29 เมษายน 2547 09:46 น.

ปฏิบัติธรรม 3

sun strom

เย็นวันที่ 3 
          ใคร่ขอเล่าเรื่องเราวที่เกิดขึ้นตอนเย็นวันที่ 3 หลังจากที่ทำวัตรเสร็จแล้วให้ฟังดังนี้นะคะ
          ในช่วงที่เรานั่งวิปัสนาอยู่นั้น มีสิ่งเกิดขึ้น และเป็นที่น่าสงสัยกับเรามาก คือ ในขณะที่นั่ง เหมือนมีเสียงกริ่งดังรัว อยู่ในสมอง ดังอยู่แบบนั้น ไม่หายซักที แม้เราจะตั้งใจฟัง หมายถึงหยุดเคลื่อนไหว แล้วนั่งนิ่ง ๆ เพื่อสังเกตุดูว่า เป็นเสียงที่เกิดมาจากไหน เราก็ยังได้ยิน เราเป็นกังวลมาก ทนไม่ได้ เดินดุ่มๆ ไปหาหลวงพ่อ แต่ในช่วงเวลานั้น เป็นเวลาที่ท่านเก็บอารมณ์ ไม่สามารถรบกวนได้ จึงต้องเดินกลับมา แล้วลงมือปฏิบัติต่อไปเรื่อย ๆ จริง ๆ แล้วตอนกลางคืน หลวงพ่อท่านกำชับว่า ให้ทุกคนนอนให้ตรงเวลา  แต่คืนนั้นกว่าเราจะเข้านอนได้ ก็ปาเข้าไปตั้งสี่ทุ่มกว่า ๆ แม้เราจะเปลี่ยนท่านั่งมาเป็นเดินจงกลม อาการดังกล่าวก็ไม่หายไป 
          เช้าวันที่ 4 หลังจากที่เราทำวัตรเช้าเสร็จ เราเล่าอาการที่เกิดขึ้นกับเราให้หลวงพ่อท่านฟัง ท่านบอกเราแต่เพียงว่า ไม่ให้เราสนใจ ไม่ให้เรากำหนดจิตใจไว้ตรงเสียงนั้น ให้ทำจิตใจให้ว่าง เพื่อรอรับสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเวียนมาเกิดกับจิตใจเรา โยมไม่ต้องเอาจิตไปจดจ่อกับอาการนั้นน่ะ ให้ทำเหมือนกับทราบแต่ไม่ทราบ เราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ในเมื่อท่านบอกแบบนั้นเราจะลองปฏิบัติตามดู 
         เราเริ่มต้นการปฏิบัติของเช้าวันที่  4 ด้วยการเดิน ในขณะที่เดิน ความคิดเราจะคิดไปด้วยเรื่องต่าง ๆ นา ๆ หากเราไม่สามารถทำสมาธิขึ้นมาได้ เราจะตามความคิดไม่ทัน  แม้เราจะคิดไปถึงไหน เราต้องดึงความคิดมาอยู่กับตัวเราให้ได้ ให้รู้สึกตัวว่าขณะนี้เราทำอะไรอยู่ ตลอดสามชั่วโมงที่เราใช้ในการเดิน เสียงที่เราเคยได้ยินกลับไม่ได้ยิน หากแต่ในบางครั้งจะเกิดอาการอย่างอื่นขึ้นมาแทน แต่อาการต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะหายไปในเวลาไม่นานนัก เรารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา
          เรารู้สึกตัวในการเปลี่ยนแปลง การเดินเราเดินเบาขึ้น การพูดเราพูดเสียงเบาลง การรับประทานอาหารก็นิ่ง เสียงกระทบของช้อนกับชามไม่มีให้ได้ยิน  ไม่รู้สึกหิว แม้จะทานข้าวเพียงวันละ 1 มื้อ มันเหมือนเรามีพลังงานอะไรอยู่ในตัวเรา แต่เราไม่ทราบ มันสุข เย็น อยู่ในใจลึก ๆ
          เพียงสี่วันที่เราเข้าปฏิบัติ เราก้าวมาถึงตรงนี้ นับว่าไม่เลว				
28 เมษายน 2547 12:01 น.

ปฏิบัติธรรม 2

sun strom

ตกกลางคืน หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ  เราก็เข้ากรด นั่งกัมฐาน กลางคืนค่อยดีขึ้นบ้าง ไม่เหนื่อย ไม่ง่วง นั่งได้ยาว 1 ชั่วโมง ไม่ต้องเปลี่ยนท่านั่ง หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นมาเดินจงกลม ก็ดีขึ้นอีกแหละ เดินได้ไม่ติดขัดอะไร
                เช้าวันใหม่ เป็นวันที่ 3 ที่เราเข้าปฏิบัติธรรม วันนี้ทำวัตรเช้า มันเย็นจับจิต สงบบอกไม่ถูก ทราบแต่ว่า การท่องบทสวดมนต์ มันลื่นไหล ไม่ติดขัด  ซึ่งเริ่มตั้งแต่ คำบูชาพระรัตนตรัย  ต่อด้วย ปุพพภาคนมการ  ตามด้วยนโม   ตัสสะ 3ครั้ง  แล้วเริ่มสวดบท พุทธาภิถุติ  บทธรรมาภิถุติ  บทสังฆาภิถุติ บทรตนัตตยัปณามคาถา บทสังเวคปริกิตตนปาฐะ  ไม่เคยทราบว่าตัวเองชอบแบบนี้ การสวดมนต์คนส่วนใหญ่บอกว่าน่าเบื่อ แต่สำหรับเรา มันเหมือนขึ้นสวรรค์ เสียงสวดมนต์มันก้องกังวาน นุ่ม  แผ่ว ไปตามจังหวะที่ท่อง เราไม่ทราบว่าเวลานี้เรามาถึงจุดไหน จนกว่าหลวงพ่อท่านจะอธิบายให้ฟัง
                 วันนี้ ใคร่ขอลงรายละเอียดในความรุ้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างที่นั่ง เดิน 
               หลังจากสวดมนต์เสร็จ เราเดินกลับที่พัก ลงมือนั่งวิปัสสนากัมมฐาน ที่ผ่านมาสองวัน เรามีอุปสรรคมากมาย ทั้งปวดศีรษะ ง่วงนอน หลวงพ่อท่านย้ำเสมอว่า ให้ทำตัวให้ว่าง เราไม่ทราบว่าการทำตัวให้ว่าง ทำอย่างไร ก็เราว่างแล้วนี่นา ไม่ได้ทำอะไร แล้วยังตั้งใจปฏิบัติอีกต่างหาก มาทราบทีหลังโดยบังเอิญว่า ว่างในความหมายของหลวงพ่อ คือทำจิตให้ว่าง ร้อนไม่คิด หนาวไม่คิด ไม่ยึดติดสิ่งใด สิ่งหนึ่ง  วันนี้เรานั่งกัมฐานด้วยความโล่งโปร่ง ตัวเบาหวิว ๆ ไม่เหนื่อย เราไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น  รู้สึกแต่ว่า เรานั่ง 2 ชั่วโมงติดต่อกันได้โดยไม่เหนื่อย ไม่ง่วง จิตใจเบา กายเบา เวลาเดิน จะทราบว่าเวลานี้เรากำลังเดิน ไม่เดินเหมือนความเคยชินเหมือนแต่ก่อน ไม่ปวดขาอีกแล้วนะคะ นี่หรือเปล่าที่เค้าเรียกว่า สุขกาย สบายใจ เป็นแบบนี้หรือ  ก้อถามตัวเองในความคิดตลอดค่ะ
                วันนี้หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ เรารีบกลับที่พัก เราใคร่ทราบว่า ต่อไป เราจะเปลี่ยนอะไรอีก นี่ก็อีกแล้วซิที่เราติด ติดอยากรู้ ก็หลวงพ่อท่านสอนทุกวันนะคะว่า จงทำตัวให้ว่าง เราก็มาติดอีกแล้ว จะไปถึงไหนป่าวน้าาาาาาาา 
                ต่อวันที่  4 นะคะ				
27 เมษายน 2547 08:09 น.

ปฏิบัติธรรม 1

sun strom

เช้าวันใหม่ ตื่นตีสี่ อาบน้ำด้วยเวลาเพียง 5 นาที เคยเป็นอยู่สะดวกสบาย เคยเลือกที่อาบน้ำอุ่น  น้ำเย็น แบบสบาย ๆ ที่บ้าน เคยอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายแบบหมดจดทุกครั้ง วันนี้ต้องตัดใจ อาบน้ำในตุ่ม โดยนุ่งผ้าถุงที่ตัวเองไม่ชำนาญ มันจะหลุดป่าวว้า  ตัดใจยากจริง ๆ นะคะ สำหรับคนที่ไม่เคย เก็บกรดเรียบร้อย แต่งตัวเสร็จเข้าไปรวมกลุ่มในศาลา
            รับบททำวัตรเช้ามาถือไว้ในมือ พระท่านก็เริ่มสวด มันยาวจังนะคะ จำไม่ได้ซักบท ก็ท่องไปเรื่อย ๆ ตามพระท่านมีความรู้สึกแปลกใหม่แทรกขึ้นมาในขณะที่ทำวัตรเช้า  รู้สึกตัวว่า เราชอบแบบนี้  เสียงนี้ ฟังแล้วเหมือนเราเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความสงบ จังหวะของเสียงทำวัตรเช้า  นุ่ม กังวาน เย็นใจ 1 ชั่วโมงที่นั่งทำวัตรเช้า ไม่เบื่อเลย ไม่เหนื่อย ไม่ง่วง 
             พระท่านสอนว่า การทำอะไร หากเราไม่ทำตัวให้ว่าง เราไม่สามารถจะเติมอะไรลงไปได้ เหมือนน้ำในตุ่มที่เต็มแล้วค่ะ 
             เสร็จจากทำวัตรเช้าเสร็จก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรม เช้าวันนี้หลวงพ่อท่านมาให้ความรู้ สอนวิธีนั่งวิปัสนา สอนวิธีเดินจงกลม ต่อจากเมื่อวานนี้  หกโมงเช้า เรากลับไปที่กรด เราเลือกวิธีที่จะนั่งก่อน ในใจกะว่าจะนั่งติดต่อกันซักสองชั่วโมง หลังจากนั้นจะลุกเดิน  มองที่เสื่อ ที่ทางวัดจัดหาให้ มองแล้วก็ปลงว่า เราอยู่กับคนหมู่มากจะให้สะดวกสบายเหมือนบ้านเราไม่ได้ (เมื่อก่อนนี้เราเป็นคนติดความสะดวกสบายมาก) ในเมื่อคนอื่นเขาอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้ซิ เกิดทิฐิมานะที่จะเอาชนะสิ่งเหล่านี้ (เกิดกิเลสขึ้นในใจแล้วค่ะ) 
              นั่งพับเพียบวางมือบนหัวเข่า เรียบร้อยก็เริ่มพลิกมือขวาขึ้นให้ตั้งฉากกับหัวเข่า  เสร็จแล้วยกมือขึ้นให้เสมอศีรษะ วาดมือมาวางไว้ที่หน้าอก  เอามือลงไปตั้งฉากกับหัวเข่า แล้วคว่ำมือลงบนหัวเข่า หลังจากนั้น ก็เป็นมือด้านซ้ายบ้าง ทำแบบนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ แรก ๆ เราไม่ชำนาญก้อจะเกิดการเสียจังหวะ ทำไม่ถูก ความคิดจะวนเวียน จับจ้องอยู่กับท่าทางการทำสมาธิจนไม่ไปไหน  เพราะหากคิดไปที่อื่น ท่าทางก็จะผิด วันแรกของเราเป็นวันที่ทรมานมาก ความคิดจะวนเวียนอยู่แบบนี้  เกิดการง่วงนอน เบื่อ ไม่อยากทำ ปวดศีรษะ  ใจเริ่มท้อทอยแล้ว จะทำไปทำไมแบบนี้ ไหนบอกว่ามาปฏิบัติธรรมแล้วจะสบายใจ ทำไมมันเบื่อแบบนี้  ความคิดที่กะไว้ในใจว่าจะนั่ง 2 ชั่วโมงติดต่อกัน นั้น  ผ่านมายังไม่ถึงชั่วโมง มันเบื่อแล้ว  ใจเจ้ากรรมคิดถึงเตียงนุ่ม ๆ น้ำอุ่นสบาย ๆ ขึ้นมาทันทีทันใด โอ้ย ปะป๋าไปไหน ทำไมไม่มารับเรากลับบ้านเสียทีน๊ะ
                1 ชั่วโมงผ่านไป เราคิดว่าเราจะไม่ไหวแล้ว ง่วงนอนเหลือเกิน เราจะหยุดนั่งสมาธิแล้วหละ จะนอนพักดีกว่า ให้ดีขึ้นซักหน่อยค่อยทำต่อ แต่ ...แว็บที่เราคิดจะนอน พระพี่เลี้ยง ท่านเดินมาหา แล้วบอกว่า โยมลองเดินดูน๊ะ เดินไปเรื่อย ๆ อยากจะคิดอะไรก็คิดไป  ไม่ต้องกังวลว่าจะเดินผิดหรือเดินถูกก็ขอให้เราเดิน   เราก็อายพระท่าน เดี๋ยวจะหาว่าเราไม่เอาไหน  ก็เปลี่ยนเป็นเดินจงกลม ก้าวแรกที่เดินเรานับหนึ่ง สอง สาม ไปเรื่อย 12 ก้าวเราก็วกกลับ  เอ้า...ความคิดเราก็มาจับจ้องที่การเดินอีกแล้ว โอ้ย ทำไมต้องนับการเดินด้วยหละ พระท่านไม่ได้สอนให้นับนะคะ แต่ความที่เรากลัวจะขาดจะเกิน เวลาที่เราเดินก็เลยต้องนับ เดินไปซักหน่อย เบื่ออีกแหละ อาการปวดขามารุมล้อมอีกแล้ว นั่งทำให้ปวดศีรษะ แต่การเดินทำให้ปวดขา ทำไมมันทรมานแบบนี้ 
                กว่าจะผ่านช่วงเช้า ไปได้ เราต้องเปลี่ยนทั้งนั่ง และเดิน ไม่รู้กี่รอบ แล้วอย่างนี้ เราจะไปถึงไหนหรือ
                11.30 น. รับประทานอาหาร  มีอาหารแต่ละอย่างวางให้เป็นถาด ๆ มีผลไม้  เวลารับประทานจะต้องตักใส่ชามเดียวกัน ให้ตักแต่น้อย ให้ทานให้หมด แล้วหากไม่อิ่มค่อยตักเพิ่ม ให้ทุกคนทานให้อิ่ม เพราะวันหนึ่งทานแค่มื้อเดียวเท่านั้น ทานเสร็จต้องล้างจานเก็บให้เรียบร้อย
                ตกบ่าย ความที่เราทานอาหารมากเกินไป ทำให้เราง่วงมาก เดินไม่ถึง15 นาทีก็ง่วงแล้ว นั่งไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ง่วงแล้ว อาการต่าง ๆ ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง เป็นบ่ายที่ทรมาน เบื่อเสียนี่กระไร
               เราภาวนาให้ถึงตอนเย็นเร็ว ๆ เพราะจะได้เข้าทำวัตรเย็น จะได้สวดมนต์ จะได้รู้สึกดีดี นี่เราติดทำวัตรเช้าเย็นแล้วหรือ 
              ก็ผ่านไปวันหนึ่งแล้วนะคะ ยังไม่ได้อะไรขึ้นมาซักนิด.......				
26 เมษายน 2547 04:30 น.

ปฏิบัติธรรม

sun strom

วันแรกของการปฏิบัติธรรม ............
         การที่เราสนใจอยากเข้าปฏิบัติธรรม ทำให้ปะป๋า แม่ ดีใจมาก ดูแล้วมันมากเกินกว่าได้ของที่ถูกใจ ท่านทั้งสามคน รับเป็นเจ้าภาพสำหรับคนที่สนใจเข้าร่วมปฏิบัติธรรมด้วย จัดหาอาหารไว้ให้เสร็จสรรพ ในช่วง 7 วัน ที่เราเข้าปฏิบัติ ดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับครอบครัว ทั้ง ๆที่ตัวเราเองไม่มีความมั่นใจเลยว่า จะไปได้ถึงตรงไหน แค่นุ่งผ้าถุงเรายังต้องหัด  (ก็ไม่เคยทราบวิธีนุ่งผ้าถุงนะคะก่อนนั้นก็ใส่กางเกง) กว่าจะนุ่งเป็นก็หัดกันนานพอสมควร การเข้าปฏิบัติธรรม ต้องนุ่งห่มผ้าสีขาว ในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมปฏิบัติทั้งสิ้น 15 คน
         ถึงวัดป่าช้าตั้งแต่หกโมงเช้า ปะป๋า แม่ แม่เล็ก มาพร้อมหน้า รวมไปถึงญาติ พี่น้อง อีกหลาย ๆ คน ที่ไปส่งเรา เข้าไปกราบหลวงพ่อ กราบเสร็จท่านก็หันคุยกับปะป๋า ยินดีมากที่ถึงวันนี้เสียได้ โยมไม่ต้องเป็นห่วงน๊ะ ถึงเวลาปล่อยก็ควรปล่อย เราควรออกมาดูอยู่ห่าง ๆ  คอยเป็นกำลังใจ ท่านก็คุยกันหลายเรื่อง เราไม่ค่อยสนใจฟังเท่าไหร่ เพราะหลวงพ่อรูปนี้ไม่ใช่หลวงพ่อรูปที่ไปบ้านเรา เป็นอีกรูปหนึ่งที่ท่านแนะนำมา เพียงแต่เป็นพระปฏิบัติสายเดียวกัน  ข้าวของที่นำไปด้วย ต้องนำกลับบ้านหมด คงเหลือเฉพาะผ้านุ่งสำหรับเปลี่ยน 1 ชุด พร้อมกรด สำหรับปักเพื่อการปฏิบัติธรรมดังกล่าว 
         8.00 น. ทั้ง 15 คนพร้อมกันที่วัด  ก็มีการแนะนำการปฏิบัติตัวว่าการปฏิบัติธรรมต้องทำอะไรบ้าง การรับประทานอาหารนั้น พร้อมกัน 11.30น. วันละ 1 มื้อเท่านั้น  กิจที่ต้องทำในแต่ละวันนั้น  ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่  ให้เวลาครึ่งชั่วโมง สำหรับทำกิจส่วนตัวให้เสร็จ ตีสี่ครึ่ง รวมตัวกันที่ศาลาเพื่อทำวัตรเช้า เสร็จจากทำวัตรเช้าก็จะมีการสนทนาธรรม ใครมีปัญหาตรงไหนถามได้ตอนนี้ และในแต่ละวันก็มีการชี้แนะแนวทางการปฏิบัติตัวหากมีการก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ว่าต้องทำอะไรในขั้นตอนต่อไป และชี้แนะสำหรับคนที่ไปไม่ถึงไหน หลังจากนั้น  ก็จะเป็นการปฏิบัติธรรม ใครจะนั่ง เดิน ก็แล้วแต่อัธยาศรัย  เย็นหนึ่งทุ่มตรงพร้อมกันที่ศาลา ทำวัตรเย็นเสร็จก็เข้าสู่การปฏิบัติธรรม (นั่งและเดิน)เข้านอนสามทุ่มครึ่งทุกวัน
          สถานที่สำหรับปักกรดของแต่ละคน จะอยู่ห่างกันประมาณ 15 เมตร สำหรับเราท่านให้เราปักกรดเป็นคนที่หนึ่ง ที่ข้าง ๆ เป็นเบ้าสำหรับเก็บศพคนที่ตายแล้วเรียงรายกัน 5 ศพ ความที่เราไม่ทราบว่าปูนที่ก่อเป็นสี่เหลี่ยมนั้นเป็นที่สำหรับใส่คนที่ตายแล้วรอไว้เผา  เราก็เลยไม่กลัว ก็ปักกรดเฉย จริง ๆ เราเป็นคนขี้กลัว ความที่เราไม่ทราบก็ช่วยเราได้มากพอสมควร 
          การนั่งภาวนา นั้น ท่านสอนให้นั่งพับเพียบ คว่ำมือทั้งสองวางไว้บนหัวเข่า จากนั้นให้พลิกมือ(ทำที่ละข้าง)ขึ้นให้ตั้งฉากกับหัวเข่า ค่อย ๆ ยกมือขึ้นให้อยู่เสมอศีรษะ หลังจากนั้นให้วาดมือมาวางไว้ที่หน้าอก แล้วเอามือไปวางไว้ที่หัวเข่า คว่ำมือลง ทำสลับกันไปเรื่อย ๆ พยายามอย่าให้เสียจังหวะ และควรรูสึกตัวทุกครั้งที่เรายกมือ วาดมือ หรือคว่ำมือ ไม่ต้องภาวนาว่า พุทโธ
            การเดินจงกลม ให้เดินประสานมือไว้ข้างหน้า หรือจะประสานมือไว้ข้างหลังก็ได้ ระยะทางที่เราใช้เดินจะอยู่ระหว่าง 12-15 ก้าว แล้วหมุนกลับมาที่เก่า สำหรับการเดินนั้น ท่านบอกว่าให้รู้สึกตัวไว้ ความคิดเราจะคิดไปถึงไหน เรื่องอะไรก็ปล่อยให้คิด เพียงแต่ให้เรารู้จักดึงความคิดมาไว้กับตัวเอง ให้ทราบว่า ตอนนี้เราทำอะไรอยู่
            นี่แค่วันแรกที่เข้าสู่ร่มของการปฏิบัติธรรม อะไร ๆ มันช่างยุ่งยากจริงหนอ เราคิดอยากกลับบ้าน แต่ด้วยความที่เป็นคนดื้อ ในเมื่อมาแล้วก็จะพยายามดูซักครั้ง				
23 เมษายน 2547 10:39 น.

พึ่งพระธรรม

sun strom

ไม่เคยคิดว่าจะหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ หลุดพ้นจากทิฐิมานะที่มี แต่เหมือนกับเราเคยสร้างสมบุญมาบ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีอะไรชักนำให้มาเจอสิ่งที่เราคิดว่า ไม่จำเป็นไม่สำคัญ เราเคยคิดเสมอว่า การทำบุญ แค่ตักบาตร ทำทาน ก็คงได้บุญ จริง ๆ แล้วไม่ใช่หรอกนะคะ การทำบุญหากสักแต่ทำ ทำตามกระแสสังคม ทำเพื่อมีหน้า มีตา มีชื่อเสียงในสังคม นั่นเหมือนเราทำบาป บาปเพราะอยากได้บุญ มันไม่หักล้างกันได้ เคยอ่านหนังสือเจอเกี่ยวกับเรื่องการนับคะแนนของการทำบาปทำบุญ เช่น ถ้าฆ่านก 1 ตัว เราจะติดลบเท่าไหร่ ให้เงินคนหนึ่งบาทเราจะได้บุญเท่าไหร่ นั่นเป็นเหมือนอุบายให้เราทำบุญ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำเผยแพร่เพื่อให้คนทำบุญค่ะ
         การทำบุญหากเราทำด้วยใจจริง ๆ มันสุขมาก เรามี 1 บาท เราทำบุญ 1 บาท ไม่ฝืนใจ เต็มใจที่จะทำบุญ ไม่คำนึงถึงว่าเงินที่เราทำบุญเค้าจะเอาไปใช้ตรงจุดประสงค์หรือเปล่า เราจะมีสุข สุขก็คือได้บุญ เพราะหากเราเกิดห่วง หรือกังวลตรงนี้ก็เหมือนกับเราไม่สบายใจแล้ว นั่นก็หมายถึงว่า เราไม่ได้บุญ  นี่ก็นอกเรื่องมากอะ เข้าเรื่องดีกว่านะคะ
         เช้าวันหนึ่ง แม่เรียกให้ไปใส่บาตร ก็อิดออดอยู่นั่น ยังไม่แต่งตัวบ้าง ยังไม่อาบน้ำบ้าง สารพัดที่จะอ้าง เพราะไม่มีใจจะไปใส่บาตร คนเราหากมีเรื่องขุ่นมัวในใจ ให้อย่างไรก็ไม่มีจิตใจจะทำอะไร จริงป่าวคะ
         สุดท้ายวันนั้นก็ไม่ได้ใส่บาตรเหมือนวันก่อน ๆ ที่ผ่านมา แต่.ห้าโมงตรง(ห้าโมงเช้านะคะ) ก็มีพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน แม่ก็จัดการต้อนรับอย่างดี  มาทราบที่หลังว่าแม่นิมนต์ท่านมาฉันท์เพลที่บ้าน เพื่อให้ท่านเทศน์ให้ฟัง เราเองตอนนั้นก็ออกนอกห้องมาเพื่อทำธุระชั้นล่าง แม่ก้อเลยจับนั่ง บอกว่าให้เรารอแป๊บหนึ่ง เพราะสิ่งที่เราอยากได้มันวางอยู่ด้านหลังพระท่าน ให้ท่านฉันเพลเสร็จก่อน ค่อยเข้าไปเอา เราก็นั่งลง ฟังท่านเทศน์ ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อยอะ เข้าหูซ้าย ทะลุหัวขวา ออกปากบ้าง (ก็มันออกมากับการหาวของเราน่ะ) เราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ในใจคิดรำคาญ เมื่อไหร่ ท่านจะเสร็จเสียที คือตัวต่อต้านมันเยอะค่ะ (ทิฐิมานะ)  กว่าท่านจะเทศน์เสร็จก็กินเวลาตั้งเกือบชั่วโมง ท่านค่อยได้ฉันท์เพล ก่อนกลับท่านหันมามองเรา เหมือนกับทราบว่าเราต้องการอะไร ท่านบอกว่าโยมยังอยากจะได้อยู่รึ เข้าไปเอาน๊ะ อาตมา กลับก่อน เนี่ยก็มานั่งเสียนาน เข้าไปหยิบแล้วก็ขึ้นข้างบนเถอะ คงเห็นเรานั่งกระสับกระส่าย ไร้จิตไร้ใจกระมัง ไม่ได้คิดอะไรมากตอนนั้น หยิบของเสร็จก็เข้าห้อง ตอนที่นั่งเขียนหนังสือ มันแว็บเข้ามา เอรู้ได้อย่างไรว่าเราจะเข้าไปหยิบของ ทีนี้เสียงเว้ด ๆ ก็ดังก้องบ้าน แม่จ๋าาาาาาาาาาาาาาา แม่อยู่ไหน  แม่จ๋าาาาาาาาาาา คุณแม่เจ้าคะ ไปไหนก็ไม่รู้ เลยไม่ได้คำตอบ เพราะในใจกะจะถามแม่ว่า แม่บอกท่านหรอว่าหนูจะเข้าไปเอาของ
         วันรุ่งขึ้นท่านก็มาอีกเหมือนเดิมค่ะ ที่นี้เราสนใจ ถามแม่ไม่ได้ ถามพระนี่แหละ ดูรึจะตอบเราอย่างไร เหมือนเดิม ท่านก้อเทศน์ไปตามเรื่องเราก็ยังไม่มีโอกาสจะถามเพราะญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านนั่งกันเต็มบ้าน ท่านฉันท์เพลเสร็จก่อนจะกลับท่านบอกเราเลยว่า สิ่งที่จะถาม ไม่ต้องถาม หากอยากจะทราบคำตอบจะมาตอบวันพรุ่งนี้ ยังคงเหลือกิจที่บ้านหลังนี้อีก 1 วัน  เออแนะท่านทราบอีกแฮะว่าเราจะถาม พระรูปนี้ยังไง ๆ ยังหวา
         วันที่สาม แม่มาหาที่ห้องแต่เช้าบอกว่า วันนี้เป็นวันสุดท้าย แม่อยากให้เราตั้งใจฟังซักหน่อย ลูกคงไม่ทราบ ที่แม่นิมนต์ท่านมาที่บ้านเราไม่ใช่เพื่อแม่ เพื่อญาติพี่น้อง หรือเพื่อนบ้าน แต่แม่ทำเพื่อเราน๊ะ พรุ่งนี้ท่านจะธุดงค์แล้ว ตั้งใจฟังหน่อยน๊ะลูก เราก็รับปาก เพราะไหน ๆ ก้อแค่วันเดียว
         วันนี้ค่อนข้างสนใจเอาใจใส่ เพราะความที่ยังมีเรื่องคั่งค้างในใจอยากจะถามท่าน อยากจะทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราต้องการหยิบของข้างหลังท่าน อยากจะทราบว่า ท่านทราบได้อย่างไรว่าเราจะถามท่านเรื่องวันก่อน ๆ คำที่ท่านเทศน์วันนี้ไม่ทะลุหูขวาอีกแล้ว เข้าหูซ้ายผ่านกระบวนการกลั่นกรอง ผ่านเข้าใปในความคิด ไม่ทะลุปากเพราะไม่ได้หาวเหมือนวันก่อน ๆ เราแค่สุขนิด ๆ ที่ได้ยินได้ฟัง ท่านบอกว่า  อดีต เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง อย่าไปคิดถึง จงอยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้  เราได้แต่ถามตัวเราว่า เราเป็นแบบที่ท่านพูดหรือเปล่า คำถามที่ต้องการจะถามเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ไม่ได้ถามในสิ่งที่อยากรู้ ไม่ได้ถามในสิ่งที่ข้องใจ แต่ถามท่านว่า ท่านมาจากไหน และจะไปที่ใด ท่านตอบว่า หากโยมพอมีเวลาว่าง ไปที่วัดป่าช้า ไปหาหลวงพ่อ......น๊ะ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเอง ตอนนั้นคิดในใจว่า ทำไมท่านพูดนุ่มนัก ทำไมท่านเดินเบานัก ทำไมท่านถึงได้สำรวมกิริยาอาการได้ดีนัก
คำพูดท่านแม้จะเหน่อ ๆ พูดทำนองอีสานเหนือ เรายังพอฟังเข้าใจ 
         อืมม..ทุกสิ่งที่ค้างในใจ เราจะลองไป อยากไป ความอยากมันวิ่งพล่านเต็มสมองอะที่นี้
         ผ่านมาอีกช่วงหนึ่งแล้วนะคะ นี่เป็นเพียงสาเหตุที่ทำให้เราหันหน้าเข้าหาพระธรรม และตอนต่อไปเราจะเล่าถึงเรื่องที่เราไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าช้าให้ฟัง เป็นความรู้สึกจริง ๆ สัมผัสจริง ๆ ที่เกิดขึ้นตอนนั้น แม้จะนานก็ยังจำได้ ไม่ลืม ทุกวันนี้ก็ปฏิบัติบ้างแต่ห่าง ๆ สิ่งแวดล้อมมันค่อย ๆ กลืนเราน่ะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงsun strom