ผงะหน้าหนีนิดหนึ่ง เธอแสดงออกว่าเธอรู้ความคิดผม แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุผมหยุดตัวเองไม่ได้แถมยิ่งอยากจะเอาชนะเธอเสียอีก ผมยกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมที่ตกมาละใบหน้าสวยใสเบาๆ ถือวิสาสะเลื่อนมาลูบแก้มเนียนอย่างช้าๆ อักษรสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อสัมผัสมือของผมลงไปที่แก้มของเธอครั้งแรกและจึงเปลี่ยนอาการเป็นเอียงแก้มใสเข้าซบในอุ้งมือผมและจับมือข้างที่ลูบแก้มเธอไว้สบตากันนิ่ง ที่น่าแปลกคือเธอไม่ยอมหลับ ทำให้ผมยิ่งหมั่นไส้สาวน่าตีอย่างเธอ โธ่แม่สาวน้อยในกำมือมารนี่คุณพยายามป้องกันความเป็นอธิปไตยของตัวเองขนาดนี้เชียวหรือนี่ เธอคิดว่าผมเป็นใครกัน ผมเป็นคนรักเธอนะทำไมเธอต้องกลัวผมจุมพิตเธอขนาดนั้นด้วย ผมจึงลองยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธออย่างช้าๆ อักษรก้มหน้างุดๆ อย่างที่ผมเดาไว้ครับหลับตาสนิทจนหยีเลย มือก็ดันหน้าอกไว้ใหญ่เชียว โธ่เธอจ๋า! ลำพังแรงแขนที่อ่อนแอทั้งสองข้างของเธอนั้นจะทำอะไรผู้ชายแข็งแรงอย่างผมได้หรือครับ แต่มันก็ทำให้ผมได้มีเรื่องแกล้งสาวไร้เดียงสาตรงหน้าเพิ่มขึ้น ผมจึงก้มลงจูบลงที่ต้นแขนอย่างหนักหน่วง อักษรทั้งสะดุ้งทั้งลืมตาโตเป็นไข่ห่านเลย พอผมเห็นเธอลืมตาขึ้นจึงยื่นหน้าเข้าไปหาใหม่อีกครั้งและเธอก็หลับตาดันหน้าอกผมเหมือนเดิม คราวนี้ผมก็เป่าลมไปที่ข้างหูเธอบ้าง เอนหัวหนีโดยไม่ยอมเปิดตาเฉยเลยแต่สังเกตได้ว่าตาที่หยีอยู่แล้วแทบจะหายไปเลยน่ารักมากเลยครับ ก็เพราะอย่างนี้แหละน้าผมถึงได้อยากแกล้งเธอขึ้นมา
นี่อย่าเบียดสิ ฉันจะดูหลานฉันถูกจูบให้ถนัดๆ หน่อย คนแก่สายตาไม่ดี ลูกน่ะหลบไปก่อนเลย
อย่าดังสิแม่! โธ่แม่ขา! หนูกับยายหวานใจก็แก่ไม่ต่างจากแม่แล้วนะคะ แบ่งๆ กันดูนั่นแหละ และถึงอย่างไรยายอักษรก็ลูกหนูเหมือนกันนะ
เป็นพี่ผมด้วย และผมก็เด็กที่สุด ผู้ใหญ่ต้องไม่เอาเปรียบเด็กนะครับคุณยายคุณน้าคุณแม่
อะแฮ่ม!
ชู้ว!!เงียบๆ กันหน่อยแล้วก็อย่าดัน เดี๋ยวจารึกก็รู้ตัวพอดีกัน
อะแฮ่มๆ ผมรู้นานแล้วล่ะครับทุกคน ก็เล่นส่งเสียงดังกันขนาดนั้น
อ้าวรู้แล้วเหรอจ้ะ คือยายกับแม่ลูกสาวยายเขาก็อยากเดินเล่นแถวๆ นี้เหมือนกันน่ะ บังเอิญจังเลยนะจ้ะ
ผมอุตส่าห์ล่อหลอกให้อักษรออกมานอกบ้านกันแค่สองคนได้แล้ว พวกคุณยายยังอุตส่าห์ตั้งใจให้บังเอิญกันอีกนะครับ แต่ผมไม่อายหรอกจะจูบหลานคุณยายต่อหน้าต่อตาเลยก็ได้ ว่าแล้วผมก็ก้มลงหอมแก้มนวลของอักษรเมื่อตอนที่เธอเริ่มรู้สึกปลอดภัยที่มีผู้มาขัดจังหวะจนไม่ทันระวังจากการจู่โจมของผม เล่นเอาเธอสะดุ้งเฮือกหันมาตีดังเผียะ และมองค้อนอย่างอายๆ ได้น่ารักจนผมต้องคว้าเธอมาโอบไว้หลวมๆ
แหม ได้คืบจะเอาศอกหรือจ้ะพ่อจารึก พอได้แล้วยังไม่ได้แต่งงานกันนะจ้ะ อย่าเพิ่งล่วงเกินกันประเจิดประเจ้อต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ของเธอสิจ้ะ
ทีเมื่อกี้ทำไมลุ้นกันยิ่งกว่าษรอีกละครับ
เอาไว้ทำลับหลังดีกว่านะเรื่องอย่างนั้นน่ะ ใครรู้เขาได้ว่าบ้านยายรู้เห็นเป็นใจให้หลานเสียคนเอาน่ะสิ
ครับๆๆ ผมขอโทษด้วยนะครับ ไว้ผมจะมาขอหมั้นไว้ดีไหมษร ผมหันไปขอความคิดเห็นของสาวคนรักด้วยก่อนใช้ภาษามือคุยกับเธอ
ผมจะมาหมั้นคุณไว้ดีไหมษร แล้วพอผมเรียนจบแล้วเราก็แต่งงานกันเลยนะ ผมหวังจะเห็นสีหน้าดีใจและเต็มใจจากเธอ แต่กลับกลายเป็นว่าผมทำให้อักษรมีสีหน้าราวกับจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ ผมพูดอะไรผิดหรือครับเรื่องน่าดีใจขนาดนี้แต่ทำไมเธอถึงจะร้องไห้ (หรือว่าซึ้งใจจนพูดอะไรไม่ออก - ล้อเล่นนะครับผมน่ะเข้าใจเธอดี)
ตื่นเต้นจนจะร้องไห้เลยเหรอ ไม่เป็นไรผมไม่รีบอะไร ต้องขอบใจประสบการณ์โกหกอันโชกโชนของผมเมื่อในอดีตจริงๆ เพราะมันทำให้ผมปั้นหน้ายิ้มให้เธอโดยไม่แสดงความเป็นห่วงเรื่องที่อักษรกำลังปิดปังผมอยู่ ให้ตายเถอะเธอเป็นอะไรกันแน่!? เธอมีอะไรกลุ้มใจจนไม่สามารถบอกกับผมได้เลยหรือ มันคือเรื่องอะไรกันนะ
หลังจากนั้นไม่นานผมจึงขอตัวกลับบ้าน โดยไม่ลืมที่จะเก็บเอาความสงสัยกลับไปด้วยอย่างแน่นอน ที่รักของผมเธอมีอะไรกลุ้มใจอยู่หรือถึงได้มีท่าทีแบบนั้น ความรักของเราที่เมื่อก่อนมันไม่สมหวังตอนนี้ผมก็ยอมรับใจตัวเองแล้วแต่ทำไมสีหน้าของเธอกลับเศร้าหนักลงไปอีก ผมมั่นใจว่าเรื่องที่อักษรกลุ้มใจมันต้องเกี่ยวกับผมแน่นอนแต่เพราะบางอย่างที่ผมพูดออกไปทำให้เธอมีสีหน้าเศร้าลงกระทันหันจนหัวใจผมหล่นวูบไปพร้อมกับรอยยิ้มของเธอ หรือว่าจะเป็นเรื่องจดหมายขู่ของลลนาที่ส่งมาขู่ว่าจะฆ่าเธอ ไม่แน่! อักษรอาจจะกำลังกลุ้มใจเรื่องนั้นอยู่ก็เป็นได้เพราะเรื่องนี้ผมก็ยังไม่ได้ถามเธอและเธอเองก็ยังไม่คิดจะปริปากบอกผม
เรื่องทั้งหมดกระจ่างในบ่ายวันหนึ่งหลังจากที่ผมพยายามล่อหลอกถามเธอหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยได้ผลสักครั้งเดียว วันนั้นผมเรียนเสร็จตั้งแต่บ่าย งานชมรมก็สะสางจนไม่เหลืออะไรให้เป็นที่เดือดร้อนคนอื่นผมจึงมานั่งเสนอหน้าอยู่ที่บ้านอักษรตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ผมนั่งเป็นเพื่อนอักษรอยู่ข้างๆ เธอ มองเธอวาดรูปดอกไม้ในสวนอยู่นานแต่ก็ไม่รู้จักเบื่อ สักพักอักษรจึงหันมาหาผมและขอให้ผมเป็นแบบให้ มีหรือที่ผมจะปฏิเสธผมรีบตอบรับและนั่งเป็นแบบให้ทันที เธอลืมตัวเอานั่งจ้องผมนิ่งโดยไม่ยอมลงปลายดินสอลงกระดาษเล่นเอาผมเขินและแซวเธอว่า
ซีดหมดแล้ว ทำไมไม่วาดเสียทีล่ะ
ไม่ได้อยากวาดหรอก อยากมองจารึกเฉยๆ เลยหาข้ออ้างให้จารึกนั่งนิ่งๆ
ไม่เห็นต้องมีข้ออ้างเลย เราเป็นคนรักกันนะ อยากมองเมื่อไรก็มองได้
อีกหน่อยอาจไม่ได้มอง เราเสียดายถ้าจะไม่รีบเก็บภาพของคนรักของเราไว้
ช่วงนี้พูดแปลกๆ รู้ตัวไหม
แปลกเหรอ อักษรยิ้มให้ผมเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
จารึกเราเคยถ่ายรูปคู่กันบ้างหรือยังนะ ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ผมจะพยายามหาความลับในใจเธอเอง
เคยถ่ายสิ มีเป็นร้อยเลยนะ
แล้วรูปที่ความหมายจริงๆ ล่ะ เราเคยถ่ายกันหรือยัง รูปที่เราได้ยืนเคียงข้างในฐานะคนรักน่ะ
ยังไม่เคยเลยจริงๆ ด้วย ษรอยากถ่ายรูปคู่กับผมเหรอ ได้เลยนะ
อยากสิ! ถ่ายเลยนะ! ถ่ายเลย ใช่กล้องจานะ เอามาหรือเปล่า
เอามาสิ เดี๋ยวนะ! เดี๋ยวไปเอามาให้ อยู่ในกระเป๋าหน้าบ้านนี่เอง ไม่นานผมก็วิ่งกลับมาหาอักษรที่เรือนไทยหน้าบ้านพร้อมกล้องดิจิตอลที่เราสองคนไปเลือกซื้อด้วยกัน
เราสองคนถ่ายคู่กันโดยผมเป็นคนกดชัตเตอร์ ผมทั้งกอด ทั้งโอบ ทั้งหอมแก้มนวลนั้นจนแทบช้ำ เราสองคนหยอกล้อกันเพลินเชียว ผมแอบถ่ายรูปตอนที่เธอเขินด้วย ตอนที่เธอหันมามองค้อนผมตาโต หรือตอนที่เธอยกมือขึ้นลูบแก้มข้างที่ผมแอบขโมยหอมเมื่อครู่ หน้าบึ้งอย่างสาวสวยขี้งอนก็ถ่ายเก็บไว้ ตอนที่เธอยิ้มหรือหัวเราะผมก็ถ่ายเก็บ ทำไงดีครับผมมีความสุขจังเลยที่ได้อยู่กับผู้หญิงคนนี้จนผมอดหันไประบายความรู้สึกสุขใจกับอักษรไม่ได้
มีความสุขจังเลย อยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป
เราก็อยากให้เป็นอย่างนั้น สีหน้าเศร้าซึมลงไปจนเห็นได้ชัดเจนเชียวล่ะ เธอหันหลังไปเกาะที่กรงไม้โดยไม่ยอมหันมามองผมเลย ผมจึงเดินเข้าไปกอดเธอไว้จากด้านหลัง และเอื้อมมือไปจับมือของอักษรแบขึ้นและเขียนรูปหัวใจลงไป เธอหันมาดันอกผมออกและทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่ผมกลับตัดหน้า
ดีเหมือนกันนะที่เราถ่ายรูปเก็บไว้ พอเราโตขึ้นจนมีลูกมีหลานจะได้เอาออกมาให้เขาชื่นชมความรักที่ยิ่งใหญ่ของเราสองคนไง เขาจะได้ดีใจที่ได้รู้ว่าพ่อกับแม่เขารักกันขนาดไหน เขาจะได้ภูมิใจที่เขาเป็นผลของความรักที่พ่อกับแม่ตั้งใจให้เกิดขึ้น เธอร้องไห้ออกมาแทบคลั่ง แต่ผมก็ยังดันทะรังพูดต่อไปเพื่อล้วงเอาความลับเธออกมาให้ได้
ผมจะรักษรตลอดไปนะ จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ต่อให้คุณลงทุนไล่ผมด้วยตัวเองก็จะไม่ไป ผมจะอยู่กับคุณต่อไปจะดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ จะทำทุกอย่างเพื่อคุณอยู่เสมอจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายที่เราตายจากกัน เธอยิ่งสะอึกสะอื้นจนผมเริ่มใจไม่ดี
สัญญานะ สัญญากับเรา อักษรเริ่มเคลื่อนไหวมือเป็นคำพูด
สัญญาว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามจาก็จะไม่ลืมสิ่งที่เราหวังไว้มาตลอดคือ การได้เห็นวันพรุ่งนี้ที่เต็มไปด้วยความสุขของจา
สัญญาสิ สัญญาครับ ผมโอบร่างนั้นมากอดอีกครั้งจนร่างบอบบางและอ่อนแอของแทบจะแหลกคามือ
อย่าปิดผมอีกเลยได้ไหมอักษร ขอให้ผมได้มีโอกาสดูแลคนรักของผมในฐานะของคนรักเถอะนะ ความสุขของผมก็คืออยากเห็นคนรักของผมยิ้มได้อย่างมีความสุขเหมือนกัน
เรา ไม่นะ! เธอเป็นลมต่อหน้าผมจนผมรับร่างเธอไว้แทบไม่ทัน สีหน้าที่ซีดราวคนไร้เลือดอยู่แล้วซีดลงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่านัก
ใครอยู่แถวนี้บ้าง! คุณอักษรเป็นลมเอารถออก! ลางสังหรณ์ที่ผมเพิ่งจะคลำทางได้เมื่อครู่ปรากฏเป็นคำตอบให้ผมทราบโดยที่เธอไม่ต้องเอ่ยปากบอกอะไรทั้งสิ้น ถ้าลางสังหรณ์ของผมมันจะแม่นยำขนาดนี้ละก็ ผมก็จะไม่พยายามสืบเสาะความลับของเธอเลย
เร็วๆ สิ! มีใครอยู่แถวนี้บ้าง! เปิดประตูรั้วบ้านเร็วเข้า! ผมรีบอุ้มเธอไปที่รถและวางเธอลงอย่างแผ่วเบาก่อนวิ่งไปที่ประตูรั้วบ้านเอง แต่ยังไม่ทันถึงก็มีคนรับใช้ในบ้านของอักษรวิ่งมาเปิดประตูหน้าตาตื่น พรางมองผมด้วยความตกใจและสงสัย
คุณอักษรเป็นลม บอกคุณยายด้วยฉันจะพาอักษรไปโรงพยาบาลก่อน ถ้าส่งถึงมือหมอแล้วจะรีบโทรกลับ เรื่องที่อักษรกำลังพยายามปิดอยู่มันจะต้องร้ายแรงมากแน่ๆ ผมไม่อยากคิดอะไรอีกแล้วเพราะยิ่งคิดยิ่งอยากร้องไห้
อย่าเป็นอะไรนะที่อักษร ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้รักคุณอย่างเต็มที่เอง
โปรติดตามตอนต่อไป
แสนซน
19 กุมภาพันธ์ 2547 17:57 น.
TANOI_ZA
หลังจากที่เรารู้จักกันมาได้ 6 เดือนกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเรายังหยุดอยู่แค่คำว่าเพื่อน แต่ทว่าที่สวนสาธารณะแห่งนั้นจะมีเพียงแค่ผมและอักษรเพียงแค่สองคน เพราะตอนนี้ผมใช้ภาษามือคล่องมากแล้ว ส่วนน้องชายของเธอนั้นก็เข้าช่วงเปิดเทอมพอดี มันก็แค่ข้ออ้างล่ะครับเพราะถึงแม้จะปิดเทอมแล้วผมก็ไม่ยอมให้จารึกตามมาด้วยอยู่ดี เรื่องทางบ้านเธอนั้นก็ไม่มีปัญหาทำให้ผมมีโอกาสพาเธอไปที่อื่นได้มากกว่าการไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะด้วย
มีอยู่วันหนึ่งที่ผมเกือบคลั่ง วันนั้นเป็นวันที่ผมพาเธอไปซื้อหนังสือแถวชั้นวรรณกรรมเด็กและเยาวชน ผมยืนเลือกอยู่กับเธอเป็นชั่วโมง ต่างคนต่างถือหนังสือกันคนละเล่ม เธอดูมีสามาธิกับการอ่านหนังสือเคียงข้างผมเหลือเกินในขณะที่ผมคิดเพ้อเจ้อของผมไปเรื่อยเปื่อยเคียงข้างเธอ สิ่งที่ผมคิดก็ไม่พ้นเรื่องเธอล่ะครับ ผมกำลังคิดว่าจะพาเธอไปกินข้าวที่ไหนดี และมีบางครั้งที่ผมเหลือบตามองสาวสวยบางคนที่เดินผ่านไป ก็ผมเป็นผู้ชายนี่ครับยังไงสันดานเจ้าชู้มันก็ยังมีอยู่บ้าง และที่สำคัญผมกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ดังนั้นผมจะมีใครจะทำอะไรผมก็ไม่ผิดกับเธอ สักพักผมจึงขอตัวไปเดินเล่นตรงชั้นหนังสือประเภทอื่นบ้าง สันดานเก่าเริ่มออกครับผมจะแอบไปดูสาวสวยคนหนึ่งที่เพิ่งเดินผ่านผมไปเมื่อครู่ อันที่จริงแล้วผมไม่ต้องแอบก็ได้เพราะเราเป็นแค่เพื่อนกัน
ผมเดินเข้าไปทักทายสาวหุ่นดีแต่งหน้าจัดผิดกับอักษรที่สวยธรรมชาติ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาผมยังไม่เคยเห็นเธอแต่งหน้าเลยสักครั้งเดียว ผมยืนคุยกับลลนาจนเพลิน (ชื่อแม่สาวจัดจ้านน่ะครับ) เราสองคนทำความรู้จักกันถึงขั้นขอเบอร์โทรศัพท์มือถือและนัดพบกันคืนนี้ที่ผับแห่งหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือนที่ผมนัดพบผู้หญิงคนอื่นนอกจากอักษร เราคุยกันอยู่นานเท่าไรไม่ทราบลลนาก็เปลี่ยนสีหน้าและหรี่ตาไปด้านหลังผมคล้ายจะบอกอะไรสักอย่าง ผมรู้เลยว่าต้องเป็นอักษรมารอผมแน่ๆ เธอทำมือบอกผมว่าเธอได้หนังสือที่ต้องการแล้ว ทันทีที่เธอใช้ภาษามือคุยกับผม เสียงแหวก็ดังขึ้นมาขัดกลาง
ตายแล้ว! คนที่คุณพามาด้วยเป็นใบ้เหรอ บ้าด้วยหรือเปล่าเนี่ย แล้วนี่อ่านหนังสือได้ด้วยหรือจ้ะ ผมสาบานได้ว่าถ้าเขาเป็นผู้ชายผมคงชกหน้าไปแล้ว อย่างที่คุณรู้แหละครับถึงแม้ว่าอักษรจะไม่ได้ยินแต่เธอมีสัมผัสพิเศษที่แตกต่างจากเรา เธอสามารถรับรู้ได้ว่าคู่สนทนารู้สึกอย่างไรกับเธอ ผมรู้สึกผิดจริงๆ ที่เดินไปทำความรู้จักกับยายปากอมหมาเข้าไปทั้งฟาร์มนี่ เพราะสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอักษรบีบหัวใจผมให้เจ็บปวดและอึดอัดมากจนแทบระเบิด เธอรีบเดินหนีออกจากร้านถ้าผมไม่คว้ามือเธอไว้ก่อน ผมรีบหยิบหนังสือในมือเธอไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน (ผมมักจะทำอย่างนี้ทุกครั้งที่เราไปร้านหนังสือ) อักษรทำท่าจะร้องอยู่รอมร่อแล้ว ผมดูแลของผมมาไม่ให้ยุงไต่ไรตอมแม่นั้นมาจากไหนถึงได้มาพูดกับเธอแบบนั้น แต่ผมไม่ควรจะโทษใครหรอก เพราะมันเป็นความผิดของผมที่เผลอไผลเผยสันดานเก่าออกมาต่างหากล่ะ
เมื่อมาถึงที่รถสิ่งที่ผมคาดไว้ก็เกิดขึ้น อักษรร้องไห้อย่างไม่ลืมหูลืมตา ให้ตาสิครับ! ผมอยากจะต่อว่าตัวเองอยากลงโทษตัวเองที่เป็นคนชักศึกเข้าบ้าน ผมทำเรื่องผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่สำหรับเธอไปอย่างไม่น่าให้อภัย เธอไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากที่วางของหน้ารถยนต์ไม่ว่าผมจะเบี่ยงเบนความสนใจขนาดไหนก็ตาม จนผมต้องยอมแพ้ปล่อยให้เธอร้องไห้ให้สาแก่ใจ แต่กว่าเธอจะหยุดร้องไห้ผมก็ทรมานไม่แพ้เธอ แค่เธอร้องไห้ผมก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว แต่นี่ตัวผมเองกลับเป็นคนทำให้เธอเจ็บและยิ่งทรมานเมื่อรู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ามองเธอร้องไห้เพียงอย่างเดียว ผมจึงตัดสินใจวิ่งกลับไปที่ร้านหนังสือนั้น คราวนี้ผมตั้งใจอ่านหนังสืออยู่หลายเล่มเพื่อหาสิ่งแทนใจผม หาเท่าไรก็ไม่ได้ครบทุกอณูความรู้สึก ผมจึงตัดสินใจเขียนคำขอโทษออกมา เขียนเท่าไรก็ยังรู้สึกว่ามันไม่พอ แต่ผมต้องกลับไปหาเธอแล้ว เพราะผมทิ้งเธอมานานแล้ว เมื่อผมกลับไปที่รถเธอก็หลับไปแล้วล่ะครับ คงร้องไห้จนหลับไป ดีนะครับที่ผมเปิดกระจกไว้แคบๆ ทั้ง 2 บานเพื่อระบายอากาศ อักษรตื่นเมื่อตอนที่ผมกำลังจะพาเธอไปทานอาหาร ผมยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นที่เธอยิ้มให้กับผมครับ ยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิด เธอยังส่งยิ้มสดใสมาให้ผมได้อีกหรือ เธอไม่โกรธผมเลยหรือไง
เมื่อเราไปถึงที่ร้านอาหารผมสั่งอาหารจานโปรดของอักษรและของผมให้บริกรอย่างรวดเร็วเพื่อที่ผมจะได้ขอโทษกับเรื่องบ้าๆ ที่ผมทำไป เมื่อบริกรทิ้งเราไว้ที่โต๊ะห่างไกลผู้คนที่ผมเลือกเองเพื่อความสะดวกในการพูดคุยปรับความเข้าใจแล้ว ผมจึงเขยิบแขนข้างที่ถือสมุดเล่มบางที่บันทึกความรู้สึกผิดและคำขอโทษผมไว้ไปมาอยู่นานจนเธอเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมไม่กล้ายื่นให้เธอครับผมเขิน ตอนที่เขียนเสร็จใหม่ๆ อยากให้ใจจะขาดเพื่อขอโทษเธอ แต่เมื่อผมรู้ว่าเธอไม่ได้โกรธผมเท่านั้นความขี้ขลาดก็ทำให้ผมไม่อยากส่งให้เธออ่านเอาดื้อๆ ผมเปลี่ยนใจแล้วล่ะ ผมไม่ให้เธอแล้ว ผมไม่ให้เธอจริงๆ นะครับจนเรากินข้าวเสร็จเรียบร้อยผมก็ยังไม่ยอมยื่นให้เธอ แต่ผมรู้ว่าเธอยังอยากรู้ว่าผมเป็นอะไรกันนักหนาถึงได้มีท่าทางแปลกๆ อยู่นี่
อักษรขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่จึงกลับมา เมื่อเดินผ่านตัวผมในรอบขากลับมาที่โต๊ะนี่สิ ผมนั่งตัวแข็งหน้าแดงเป็นกุ้งต้มเลยทีเดียว เพราะเธอก้มลงเก็บสมุดที่ผมเผลอทำตกไว้เมื่อไรก็ไม่ทราบได้ อักษรชูสมุดขึ้นและส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้ผม เป็นอันว่าเรารู้กัน เธอรู้ว่านั่นคือต้นเหตุที่ทำให้ผมมีท่าทีแปลกประหลาดระหว่างทานข้าวกัน เธอรีบกางขึ้นอ่านต่อหน้าผมทันทีที่เธอนั่ง
ผมขอโทษนะอักษร ผมขอโทษ ไม่รู้จะขอโทษอย่างไรให้ตัวผมเองรู้สึกพ้นผิดที่ทำไปในครั้งนี้ อ่านข้อความผมจบแล้วคุณยังจะยิ้มให้กับผมเหมือนเดิมได้ไหม ผมคงไม่เห็นแก่ตัวไปใช่ไหมถ้าจะขออย่างนี้ ผมผิดเองที่แอบคุณไปทำความรู้จักผู้หญิงคนนั้นคุยกับเธอจนลืมไปหาคุณ ปล่อยคุณอ่านหนังสืออยู่คนเดียว และยังปล่อยให้เธอคนนั้นมาพูดกับคุณแบบนั้นโดยที่ผมยังทำอะไรเธอไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจตัวเอง ผมไม่ชอบเห็นคุณเวลาร้องไห้เพราะมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะขาดใจ แต่วันนี้ผมเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ทรมานกว่าคือการที่ผมเป็นคนทำให้คุณร้องไห้ด้วยน้ำมือตัวเอง ผมอยากจะด่าตัวเองแรงๆ ทำโทษให้หลาบจำ อยากจะทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้คุณหยุดร้องไห้ ผมทนเห็นคนคุณร้องไห้อยู่อย่างเดียวโดยที่ผมไม่สามารถทำอะไรให้คุณไม่ได้หรอกนะ ผมขอโทษนะ ผมขอโทษ คุณอย่าร้องไห้เลยนะ หยุดร้องไห้คร่ำครวญเพราะคนอย่างผมเถอะ มันไม่มีค่าอะไรเลย ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโทษ (อันที่จริงผมอยากจะใส่ ฯลฯ ท้ายไปด้วยซ้ำ)
เธอเงยหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมา แต่คราวนี้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่น้ำตาที่เกิดจากความเสียใจ ผมรู้ดีจากแววตา สีหน้า ท่าทาง ที่เธอมองตรงมาที่ผม เธอกำลังปลาบปลื้มดีใจกับข้อความของผม ความเขินอายเมื่อครู่นี้เธอลบมันให้ผมจนไม่มีเหลืออยู่เลย มันเหือดหายไปตั้งแต่ผมเห็นเธออ่านข้อความที่ผมเขียนให้เธอทั้งรอยยิ้มและน้ำตา มันรู้สึกดีมากนะครับ ผมรู้สึกดีที่สุดเหมือนกับที่เธอเคยให้ผมมาตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน
ผมเอื้อมมือข้างหนึ่งไปกุมมือข้างที่เธอกำลังปาดน้ำตาอยู่ด้วยอาการประหม่า นี่ล่ะคือช่วงเวลาที่ผมลืมเตือนตัวเองว่า อย่ารักเธอ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกหายใจติดขัดจนแทบจะไม่หายใจก็ว่าได้ อีกมือผมเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือเพราะกลัวแก้วเจียรไนชั้นดีราคาแพงตรงหน้าจะแตกคามือคนอย่างผม เธอเองก็เอียงหน้าเข้าหามือข้างที่ผมเอื้อมไปเช็ดน้ำตาพรางหลับตาพริ้มเพื่อซึมซับความรู้สึกต่างๆ ที่ถ่ายทอดถึงกัน ผมรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อจนสามารถพูดได้เลยว่า ตั้งแต่เกิดมาผ่านผู้หญิงมาก็เยอะ แต่ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมอบความรู้สึกดีอย่างประหลาดให้ผมได้เท่ากับที่อักษรให้ผมเลย
อักษรครับผมระระ ในขณะที่ผมกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อบอกสิ่งที่ผมพยายามห้ามใจตัวเองอยู่ เสียงของโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กก็ดังขึ้นเรียกสติของผมที่เผลอไปเมื่อครู่ให้กลับมาสู่ความจริง ผมดึงมือของผมกลับโดยอัตโนมัติ คุณว่า..ผมควรจะดีใจที่ไม่ได้หลุดคำนั้นออกมาหรือผมจะเสียใจดีครับ ตอนที่ผมดึงมือกลับจากการเช็ดน้ำตาหรือกุมมือเธอ รู้สึกว่าผมจะเห็นแววตาบางอย่างที่เธอฉายขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะที่เธอจะส่งยิ้มมาให้ผมเช่นเคย ผมไม่เข้าใจแววตาที่เธอแสดงความรู้สึกออกมาเมื่อครู่มันหมายความอย่างไรรู้แต่ว่าผมใจหายวาบทันทีที่สบตากับเธอ แต่ในเมื่อเธอยิ้มให้ผมแล้วเรื่องนั้นจึงกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยขึ้นมาทันที
โทรเครื่องเล็กดังไม่หยุดเรียกผมให้หันไปสนใจและเรียกผู้ที่มาทานอาหารโต๊ะอื่นให้หันมามองเราสองคนด้วยสายตาไม่พอใจ (ไม่ได้นั่งใกล้กันขนาดหายใจลดต้นคอสักหน่อยจะหงุดหงิดกันไปทำไมกันนะครับ) ไม่ใช่ใครหรอกครับก็แม่สวยสาวที่ผมขอเบอร์ที่ร้านหนังสือนั่นน่ะแหละครับ เธอไม่รู้หรือไงนี่ว่าผมทั้งโกรธและโมโหเธอมากขนาดที่อยากจะชกเธอเพื่อเอาคืนสักหมัดสองหมัด ผมไม่อยากรับโทรศัพท์เธอเลย ถ้าผมกับอักษรไม่ตกเป็นเป้าสายตาอยู่นานเพราะเจ้าโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่มใหม่ล่าสุดของผมไม่ยอมหยุดร้องสักทีล่ะก็ ผมจึงต้องสูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้เพื่อลดอารมณ์โกรธยายลลนา และกรอกเสียงไปตามคลื่นโทรศัพท์
ครับ ผมจารึกครับ
แหมทำไมพูดเสียงแข็งล่ะคะ เมื่อเย็นเรายังคุยกันเสียงอ่อนเสียงหวานอยู่เลย
มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ
ต้องมีสิคะ เรานัดกันไว้ที่ผับอะไร คุณจำไม่ได้หรือถึงยังมาไม่ถึง หรือถ้ามาไม่ถูกจะให้ลลนาไปรับก็ได้นะคะ
ผมมีธุระ คงไปไม่ได้แล้ว
กับเพื่อนพิการที่คุณพาไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือนั่นหรือเปล่าคะ
เพื่อนผมเขาชื่ออักษรครับ แต่ผมจะอยู่กับใครมันก็ไม่ใช่ธุระของคุณจะรู้ไปก็สะสอดเรื่องคนอื่นเปล่าๆ (ที่ผมต้องการพูดใน สะ แรกนั้นเหมือนว่ามันจะแรงไป ผมจึงต้องเปลี่ยนให้มันดูดีขั้นมานิด)
ตายแล้ว นี่ยังโกรธที่นาพูดเมื่อเย็นอยู่อีกเหรอคะ ก็ไม่ได้โง่อะไรนี่ครับ ดีนะที่ยังรู้ว่าตัวเองทำบ้าอะไรไว้ ผมต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกรอบเพื่อพูดกับเธอ
คุณก็รู้นี่ครับว่าเมื่อเย็นคุณพูดจาเสียมารยาทขนาดไหน ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอตัวเลยแล้วกัน และถ้าเป็นไปได้ไม่ต้องโทรมาอีกก็ดีนะครับ
หวงจังเลยนะคะยายใบ้นั่นน่ะ เป็นเพื่อนกันแน่หรือคะ ประคบประหงมเอาใจอย่างกับไม่ใช่แค่เพื่อน หรือว่าคนหน้าตาดีมีฐานะอย่างคุณจารึกหาผู้หญิงที่ดีกว่านี้มาเป็นเพื่อนนอนไม่ได้อีกแล้ว
คุณ! ให้เกรียติกันบ้างนะ! กรุณาอย่าดูถูกเธอ และที่สำคัญเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเป็นเพื่อนกัน! คุณเข้าใจไหมว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน! ประโยคหลังๆ นี่รู้สึกว่าผมจะบอกตัวเองมากกว่า คุณว่าอย่างนั้นไหมครับ
อักษรเห็นผมมีสีหน้าเครียดละมั้งครับ เธอจึงเอื้อมมือมาจับแขนผมแน่นและส่งสายตาเป็นห่วงเชิงอ่อนวอนเพื่อเรียกสติ ผมจึงต้องสงบจิตใจตัวเองลงและทำใจเย็นพูดกับยายคนที่ไม่ได้มีสมองไว้คิดเรื่งออะไรที่สูงไปกว่าฝ่าเท้า
แค่นี้นะครับคุณลลนา
ก็ตามใจสิคะ เพราะฉันว่ามันคงไม่แค่นี้หรอกค่ะ เราอาจจะได้เจอกันอีก แต่คนที่ฉันอยากเจอไม่ใช่คุณหรอกนะ แต่เป็นยายใบ้นั่นต่างหาก เธอไม่รอให้ผมถามเธอเพื่อไขข้อข้องใจที่เธอทิ้งไว้ก่อนวางสาย สีหน้าผมมันคงดูเครียดมากจนอักษรขมวดคิ้วจนแทบจนผูกกันเป็นโบว์ 38 ปมอยู่แล้ว แววตาเธอฉายแต่คำถามกับข้อสงสัยอยู่เต็มไปหมด แต่เรื่องอะไรผมจะเล่าให้เธอฟังจนจบล่ะ ผมไม่ได้เล่าประโยคสุดท้ายลลนาพูดก่อนจะวางสายหรอก เพราะผมไม่อยากให้เธอคิดมาก ผมได้แต่ลูบเธอเพื่อปลอบใจอย่างเอ็นดู จนในที่สุดเธอก็ยอมแพ้ที่จะไถ่ถามเอาความจริงทั้งหมดจากผมอย่างจำใจ
นั่นเป็นครั่งหนึ่งที่ผมเกือบพลาดบอกความในใจของผมกับเธอ อยู่ใกล้เธอแล้วผมมักมีสติไม่มั่นคง มักเผลอตัวทำอะไรตามใจตัวเอง มักทำในสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน เธอต่างหากที่เป็นฝ่ายควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของผม ผมเป็นฝ่ายทำอะไรไม่ถูกเองเมื่อเห็นเธอร้องไห้ ผมรู้สึกอึดอัดหงุดหงิดเองที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้ ผมเป็นฝ่ายเขินเองเวลาที่ได้ใกล้ชิดเธอ (รวมถึงเรื่องผมเผลอทำอะไรหวานเสียจนเลี่ยนด้วยนะครับ) ผมเป็นฝ่ายตื่นเต้นและดีใจที่ได้เห็นเธอยิ้มอย่างมีความสุข รู้สึกเจ็บลึกปวดจนทนไม่ได้ทุกครั้งที่เธอมีแววตาเจ็บปวด เธอควบคุมผมได้อยู่หมัดโดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรเพื่อยั่วยวนผมเลย แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องหยุดมันไว้แค่คำว่าเพื่อน ผมจะให้เราเป็นมากกว่านี้ไม่ได้ผมกลัวดูแลเธอได้ไม่ดีพอ กลัวว่าผมจะเลิกนิสัยเก่าไม่ได้จนทำให้เธอต้องเสียใจซ้ำแล้วซ้ำอีก และผมยังกลัวสายตาคนรอบข้างที่มองผมอยู่ บ้าชะมัดเลยนะครับ เราไปไหนมาไหนด้วยกันทุกวัน ปฏิบัติต่อกันราวกับเป็นคนรัก แต่เรากลับยังเป็นแค่เพื่อนกัน เธอรู้ว่าผมชอบอะไรไม่ชอบอะไร เกลียดอะไรรักอะไร ผมเองก็รู้ว่าเธอชอบอะไรไม่ชอบอะไรรักอะไรหรือเกลียดอะไรเช่นกัน แต่เราก็เป็นได้แค่นี้จริงๆ
ผมเคยพาอักษรไปเที่ยวทะเลใต้ด้วยนะครับ (ผมไม่เคยเกี่ยงเรื่องระยะทางความไกลอยู่แล้ว จากเหนือจรดใต้ผมไปได้ถ้าเธอต้องการ) ทางบ้านเธอไว้ใจผม (หรือวางแผนก็ไม่ทราบได้) ถึงขนาดปล่อยให้เราไปค้างกันเพียงแค่สองคนที่บ้านพักตากอากาศส่วนตัวของเธอที่มีเพียงหนึ่งห้องนอน แต่ถึงแม้ว่าเธอจะไว้ใจผมขนาดไหนก็ตามเราก็นอนคนละห้องครับ ผมไม่กล้านอนด้วยหรอกครับ ผมกลัวห้ามใจตัวเองไม่ได้ ก็อย่างที่ผมบอกอยู่ใกล้เธอแล้วสติสตังผมไม่ค่อยมั่นคงกลัวจะเผลอใจรังแกเธอเข้า แค่เรานอนบ้านหลังเดียวกันนี่ก็ทำให้ผมใจสั่นทำอะไรไม่ถูกแล้ว และที่สำคัญเพื่อรักษาเกรียติของเธอด้วยเนื่องจากว่าเธอเป็นลูกผู้ดีเก่าที่มีความคิดค่อนข้างเป็นปัจจุบัน มีเงินมีทองที่เป็นมรดกเก่า ผิดกับครอบครัวชาวจีนอย่างผมที่มีเงินเพราะธุระกิจที่ปะป๊ากับมะหม้าช่วยกันสร้างขึ้นมาจนร่ำรวยชนิดที่มากพอจะเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานผมได้ทีเดียว ดังนั้นบ้านผมจึงไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องการรักษามารยาท แต่ผมรู้จักคำเหล่านี้เพราะผมต้องเอาใจคนในบ้านเธอด้วย อักษรไม่เคยถือเรื่องที่ผมเสียมารยาทแต่ทางบ้านเธอนี่สิครับถึงแม้ว่าจะมีหัวสมัยใหม่แต่เรื่องมารยาทนี่ต้องเนียบพอสมควรทีเดียว
เอ้ะ! ผมพูดถึงเรื่องอะไรอยู่นะครับ อ้อ! เรื่องพาไปเที่ยวทะเลสินะครับ อันที่จริงผมพาเธอไปเที่ยวทะเลด้วยกันบ่อยนะครับ เพราะเธอชอบทะเลมาก เธอชอบวาดรูปทะเล ชอบถ่ายรูปธรรมชาติ ด้วยเหตุผลที่ว่าคนเราบางครั้งสิ่งที่เราอยากจำก็ไม่สามารถจำรายละเอียดได้ครบทุกฉากทุกตอน ดังนั้นเธอจึงอยากบันทึกมันเป็นรูปถ่ายหรือภาพวาดเพื่อบันทึกทุกเรื่องราวประทับใจจนกระทั่งการวาดรูปเหล่านั้นเป็นงานประจำสำหรับเธอไปตั้งแต่เธอยังไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ
ผมชอบที่จะนั่งมองเธอวาดรูปอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของเธออย่างเงียบๆ เพราะผมจะรับรู้ความคิดความรู้สึกเธอได้จากเส้นสายลายดินสอสีน้ำที่ระบายลงบนผืนผ้าใบเปล่านั้น วันนั้นที่เราไปค้างกันเพราะเธออยากได้รูปตอนกลางคืน อ้อ! อีกอย่างที่เธอชอบคือ ท้องฟ้าเวลากลางคืน เธอชอบที่จะมองฟ้ายามค่ำคืนที่มีดาวและพระจันทร์แข่งกันส่องแสงในที่โล่งกว้าง เธอบอกว่าเวลามองจะรู้สึกสบายใจเหมือนกับว่าเรามีเพื่อนอยู่เต็มไปหมดและที่สำคัญมันให้กำลังใจเธอ อักษรเปรียบว่า
พระจันทร์เปรียบเหมือนคนปกติธรรมดา ส่วนดาวดวงน้อยๆ ที่ประดับท้องฟ้าคู่กับพระจันทร์คือตัวของฉัน ฉันอาจจะดูไม่สำคัญสำหรับพระจันทร์ ไม่เป็นที่เพ่งเล็งยามอยู่เคียงข้างพระจันทร์ แต่ความพยายามที่ช่วยกันส่องแสงของฉันไม่เคยส่องแสงน้อยกว่าพระจันทร์เลย เพราะถ้าคนสังเกตดูดีๆ ท้องฟ้าไม่ได้สว่างขึ้นเพราะพระจันทร์เพียงอย่างเดียวหรอก แต่มันสว่างเพราะดวงดาวน้อยๆ เหล่านั้นด้วยเช่นกัน เพียงแต่ไม่เคยมีใครเห็นเท่านั้นเอง ผู้คนมักจะมองว่าดาวเป็นแค่ส่วนประกอบของท้องฟ้าเท่านั้นเอง ตอนที่เธออธิบายให้ฟัง ผมขอค้านเธอหัวชนฝาในใจอยู่คนเดียวเลย ผมอยากบอกเธอว่ามันไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยผมคนหนึ่งที่เห็นว่าดาวดวงนี้ส่งแสงได้ดีเพียงใดและสว่างมากขนาดไหน เป็นดาวที่อยู่ในมือผมแต่ก็ไม่ใช่ของผม แต่ผมจะให้ความสำคัญและทะนุถนอมให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ผมจึงได้แต่บอกเธอว่า
ท้องฟ้าต่างหากที่เห็นความสำคัญของดวงดาว เพราะท้องฟ้าอยู่ใกล้ดวงดาวมากที่สุด ท้องฟ้าจึงรู้ว่าดวงดาวสำคัญมากขนาดไหนสำหรับท้องฟ้า บางทีท้องฟ้าอาจจะรู้ดีด้วยซ้ำว่าดาวสำคัญกับฟ้ามากว่าพระจันทร์ เพียงแต่ว่าผู้คนที่อยู่ห่างไกลไปจากท้องฟ้าไม่เข้าใจอย่างที่ท้องฟ้าเข้าใจ ท้องฟ้าจึงได้แค่คิดแต่ไม่อาจแสดงออกมาให้ดวงดาวรับรู้ได้ ผมรู้ว่าเธอเข้าใจสิ่งที่ผมบอกเธอดีและเธอก็ต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่ผมบอกเธอไป แต่ผมก็ต้องกลั้นใจบอกเธอไป เพราะผมต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเราไม่เหมาะกัน ใครจะว่าผมเห็นแก่ตัวที่จะดึงเธอไว้กับผมโดยไม่คิดเปลี่ยนฐานะระหว่างเราให้เป็นมากกว่าคำว่าเพื่อนก็ตามใจเขาเถอะ แต่ผมก็จะให้ความสำคัญกับเธอมากที่สุดและให้กับเธอคนเดียวเท่านั้น
ภาพของเธอในคืนนั้นออกมาเป็นรูปของคนสองคนที่เดินเล่นกันอยู่ที่ริมชายหาดห่างไกลไปจากเราสองคน โดยมีแผ่นฟ้าสีดําที่แต่งแต้มไว้ด้วยพระจันทร์และดวงดาวเป็นฉากส่วนใหญ่ ฝ่ายชายเหมือนมนุษย์เดินดินธรรมดาแต่ผู้หญิงเรืองแสงได้ราวกับว่าเธอคือดวงดาวบนดิน สองคนนั้นกำลังจับมือกันเดินเล่นท่าทางของผู้ชายแสดงให้เห็นว่าเขากำลังมีความสุข ในขณะที่ฝ่ายชายจับมือของฝ่ายหญิงอยู่นั้นมืออีกข้างเขาก็กอดลูกกลมลักษณะคล้ายลูกโลกไว้ ผมรู้ว่าเธอไม่ได้ต้องการจะต่อว่าผมเรื่องที่ผมเป็นห่วงเรื่องภาพลักษณ์ตัวเองหรอก อักษรแค่อยากระบายความในใจของเธอออกมาเท่านั้นเอง เธอไม่คิดว่าผมจะเข้าใจภาพทุกภาพที่เธอวาดน่ะครับ เพราะว่าผมไม่ได้เรียนศิลป์หรือมีความเป็นศิลปะในใจเลย แต่ที่ผมเข้าใจภาพเขียนของเธอก็เพราะว่าผมอยู่ใกล้เธอจนรู้ทุกความรู้สึกทุกความคิด ทุกอย่างที่เธอทำผมรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ วาดเสร็จเรียบร้อยเธอก็หันมาส่งยิ้มให้เหมือนกับว่าเธอไม่ได้รู้สึกเศร้าใจอย่างผู้หญิงในภาพนั้น นี่ล่ะที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บ อักษรมักจะฝืนยิ้มส่งมาให้ทุกครั้งที่เธอรวบรวมความสติได้เพื่อทำให้ผมสบายใจและไม่คิดมากเรื่องเธอ คราวนี้ผมต้องทำเป็นมองข้ามการกระทำแบบนี้ของเธอเพื่อห้ามใจตัวเองและเพื่อไม่ให้เราสองคนถล่ำลึกลงไปมากกว่านี้
ผมช่วยอักษรเก็บเฟรมภาพ ขาตั้งเฟรมและอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอันแทนเธอแล้วจึงเดินตามหลังเธอเข้าบ้าน เธอไม่หันมามองหน้าผมเลยสักครั้ง นั่นทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากจนผมเริ่มสงสัยว่าที่ผมพูดอย่างนั้นกับเธอไป มันดีแล้วหรือ! เธอไม่สื่อความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย น้อยใจ เสียใจ งอน เศร้าโศก มาให้ผมรับรู้เลย การที่เธอพูดไม่ได้ไม่ได้ความผมจะอึดอัดทุกครั้งไปนะครับ บางครั้งผมมีความสุขด้วยซ้ำไป แต่วันนี้เธอทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมาก ผมจะแก้ตัวก็กลัวจะเข้าตัวเองกลัวเผลอใจบอกความในใจออกไปอีก ได้แต่ทำเป็นไม่ใส่ใจอาการแบบนั้นของเธอ นี่ผมทำอะไรลงไปนี่ ผมตั้งใจจะพาเธอมาเที่ยว พาเธอมาเปิดหูเปิดตาหาความสุขจากการสูดไอแดดที่กระทบเม็ดทรายนับล้าน แต่นี่ผมกลับเปลี่ยนความสุขเป็นความเศร้าที่เงียบสงบแทนได้อย่างเลือดเย็น
ผมหาโอกาสอยู่นานมากจนเธอเดินออกมาจากห้อง ผมรีบลุกขึ้นและชวนเธอไปทานข้าวเย็นตอนเที่ยงคืน ทั้งๆ ที่เราเพิ่งกินข้าวเย็นไปเมื่อ 6 โมงเย็น (เปิ่นอีกแล้ว ท่าจะเพี้ยนเข้าสักวันแน่เลยนะครับ)
กินข้าวไหม เธอพยายามยิ้มสุดความสามารถ แต่มันก็เป็นได้แค่ยิ้มมุมปากพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธ พูดภาษามือกับผมว่า กินเมื่อเย็นนี้แล้ว ผมจึงยิ้มแก้เก้อ ผมนี่แย่จังเลยนะครับจะหาโอกาสแก้ตัวยังไม่ดูเวล่ำเวลา ผมจึงเปลี่ยนใจชวนเธอนั่งดื่นโอวัลตินอุ่นแทน
ดื่มโอวัลตินอุ่นๆ สักแก้วก็ได้ จะได้นอนหลับสบาย ดีใจมากครับที่ผมแก้สถานการณ์ให้เป็นแบบนั้น เพราะเธอตกลงทันที ผมจึงรีบเดินเข้าครัวไปชงโอวัลตินให้เธอด้วยรสชาติที่เธอโปรดปราน
ตอนที่ผมเดินออกมาจากห้องครัวเธอกำลังหลับตาพิงพนักเก้าอี้ที่บุผ้าเนื้อดีอยู่ ผมสาบานได้ว่ามันเป็นภาพที่สวยเสียจนผมนึกว่าผมเป็นเจ้าชายในเทพนิยายกริมและเธอก็เป็นเจ้าหญิงแสนงามที่กำลังรอจุมพิตจากเจ้าชายผู้เก่งกล้าอยู่ แต่ในเมื่อเราสองคนไม่มีใครเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงดังนั้นผมควรจะห้ามใจตัวเองไม่ให้แอบจุมพิตเธอใช่ไหมครับ แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงกำลังพยายามวางแก้วโอวัลตินให้เบามือที่สุดเพื่อไม่ให้หญิงงามตรงหน้าผมตื่นขึ้นมา ผมค่อยๆ นั่งลงที่พื้นไม้ด้านข้างตัวเธอ หัวใจผมมันร่ำร้องอยากเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ตกมาบังหน้าเธอจังเลย ทันเท่าความคิดมือหนาหยาบกร้านของผมก็ถือวิสาสะเลื่อนไปเกลี่ยปอยผมเหล่านั้นอย่างเบามือที่สุด แต่มันคงจะหนักสำหรับเธอเพราะอักษรสะดุ้งตื่นขึ้นมามองหน้าผม ความตกใจทำให้เธอลืมเรื่องเศร้าไปชั่วขณะและเผลอยิ้มให้ผมเต็มเหยียด ได้โปรดเถอะอักษรถ้าคุณยังไม่อยากให้ผมรังแกคุณตอนนี้ คุณก็อย่าเพิ่งยิ้มแบบนั้นตอนนี้ อย่ามองผมด้วยสายตาไร้เดียงสาราวกับไม่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะมันจะทำให้ผมทนไม่ได้ เหมือนเธอได้ยินที่ผมคิดเธอเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบสนิทราวกับว่าที่เธอยิ้มให้ผมเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตา ผมจึงเริ่มมีสติและลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ชุดเดียวกันที่ฝั่งตรงข้ามเธอ ผมยังคิดอะไรไม่ออกเพราะยังไม่หายตื่นเต้นจากเรื่องที่ผมเกือบจะเกินเลยกับเธอมากกว่าสิ่งที่เพื่อนจะปฏิบัติต่อกัน
จนในที่สุดอักษรก็ทำท่าจะลุกขึ้นโดยไม่มีทีท่าจะจิบโอวัลตินที่ผมชงให้เธอ ผมได้แต่คว้าข้อมือบางเพื่อรั้งเธอไว้ในขณะที่ผมกำลังรวบรวมสติให้กลับมาคงเดิม อักษรหันมาฝืนยิ้มให้ผมอีกแล้วครับ ให้ตายเถอะ! เธอไม่น่าทำแบบนี้เลยจริงๆ นะ ผมรู้ว่าข้างในเธอไม่ได้ยิ้มอยู่หรอก เมื่อเธอนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมตามสายตาอ้อนวอนของผมที่ขอให้เธอนั่งลงเรียบร้อย ผมก็รีบยื่นแก้วโอวัลตินส่งให้เธอเพื่อยืดเวลาระหว่างเราออกไป พร้อมชวนเธอดื่มโดยไม่สนใจแล้วว่าผมจะมีสติหรือหายตื่นเต้นหรือยัง
ดื่มสิ โอวัลตินอุ่นๆ คืนนี้จะได้หลับสบาย
โอวัลตินช่วยได้บางส่วน แต่ถ้าคนเราไม่สบายใจ ต่อให้ดื่มกี่แก้วก็คงหลับไม่ลงหรอก
ถ้าอย่างนั้นษรมีอะไรไม่สบายใจอยู่ล่ะ บอกผมได้นะ
เรื่องบางเรื่องควรรู้คนเดียว แต่อย่าห่วงเลยไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก
แต่ถ้าผมอยากรู้ล่ะ
ก็ตามใจจาสิ แต่ไม่ว่าจะยังไงจารึกก็บังคับใจเราไม่ได้ถ้าเราไม่ยอมเสียอย่าง เธอฉลาดพูดนะครับ เธอเข้าใจหลบหลีกผม
แล้วถ้าไม่ได้บังคับล่ะ อยากรู้เพราะเป็นห่วงอยากช่วยให้อักษรไม่มีแววตาแบบนี้
เมื่อผมพูดจบสีหน้าเธอก็เศร้าหนักลงไปอีก อักษรไม่พูดอะไรออกมาอีกเลยลุกขึ้นยืนและวิ่งจากผมไปที่ห้อง ดีที่ผมขายาวจึงก้าวตามเธอเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงร่างบางที่น่าทะนุถนอมของเธอ ผมคว้าแขนไว้ทันรู้สึกเลยว่าเธอต้องร้องไห้อยู่อย่างแน่นอน เธอไม่ยอมหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ แต่ผมอยากเช็ดน้ำตาให้เธอนี่ครับ ผมจึงพยายามจับไหล่เธอให้หันมาหาผม ทันทีที่เธอหันมาหาผม มือที่ว่างอยู่ของเธอก็รีบพูดใส่ผมเสียจนผมฟังแทบไม่ทัน แต่จับใจความได้ประมาณว่า ถึงเธอบอกไปผมก็คงช่วยเธอไม่ได้ หรือไม่ช่วยหรืออะไรทำนองนนี้นี่ล่ะครับ เธอรู้ว่าผมไม่มีวันบอกรักเธอ ไม่มีวันปฏิบัติกับเธอในฐานะคนรัก ผมเอื้อมมือสั่นๆ ของผมไปเช็ดน้ำตาให้เธอ แต่วันนี้เธอกลับส่ายหน้าปฏิเสธเบี่ยงหลบมือผมที่กำลังพยายามลูบแก้มใสที่เปื้อนน้ำตาของเธออย่างไม่ลดละ เธอกำลังทำให้ผมอึดอัดและหงุดหงิด อันที่จริงมันเป็นเพราะผมเอง แต่ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกรู้สึกหงุดหงิดที่เธอไม่ยอมให้ผมเช็ดน้ำตา ดังนั้นจากการที่ผมพยายามเช็ดน้ำตาด้วยมือจึงแปรเปลี่ยนเป็นเชยค้างเธอขึ้นมามองหน้าผมโดยใช้แรงบังคับ แต่เธอสะบัดหน้าแรงมากจนผมจับหน้าเธอไว้ไม่อยู่สักที ผมจึงต้องเป็นฝ่ายก้มหน้าลงไปหาเธอแทน คราวนี้เธอนิ่งไปเลยหากแต่น้ำตาเจ้ากรรมนั่นสิกลับยังไม่ยอมหยุดไหล คุณว่ามาถึงตอนนี้แล้วผมควรจะใช้มือหรือว่าใช้ปากของผมเช็ดน้ำตาให้เธอดี อักษรได้แต่ก้มหน้างุดๆ เธอพยายามก้มแล้วก้มอีก แต่ตอนนี้ผมหยุดตัวเองไม่ได้แล้วผมพยายามย่อตัวลงเพื่อสบตาเธอ กุมมือเธอไว้เบาๆ ด้วยมือทั้งสองข้าง ผมค่อยๆ เอียงหน้าตัวเองเข้าไปหาหน้าเธอช้าๆ ด้วยอาการประหม่า เธอเบี่ยงหลบเล็กน้อยแต่ไม่ทันเสียแล้ว ผมค่อยๆ เลียคราบน้ำตาบนแก้มเนียนใสนั้นเบา จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่เปลือกตาบางของเธอ จุมพิตลงหนักๆ ประทับไว้เนินนานเพื่อซับน้ำตาให้หยุดไหล ผมพรมจูบตั้งแต่หน้าผากละลงมาถึงปลายจมูกเรื่อยมาจนกระทั่งริมฝีปากความอบอุ่นที่ผมเคยฝันหามาตลอด เธอผงะหนีในวินาทีแรกที่ปากหนาของผมแตะริมฝีปากบางของเธอ แต่เมื่อลองได้แตะแล้วแค่ชั่ววินาทีนั้นมันไม่พอสำหรับผมหรอกครับ ผมยื่นหน้าตามไปจุมพิตที่ปากเธอต่อ เพียงสัมผัสบางเบาบนริมฝีปากบางแต่มันก็ทำให้ผมมีความสุขมาก มีความสุขจนลืมความรู้สึกอึดอัดหงุดหงิดเมื่อครู่จนหมดไม่เหลือ ผมเกือบจะถลำลึกไปกว่านี้แล้วถ้าไม่ใช่เพราะเธอขยับตัวหนีผมไว้ด้วยแรงที่มากกว่าเดิม ผมจึงยืนเหยียดตรงขึ้นและจับไหล่เธอไว้เพื่อสบตาของเธอที่ตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกเหลืออยู่แล้ว แววตาของเธอเรียกร้องอะไรบางอย่างจากผม เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าเธอต้องการอะไร แต่ผมก็ยังกลัวไม่ยอมพูดคำๆ นั้นออกมา เธอจึงสะบัดแขนผมออกและปิดประตูใส่หน้าผมโดยที่ผมไม่ทันได้รั้งเธอไว้อีก
ผมเชื่อว่าคืนนี้เธอเองก็คงจะนอนไม่หลับเหมือนผม แต่ผมไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกประทับใจกับจุมพิตของผมหรือเปล่า ให้ตายเถอะ! ทำไมผมเห็นแก่ตัวอย่างนี้ ผมอยากให้เธอคิดถึงรอยจูบของผมที่ประทับไว้ที่ริมฝีปากบางของเธอ ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี อ่อนหวาน มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ใช่จูบดื่มด่ำลึกซึ้งอย่างที่ผมเคยผ่านมา มันก็แค่การแตะปากกันธรรมดา แต่ผมต้องการมันอีกแต่คงมันจะไม่มีอีกแล้ว เพราะตั้งแต่นี้ไปผมจะห้ามใจตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า แต่บางทีตอนนี้เธออาจจะร้องไห้ให้กับความเห็นแก่ตัวและใจร้ายของผมอยู่ก็ได้ ไม่สิ! เธอต้องร้องไห้อยู่แน่ๆ เลย ผมใจร้ายกับเธอไปถึงขนาดนั้น เผลอล่วงเกินเธอไป แต่ก็ยังไม่ยอมรับผิดชอบความรู้สึกตัวเอง ผมคงเห็นแก่ตัวมากเลยสินะครับ
เช้ามากลิ่นหอมของอะไรบางอย่างปลุกผมขึ้นจากนิทรา ผมเดินโซเซตามกลิ่นนั้นเข้าไปในห้องครัว ทันทีที่ผมเข้าไปในห้องครัวร่างบางที่กำลังสาละวนกับการทำกับข้าวอยู่ก็หันมายิ้มหวานให้ผมราวกับว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีเธออาจจะตัดใจจากผมแล้วก็ได้ หรือบางทีการที่เธอหนีผมเข้าไปในห้องเมื่อคืนนี้อาจจะเป็นเพราะว่าเธออายหรือกลัวว่าผมจะทำอะไรเธอมากกว่านั้นก็ได้ หรือจะเป็นเพราะอะไรก็ชั่งมันเถอะผมไม่สนใจแล้วก็ได้ เพราะตอนนี้เธอยิ้มหวานให้ผมเหมือนเดิมแล้วนี่นา
เรากลับบ้านกันตอนบ่ายแก่ๆ ของวัน ผมจึงพาสาวนักวาดรูปไปแวะที่หาดแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของเธอนักเพราะอักษรต้องการถ่ายภาพหาดทรายไว้ก่อนกลับบ้าน เธอเดินเล่นอยู่ริมหาดโดยมีผมเดินเคียงข้างอย่างเงียบๆ อักษรดูอารมณ์ดีขึ้นมาก เธอเที่ยวหยิบเปลือกหอยขึ้นมาดูสรีระที่แตกต่างกันเพื่อถ่ายรูปไปประดับห้องนอนเธอ ในขณะที่เธอเดินถ่ายรูปหาดทราย เก็บเปลือกหอยนานาชนิดขึ้นมาดู ผมเองก็เดินมองไปที่เส้นขอบทะเล เส้นที่ใช้แบ่งกั้นแผ่นฟ้ากับแผ่นน้ำไว้ ถึงแม้แผ่นฟ้ากับแผ่นน้ำจะถูกขีดไว้ด้วยเส้นแบ่งดินแดนที่ไม่ค่อยจะชัดเจนเท่าไรให้ขาดออกจากกัน แต่ไม่ว่าเราจะมองไปกี่ครั้งแผ่นฟ้ากับแผ่นน้ำก็ยังได้อยู่คู่กันอยู่ดี คุณคิดเหมือนผมไหม ผมเองก็อยากให้อักษรคิดเหมือนผม ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเธอก็ดังขึ้นจนผมตื่นจากห้วงความคิดและหันมาดูแลเธอ
เธอหันมามองหน้าผมและเบ้ปากเหมือนเด็กๆ ผมสังเกตเห็นความผิดปกติที่บริเวณเท้าข้างซ้ายของเธอเพราะเธอไม่ยอมวางมันเต็มฝ่าเท้า ผมขอดูเธอก็ไม่ยอมยกขึ้นมา ทำไมเธอถึงดื้อแบบนี้นะ! ผมเป็นห่วงเธอจะตายอยู่แล้วแต่เธอกลับไม่ยอมให้ผมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ พอผมถามว่าเป็นอะไรแม่สาวจอมดื้อก็ไม่ยอมบอกอีก ผมจะทำอย่างไรกับเธอดีครับ คิดแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ผมว่าผมจะอุ้มเธอ ไหนๆ ก็คิดแล้วนะครับทำเลยแล้วกัน ผมอุ้มเธอขึ้นมาติดกับแผงอกกว้างและแข็งแรงของผมได้ไม่ยาก นี่ตัวเธอเบาขนาดนี้เชียวหรือนี่ ตั้งแต่รู้จักกันมาผมก็รู้ว่าเธอตัวเล็กผอมบอบบางน่าทะนุถนอม แต่ไม่คิดว่าเธอจะตัวเบาขนาดนี้ เบามากเสียจนผมต้องจ้องเธอไว้เพราะกลัวเธอจะปลิวไปตามลมทะเล
ผมอุตส่าห์ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษและพยายามวางมาดขรึมแล้วนะแต่อักษรหน้าแดงจนผมอดอายสายตาผู้คนที่มาเล่นน้ำทะเลในแทบนั้นตามเธอไม่ได้ เราสองคนจึงพากันหน้าแดงแข่งกันใหญ่ ตัวผมไม่อายใครหรอกถ้าต้องตกเป็นเป้าสายตาแต่อักษรคงไม่ชินกับสายตาคนแปลกหน้าจึงได้เขินขนาดนี้ เมื่อผมอุ้มสาวสวยในอ้อมอกผมไปถึงรถผมก็วางเธอลงกับพื้นเพื่อเปิดรถค้างไว้ ผมค่อยๆ ประคองเธอให้นั่งลงกับที่นั่งข้างคนขับแล้วจึงจับเท้าข้างซ้ายของเธออย่างมั่นคงตอนที่เธอเผลอ โธ่เอ๋ย! ผมก็นึกว่าอะไรที่แท้ก็ถูกเปลือกหอยตำเท้า เปลือกหอยอันเล็กกว่าปลายนิ้วก้อยเด็กอ่อนอีกนะครับแถมยังตำแค่สะกิดผิวเอง เธอทำเอาผมตกอกตกใจนึกว่าอะไรบาดเท้าเธอเข้า เธอกลัวเข็มน่ะครับกลัวมากเลยทีเดียว ตอนที่ผมพาไปหาหมออรัณย์ลูกพี่ลูกน้องของเธอเพื่อฉีดยาแก้แพ้ทุกเดือนเธอต้องกอดเอวผมไว้แน่นและหันหน้าหนีเข็มร้องไห้ดังลั่นคลีนิกเลย ฉีดมาตั้งแต่เด็กก็ยังกลัวไม่หายเลยคนอะไรแปลกจริงๆ เลยนะครับ (ว่าแต่ผมสงสัยจังเลยก่อนหน้าที่เธอจะรู้จักผมเธอจะกอดใครเวลาไปฉีดยาคิดแล้วก็อดนึกถึงตาทหารพยัคเฆนทร์ไม่ได้ เธอจะกอดเขาหรือว่าไม่ได้กอดใครเลยจนกระทั่งมารู้จักผมนะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมจะดีใจที่สุดเลย)
หลังจากที่เรากลับมาจากไปเที่ยวทะเลผมก็เข้าสู่ช่วงกิจกรรมอีกครั้งตามโครงการที่เคยเสนอสภานิสิตไปเมื่อคราวประชุมงบประมาณชมรมคงต้องยุ่งกับงานไปอีก 2-3 อาทิตย์ แต่คราวนี้ผมพยายามหาเวลาไปพบเธอ ถึงแม้จะไปหาเธอทุกวันไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยเกินสองวันที่เราไม่ได้เห็นหน้ากัน ถ้าเกินนี้ผมอาจจะลงแดงตายได้ ก็ตั้งแต่รู้จักกันเราไม่เคยไม่เห็นหน้ากันเกินสองวันสักครั้งเดียวนี่ครับ บางวันขอเห็นแค่หลังคาบ้านก็ยังดีเนื่องจากว่ากว่าจะสรุปแผนเตรียมงานอะไรเสร็จมันดึกมากแล้ว วันนี้ผมก็เพิ่งทำงานเสร็จเมื่อเวลา 22.45 นาฬิกาเล่นเอาเหนื่อยจนแทบสลบ อยากได้กำลังใจจากอักษรเหลือเกินแต่กว่าผมจะไปถึงก็ประมาณ 11.30 นาฬิกา อย่าว่าแต่ 11.30 นาฬิกาเลยครับ ถ้าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ 21.00 นาฬิกา เธอก็เข้านอนแล้ว เด็กอนามัยก็แบบนี้ล่ะครับอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอบอกกับผมว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมากนะครับ มันก็แค่โรคภูมิแพ้ คืนนี้ผมคงทำได้แค่ไปจอดรถมองหน้าต่างห้องนอนเธออีกแล้ว อุตส่าห์รีบสรุปแผนงานโครงการพร้อมวางคนประจำหน้าที่จนเสร็จเรียบร้อย เพื่อที่ตั้งแต่พรุ่งนี้ผมจะสามารถมาหาเธอได้ทุกวันแต่ก็ยังไม่ทันพบหน้าเธออีกจนได้
เมื่อผมขับรถคันเก่าของพ่อผมมาถึงหน้าบ้านเธอมันก็จริงอย่างที่ผมคิด ไฟดับสนิทแล้วทั้งบ้านยกเว้นหน้าบ้านเท่านั้นที่ยังเปิดไว้ มันก็เรื่องปกติครับบ้านนี้จะเปิดไฟทิ้งไว้ดวงเดียวทุกคืน ผมนอนมองหน้าต่างบานนั้นอยู่เนินนาน แอบหวังลึกๆ ในใจว่าเธอจะยังไม่นอนและเดินมาเปิดหน้าต่างเพื่อมองหาดาวสักดวงให้อยู่เป็นพื่อนเธอแทนผมที่ไม่สามารถมาหาเธอได้ในวันนี้ ผมจะได้มีโอกาสเห็นหน้านวลเนียนของเธอที่ตอนนี้ผมจำได้ขึ้นใจถึงแม้ว่าจะไม่เห็นหน้าเธอมาแล้วสองวันก็เถอะ แต่มันไม่ชื่นใจเท่าเห็นหน้าเธอจริงๆ หรอกครับ
ผมเผลอหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า สะดุ้งอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงรถยนต์ขับมาจอดอยู่หน้าบ้านของอักษร ไม่คุ้นเลยครับผมไม่เคยเห็นรถคันนี้เลย จะว่าเป็นรถตาทหารพยัคเฆนทร์อะไรนั่นก็ไม่น่าจะใช่เพราะพยัคเฆนทร์ชอบรถญี่ปุ่นแต่รถคันนี้เป็นรถยุโรปราคาแพง ที่แน่ๆ คือ เจ้าของรถน่าจะเป็นคนสนิทของบ้านนี้เพราะนี่ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ผมแอบซุ่มดูหน้าเจ้าของรถอยู่เงียบๆ ในรถยนต์ที่ผมยืมพ่อมาเพราะผมเพิ่งเอารถไปเข้าอู่เพื่อเช็คสภาพรถเมื่อวานนี้เอง ดูเหมือนว่าคนขับจะพยายามมองหาคนในรถผมเหมือนกัน เมื่อไม่เห็นใครเขาจึงหันไปสนใจภายในบ้านของอักษรต่อ
เมื่อเขาจอดรถสนิทผมก็ได้เห็นเจ้าของรถถึงแม้จะไม่ค่อยชัดแต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นผู้ชายสูงสมาร์ท เดินลงมาเปิดประตูอีกฝังเพื่อประคองใครสักคนลงจากรถ ผมเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไรนักแต่สายตาที่ผมใช้มองแต่อักษรคนเดียวมานานพอสมควรบอกผมว่าคนที่อยู่ในวงแขนหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นเป็นอักษร เธอมีคนอื่นแล้วหรือ! เธอไม่รักผมแล้ว! ทำไมเธอไม่รอผมล่ะ! ผมไม่ให้เธอกับใครทั้งนั้นนะ! ผมถนอมเธอดูแลเธอห่วงใยเธอมานานขนาดนี้เธอลืมผมได้ยังไง! ได้โปรดเถอะนะอักษรอย่าไปกับใครเพราะผมจะขาดใจ ผมเห็นแก่ตัวกับคุณใจร้ายกับคุณแต่ผมก็ไม่อยากให้คุณกับใคร! ผมเอาแต่คิดอะไรอยู่ในใจอย่างเดียวแต่กลับไม่กล้าลงจากรถไปฉุดรั้งเธอไว้ ผมไม่กล้ายื้อยุดฉุดรั้งเธอไว้เพราะอีกใจหนึ่งก็คิดว่ามันอาจจะดีสำหรับเธอแล้วก็ได้ที่จะมีผู้ชายมาจริงจังและรักเธอได้โดยไม่สนใจสายคนรอบข้าง ผมทำอะไรไม่ถูกคิดอะไรไม่ออกไม่รู้จะหันไปพึ่งใครเพราะปกติเธอจะอยู่เคียงข้างผมเสมอ
โปรดติดตามตอนต่อไป
แสนซน
19 กุมภาพันธ์ 2547 17:54 น.
TANOI_ZA
เพราะรักเธอ
คุณว่าจะมีสักกี่คนในโลกนี้ที่จะได้รู้จักกับความรักที่ปราถนาเพียงแค่อยากให้คนที่เรารักมีความสุข ความรักที่มอบให้แต่ความรู้สึกดีๆ ความหวังดีที่อยากให้อีกฝ่ายสามารถยิ้มได้หัวเราะได้ต่อไปโดยไม่มีตัวเองเป็นส่วนร่วม ผมได้เจอเธอคนนั้น หญิงสาวตัวเล็กน่ารักผมยาวปะบ่า ตากลมแป๋วที่อยู่ภายใต้ขนตายาวเรียงกันเป็นแพ ปากเล็กได้รูปรับกับใบหน้า หญิงสาวคนที่อยู่เพียงลำพังในโลกเงียบแต่เต็มไปด้วยความใสสะอาด สดใส และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความหวังที่จะได้รู้ว่าคนที่เธอรักมีความสุข
ทุกครั้งที่ผมคิดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกหรือหันไปหาใครไม่ได้ ผมมักจะแอบหลบมาเดินเล่นเพียงคนเดียวที่สวนสาธารณะกลางใจเมืองเพื่อนั่งคิดอะไรเพียงลำพัง ซึ่งมันก็คือทุกวันตั้งแต่วันที่ผมเจอเธอนั่นแหละครับ นิสัยแบบนี้ของผมมันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ผมเจอสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจที่สุดนั่นคือ การได้เห็นผู้หญิงตัวเล็กผอม ผิวขาวซีดเซียวราวกับคนไร้ชีวิตผิดกับใบหน้าของเธอที่คอยมอบรอยยิ้มที่ช่วยปลุกความร่าเริงสดใสที่นอนหมอบอยู่อย่างสงบภายในใจของผู้คนที่ได้พบเห็นให้ตื่นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่ผมผู้ที่เป็นศูนย์กลางความบันเทิงให้กับสาวๆ
ผมยังจำได้ดีถึงวันแรกที่ผมได้พบเธอ วันนั้นเพลย์บอยหนุ่มผู้ไม่เคยได้รู้จักคำว่าถูกทิ้งเช่นผมกลับถูกสลัดรักโดยดาวเด่นประจำมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัด ตัวผมเองก็ไม่ได้คิดจะจริงจังกับหล่อนมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหมดมันจบลงแบบผิดแผนที่ผมคิดไว้เท่านั้นเอง มันควรจะเป็นผมต่างหากที่เป็นฝ่ายทิ้งเธอไปก่อน ผมจึงรู้สึกหงุดหงิดมากที่เธอทำให้ผมเสียหน้าและเสียชื่อหนุ่มเพลย์บอยประจำมหาวิทยาลัย โดยที่ผมไม่สามารถเอาเธอคืนได้เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเจอเหตุการณ์แบบนี้ ตอนนี้ผมจึงมีสภาพไม่ต่างไปจากหมาบ้าที่พร้อมจะกัดใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ ผมเที่ยวพาลผู้คนรอบข้างจนไม่ใครกล้าเฉียดกายผ่าน
เพื่อดับความรู้สึกหงุดหงิดที่กำลังจะลุกลามเป็นไฟไหม้ป่าของผม เย็นวันนั้นผมจึงขับรถคันงามที่ปะป๊าของผมซื้อให้เมื่อครั้งที่ผมสามารถเอนท์ทรานซ์ติดในคณะแพทย์ศาสตร์ไปตามทางเพื่อสงบใจ ผมรู้สึกสงบใจลงบ้างจนกระทั่งเข้ามาพบปะความวุ่นวายกลางใจเมืองที่ชวนให้ผมมีอารฒณ์บ้าบอมากยิ่งขึ้น ทันทีที่ผมฝ่าการจราจรยามฟ้าแดงจนผ่านมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางใจเมืองได้ (ถึงแม้ว่าขบวนรถจะยังติดไม่เลิกเหมือนมะหม้าผมติดวงไพ่ก็เถอะ) ผู้คนพลุกพล่านในยามเย็นจนไม่น่าจะแวะสงบจิตใจ แต่บางอย่างที่กำลังผ่านหน้าผมไปกลับเรียกสายตาผมให้เหลียวกลับไปมองอีกรอบเพื่อซึมซับภาพนั้นไว้เผื่อผมจะไม่มีโอกาสได้เจอเธออีก จนในที่สุดผมจึงตัดสินใจจอดรถคันงามของผมไว้เพื่อเข้าไปทำความรู้จักเธอ แต่เมื่อผมหาที่จอดรถที่สุดแสนจะหายากเหลือเกินในบริเวณนี้ได้ เธอก็หายไปจากรัศมีที่ผมจะมองเห็นเธอได้โดยง่ายแล้ว จากอารมณ์หงุดหงิดที่ถูกทำให้ลดเลือนไปเมื่อครู่เพราะความตื่นตาตื่นใจกับของเล่นชิ้นใหม่ ตอนนี้มันเริ่มกลับมาอีกครั้งด้วยพลังดับเบิ้ลแอคแทคที่ถูกกระหนำมาจากเรื่องเฮงซวยต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในวันเดียวของผม
ผมจึงเริ่มเดินตามหาเธออย่างหัวเสีย (ประสาทเสียด้วย อีกหน่อยอาจจะบ้าได้ถ้าผมไม่ได้ระบายออกมา) ผมคิดโทษสาวบรีทเอกซ์เซลล์ (ก็ผิวเธอโคตรขาวไงครับ) ว่า เธอเป็นสาเหตุให้ผมเสียเวลาจอดรถในที่แบบนี้ ดังนั้นผมจะต้องหาตัวเธอให้เจอและจีบเธอมาเป็นของเล่นของผมให้จนได้ เดินอยู่นานจนกระทั้งหนุ่มนักกีฬามหาวิทยาลัยอย่างผมรู้สึกเหนื่อย หอบเสียจนไอ้ด่างที่บ้านมันนึกว่าเพื่อนใหม่เลย แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอใครคล้ายเธอสักคน จากความรู้สึกหงุดหงิดเริ่มกลายเป็นความรู้สึกโมโหเธอแทนแม่สาวดาว (ยั่วตุ้ดๆ ก.บ.ว. คงต้องเซ็นเซอร์แน่นอน ผมจึงขออุบไว้เลยดีกว่า) มหาลัยคนนั้น ในที่สุดผมก็ยกธงยอมแพ้ความตั้งใจในตอนแรกของตัวเองเปลี่ยนเป็นตัดสินใจกลับไปนั่งในรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามตามแบบคนมีเงินเขาทำกัน นั่งพักเหนื่อยไม่ทันไรเสียงดังคล้ายแท่งโลหะบางอย่างก็ดังกระทบที่กระบะหลังรถผมดังโครม
สาวสวยผมยาวคนที่ผมเดินตามหาจนทั่วสวนสาธารณะแทบพลิกฟ้าผ่าแผ่นดินคนนั้นวิ่งมาเคาะกระจกรถพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ผมเดินลงจากรถเพื่อตามหาเธอเมื่อครู่ ผมรีบส่งยิ้มกลับไปอย่างลืมตัว มือของเธอชี้ไปที่กระบะหลังรถพร้อมทำท่าทางประหลาดๆ บางอย่างที่ผมไม่เคยเห็นกับสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นสำนึกผิด ผมรีบชะโงกหน้ามองตามมือเธอจึงได้เห็นตัวต้นเหตุของเสียงดังที่กระบะรถผม ปกติเจ้ารถคันนี้เป็นรถที่ผมรักและหวงที่สุด แต่วันนี้ผมจะยอมยกโทษให้คนที่ทำให้รถผมเป็นแผลเพราะผมหวังอะไรบางอย่างจากเธอ
ผมไม่รอช้าอีกต่อไปหลังจากเห็นไม้แบดมินตันนอนนิ่งอยู่ที่กระบะหลัง ผมรีบลงจากรถพร้อมวางสีหน้าไม่พอใจให้สมจริงสมจังที่สุดเท่าที่จะผมจะทำได้ในตอนนี้เพราะอยากจะให้เธอตกใจกลัวและจำยอมผมทุกทาง
นั่นไม้แบดฯ ของคุณหรือ ผมยิ่งคำถามแรกทันทีที่มายืนอยู่ต่อหน้าเธอด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น แต่ทว่าเธอกลับยิ้มตอบกลับมาให้ผมรู้สึกแปลกใจ
เอ้ะ! นี่คุณ ผมรู้นะว่านั่นเป็นไม้แบดฯ ของคุณ หรือว่ากลัวผมจนพูดไม่ออกเลยหรือ เมื่อได้โอกาสปลอบใจเธอผมจึงไม่รอช้ารีบถามเธอออกไปด้วยรอยยิ้มที่ทำให้สาวๆ หลายคนในมหาวิทยาลัยใจละลายมาแล้วหลายคนพร้อมสายตาเป็นประกายที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าชู้
ไม่ต้องกลัวนะคุณ ผมใจดี ผมไม่เอาเรื่องคุณหรอกถ้าคุณจะไปทานข้าวเย็นคืนนี้กับผม เธอยิ้มตอบผมมาตาหยีแล้วจึงวิ่งไปหยิบไม้แบดมินตั้นเจ้าปัญหานั้นก่อนวิ่งจากผมไป ผมจึงสรุปรอยยิ้มพิมใจที่เธอยิ้มมาให้ผมอย่างเข้าข้างตัวเองว่านั่นหมายความเธอตกลงจะไปกับผม ผมจึงรีบตะโกนตามหลังเธอไปว่า ผมจะรอคุณอยู่ตรงนี้นะครับ เป็นไงละครับเสน่ห์ผมยังใช้ได้อยู่เรื่อยๆ (ซึ่งนี่อาจจะเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตแล้วก็ได้ คือหมายความทั้งชีวิตมีดีอยู่อย่างเดียวคือหน้าตานอกนั้นก็มาตรฐานมนุษย์เพศผู้แหละครับ)
ผมรอเธอด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก ผมอยากเห็นรอยยิ้มของเธออีกครั้ง อยากนั่งจ้องมองหาเสน่ห์อย่างอื่นที่ทำให้ผมลืมเรื่องแม่ดาวมหาวิทยาลัยคนนั้น ผมคิดขนาดจะพาเธอไปอวดเพื่อนๆ เพราะความสวยที่สามารถทำให้ผู้พบเห็นหลงเธอได้เพียงเพราะเห็นรอยยิ้มเชียวนะ แต่แล้วเธอก็ปล่อยให้ผมรอเธอเก้อจนกระทั้งเวลา 21.30 นาฬิกา ผมก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเธอจะมา ผมกลับบ้านไปพร้อมกับความรู้สึกผิดหวังอย่างประหลาด พร้อมกับนึกโมโหเธอเรื่องที่เธอหลอกให้ผมรออยู่หลายชั่วโมงด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ แถมเธอยังทำให้ผมเสียเวลามากพอดูกับการสร้างวิมานในอากาศเมื่อตอนที่นั่งรอเธอ
เมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็ต้องเสียเวลามานั่งเหม่อคิดเรื่องเธอ และเรื่องที่ผมซวยซ้ำซวยซ้อนถูกผู้หญิงหลอกถึงสองคนในวันเดียว เมื่อคิดดูดีๆ แล้วคืนวันนั้นคนที่ทำให้ผมคิดถึงจนนอนไม่หลับทั้งคืนกลับเป็น แม่สาวยิ้มอบอุ่นและสดใสคนนั้นต่างหากที่ทำให้ผมว้าวุ่นใจเสียจนไม่ยอมหลับยอมนอน น่าแปลกไหมครับ!? แทนที่ผมจะคิดหาวิธีเอาคืนแฟนสาวคนล่าสุดที่เพิ่งสลัดรักผมกลางมหาวิทยาลัยให้แสบสมกับที่เธอทำกับผมไว้ แต่ผมดันเอาแต่คิดหาวิธีที่จะไปเจอแม่สาวไม้แบดมินตั้นลอยฟ้าอีกครั้ง โดยอ้างกับตัวเองว่า ผมจะกลับไปแก้แค้นเธอที่หลอกผม
เย็นวันต่อมาผมไปที่นั่นตั้งแต่เวลา 17.00 นาฬิกา เพื่อเฝ้าดูเธอและไม่นานผมก็ได้เห็นผู้หญิงผมยาวตรงตัวเล็กน่าทะนุทะถนอมคนเดิมเดินลงมาจากรถยนต์คันงามราคาแพง แต่น่าจะรุ่นเก่าพอๆ กับรถของอากงที่ให้ปะป๊าเป็นมรดกตกทอดนะครับ หากสายตาที่กว้างไกลหรือจะเรียกว่าสอดส่ายก็ได้ของผมกลับไปสะดุดกับชายร่างสูงในชุดเครื่องแบบที่เดินมาพร้อมเธอ แต่งตัวซะเท่เชียว คงคิดว่าตัวเองดูดีที่สุดแล้วมั้งครับถึงได้เที่ยวแต่งตัวทหารมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะหลังเลิกงานโดยไม่ยอมถอดยศถอดตำแหน่งเลย (เด็กขี้อิจฉาน่ะครับ)
ผมคิดค่อนขอดหนุ่มร่างสูงโปร่งที่คอยประคองผู้หญิงคนที่ผมหวังจะมาแก้แค้นเธอกับเด็กผู้ชายอายุประมาณ 8-9 ขวบ อยู่ในใจได้ไม่นาน ก็สรุปกับตัวเองทันทีว่าเธอมีคนรักแล้วนี่เองถึงได้ปล่อยให้ผมรอเก้อแบบนั้น คิดได้อย่างนั้นก็ยิ่งโมโหเธอ น่าแปลกใจที่ผมรู้สึกโมโหจริงจังกับคนที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเธอขนาดนี้ ผมเพิ่งเห็นเธอเมื่อวาน คุยกันแบบที่เรียกว่าผมเป็นฝ่ายพูดเองข้างเดียวเสียมากกว่า ผมก้าวลงจากรถเพื่อตามหาเธอเพราะหวังจะเรียกเก็บเงินค่าเสียหายย้อนหลังของวานนี้ ใครจะว่าผมไม่เป็นสุภาพบุรุษก็ตามใจ เพราะผมโมโหเธอมากแล้วจริงๆ เธอเป็นใคร! มีสิทธิ์อะไรมาทำให้หนุ่มที่ทรงเส่นห์ที่สุดในมหาวิทยาลัยอย่างผมโมโหถึงขนาดกินได้นอนไม่หลับเรียนไม่รู้เรื่องได้ไง (ถ้าผมไม่หลงตัวเองจนเกินไป คุณผู้ฟังก็คิดเหมือนผมใช่ไหมครับ)
ไม่นานผมก็มองเห็นเธอ ผู้หญิงคนที่ผมตามหาด้วยความแค้น (อาจจะเรียกได้ไม่เต็มปากเท่าไรนัก) กำลังส่งยิ้มที่บรรจุความสุขไปให้เด็กผู้ชายคนที่กำลังถือไม้แบดมินตั้นยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ ซึ่งถ้าผมเข้าใจไม่ผิดเด็กคนนั้นน่าจะเป็นน้องชายของเธออย่างแน่นอน (หรือจะเลี้ยงต้อยนะเพราะคนสวยส่วนใหญ่มักจะรักเด็ก ไม่เอาๆ เลิกคิดอกุศลดีกว่า) ผมเผลอยิ้มให้เธอทั้งๆ ที่หญิงสาวคนนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมองมาทางผมสักนิด น่าแปลกไหมครับทั้งๆ ที่เมื่อครู่ผมยังโมโหเธอหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่เลย แต่ก็ไม่เห็นแปลกอะไรนี่นา ผมก็แค่ดีใจที่ได้เจอยายตัวแสบที่หลอกให้ผมรอเก้อเมื่อวานไงล่ะ แต่ผมก็ยังอดใจผมแอบเหลือบตามองรอบตัวเพื่อหาใครสักคนที่เผลอยิ้มให้กับเธอเช่นผมไม่ได้ เพราะอย่างน้อยผมก็จะรู้สึกดีขึ้นบ้างที่ได้รู้คนเสน่ห์แรงอย่างผมไม่ได้บ้าไปคนเดียวเพราะยายตัวดีคนเมื่อวาน แต่เมื่อผมหันไปรอบตัวหัวใจผมก็รู้สึกเสียววาบขึ้นจากความรู้สึกหวง ก็ดูสิครับเสน่ห์แรงขนาดมีผู้ชายอีกหลายต่อหลายคนเดินเหลียวหลังมองเธออย่างห้ามใจไม่อยู่เลย ฮะๆๆ น่าตลกจริงๆ เลยนะครับ พวกเขาไม่ต่างจากผมที่กำลังตกตะลึงกับภาพตรงหน้าจนยืนยิ้มอยู่คนเดียวอย่างนี้เลย เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงผมจึงอยากที่จะเข้าไปทำความรู้จักเธอทันทีเพื่อกันท่าไอ้เอ้ย! คุณเบื้อกคนพวกนั้น (ก็เพราะคุณเบื้อกมัวแต่ยืนบื้อกันอยู่นั่นแหละถึงไม่ได้แอ้มสาวสักทีไงเล่า ฮะๆๆๆ ) แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมไม่กล้าเข้าไปหาเธอก็คือ ชายในชุดทหารคนนั้น แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็เถอะ อันที่จริงแล้วผมไม่ใช่คนใจเสาะหรือยอมแพ้อะไรง่ายๆ แบบนี้นะครับ ไม่แม้แต่จะคิดใส่ใจถึงหัวอกคนอื่นหรือสนใจว่าถ้าผมแย่งคนรักของใครแล้วมาจะมีใครบ้างที่เสียใจเพราะผม ผมสนแต่ว่าทำอย่างไรผมถึงจะได้สิ่งที่ผมต้องการมาครอบครอง แต่วันนี้ผมกลับไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จักเธอ อาจจะเป็นเพราะว่าผมกลัวเธอจะหักอกผมตั้งแต่เริ่มทำความรู้จักกันก็เป็นได้ โธ่! ก็ฤทธิ์แม่คุณที่ทำกับผมไว้เมื่อวานนี้ยังทำให้ผมโกรธเธอไม่ลืมอยู่เลยนี่ครับจะไม่ให้ผมกลัวเธอฉีกหน้าผมในที่สาธารณะอย่างนี้อีกได้อย่างไร แต่ตอนนี้ผมแอบอิจฉาชายคนนั้นอย่างห้ามใจตัวเองไม่ได้จริงๆ เขาคนนั้นได้ครอบครองใจเธอคนนี้ไปเพียงคนเดียวแต่ก็โมโหเขาที่ไม่ยอมมาเฝ้าไว้ให้ดีสมกับที่เธอเป็นสิ่งมีค่าด้วยอีกเรื่องหนึ่ง แต่เอ้ะ! ผมเป็นอะไรไปเนี่ย ผมกับยายตัวดีคนนั้นเกี่ยวกันตรงไหนแล้วทำไมผมถึงต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเธอด้วย
จนแล้วจนรอดผมก็ยังทำได้แค่ยืนมองเธออยู่นานจนไม่รู้เวลา (สุดท้ายผมก็เป็นไอ้เอ้ย! คุณเบื้อกที่ยืนบื้อด้วยเหมือนกัน แหะๆๆ เฮ้อ!. ) แต่แล้วอยู่ๆ ของแข็งบางอย่างก็ลอยมากระแทกหัวผมให้หงายหลังล้มลงไปกองกับพื้นสนามหญ้าจนเป็นเหตุให้ผมตื่นจากอาการเหม่อ เจ็บชะมัดเลยให้ตายเถอะ! ผมยกมือขึ้นกุมหน้าผากบริเวณที่ถูกกระแทกไว้แน่นเผื่อว่ามันจะลดแรงปวดลงไปบ้าง แต่ผมคิดผิด (หรือว่าโง่กันแน่! อันนี้ก็ผมก็ยังคำตอบให้ตัวเองไม่ได้) เพราะมันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย หากผมกลับค้นพบเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างประหลาด! เพราะมือบางที่ยื่นมาเขย่าตัวผมเบาๆ นี่ต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจนลืมเจ็บ ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองหน้าเจ้าของมือบางขาวซีดนั้น และแล้วสวรรค์ก็เข้าข้างผู้ชายหน้าตาดีอย่างผม เป็นเธอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ ด้วย! ตอนนี้เธอกำลังเขย่าตัวผมหน้าตาตื่นเพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบนหัวผมพร้อมทำท่าประหลาดแบบเมื่อวานนี้ ถึงผมจะขี้โกงอยากทำความรู้จักเธอโดยใช้ความห่วงใยจากเธอเป็นเครื่องมือเพียงใด แต่ผมก็ไม่อยากให้เธอมีสีหน้าตื่นตกใจแบบนี้ ผมจึงรีบส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้เธอเพื่อบอกว่าผมไม่เป็นไร (ซึ่งมันก็ใช้พลังงานที่เหลืออยู่ในร่างกายของผมหมดไปหลายร้อยกิโลแครอรี่เหมือนกันล่ะ) เธอทำให้ผมรู้ว่าผมคิดไม่ผิด เพราะเธอยิ้มตอบกลับมาให้ผมทันที แต่ที่เหนือกว่าที่ผมคาดคิดจนแทบอยากจะแห่มังกรทองฉลองโต๊ะจีนคือ แม่สาวตาสวยเอื้อมมือซีดขาวคู่นั้นแตะลงที่แผลถลอกขนาดบิ้กเบิ้ม (อย่างน้อยก็ใหญ่กว่ามดแดง 2 ตัวมานอนกอดกันน่ะครับ) ที่หน้าผากผมอย่างแผ่วเบาราวกับว่ามือเธอคือลมอ่อนหวานที่พัดผ่านไปมาตรงหน้าผากของผม จนลมหายใจของผมขาดหายผิดจังหวะ สะดุดเป็นห้วงๆ ไปชั่วขณะด้วยความตื่นเต้น ผมรู้สึกได้เลยว่าผมต้องหน้าแดงมากแน่ๆ ให้ตายเถอะ! อยากจะหาไหมาคลุมหัวให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยเชียว จะบ้าไปใหญ่แล้วคนอย่างเธอเนี่ยนะจะทำให้คนที่ผ่านผู้หญิงมาอย่างโชกโชนอย่างผมหน้าแดงด้วยความอาย มันเป็นเรื่องน่าอายเป็นอย่างยิ่งสำหรับเพลย์บอยหนุ่มเช่นผม ผ่านผู้หญิงมานักต่อนักแต่กลับรู้สึกเขินอายกับผู้หญิงท่าทางอ่อนต่อโลกคนนี้ได้อย่างง่ายดาย ผมยิ่งรู้สึกอายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจะหลบไปจากตรงนั้นเสียดื้อ ถ้าไม่มีเสียงนั้นดังขึ้น
ทำอะไรน่ะ! ไม่นานร่างสูงโปร่งของคนที่ผมไม่ชอบขี้หน้าก็โผล่ออกมา
พี่ถามว่าทำอะไรกันอยู่จารึก เด็กผู้ชายคนที่ชื่อเหมือนผมหันไปมองหน้าเขาด้วยสีหน้าตกใจ
ก็แค่พี่ษรเขาทำไม้แบดฯ ลอยไปโดนหน้าพี่ชายรูปหล่อคนนี้เท่านั้นเอง เด็กคนนี้น่าคบหาไว้นะครับ ท่าทางจะเป็นคนดีมากคนหนึ่งเลย เพราะแกซื่อสัตย์พูดแต่ความจริงกับคุณๆ ทั้งนั้น คุณคิดเหมือนผมไหม!?
จริงหรือครับ! เขาหันสีหน้าดุๆ นั้นมาทางผมหวังจะเอาความเท็จจริงให้ได้ หึ! เขาคิดว่าผมไปทำอะไรคนของเขาหรือไงกันถึงได้ถามออกมาอย่างนั้น
ไม่ใช่เป็นเพราะเด็กคนนี้ทำคุณเจ็บนะครับ อ้อ! ที่แท้ก็นึกว่าเด็กโบ้ยความผิดไปให้พี่สาว ไม่อย่างนั้นได้วางมวยกับทหารแน่เลย และถ้าวันนั้นเราต้องวางมวยกันจริงๆ ละก็ ผมคงจะไม่ได้มานั่งเล่าความรักของผมกับเธอให้คุณฟังในวันนี้หรอกครับ
คงอย่างนั้นครับ แต่ผมไม่ถืออะไรหรอก ผมผิดเองที่มายืนอยู่ใกล้บริเวณนี้ นายทหารติดยศคนนั้นพยักหน้าก่อนจะหันไปทางหญิงยิ้มงามของผมที่กำลังมองหน้าพวกเราเลิกลั่ก
เป็น-อะไร-ไหม-อักษร ชายหนุ่มอ้าปากพูดทีละคำอย่างช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ พร้อมทำท่าทำทางประหลาดราวกับกำลังสื่อสารกับเธออยู่ สาวสวยคนนั้นส่งยิ้มที่ผมอยากได้จากเธอให้เขาพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธ เธอหันมามองหน้าผมและสะกิดบอกให้ผมลุกขึ้น ผมอาจจะไม่ได้รอยยิ้มนั้นนะครับ แต่อย่างน้อยเธอก็ช่วยพยุงผมไปนั่งที่ม้านั่งใกล้ที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวังแค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าเธออ่อนโยนขนาดไหน เมื่อเราสองคนนั่งลงบนม้านั่งไม้สีน้ำตาลเข้มฉลุลายโบราณไว้จนให้บรรยากาสย้อนยุคเรียบร้อย นายทหารคนนั้นจึงเดินเข้ามาชวนผมคุย
ขอโทษด้วยนะครับ คืออักษรเขาไม่ค่อยแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรี่ยวแรงในการจับไม้แบดฯ จึงไม่มั่นคง นี่คือชื่อของเธอ เป็นชื่อที่เข้ากับชื่อผมเลยนะครับ
ผมชื่อพยัคเฆนทร์ครับ เป็นพี่ข้างบ้านของทั้งสองคนนี้ ถึงจะเป็นพี่แต่เขาก็ยังมีโอกาสเป็นได้มากกว่าพี่ชายอยู่ดี เพราะนายทหารคนนี้ไม่ได้คลานนำหน้าอักษรออกมาจากท้องแม่เธอนี่ครับจึงเป็นเหตุหนึ่งที่ผมยังคงมีอคติกับเขาอยู่บางส่วน
ส่วนนี่ชื่อจารึกกับอักษรเขาเป็นพี่น้องกัน
ผมชื่อจารึกเหมือนน้องคุณเลยนะครับอักษร ผมรีบแนะนำตัวเองกับสาวสวยยิ้มเก่งแต่พูดไม่เก่งข้างตัวผมโดยไม่หันไปสนนายพยัคเฆนทร์อีกเลย เธอได้แต่หันไปทางพี่ชายข้างบ้านของเธอพร้อมทำไม้ทำมือที่ผมเริ่มรู้สึกได้ว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่
อักษรพูดไม่ได้หรอกครับคุณจารึก หูก็ไม่ได้ยินเธอพิการทางหู ดีนะครับที่ผมเริ่มรู้สึกบ้างแล้วกับการทำท่าแปลกประหลาดระหว่างสองคนนี้ ไม่อย่างนั้นผมอาจจะตกใจจนพูดไม่ออกไปเลยก็ได้ คิดไปก็น่าเสียดายเหมือนกันนะครับที่ผู้หญิงสาวสวยขนาดนี้แต่กลับหูหนวกเป็นใบ้ ความฝันและแผนการที่ผมเฝ้าคิดมาทั้งคืนพังลงไปทันทีเพราะความสงสารเธอ ไหนจะเรื่องที่คิดไว้ว่าจะจีบเธอเป็นแฟนเพื่อนำไปอวดเพื่อนและเย้ยยายไวโอลินดาวมหาวิทยาลัยนั่นอีกคงต้องพับเก็บเป็นการถาวรเพราะผมยังไม่อยากมีแฟนพิการ
ผมได้แต่นั่งมองคุณพยัคเฆนทร์ทำมือพาดกันไปมาพร้อมสะกดชื่อผมให้เธอฟังช้าๆ เธอหันมายิ้มให้เมื่อฟังชื่อผมจบพรางชี้มือชี้ไม้อย่างดีใจ ให้ตายเถอะครับต่อให้ผมรู้ว่าเธอพิการแต่ผมก็ยังอดหลงรอยยิ้มนี้ไม่ได้เลยจริงๆ
พี่ษรเขาดีใจครับที่พี่รูปหล่อมีชื่อเหมือนผม ยังไม่หมดแค่นั้นเธอยังหันไปพูดภาษามือกับทั้งสองคนนั้นต่อ ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ พวกเขากำลังคุยกันแต่ผมกลับไม่เข้าใจ ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ตัวเองไม่สามารถอ่านภาษามือเหล่านั้นได้เลยสักตัว จนในที่สุดก็มีคนสังเกตเห็นว่าผมก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยอีกคน
เมื่อวานนี้พี่อักษรก็ทำไม้แบดฯ ลอยไปหล่นบนที่กระบะรถพี่จารึกหรือครับ ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่รู้ว่าเธอจำผมได้ ตอนนี้ผมไม่โกรธเธออีกแล้วที่ปล่อยให้ผมรอเธอเมื่อวาน คงเพราะว่าเธอไม่ได้ยินที่ผมพูดแถมยังอ่านปากผมไม่ออกอีกเธอจึงได้แต่ส่งยิ้มหวานตอบยิ้มทรงเสน่ห์ที่ผมส่งไปให้
อ๋อใช่ ใช่! แต่ไม่เป็นไรหรอกพี่ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว คุณครับผมอยากแนะนำตัวกับเธอเองน่ะครับ
คุณต้องรู้วิธีสะกดภาษาไทยหรือจะแนะนำกับอักษรเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ ตอนนี้ผมขอแนะนำให้คุณใช้เป็นภาษาอังกฤษก่อนเพราะจำง่ายเนื่องจากว่าภาษาไทยมีหลายตัวอักษรสำหรับมือใหม่จำเป็นเช่นคุณจะเสียเวลามากในการสื่อสาร ดูคำพูดคำจานะครับ เหมือนตั้งใจจะดูถูกคนเลย
ภาษาไทยก็ได้ครับ
ตามใจคุณ แต่ผมจะสอนคุณเป็นภาษาอังกฤษ เพราะมันจะเสียเวลาผม เขาพูดจนผมรู้สึกเสียหน้าไปเลยทันที ผมจำต้องจนใจและยอมแพ้เขาเพื่อเธอ
คุณทำนิ้วแบบนี้นะครับแปลว่าชื่อ เขาชูนิ้วชี้และนิ้วกลางในลักษณะที่ติดกันขึ้นมาทั้งสองข้างและนำมากระทบกันด้านสันนิ้วโดยมือขวาอยู่ด้าน ผมไม่ลืมหรอกครับ ผมตั้งใจมากยิ่งเสียกว่าสนใจการเรียนด้วยซ้ำ
จารึกนี่ใช้ตัว J ใช่ไหมครับคุณต้องแบบมือซ้ายหงายขึ้นโดยหันออกไปด้านหน้าเพื่อให้ผู้ฟังเห็นด้วยว่าเราทำอะไร จากนั้นคุณก็ลากนิ้วชี้ของมือขวาไปตั้งแต่ปลายนิ้วกลางมือซ้ายเลยไปแบบนี้ อันนี้คือตัว J นะ
ก็ไม่ยากนี่นะ
งั้นต่อนะครับ สระจะอยู่ที่นิ้วทั้งห้านะครับ นิ้วโป้งคือตัว A นิ้วชี้คือ E นิ้วกลางคือ I นิ้วนางคือ O นิ้วก้อยคือ U คุณจะใช้ตัวไหนก็เอานิ้วชี้ไปที่ปลายนิ้วนั้น ส่วนตัว R
ผมอยากพูดกับเธอแล้วสิครับ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะครับ ผมอยากรู้จักเธอมากกว่านี้ ผมจึงหันไปหาน้องจารึกเพื่อให้ช่วยถามเธอให้หน่อยว่า ผมจะมาคุยกับเธออีกได้ไหม ที่ผมไม่อยากให้นายทหารคนนั้นช่วยก็เพราะว่าผมกลัวเขาจะเป็นล่ามที่ดีให้ไม่ได้ เพราะดูแล้วเขาคงจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าคนที่เข้ามายุ่มย่ามกับเด็กในสังกัดเขานัก ในที่สุดเธอก็หันมาพยักหน้าพร้อมกำมือขึ้นมาพับขึ้นลงเหมือนเธอกำลังเคาะประตูอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยเรียนภาษามือแต่ผมก็เดาได้ว่าเธอตกลงและไม่ว่าอะไรด้วย นั่นทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาจนเธอส่งเสียงหัวเราะออกมา เธอหันไปหาน้องชายและคุยกันด้วยภาษามืออยู่พักหนึ่งก่อนที่น้องจารึกจะหันมาแปลให้ผมฟัง
พี่ผมขำที่พี่จาอยากจะมาคุยกับพี่เขาอีกน่ะครับ เพราะคงคุยกันลำบากน่าดูเลยแถมพอพี่ผมอนุญาติให้มาคุยได้พี่ยังยิ้มอย่างดีใจมากอีก เธอเห็นอย่างนั้นหรือ ผมอายนะครับที่เธอคิดอย่างนั้น แต่ผมว่าถ้าเธอเก็บไปคิดให้ลึกกว่านี้อีกนิด เธออาจจะรู้ก็ได้ว่ามันเป็นเพราะว่าผมอยากใกล้ชิดเธอนั่นเอง ก็แค่อยากรู้จักน่ะครับไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นนะ
บอกพี่อักษรด้วยนะว่าพี่อยากเรียนภาษามือ พี่เรียนหมออยู่บางทีมันอาจจะมีประโยชน์กับพี่ในอนาคตก็ได้
พี่เฆนทร์ครับ หมอนี่อะไรนะครับ
ทำอย่างนี้ไง มาเดี๋ยวพี่คุยเอง
ไม่เอาๆ เดี๋ยวผมจะคุยเอง ผมอยากคุยกับพี่ษรได้ทุกเรื่องเลย
ก็ดีนะ เอาเลยๆ ษรมีเราอยู่ด้วยจะได้ไม่เหงาตอนที่พี่ไม่อยู่
อีกหน่อยก็มีผมด้วยครับ ผมมาอยู่เป็นเพื่อนเธอได้
คงไม่ดีมั้งครับ รบกวนคุณเปล่าๆ เราดูแลกันเองได้ เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนว่าเขาไม่พอใจที่ผมเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของพวกเขามากเกินไป ดูแล้วเหมือนตาคนนี้ไม่ได้เป็นรักอักษรนะครับแต่ลักษณะเหมือนหมาหวงก้างมากกว่า เห็นแล้วยิ่งทำให้ผมอยากเอาชนะ แต่วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า
หลังจากนั้นก็มีเรื่องวุ่นวายมากมายผ่านเข้า นั่นคือเป็นช่วงสอบ แค่เรื่องสอบไม่เท่าไรหรอกครับ แต่ว่าชมรมที่ผมเป็นประธานอยู่กำลังดำเนินโครงการใหญ่จนผมแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะต้องทำงาน อ่านหนังสือ ทำการบ้านอะไรต่ออะไรอีกจิปาถะ คิดดูแล้วกันครับผมลืมเรื่องเธอคนนั้นไปสนิทเลยในช่วงเวลา 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ผมนึกเรื่องเธอออกอีกทีก็ตอนที่ผมเห็นเธอเดินอยู่คนเดียวในร้านหนังสือ CU ผมรีบเดินตามเธอเข้าไปทันทีอย่างไม่ต้องคิด ผมอยากได้กำลังใจจากใครคนหนึ่ง ซึ่งตลอดเวลา 2 อาทิตย์ที่ผมลืมเรื่องเธอไปเสียสนิทนี้ผมไม่เคยได้จากใครอย่างเต็มอิ่มเลย ผมแอบดูเธออยู่ห่างพอควรเพราะอยากรู้ว่าเธอทำอะไรบ้างนอกจากสิ่งที่เธอทำที่สวนสาธารณะนั่น ผมเริ่มเหมือนไอ้โรคจิตเข้าไปทุกครั้งที่ผมพบเธอผมรู้ตัวดีครับ แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
เธอหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วครับ มันเป็นนหนังสือวรรณกรรมเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นมุมที่ผมไม่เคยคิดสนใจเลยสักครั้งเดียว ไม่คิดแม้แต่จะเหลียวมองยามที่เฉียดกายเข้าไปใกล้ด้วยซ้ำ จึงไม่ต้องสงสัยเลยถ้าผมจะไม่เคยเห็นเธอ ต้องขอบคุณความสูงที่ปะป๊ากับมะหม้าให้ผมมาอย่างเต็มที่นะครับ เพราะหัวผมพ้นชั้นหนังสือมากจนแอบมองเธอได้อย่างชัดเจนทีเดียว เหมือนเธอรู้ตัวนะครับว่ามีคนแอบมอง เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะผมแอบดูเธออยู่นี่ครับจึงต้องไวกว่าอย่างแน่นอน จนเธอเลิกสนใจและหันกลับไปอ่านหนังสือเล่มที่อยู่ในมือต่อ ผมจึงมีโอกาสมองแก้มใสของเธอได้อย่างเต็มที่
เชื่อไหมครับเธอร้องไห้ หัวเราะ ยิ้มให้กับตัวหนังสือเหล่านั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนผมนึกอิจฉาตัวหนังสือเหล่านั้นที่ทำให้เธอเปลี่ยนอารมณ์ได้ในเวลาที่ห่างกันไม่กี่นาที ผมอยากเป็นคนควบคุมอารมณ์ของเธออย่างที่หนังสือเล่มนั้นทำบ้าง ผมยิ่งมีความรู้สึกอยากมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ผมต้องคอยเตือนตัวเองว่า มันคงดูไม่ดีเลยถ้าหนุ่มเนื้อหอมอนาคตไกลเช่นผมจะมีคนรักเป็นคนพิการและมันคงจะเป็นการตัดโอกาสหาความสุขในวัยรุ่นของผมด้วยถ้าผมจะเอาตัวเองไปผูกมัดกับใครก่อนวัยอันควร แต่ผมกลับไม่อยากให้ใครมามีอิทธิพลกับชีวิตเธอ ผมอยากให้เธอหัวเราะ ร้องไห้ ยิ้ม บึ้ง งอน หรือเป็นอะไรทุกอย่างก็เพราะผมคนเดียว คุณว่าผมเห็นแก่ตัวไหมครับ ผมเริ่มจะเข้าใจความรู้สึกทหารคนนั้นแล้วล่ะว่าเขารู้สึกอย่างไร
เอ้ะ! เธอขยับตัวแล้วครับ โอ๊ย! ไม่ทันแล้วครับ เธอหันมาสบตาผมทั้งน้ำตาเลย โธ่เอ๊ย! จะโทษใครได้เล่าที่ผมหลบเธอไม่ทัน มันเป็นเพราะว่าผมมองดูเธอเพลินจนลืมตั้งสติน่ะสิ แต่บางทีการที่ผลมันออกมาเป็นแบบนี้อาจจะดีก็ได้ เพราะผมได้เห็นรอยยิ้มที่ให้กำลังใจผมได้เต็มอิ่มชนิดที่ว่าไม่มีใครสามารถให้กับผมได้เลยตลอดเวลา 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ถึงแม้จะเป็นยิ้มที่ผ่านม่านน้ำตาแต่มันก็ยังดูสดใสสวยงาม จนผมต้องหันไปมองรอบข้างเพราะไม่อยากให้ใครเห็น แต่มีหรือที่รอยยิ้มสดใสจริงใจเช่นนั้นจะไม่สะดุดตาชายอื่น ผู้ชายหลายคนที่กำลังเดินผ่านบริเวณนั้นยืนนิ่งไปเลยครับ บางคนมีเผลอยิ้มไปกับรอยยิ้มเธอด้วย แต่ผมหวงนี่ครับไม่อยากให้เธอยิ้มในที่สาธารณะอย่างนี้ คิดดูนะครับนี่ขนาดผมห้ามใจตัวเองแล้วนะและที่สำคัญผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับเธอด้วยผมยังเป็นได้ขนาดนี้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึงสร้างแววตาปวดร้าวให้เธอจนผู้ชายแทบนั้นพากันหันรีหันขวางมองหาตัวการที่ทำให้เธอมีแววตาเช่นนั้นนั้นกันให้ควักเลย ผมเองก็รู้สึกเสียใจจนต้องวิ่งเข้าไปหาเธอและส่งยิ้มแก้ตัวให้เพื่อปลอบใจเธอ เพราะสีหน้าเธอไม่ดูดีขึ้นเลย มีแต่แววตาตัดพ้อต่อว่าและไม่เข้าใจสิ่งที่ผมทำกับเธอเมื่อครู่ ผมอยากพูดอธิบาย อยากพูดปลอบใจแต่ผมพูดภาษามือไม่เป็น ผมได้แต่หันซ้ายหันขวาเพื่อหาอะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมสื่อสารกับเธอได้รู้เรื่อง แต่การที่ผมมีท่าทางเต้นเป็นลิงโดนผีเข้าแบบนี้มันคงจะทำให้เธอเข้าใจล่ะมั้งว่าผมเดือดร้อนขนาดไหนที่เธอมีสีหน้าเศร้าโศกแบบนั้น เพราะเธอหัวเราะออกมากับท่าทีของผม ผมจึงได้แต่ลูบหัวตัวเองอย่างเขินๆ ทำอะไรไม่ถูกไปเลย เสียฟอร์มจังเลยนะครับหนุ่มเพลย์บอยอย่างผมกลับถูกสาวไร้เดียงสาทำให้เขินถึง 2 ครั้งแล้ว เธอหัวเราะออกมาอยู่นานมากจนผมรู้สึกหมั่นไส้ถือวิสาสะจับมือข้างที่เธอยกขึ้นมาปิดปากไว้เพื่อรักษากิริยาหญิงและยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากเธอไว้อย่างเบามือเพื่อห้ามเธอหัวเราะ ตอนแรกที่ทำก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ แต่เมื่อเธอหยุดหัวเราะและเราสองคนหันมาสบตากันผมจึงเริ่มรู้สึกว่าหน้าที่เคยขาวซีดของเธอระเรื่อขึ้นมาเป็นสีชมพู ส่วนหน้าผมเองก็คงจะไม่ต่างไปจากเธอเลย และผมก็คิดว่าหน้าเธอคงจะร้อนเหมือนหน้าผมในขณะนี้เช่นกัน ไม่เพียงแค่คิดนะครับมือของผมข้างที่แตะผิวปากบางนุ่มของเธอไว้ก็ค่อยๆ เลื่อนไปที่ใบหน้าของเธอเพื่อทดสอบข้อสันนิษฐานที่คิดขึ้นเอง ดีนะที่เพื่อนผมที่เข้ามาหาหนังสืออ่านแถวนั้นเรียกไว้ก่อนที่ผมจะได้ทำอะไรเสียมารยาทกับเธอ
จา! จะทำอะไรน่ะ รู้นะว่าเอ็งไว้ไฟ แต่นี่มันในร้านหนังสือนะเว้ย! ไม่ใช่อืมม์ มองอยู่นานแล้วทนไม่ได้ว่ะ ถ้าแก้มนวลจะถูกเอ็งทำให้มีราคีในร้านหนังสือ
เปล่านี่! เอ็งคิดว่าข้าจะทำอะไร! ไม่ได้จะทำอะไรนี่! ไอ้ผัสสะเพื่อนสนิทต่างคณะรีบเดินตรงรี่เข้ามาด้วยความสนใจ เมื่อมันเดินมาถึงก็ส่งยิ้มทักทายให้อักษรตามอย่างที่มันเคยทำ อักษรก็ส่งยิ้มให้มันอย่างที่เธอเคยยิ้มให้ผมเป็นเหตุให้ไอ้ผัสสะตะลึงไปชั่วขณะผมรู้สึกไม่ชอบใจเลยจริงๆ นะครับที่เธอทำแบบนี้ ไอ้ผัสสะเริ่มกระซิบถามผมให้เบาที่สุดเพราะกลัวไก่ของผมจะตื่น
ใครวะเด็กใหม่เอ็งเหรอ สวยชิบเลยว่ะ หามาเกทัพยายไวโอลินเหรอเร็วดีนี่หว่า ข้าว่านะถ้ายายนั่นรู้เรื่องนี้เข้า ต้องอกแตกตายแน่เลย
ไม่ใช่เว้ย! นี่เป็นคนรู้จักข้า
คนรู้จัก! สวยขนาดนี้เอ็งไม่ได้เอาเป็นแฟนเหรอว่ะ ข้าไม่เชื่อหรอก
ข้าพูดจริงๆ ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขา
เฮ้ย! ถ้าอย่างนั้นข้าก็จีบได้สิว่ะ
ไม่ได้! ให้ตายเถอะ! ทำไมผมถึงได้มีนิสัยเหมือนตาทหารขี้เบ่งคนนั้นด้วยนะ
มีแฟนแล้ว เป็นทหารด้วยเว้ย! อย่าไปยุ่งเลย
อย่างเอ็งนี่นะไม่คิดนะแย่งมาถ้าอยากได้
เฮ้ย! ข้ามีธุระด่วนว่ะ ขอตัวก่อนแล้วกัน ไว้ค่อยเจอกันวันหลัง
ผมรีบคว้าขอมือบอบบางราวกับว่าถ้าผมจับแรงกว่านี้อีกนิดมันคงหักคามือผมแน่นอนและพาเธอเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อซื้อหนังสือเล่มนั้นให้เธอ เธอไม่ยอมรับไว้แต่ผมไม่ยอมรับคืนเช่นกัน ผมพูดหว่านล้อมให้เธอยอมรับของที่ผมอยากให้เธอไม่ได้ ดังนั้นผมจึงจับถุงหนังสือยัดใส่มือเธอโดยใช้แรงบังคับ เธอยิ้มแห้งๆ แต่แววตานี่สิบอกชัดเจนเลยว่าเธอลำบากใจและเสียใจที่ผมอย่างนี้กับเธอ โอ๊ย! ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเลย ผมอยากคุยกับเธอได้จังเลย ผมอยากสื่อสารกับเธอให้รู้เรื่องไปเลยว่า ผมเต็มใจให้หนังสือเล่มนี้กับเธอ แต่เหตุผลนั้น ให้ตายผมคงบอกเธอตอนนี้ไม่ได้ แต่ผมจะบอกพวกคุณแล้วกัน คือ.. ผมอยากควบคุมอารมณ์เธอทางอ้อมโดยผ่านทางหนังสือเล่มนี้ไงล่ะครับ ตอนนี้ผมยังไม่มีอิทธิพลกับเธอแต่หนังสือเล่มนั้นมีใช่ไหมครับ ดังนั้นถ้าหนังสือเล่มนี้ทำให้เธอร้องไห้ก็เปรียบได้ว่าเธอร้องไห้เพราะผม ไม่ว่าเธอจะอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วมีปฏิกิริยาอย่างไรก็แปลได้ว่า ผมเป็นคนทำให้เธอเป็นเช่นนั้น คิดแล้วยังเลี่ยนตัวเองไม่หายเลยครับ ไม่รู้คิดอย่างนี้ได้ไงคุณเองก็คงจะคิดว่าผมเลี่ยนใช่ไหมครับ (กรุณารักษามารยาทในการฟังด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นอย่าอาเจียนออกมาให้เสียบรรยากาศ ถ้าใครจะอาเจียนออกมาผมอนุญาติให้ไปเข้าห้องน้ำ 5 นาที อ้าว! ทำไมลุกกันหมดเลยล่ะ! )
ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ถือวิสาสะคว้าข้อมือเธอไว้และพาเธอไปที่รถผม ผมไม่สนว่าเธอจะมากับใครหรือมีอะไรต้องทำต่อเพราะตอนนี้ผมร้อนใจอยากให้เธอเลิกมีสีหน้าอย่างนี้จะแย่อยู่แล้ว ผมต้องทำอย่างไรดีครับ แต่ไม่นานเลยเธอก็เอื้อมมือไปหยิบกระดาษกับปากกาที่ผมวางไว้หน้ารถเพื่อจดโน๊ตต่างๆ มาเขียนข้อความบางอย่างและยื่นให้ผม
อยากพูดอะไรก็เขียนได้ค่ะ ผมจะอธิบายอย่างไรให้คุณเข้าใจดีนะว่า ผมดีใจมากขนาดไหนที่ผมจะสามารถคุยกับเธอได้อย่างนายทหารคนนั้นแล้ว ผมทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจจนทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ จับปากกาก็ตกๆ หล่นๆ มือไม้สั่นเป็นเจ้าเข้าเชียว แน่นอนเธอหัวเราะกับอาการแบบนี้ของผมอีกแล้ว เมื่อตั้งสติได้ผมจึงรีบตาลีตาเหลือกเขียนตอบเธอไปทันที
ผมไม่ได้ตั้งใจจะใช้แรงยัดหนังสือใส่มืออักษรนะครับ ผมอยากให้คุณจริงๆ แต่ผมไม่รู้จะบอกคุณอย่างไรว่าไม่ต้องปฏิเสธผมหรอก ผมเต็มใจให้ ผมจึง.. ผมยังเขียนไม่จบดีเธอก็เอื้อมมือมาจับข้อมือผมไว้และส่ายหน้าเบาๆ แววตาเธอบอกผมว่าเธอเข้าใจสิ่งที่ผมทำ เธอยิ้มและดึงปากกาไปจากมือผม
ฉันเข้าใจดีค่ะ แต่ฉันก็อดเสียใจไม่ได้ คุณไม่ผิดหรอกนะคะ เมื่อปากกาอยู่ในมือของอักษร ผมจึงรีบหยิบปากกาที่เหน็บไว้ในกระเป๋าเสื้อออกมาเขียนสิ่งที่ผมอยากบอกเธอลงในกระดาษแผ่นใหม่เพราะผมคงอกแตกตายแน่ถ้าไม่ได้บอกเธอตอนนี้ เราสองคนจึงตั้งหน้าตั้งตาเขียน เขียน เขียนและเขียน
ถ้าจะขอโทษผมต้องทำอย่างไรครับ ผมอยากขอโทษคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะบอกว่าเข้าใจผมก็ตาม เธอค้อมศรีษะลงเล็กน้อย แบมือขึ้นประกบกันตรงหน้าในแนวขนานกับพื้นโดยที่มือซ้ายอยู่ด้านล่างมือขวาอยู่ด้านบน พรางถูมือวนไปมาเบาๆ ประมาณ 2 รอบ ผมรีบทำตามอย่างล้นลาน ก็แหม! ผมกลัวจะทำตามไม่ทันที่เธอสอนนี่ครับ แต่ผมคงทำเปิ่นอีกนั่นแหละเพราะเธอหัวเราะชอบใจใหญ่เชียว ไม่เป็นไรผมยินดีมากถ้าหากว่าการเปิ่นของผมจะทำให้เธอมีความสุขแบบนี้บ่อยๆ ผมก็จะยอมเปิ่นบ่อยๆ ได้เหมือนกันครับ
อักษรหัวเราะยังไม่ทันหยุดดีเธอก็ค่อยๆ ยื่นมือมาจับมือผมให้เลื่อนไปตามแรงผลักของเธออย่างช้าๆ เพื่อสอนให้ผมขอโทษเธอ จึงเป็นโอกาสให้ผมแอบดูเธอในระยะใกล้เพียงเอื้อมจมูกผมให้ถึงแก้มใสของเธอเพลินตา ในขณะที่ผมกำลังเพลินอยู่นั่นเองมือบางนั้นก็สะดุ้งเงยหน้าสบตาผมที่มองเธออยู่แล้วจนเธอชะงักไปครู่ใหญ่แล้วจึงหันไปหยิบกระดาษมาเขียนบอกผมว่า ฉันต้องไปแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าวันนี้พี่เฆนทร์จะกลับมาจากต่างจังหวัด ฉันต้องทำกับข้าวไว้ต้อนรับพี่เฆนทร์ด้วย
ตั้งแต่ผมได้รู้จักกับเธอ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหมือนนักจิตวิทยาดาวรุ่งมาแรงที่ได้ค้นพบนิสัยมหัศจรรย์ต่างๆ ในตัวเอง นิสัยที่ผมไม่เคยได้ล่วงรู้เลยว่าผมก็เป็นคนแบบนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะนิสัยขี้อิจฉา ผมเพิ่งรู้ว่าตัวผมเองก็เป็นเด็กขี้อิจฉามากๆ คนหนึ่งเลย เพราะตอนนี้ผมรู้สึกอิจฉาตาทหารขี้เก็กคนนั้นชนิดที่อยากจะสลับร่างกับเขาเลยทีเดียว (ถ้าทำได้นะครับ) แต่ผมจะตะเกียกตะกายทำทุกอย่างไปทำไมในเมื่อผมไม่ได้อยากเป็นแฟนกับเธอนี่ครับ ผมไม่อยากมีแฟนเป็นคนพิการใช่ไหมครับ ตอนนี้ผมก็ยังไม่ลืมที่จะเตือนตัวเองครับ เพียงแต่ว่าการเตือนมันคงจะถี่ขึ้นทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที จนกระทั่งวันหนึ่งผมอาจจะต้องห้ามใจตัวเองว่า ผมจะรักอักษรไม่ได้ ทุกลมหายใจก็เป็นได้ (ประการสุดท้ายนี้จะสามารถใช้ได้ในกรณีที่ผมไม่ได้เป็นนักกีฬา แต่บังเอิญผมเป็นนี่ ดังนั้นผมจะขอใช้คำว่าทุกวินาทีแทนเพื่อให้คุณผู้ฟังรู้ซึ้งถึงความถี่ที่ผมต้องพยายามห้ามใจตัวเองหรือจะสมมติว่าความถี่ลมหายใจของผมมีปริมาณเท่าคนปกติก็ได้นะครับ) อ๋อ! ครับๆ ที่ผมต้องพยายามห้ามใจตัวเองก็เพราะว่า เราสองคนไม่เหมาะสมกันเลย คนรอบข้างผมคงมองผมด้วยสายตานินทาซึ่งเป็นสายตาและท่าทางที่ผมเกลียดที่สุดเลยเชียว ผมไม่ชอบให้ใครต่อใครเที่ยวเอาเรื่องของผมที่ไม่ได้หนักส่วนไหนของใครไปพูดกันราวกับเป็นวาระแห่งชาติก็ไม่ปาน (หมายเหตุ: ห้ามนินทาในกรณีที่ทำให้ผมเสียหายและดูมัวหมองเท่านั้นนะครับ แต่ถ้าจะเจริญพรผมก็ไม่ว่ากัน ผมจะอนุญาติให้ยกกระทู้ผมขึ้นมาถกเถียงกันได้ และถ้าผมรู้ละก็ผมจะจัดสมนาคุณบ้านพร้อมที่ดินให้อีกต่างหากถ้าเป็นผู้หญิงนี่ให้ตัวผมด้วยเลยก็ยังไหว)
หลังจากวันนั้นนิสัยขี้อิจฉาของผมบวกกับนิสัยชอบเอาชนะคนก็ทำให้ผมไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแห่งนั้นทุกวัน ผมจะมาที่นั่นพร้อมหนังสือสอนภาษามือ 2-3 เล่มและสมุดเปล่าพร้อมดินสอยางลบ การมาที่นี่ทำให้ผมได้รู้ว่าตาทหารคนนั้นไม่ได้อยู่ข้างบ้านเธอแล้วเพราะว่าเขาต้องไปทำงานประจำอยู่ที่ค่ายทหารประจำจังหวัดอื่น นานครั้งถึงจะกลับมาดูแลเธอได้ และที่สำคัญตอนนี้ผมเริ่มคุยกับเธอด้วยภาษามือได้แล้วนะครับ แต่เวลาที่เธอพูดผมยังต้องอาศัยน้องจารึกแปลให้ฟังอยู่บ่อยๆ
วันนี้-พี่-คุณ-ไป-ทำงาน-ที่-เพชรบูรณ์-แล้ว-ใช่ไหม-ครับ ผมพยายามที่จะคุยกับเธอด้วยภาษามือถึงแม้ว่ามันจะลำบากเป็นอย่างมากในช่วงที่ผมเริ่มใช้ มันไม่ง่ายอย่างที่ผมคิดเลยมันคล้ายกันจนบางทีผมเองก็จำสับกัน พูดผิดพูดถูกบ้างก็มี อีกทั้งเวลาพูดผมยังต้องอาศัยการออกเสียงตามไปด้วยเพื่อกันหลง แต่มันก็คุ้มค่ากับผลที่ได้รับ เธอพยักหน้าและหันมายิ้ม ผมเพิ่งเข้าใจบทความหนึ่งที่เคยอ่านเจอในหนังสือว่า การที่เราได้นั่งอยู่ข้างๆ กันโดยปราศจากคำพูดใดๆ นั้นเรากลับสามารถรับรู้ความรู้สึกบางอย่างของอีกคนหนึ่งได้และซึ้งใจยิ่งกว่าของจริงมันเป็นอย่างไรก็ตอนที่ได้มารู้จักเธอนี่ล่ะ ผมจำไม่ได้นะครับว่าไปอ่านเจอมาจากหนังสือเล่มไหนเรื่องใดแต่ก็ต้องขอบคุณจริงๆ ที่บอกใบ้ให้ผมรับรู้ล่วงหน้า
เคยได้ยินกันใช่ไหมครับว่าบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องบรรยายความรู้สึกทุกข์ใจทั้งหมดที่มีเป็นคำพูด เพราะบางครั้งแค่เพียงเราได้นั่งอยู่อย่างสงบกับใครบางคนที่เรารู้สึกดีด้วยความทุกข์นั้นมันจะสลายไปเมื่อบทสนทนาที่ไร้คำพูดนั้นจบลง บางวันผมกับอักษรคุยกันโดยภาษามือบ้าง เขียนเป็นตัวหนังสือบ้าง วาดรูปบ้าง เล่าเรื่องต่างๆ ให้เธอฟังโดยการพูดบ้างถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ยินก็ตาม เธอเองก็แปลกพอสมควรเชียวล่ะ เพราะเธอต้องการให้ผมพูดให้เธอฟัง ผมเองในตอนแรกก็ไม่กล้าเพราะกลัวตอกย้ำปมด้อยของเธอ แต่เธอกลับเขียนบอกผมลงในกระดาษว่า
การพูดได้มันเป็นฝันดีของฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่อยากให้ปมด้อยของฉันทำให้ผู้คนรอบกายปิดกั้นความสุขเวลาพูดคุยกันต่อหน้าฉัน ฉันต้องการเห็นฝันดีของฉันทุกวันจากผู้คนรอบข้าง ฉันชอบเวลาที่เห็นผู้คนคุยกันแล้วมีความสุข ดังนั้นเวลาที่คุณมีอะไรอยากพูดก็พูดออกมาเถอะ ฉันจะอยู่รับความรู้สึกนั้นจากแววตาคุณเอง และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมชอบเล่าเรื่องชีวิตประจำวันต่างๆ ให้เธอฟัง ทั้งทุกข์และสุข ผิดหวังหรือสมหวัง เราจะสบตากันทุกครั้งที่ผมเริ่มเล่าเรื่อง มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เธอจะรับเอาความรู้สึกของผมไปได้ทั้งหมด
ผมยังจำได้ถึงวันแรกที่ผมไปเข้าไปเหยียบบ้านอักษรได้ดี บ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่จนสามารถเดาฐานะทางบ้านเธอได้ไม่ยาก รอบบ้านถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้หลากพันธุ์ ร่มรื่นจนบางทีก็ดูลึกลับและน่ากลัวอยู่ไม่น้อย รวมถึงผู้คนภายในบ้านที่ดูท่าจะถือยศถือศักดิ์จนผมรู้สึกต่ำต้อยด้อยกว่าอักษรอยู่หลายขุม ซึ่งผมจะคิดไปให้หนักสมองทำไมในเมื่อผมไม่ได้อยากจะได้เธอมาเป็นคู่ชีวิตผมนี่ แต่ทันทีที่ผมได้เริ่มพูดจากับคนในบ้านพรมงคล ผมก็ต้องสั่งสอนตัวเองเสียใหม่เรื่องการสรุปนิสัยคนจากภายนอก
ผมจำได้ดีว่าวันนั้นผมพาอักษรไปหาซื้อหนังสือวรรณกรรมเด็กและเยาวชนเล่มหนึ่งที่ตอนนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว แต่ผมก็แอบรู้เรื่องนี้มาจากจารึกน้องชายจอมป่วนของอักษรจนได้ เย็นวันนั้นผมจึงพาอักษรไปตระเวนหาจนทั่วจังหวัดตามร้านหนังสือใหญ่ๆ หาจนกระทั่งค่ำมืดดึกดื่น จนผมเริ่มถอดใจ ใจหนึ่งก็แอบคิดว่า ใช่ธุระเราหรือก็เปล่า ทำไมเราจะต้องมาทำอะไรเพื่อคนอื่นขนาดนี้ด้วย แต่ปากผมมันหนักทุกครั้งที่ผมจะยกเลิกการตามล่าหาหนังสือเล่มนี้ และอยากตบปากตัวเองที่เปราะทุกครั้งยามเธอหันมาบอกผมด้วยสายตาว่า พอแล้วก็ได้ ไม่ต้องหาแล้ว หาไม่ได้ก็ไม่เอา ผมหันไปพูดกับอากาศให้เธออ่านปากว่า ผมไม่ชอบยอมแพ้อะไรง่ายๆ เธอจึงปล่อยผมให้บ้าตามหาหนังสือเล่มนั้นต่อด้วยการกระทำที่สวนทางกับความคิดตัวเอง ผมไม่เข้าใจเลยว่าผมทำบ้าอะไรของผมอยู่กันแน่! จนกระทั่งผมขับรถผ่านร้านหนังสือร้านหนึ่ง ความดื้อดึงของอักษรก็บังคับให้ผมลองแวะหาหนังสือเล่มนั้นดู แต่ผมไม่ยอมเชื่อว่าร้านหนังสือเก่าแก่ที่ดูแล้วน่าจะสร้างมานานมากราวกับเป็นโบราณสถานเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองนี้มานานจะมีวรรณกรรมฯ เล่มนั้นอยู่ เราสองคนเถียงกันโดยใช้สายตาและท่าทางอยู่นานจนผมเหนื่อยจะเถียงจึงจำใจพาเธอเข้าไปในร้าน แต่แล้วเราก็หาหนังสือเล่มนั้นเจอจนได้ สุดท้ายผมก็รู้จนได้ว่าที่ผมพยายามทำบ้าอยู่นี่เพื่ออะไรกัน เพราะมันคุ้มค่าสำหรับการที่จะได้เห็นรอยยิ้มเธอเป็นค่าตอบแทนความเหนื่อยที่ผมหน่ายตลอดเย็น
คืนนั้นมันเลยเวลากลับบ้านของอักษรไปนานเสียจนผมพาเธอกลับไปที่สวนสาธารณะเพื่อส่งเธอให้คนขับรถไม่ทันเพราะเขากลับบ้านไปแล้ว คงจะอยู่หรอกครับเธอต้องกลับบ้าน 19.00 นาฬิกาของทุกวัน แต่ผมพาเธอมาส่งก็ 22.30 นาฬิกาแล้ว ผมจึงต้องไปส่งเธอถึงบ้านเพื่อแสดงความจริงใจและยื่นยันว่าผมดูแลลูกเขาเป็นอย่างดีไม่ได้พาไปทำอะไรเสียหายให้ใครเขานินทา ก้าวแรกที่โผล่เข้าไปในบ้านผมตกใจจนเกือบลืมหายใจไปหลายนาที เพราะบรรดาญาติเกือบจะครบทั้งตระกูลได้ล่ะมั้ง (พูดเกินจริงไปบ้างคงไม่ว่ากันนะครับ คุณๆ จะได้เห็นภาพกันไงครับ) กำลังนั่งรอเธออยู่ที่ชุดรับแขกไม้สักตัวใหญ่เท่าช้างในห้องรับแขก ทันทีที่เราสองคนก้าวเข้าไปเท่านั้นความสงบที่เงียบอยู่แล้วกลับน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ทุกคนมองผมด้วยสายตาประเมินค่าราคาความเป็นคนเสียจนผมรู้สึกไม่ถูกชะตา อึดอัดและทำอะไรไม่ถูก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ลืมมารยาทไทยคือการไหว้ทักทาย
สวัสดีครับทุกคน
สวัสดี เธอเองหรือที่ฉันได้ข่าวมาว่าแอบไปคุยเล่นกับแม่อักษรที่สวนสาธารณะทุกวัน หญิงที่ดูแก่ที่สุดในบ้านเอ่ยทักทายผมด้วยน้ำเสียงเรียบจนผมเดาความรู้สึกท่านที่มีต่อผมไม่ถูก แต่ผมก็เดาเอาจากคำพูดและคอที่ตั้งเชิดขึ้นเสียจนผมแอบคิดประชดท่าน (ในใจ) ว่า ท่านคงจะลำบากมากถ้าหากจะมองคนที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเพราะท่านคงต้องเหล่แล้วเหล่อีกจนเรนตินาของท่านต้องวิวัฒนาการมาอยู่ที่ปากหรือคางแทนที่จะอยู่ในลูกตาคู่นั้น (ผมเกเรใช่ไหมครับ ปากเสียด้วย) และท่านคงจะไม่พอใจนักที่คนไร้ต้นตะกูลผู้ดีเก่าอย่างผมจะริอาจมาเป็นเพื่อนหลานสาวของท่าน
ผมไม่ได้แอบใครนี่ครับ ผมก็เดินของผมเข้าไปอย่างเปิดเผยสง่างาม
ดี! ฉันชอบคนเปิดเผย ถ้าอย่างนั้นถามต่อนะ
เชิญครับ ไม่เคยรู้สึกดดันอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยครับ
มาจีบหลานฉันหรือ ทำไมถามได้ตรงประเด็นขนาดนี้นะ เป็นผู้ดีที่แปลกมากผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่าผู้ดีเขาจะถามเรื่องส่วนตัวกันตรงประเด็นขนาดนี้ ผู้หญิงรุ่นโตกว่าผมสัก 20 กว่าปีคงเห็นท่าทางตกใจของผมที่นานจนเกินรอเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า ตกใจอะไรอยู่ เป็นเด็กผู้ใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ
ผมได้ยินไม่ชัด
ไม่ได้ยินจริงหรือเขาได้ยินกันจนถึงหน้าปากซอยแล้วมั้ง
ผมไม่คิดว่าท่านจะถามตรงขนาดนี้ ผมคิดว่าผู้ดีมักจะชอบพูดจาอ้อมค้อมก่อนเข้าประเด็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นเพราะความเกรงใจ
ก็ใช่! แต่เป็นที่อื่นนะ บ้านเราเลิกพูดแบบนั้นไปนานแล้ว ตกลงเธอจะจีบหลานสาวฉันหรือเปล่า
เปล่าครับ เราเป็นเพื่อนกัน
งั้นหรือ แต่แม่อักษรดูปลื้มเธออยู่ไม่น้อยเลยนะ
จริงหรือครับ ผมอดยิ้มออกมาอย่างดีใจไม่ได้จริงๆ ครับ
สนใจไหมล่ะพ่อหนุ่ม ป้าจะยกลูกสาวให้เลยไม่ต้องมัวเสียเวลาจีบ หญิงแก่กว่าผมประมาณเกือบ 30 ปีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เฮ้ย! ผมอุทานออกมาเสียงดังลั่น ก็ตกใจนี่ครับเห็นดูหยิ่งกันทั้งบ้าน แต่พอคุยกันไม่กี่ประโยคก็จะยกลูกสาวให้เฉยเลย ผมจึงรีบล้นลานตอบปฏิเสธออกไป ผมไม่ได้คิดอะไร คงรับไว้ไม่ได้หรอกครับ
โธ่เอ๋ย! คุณแม่ขาแห้วอีกแล้วนะคะ ไอ้เราก็นึกว่าจะมีคนมาสนใจลูกสาวของเราโดยไม่สนใจเรื่องอื่นแล้วเสียอีก
แต่ผมยินดีคบอักษรเป็นเพื่อนโดยไม่รังเกียจอะไร! ผมรีบพูดขึ้นมาอย่างเสียงดังทำให้สายทุกคู่หันมาจับจ้องด้วยสายตาตำหนิ
ถ้าท่านจะอนุญาติ ประโยคหลังนี้เสียงผมอ่อยเสียจนเป็นเสียงกระซิบ
บ้านเราเปิดเผย ยอมรับความคิดเห็นและให้โอกาสคนเมื่อเขากล้าที่จะเอ่ยเสมอ ฉันเองก็จะให้โอกาสเธอ เพราะหลานฉันก็มีเพื่อน้อยคนเหลือเกิน ฉันเห็นแล้วก็ใจไม่ดีเท่าไร ก็เพิ่งจะเห็นแม่อักษรร่าเริ่งกว่าแต่ก่อนก็ช่วงที่ได้มารู้จักกับพ่อ
ผมชื่อจารึก ประดิษฐ์นพรัตน์
นามสกุลยาวจริง เป็นลูกเจ๊กหรือเรา
ผู้ดีเรียกคนจีนว่าเจ๊กด้วยหรือครับ
ทำละจ้ะ กฎมาตราไหนบัญญัติห้ามผู้ดีพูดคำว่าเจ๊กหรือ แถมท่านยังมีอารมณ์มาสัพหยอกกับเด็กอย่างผมอีก
เปล่า! ครับเปล่า! แปลกดีครับ ทุกคนหันมองหน้าผมเขม็งเพื่อหาความหมายที่แท้จริงของคำว่าแปลก
ผมหมายความว่าดีครับ ผมชอบที่นี่แล้วสิครับ
ชอบก็มาบ่อยๆ สิฉันไม่ว่าอยู่แล้ว ขอย่างเดียวให้เข้าตามตรอกออกตามประตู เปิดเผยตลอด จะทำอะไรให้บอกกล่าวกันเสมอ แล้วเราจะอยู่ด้วยกันยืด
ถ้าอย่างนั้นผมอาจจะต้องขออนุญาติมาพาอักษรไปที่สวนสาธารณะทุกวันเลยได้ไหมครับ
ได้สิ แต่เธอต้องพาหลานฉันกลับมาในสภาพที่สมบูรณ์ ไร้มลทิน
ด้วยเกรียติของลูกพ่อค้าชาวจีนเลยครับ ว่าแต่ท่านไม่รังเกียจคนจีนหรือครับ
โอ๊ย! เธอจ๋า บ้านฉันไม่ได้หลับหูหลับตาเป็นผู้ดีเก่าเสียจนไม่ลืมตาดูโลกกว้างนะ จะได้ยึดติดกับความคิดสมัยยายยังเด็ก ฉันไม่เคยรังเกียจชาวจีนเลยด้วยซ้ำไป คนจีนก็คนเหมือนคนไทยนั่นแหละใช่กิ้งกือไส้เดือนเสียที่ไหนกัน
ตื้นตันแทนป๊าจังเลยครับ เมื่อตอนที่ผมยังเด็กๆ ป๊ามักเล่าให้ผมฟังว่า ตอนที่ป๊าเป็นเด็กลำบากมากเพราะคนไทยไม่ค่อยชอบคนจีนสักเท่าไร รังเกียจหาว่าเข้ามาแย่งที่ทำมาหากิน
ช่างเขาประไร
ป๊าผมสู้จนคนไทยยอมรับในตัวปู่และป๊าของผมเลยนะครับ
อ้าว! ตายเลย เราคุยอะไรกันอยู่นี่ หลานฉันเลยเอาแต่มองอย่างเดียวเลย ดูสิมองคนนั้นทีคนนี้ทีตาแป๋วเชียว หญิงชราหันไปมองหน้าหลานสาวคนโปรด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนหันไปพูดภาษามือกับเธอพรางออกเสียงไปด้วย
ง่วง-หรือยัง-ลูก นั่งมอง-คนอื่นเขา-คุย-กัน-อย่างเดียว-เลย อักษรส่ายหน้าถี่พร้อมส่งยิ้มให้อย่างร่าเริงแต่ทว่ามือบางของเธอกลับยกขึ้นมาขยี้ตาเพื่อเรียกสติตลอดการมอง
ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับเลยดีกว่าครับ ดึกมากแล้วด้วย วันนี้ขอโทษนะครับที่พาอักษรมาส่งช้าจนทุกคนเป็นห่วง พอดีผมรู้จากจารึกว่าอักษรมีหนังสือที่อยากได้จึงเสียเวลาพาเธอไปหาซื้ออยู่นานจนลืมเวลา
ไม่เป็นไร อย่างที่บอกเธอ ฉันขอแค่เธอทำอะไรอย่างเปิดเผย เข้าตามตรอกออกตามประตู และพาหลานฉันกลับมาส่งที่บ้านอย่างปลอดภัยและไร้มลทินก็พอ และถ้าวันไหนจะกลับช้าก็บอกก่อนหรือโทรมาบอกก่อนด้วย
ผมชอบทุกคนที่นี่จังเลยครับ ไม่ได้หยิ่งอย่างรูปลักษณ์ภายนอก
ก็เราเป็นผู้ดีนี่จ้ะ กิริยามารยาท ท่าทาง การพูดจาจึงต้องดูเป็นผู้ดีไว้ก่อน ส่วนเรื่องความคิดกับนิสัยก็อีกเรื่องหนึ่ง
ผมลาเลยนะครับ เอ่อท่านครับถ้าผมจะบอกลาอักษรต้องทำอย่างไรครับ
ก็โบกมือธรรมดานี่แหละ แค่นี้ก็เข้าใจได้แล้ว ผมยิ้มตอบท่านก่อนหันไปโบกมือให้อักษรเพื่อบอกลาเธอกลับบ้าน วันนี้ผมเอาแต่คุยกับคนที่บ้านอักษรจนลืมสนใจเธอ ขอวันหนึ่งล่ะครับต้องผูกมิตรกับท่านๆ ไว้เผื่อวันหน้าวันหลังผมจะได้พาอักษรไปไหนได้สะดวกขึ้น
โปรดติดตามตอนต่อไป
แสนซน