6 สิงหาคม 2547 13:18 น.

ความรักของ...มัดหมี่

sun strom

รับปากรับคำไว้ตั้งแต่คราวที่เขียนเรื่องหิ่งห้อยสู่แสงแห่งธรรม ว่าจะนำรายละเอียดวิธีเจริญสติในอริยาบทยืน รวมไปถึงการเดินมาให้เพื่อนได้อ่านกัน ซึ่งก็นานมากแล้ว ต้องมาหยุดเขียนไปพักหนึ่งเนื่องจาก คอมเจ้ง อีกอย่างงานที่รับผิดชอบอยู่ก็รัดตัวเข้ามาจำเป็นต้องสางงานให้แล้วเสร็จก่อน   

 วันนี้ตลอดบ่ายเราว่าง จึงนึกขึ้นได้ว่าควรเขียนเรื่องอะไรที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจให้เพื่อนได้อ่านบ้าง ให้ถือเสียว่าเป็นการเล่าสู่กันฟังมากกว่า  หากอ่านแล้วสนุก ถูกใจก็เม้นท์ให้กำลังกันบ้าง แต่หากอ่านแล้วไม่สนุกก็ให้ผ่าน ๆ ไปนะคะ 

 ตั้งชื่อไว้อย่างนั้น เพราะคิดแล้วว่าเหมาะ กับเนื้อหาที่จะเขียน   เรื่องนี้มีตัวละครอยู่  2 คนนะคะ คือพายุ กับ มัดหมี่
ให้เป็นนางเอกกับพระเอกด้วยอะ 


 ตุลาคม ปี2546 ประมาณบ่าย 2 โมง  ณ .กองบัญชาการรัก ถนนแจ้งวัฒนะ เมืองนนท์

 พายุเด๋วเข้าไปคุยกับเพื่อนซะหน่อยดีกว่า ว่างแล้วนี่ไม่มีงานต้องเซ็นต์ ออนไลน์ปุ๊บ 

	เวลาเดียวกัน ณ มุมหนึ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง 

มัดหมี่หลังจากสางงานเสร็จแล้ว ก็เข้าไปจ๊ะจ๋ากับเพื่อน ๆ ร่วมแกงค์ ตอนนั้น เพื่อนฝูงมากมาย ต่างก็ถ่ายทอดวิทยายุทธให้แก่กันและกัน ใครมีปัญหาอะไรที่เกี่ยวข้องกับการ chat ก้อสามารถไต่ถามได้ทุกเรื่อง  บังเอิญว่า กำลังเล่นเพลิน ๆ ตัวหล่อนก็หลุดวุ๊บเข้าไปยังห้องห้องหนึ่ง โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว โอ้โหใครบ้างนะนั่น ไม่มีใครที่เรารู้จักซักคน เอ...ไม่ใช่ซิ คุณษา เราก็รู้จัก น้องบีเราก็รู้จัก ไปสะดุดที่ชื่อชื่อหนึ่งเข้า payu  ชื่อนี้ทำให้เราสนใจ ใคร่รู้จักมาก ๆ อะ  ในใจขณะนั้นไม่ได้คิดไรมาก ก็แค่สนใจใคร่รู้จักเท่านั้น ไหนลองทักทายไปหน่อยซิ จะคุยกับเราป่าว

มัดหมี่สวัสดีค่ะคุณพายุ ฮั่นแน่ตอนนั้นเรียกคุณนะคะ ก็ยังไม่สนิทนี่นา
พายุ.สวัสดีครับ 

	ต่อจากนั้นก็มีการพูดคุยกันมาเรื่อย ๆ ไม่รู้ หรอกนะว่าจะก่อเกิดสายสัมพันธ์ต่อกันและกัน  แน่นแฟ้นขนาดนี้ 
	ความสัมพันธ์ที่ดีของเราที่มี ต่อกันนั้น เป็นสิ่งที่ดี ต่างคนต่างคอยเป็นห่วงซึ่งกันและกัน  ใคร่ขอเรียนให้ราบว่า เราพูดคุยกันทางเน็ท และทางโทรศัพท์ ไม่เคยได้พบเจอหน้าตากันจริงๆ ซักที มีก็แต่รูปที่คอยส่งให้กันและกันดูต่างหน้า  วันไหนที่เราไม่ได้คุยกัน เหมือนกับขาดอะไรไปซักอย่าง ดูเหมือนว่า มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา

             หากจะนับเวลาก็ 11 เดือนเข้ามาแล้วนะคะที่เรายังคบหากันมาด้วยดีตลอด ก็มีบ้างที่เรางอนกัน แต่นั่นก็เป็นการเข้าใจผิดเท่านั้น ตลอดระยะเวลาเหล่านั้น อะไรที่ดีดี เราจะถ่ายทอดสู่กันและกัน ความสุขเราก็เล่าสู่กันฟัง ความทุกข์เราก็ช่วยกันปลอบโยนให้กำลังใจซึ่งกันและกัน 
            ณ. จุดนี้ตรงนี้ มัดหมี่บอกได้เต็มปากค่ะว่า รักพี่พายุนะคะ  รักมากด้วยค่ะ เป็นรักที่ออกจากใจ ไม่เคยคิดอยากได้อะไรตอบแทน มัดหมี่รักพี่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แม้จะทราบว่า ความเป็นไปได้ที่เราจะอยู่ด้วยกันนั้นไม่มี มัดหมี่ก็ยังจะรักค่ะ
           มัดหมี่เข้ามาที่ไทโพเอมหลังจากที่คุยกันได้ระยะหนึ่ง เราชอบอ่านกลอน แต่งกลอนด้วยกันทั้งสองคน มัทคิดว่าควรหาที่ ที่เราจะเจอกันได้ เป็นที่ที่เราทั้งสองจะถ่ายทอดความรัก ความผูกพันธ์ที่เรามีให้กันและกัน เป็นอนุสรณ์สำหรับความรักที่ก่อเกิดในโลกดิจิตอล มัทเลือกตรงนี้เพราะมีเพื่อน ๆ มากหน้าหลายตา และถือเป็นเว็บที่มีความเคลื่อนไหวตลอด ก็เข้ามาอ่านนานเหมือนกันกว่าจะสมัครเป็นสมาชิก แล้วชวนพี่พายุเข้ามาแต่งกลอน เราไม่เก่งในการแต่งกลอนหรอกนะคะ เพียงแต่เราชอบที่จะแต่ง และชอบที่จะอ่าน กลอนเป็นอะไรที่ยามเราอ่านแล้วเหมือนเข้าไปอยู่ในนั้น  ขอบคุณคุณปีกฟ้า อย่างที่คุณให้สโลแกนไว้ว่า 
                     ไทโพเอม ที่ที่ทุกบทกลอนจะมีความหมายกับใครซักคน 
กับคนอื่นมัทไม่ทราบแต่กับมัท ที่นี่เป็นแหล่งพักพิง เป็นแหล่งที่มีความหมายกับมัทค่ะ
                 เราจะยังอยู่คู่ไทโพเอมตลอดไปค่ะ


มัดหมี่..สวัสดีตอนเช้าค่ะพี่พายุ
พายุสวัสดีครับ เช้านี้ทานอะไรมาหรือยัง
มัดหมี่.ทานแล้วค่ะ แล้วพี่หละคะ ทานแล้วยัง
พายุพี่รับของเช้าพอดี ลูกน้องกำลังจัดให้ครับ
มัดหมี่.มัทคิดถึงพี่มากนะคะ
พายุ.พี่ก็คิดถึงมัดหมี่ครับ 

มัดหมี่....พี่พายุจ๋า
พายุ....อ้อนอีกแล้วนะเรา
มัดหมี่...ก็อ้อนไปงั้นแหละ ไม่มีไรทำนี่นา
พายุ...งั้นมาให้กอดหน่อยดีไหม
มัดหมี่...อื้ออออออมะดีอะ
พายุ...มีงานก็ทำงานไปก่อนนะ คุยไว้ทีหลัง
มัดหมี่....ค่ะ
พายุ...พี่รักมัทนะ
มัดหมี่...ฮื้ออออออ


พายุ....พี่กลับบ้านก่อนนะ ขับรถดีดีนะมัท
มัดหมี่...ค่ะ แล้วคุยกันพรุ่งนี้นะคะ บายยยยยย


วันนี้  วันหน้า  และวันต่อ ๆ ไป เรายังคงมีการพูดคุยด้วยความรักที่ก่อเกิดท่ามกลางโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว แม้เราจะก้าวไม่ทัน แต่ความรักของเราก็ยังก้าวไปอย่างสม่ำเสมอ..ตลอดกาลนาน
				
9 มิถุนายน 2547 06:27 น.

หิ่งห้อย...สู่แสงแห่งธรรม

sun strom

 
	
          ตั้งแต่เย็นเมื่อวาน จนป่านนี้ 4.00 น. ฝนตก ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด บางขณะก็ปรอย ๆ บางขณะก็ตกหนัก ตอนหัวค่ำราว ๆ ทุ่มกว่า เราลงไปข้างล่าง แล้วเดินทอดน่องไปตามริมรั้วเรื่อย ๆ ปีนี้มีสัตว์ตัวจ้อยส่องแสงให้ดูด้วยค่ะ เจ้าหิ่งห้อยส่องแสงวูบวาบ บินอยู่ขวักไขว่ ปีนี้น้ำคงท่วม คุณตาเคยเล่าเรื่องหิ่งห้อยให้ฟัง ท่านบอกว่า ปีไหนฝนตกชุกน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ มักจะมีหิ่งห้อยบินให้เราเห็นเสมอ ใคร่ขอคัดลอกเนื้อหาเกี่ยวกับหิ่งห้อยมาให้ทราบดังนี้

          *สิ่งมีชีวิตหลายชนิด มีแสงออกมาจากตัวของมันเอง ตัวอย่างที่รู้จักกันดี ได้แก่ แมลงที่เรียกว่าหิ่งห้อย ในเวลาค่ำและมืดสนิท เราอาจเห็นแสงจากหิ่งห้อยเพียงตัวเดียว ได้ไกลถึงหลายเมตร ที่สวยงามมากก็คือ แสงที่มาจากฝูงหิ่งห้อย ที่เกาะอยู่ บนต้นไม้ริมน้ำ เช่น ต้นลำพู 
          มีนิยายเล่ากันว่า พระยาหิ่งห้อยหลงรักลูกสาวพระยาลำพู จึงยกพวกมาเป็นขบวน ประดับไฟสวยงาม เพื่อมาขอเจ้าสาว แต่ ความจริงแล้ว หิ่งห้อยทั้งตัวผู้และตัวเมียจะเปล่งแสงได้ 
          หิ่งห้อยมักชอบเกาะต้นไม้ริมน้ำ เพราะมันจะวางไข่ตามที่ชื้นแฉะ และตัวอ่อนของมันเป็นหนอน ที่อาศัยในดินในเลน จับส ัตว์เล็ก ๆ กินเป็นอาหาร เมื่อหนอนโตเต็มที่ ก็จะกลายเป็นดักแด้ ต่อมาดักแด้ฟักเป็นแมลงปีกแข็ง
          บางครั้ง จะมีแสงที่ปรากฏในที่มืด และมักจะทำให้คนหวาดกลัว เช่นแสงวูบวาบตามพื้นดิน ที่สกปรกชื้นแฉะ ซึ่งคนไทยเ ชื่อกันว่าเป็นผีกระสือที่ออกหากินสิ่งสกปรก ในเวลาค่ำ ความจริงแล้วแสงที่เห็น เป็นแสงที่เปล่งออกมา จากจุลินทรีย์บางชนิด ซึ่งเรืองแสงได้ 
          จุลินทรีย์เหล่านี้ เจริญอยู่ในที่สกปรก ตามซากของสิ่งมีชีวิตแต่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เนื่องจากจุลินทรีย์มีขนาดเล็ก จึงทำให้เข้าใจว่า ซากของสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งสกปรกเหล่านั้นเรืองแสงได้ 
          นอกจากเรื่องหิ่งห้อย และจุลินทรีย์ ที่พบบนบกเสมอแล้วในทะเลก็มีสัตว์หลายชนิด ที่เรืองแสงสีต่าง ๆ กัน สัตว์เหล่านี้มีหลาย ขนาด ตั้งแต่สัตว์ที่มีขนาดเล็ก จนไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ขึ้นมาจนถึงสัตว์ขนาดใหญ่ เช่นปลา (*สารานุกรมสำหรับเยาวชนไทย เล่มที่ 4)
          หิ่งห้อยเป็นสัตว์ที่มีเสน่ห์ น่ารัก เราเคยจับตัวหิ่งห้อย มาวางไว้แล้วมองดูเวลาที่มันเรืองแสง ปิดไฟให้มืด ช่วงตัวของมันจะมีแสง ส่องประกายวูบวาบ มองแล้วเหมือนกับแสงจันทร์ หากสามารถจับแสงจันทร์มารวมไว้เป็นก้อนเล็ก ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับตัวหิ่งห้อยส่องแสง แสงนวลอ่อน ๆ มองแล้วสบายตา 
         เดินดูรอบ ๆ บ้านซักพักเราก็กลับเข้าบ้าน นั่งเล่นเน็ตได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เข้านอน อากาศวันนี้เรานอนได้โดยไม่ต้องเปิดแอร์  นอนฟังเสียงฝนได้ซักพักเราก็หลับ เปิดหน้าต่างแง้มไว้หน่อยหนึ่งพอให้อากาศผ่านเข้าออก ก็เป็นอีกวันที่เราได้หลับเต็มอิ่ม
         เป็นชีวิตของคนโสดที่ไม่เคยออกนอกบ้านไปเที่ยวไหน ๆ ในเวลาวิกาล ตกค่ำก็นอนเช้าขึ้นมาก็เตรียมตัวสำหรับต่อสู้กับงาน เป็นอย่างนี้เรื่อยมา และคงเป็นแบบนี้ต่อไปจนกว่าชีวิตจะสิ้น บางครั้งที่เหงา ๆ ก็หาอะไรทำให้คลายเหงา อ่านหนังสือบ้าง หาต้นไม้ที่ชอบมาปลูกบ้าง ฟังเพลงบ้าง ทำอาหารทานเองบ้าง สิ่งเหล่านี้วนเวียนในชีวิตประจำวันของเราเสมอ การไปวัดก็เป็นอีกทางหนึ่งที่เรานำมาเป็นบรรทัดฐานของชีวิตเรา 
          จิตใจคนเราควรได้รับการทำความสะอาด วันหนึ่ง ๆ เรารับเรื่องต่าง ๆ เข้ามาเก็บไว้มากมาย จนบางครั้งเราเครียดโดยที่ตัวเราเองหาสาเหตุไม่ได้ การทำความสะอาดจิตใจก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องใส่ใจ
          การปฏิบัติธรรมเป็นแนวทางหนึ่ง ที่เราใช้ทำความสะอาดจิตใจ การเดินจงกลม การทำสมาธิ จะช่วยชำระล้างสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้หมดไปแม้จะได้เป็นบางส่วนก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย หากเราจิตใจดี ความคิดของเราจะดีไปด้วย ในขณะเดียวกันถ้าความคิดเราดี มองโลกในแง่บวก นั่นก็เป็นผลมาจากจิตใจที่ดีของเรา
          เคยรับปากไว้ว่าจะเล่าเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมให้ทราบ วันนี้พอมีเวลาจึ่งใคร่นำเสนอการเจริญสติ เป็นวิธีที่เราสามารถนำไปปฏิบัติได้เลย ตรงนี้ได้ตัดตอนมาจากหนังสือของหลวงพ่อที่เราเคยได้สัมผัสมาเล่าสู่กันฟัง 

วิธีเจริญสติโดยการเคลื่อนไหว
          1.การนั่ง
      วีธีเจริญสติในอิริยาบทนั่ง
          การนั่งเราจะนั่งพับเพียบ นั่งเหยียดขา นั่งขัดสมาธิ นั่งเก้าอี้ห้อยเท้าก็ได้ ให้เราเลือกนั่งในท่าที่เราถนัดเสร็จแล้ว เริ่มด้วย
 

	@เอามือวางไว้ที่ขาทั้งสองข้าง >>> คว่ำไว้
	@พลิกมือขวาตะแคงขึ้น  >>>  ทำช้า ๆ ให้รู้สึก
	@ยกมือขวาขึ้นครึ่งตัว >>>ให้รู้สึก มันหยุดก็ให้รู้สึก
	@เอามือขวามาสะดือ >>>ให้รู้สึก
	@ยกมือซ้ายตะแคงขึ้น >>>ให้รู้สึก
	@ยกมือซ้ายขึ้นครึ่งตัว >>> ให้มีความรู้สึก
	@ยกมือซ้ายมาที่สะดือ >>>ให้รู้สึก
	@เอามือซ้ายมาที่สะดือ >>> ให้รู้สึก
	@เลื่อนมือขวามาที่หน้าอก >>>ให้รู้สึก
	@เอามือขวาออกตรงข้าง >>> ให้รู้สึก
	@ลดมือขวาลงที่ขาขวา ตะแคงไว้ >>> ให้รู้สึก
	@คว่ำมือขวาลงที่ขาขวา >>> ให้รู้สึก
	@เลื่อนมือซ้ายขึ้นที่หน้าอก >>> ให้มีความรู้สึก
	@เอามือซ้ายออกมาตรงข้าง  >>> ให้มีความรู้สึก
	@ลดมือซ้ายลงมาที่ขาซ้าย ตะแคงไว้ >>> ให้มีความรู้สึก
	@คว่ำมือซ้ายลงที่ขาซ้าย >>> ให้รู้สึก
	@ทำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดชงัก

          เป็นวิธีเจริญกรรมฐาน กรรมคือการกระทำ ฐานคือที่ตั้ง กรรมฐานคือที่ตั้งของการกระทำหรือที่ตั้งของจิตของใจ ใคร่ขออธิบายของการทำความรู้สึกตรงนี้ไว้ดังนี้
          ไหวขึ้นมาก็รู้สึก มันกะพริบตาก็ให้รู้สึกว่ากะพริบตา มันหายใจก็ให้รู้สึกว่าเราหายใจ กลืนน้ำลายก็ให้รู้สึกว่าเรากลืนน้ำลาย ให้รู้ว่ามันเคลื่อนไหวจะโดยวิธีใดก็ให้มันรู้สึก วันแรกเราจะรู้สึกน้อย ๆ ก่อน ไม่ใช่ว่ามันจะรู้สึกขึ้นมาพรึบเดียวเลย ต่อไปความชำนาญก็จะเกิด ความเร็วของสติ ความเร็วของสมาธิ ความเร็วของปัญญามันจึงจะพร้อมกัน (หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ.  พลิกโลกเหนือความคิด.  กลุ่มปฏิบัติเทียนสว่างธรรม.  พิมพ์ครั้งที่ 5 ; 2529)
          คราวหน้าจะมาต่อวิธีการเจริญสติในอิริยาบทยืน แล้วตามด้วยการเดิน นะคะ

				
20 พฤษภาคม 2547 06:55 น.

ปฏิบัติธรรม 6 เก็บอารมณ์

sun strom


        มาถึงโค้งสุดท้ายของการปฏิบัติแล้วนะคะ กว่าจะลงมือเขียนตรงนี้ได้ ต้องทำสมาธิอยู่นาน ผ่านมาได้เป็นอาทิตย์ ตัวรู้(ในภาษาธรรมท่านบอกว่า คือพุทธ) ก็ไม่ยอมเกิด ก็เราห่างเหินการปฏิบัติมานาน ปล่อยให้สิ่งแวดล้อมมันกลืนกินไปหมด กว่าจะเข้าสมาธิได้แต่ละครั้งก็นาน
         วันสุดท้ายสิ่งที่ทุกคนทำเหมือนกันเพื่อทดสอบอารมณ์คือ เก็บตัวเอง นั่งสมาธิ เดินจงกลม ทั้งวัน เวลาทานข้าวจะมีคนยกมาให้ถึงที่ วันนี้ไม่ได้เดินและนั่งอยู่ที่เดิมแล้วนะคะ ทุกคนจะย้ายเข้ากุฎิ ไม่มีใครข้องแวะกับใคร 
        หลวงพ่อท่านอบรมก่อนการเก็บอารมณ์ว่า ให้ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ อย่าหย่อน และอย่าตึงเกินไป และในความพอดีให้ปล่อยวาง อย่าไปคิดว่า ตอนนี้เรามาถึงตรงไหน ติดอะไรบ้าง อย่ายึดติดอะไรทั้งปวง ท่านเล่าเรื่องให้ฟังดังนี้นะคะ
      ลองเอาเชือกมาผูกไว้  2 ต้น หรือ 2 เสา หรือ 2 หลัก ดึงปลายทั้งสองข้างให้ตึง คือดึงให้มันตึงอย่างแรงเสร็จแล้วผูกไว้ลองเอามีดมาตัดตรงกลางดู พอมันขาด มันก็จะกระเด็นหรือมันหดเข้าไปถึงเสาหรือหลักนั้น อีกเส้นก็หดเข้าไปถึงเสาหรือหลักนี้ มันไม่สามารถต่อกันได้ จึงไม่ต้องไปและไม่ต้องมา ตรงนี้เราเข้าใจว่า เปรียบเหมือนอารมณ์คนเราเวลาตั้งใจมากไปพอเกิดผิดหวังไม่ได้อย่างที่ตั้งใจแล้วจะเสียใจ บางคนจะถึงกับท้อแท้ไปเลย ในภาษาธรรมท่านบอกว่า เป็นคนหมดเชื้อ หมายถึงที่เราปฏิบัติมาทั้งหมด มันกลับไปเริ่มที่เก่า
       ตลอดทั้งวันที่เราปฏิบัติ เราก็ยังติดปีติ เหมือนเดิม ตรงนี้เราอธิบายได้ว่า เราติดสุข พอใจที่จะสุข ไม่อยากหลุดพ้นจากตรงนี้ เพราะทุกอย่างที่วิ่งเข้าหาเราในขั้นตอนนี้ เป็นสีชมพูทั้งหมด ไม่ง่วง ไม่เหนื่อย ไม่ปวดขา ไม่ปวดหลัง ในใจเราต้องการที่จะปฏิบติแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ภาพที่ปรากฎทางมโนธรรมคือ มันเหมือนเราเดินไปเจอทุ่งหญ้าเขียวขจี มีผีเสื้อหลากหลายชนิด มีกลิ่นหอมของดอกไม้ มีอากาศบริสุทธิ์ ให้เราได้สัมผัส เราวนเวียนอยู่ตรงนี้ อยู่กับภาพเหล่านี้ตลอดทั้งวันบางครั้งภาพทีซ้อนขึ้นมามันเหมือนกับเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ เรามองเห็นตัวเราแต่งชุดขาวสวยมาก เดินในทุ่งโล่ง ๆ อากาศเย็นสบาย สายลมและแสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องต้องตัวเรา เรามีความสุขมาก บางภาพเป็นเหมือนเรานั่งอยู่บนก้อนเมฆ แล้วก้อนเมฆพาล่องลอยไปในที่ต่าง ๆ เราสุข ไม่อยากหนีไปไหน 
      ตกเย็นทุกคนเดินเข้าห้องอบรม วันนี้หลังจากที่ทำวัตรเย็นเสร็จเราก็จะได้กลับบ้าน เราได้กลิ่นหอมของป๊ามาตั้งแต่ไกล เราได้กลิ่นน้ำหอมที่มามี้เราเคยใช้ ยังไม่เจอตัวท่านก็ทราบว่าท่านมารอรับ การรับกลิ่นเหล่านี้เรารู้สึกได้ตั้งแต่วันที่ 5 ของการปฏิบัติ ทุกเย็นเราจะรับรู้ถึงกลิ่นต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทางจมูก เรารับรู้ถึงความละเอียดของการได้กลิ่นนั้น แม้อยู่ห่าง ๆ เราก็ยังรับทราบ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเราในช่วงที่เราปฏิบัติธรรม
      หลวงพ่อท่านถามที่ละคน โดยท่านให้เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่อยู่ในช่วงเก็บอารมณ์ ท่านสรุปให้เราทราบว่า อารมณ์เราสงบเหมือนอยู่ในถ้ำ เพราะยังติดกิเลส ติดสุข ไม่สามารถปล่อยวางจากสิ่งที่เป็นสุขไปได้ ในกรณีของเราท่านยังขยายความต่อไปว่า บางคนที่เป็นอย่างเรา เขาจะมองเห็นตัวเลข และตรงนี้แหละที่เกิดการบอกเลขใบ้หวย สิ่งที่มาปรากฎให้เราเห็น ในภาษาธรรมเขาเรียกนิมิต 
      ก่อนกลับบ้านท่านบอกเราว่า เราเป็นคนมีจิตใจที่เอื้อต่อการทำดี หากเราสามารถละ วาง สิ่งที่เป็นสุขต่าง ๆ ได้ เราจะเห็นธรรม หลวงพ่อท่านบอกเราว่า เราอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก บุญบารมีก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ติดตัวเรามา ขอให้ขยันปฏิบัติธรรม อย่าละทิ้งเสียทีเดียว เราไม่ได้รับคำท่านทันทีหรอกนะ แต่ในใจเราคิดว่า หากเป็นสิ่งดี เราจะปฏิบัติไปเรื่อย ๆ 
     จากที่เคยทุกข์ จากที่เคยปิดกั้นตัวเอง มาถึงจุดนี้เราไม่มีสิ่งนั้นหลงเหลืออยู่ เรากลายเป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าใจทุกคนรอบข้าง จากที่เคยแว้ด ๆ ใส่คนนั้นคนนี้เวลาที่เราไม่ได้ดั่งใจ เราก็กลับกลายเป็นคนที่คอยเอาอกเอาใจคนอื่นรอบข้าง จากที่เคยวิ่ง เดิน ลงส้นเท้า เรากลับเป็นคนที่เดินเบาขึ้น พูดเบา นิ่ม กริยาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้ปัจจุบันเราจะไม่ค่อยได้ปฏิบัติมากนัก ก็ยังเก็บอาการเหล่านี้ไว้กับตัวเองเสมอ
     ใคร่ขอจบการปฏิบัติรรมไว้ตรงนี้นะคะ ต่อไปคงเป็นการเขียนเล่าเรื่องเกร็ดเล้ก ๆ น้อย ๆ ของการปฏิบัติธรรม จะเน้นในเห็นเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดกับบุคคลรอบข้างที่เข้าร่วมปฏิบัติด้วยกันค่ะ
     				
11 พฤษภาคม 2547 11:47 น.

ปฏิบัติธรรม 5

sun strom


       ปีติ คืออาการที่เกิดขึ้นกับจิตใจของแต่ละคน ท่านเคยนั่งยิ้มคนเดียวหรือเปล่า  เคยคิดเคยฝันถึงสิ่งที่ดีดี ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองบ้างไหม หากเคยก็ใคร่เรียนบอกว่า นั่นคือ ปีติ คือความสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจ สำหรับเราแล้ว เราเกิดความรุ้สึกสุขเพราะเราได้ปฏิบัติธรรม การได้นั่ง เดิน ซึ่งเป็นการเจริญสติให้ตัวเองรู้สึกตัว
       การติดปิติของเรา เท่าที่เกิดกับเราก็คือ การติดสุขแบบที่กล่าวมาแล้ว ไม่สามารถก้าวพ้นไปได้ วางไม่ได้ เพราะสุข เดินก็สุข นั่งก็สุข  คือทุกอย่างในตอนนั้น มองแล้ว คิดแล้ว ไม่มีทุกข์มาให้เห็น แต่ตรงนี้หลวงพ่อท่านเคยอธิบายไว้ว่า เราไม่ต้องไปยึดติด เพราะหากเรายึดติดเราจะเกิดทุกข์ จริง ๆ แล้วเรายังหาสาเหตุตรงนี้ไม่ได้ต่างหาก ก็ในเมื่อเราสุข มันจะเกิดทุกข์อย่างไร แต่ท่านก็กล่าวว่า ทุกข์เพราะเราสุข จึงหนีไปไหนไม่พ้น 
       รวมแล้วเป็นเราไม่รู้จักวาง ไม่ปล่อยวางความคิด ทุกข์แต่ไม่ทราบสาเหตุแห่งทุกข์นั้นเราจึงก้าวไปไม่ถึงไหน แต่อย่างไรแล้วสิ่งที่เกิดกับเรานับว่าเป็นผลดีต่อเรา เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็ผ่านการรู้สึกตัวมาได้ในระดับหนึ่งแม้จะไม่เป็นเหมือนสวิชตัดไฟก็ตาม(เรื่องสวิชตัดไฟจะเล่าให้ฟังอีกครั้งนะคะ ให้ถือว่าเป็นเกร็ดเล็ก ๆ ของการปฏิบัติธรรมค่ะ)
       วันที่ 6 ของการปฏิบัติ กิจที่เราทำก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง  เรายังนั่ง เดิน เพื่อเจริญสมาธิอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุด แม้จะไม่ก้าวไปไหน เราพยายามจะไม่ยึดติด เราพยายามจะไม่คิด อยากจะปล่อยวาง  แต่ตามมันไม่ทันซักที บอกว่าจะไม่คิด นั่นหมายถึงเราคิดไปแล้ว อืมม มันลำบากนะคะสำหรับการที่จะทำให้ตัวเราเองมีสติตลอดเวลา  
       หากเมื่อถึงที่สุดของการปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะเกิดความสงบนั่นหมายถึงการเข้าถึงนิพพาน นี่เป็นคำหลวงพ่อท่านสอน ท่านอธิบายถึงความสงบไว้ดังนี้นะคะ
สงบมี 2 ชนิด หนึ่งคือ สงบเหมือนเข้าไปอยู่ในถ้ำ  สองคือ สงบเหมือนออกมานอกถ้ำ
       สงบเหมือนเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นหมายถึงว่า เราเข้าไปอยู่ในถ้า อยู่ในความมืด พอเราจุดไป ความมืดก็จะหายไปความสว่างก็จะเข้ามาแทนที่ แต่พอเราดับไฟ มันก็จะมืดเหมือนเดิม แม้เราจะจุดไฟให้สว่างเราก็ยังไม่สามารถมองเห็นผนังถ้ำได้ทั้งหมด และเราเองก็ยังอยู่ในถ้ำอยู่ดี เราจึงเรียกความสงบแบบนี้ว่า สงบอยู่ภายใต้โมหะ  หรือสงบแบบไม่รู้ หรืออย่างไม่รู้นั่นเอง การที่บางคนเข้าไปนั่งให้จิตใจสงบแล้วเข้าใจตัวเองว่าได้เจริญวิปัสสนา อย่างนี้ก็จริง แต่เป็นจริงชนิดที่อยู่ภายในถ้ำ
       สงบเหมือนอยู่นอกถ้ำ ก็เหมือนกับที่เราออกไปอยู่นอกถ้ำแล้วมันไม่มืด และเราก็ไม่ต้องจุดไฟ แล้วยังสามารถมองเห็นและรู้ว่ารูปร่างสัณฐานของถ้ำเป็นอย่างไร เปรียบได้กับความสงบที่ปราศจากความหลงผิด นั่นหมายถึง สงบจากกิเลส ไม่มีโทสะ โมหะ โลภะ  การสงบแบบนี้เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สงบแบบรู้ นั่นคือ รู้แจ้งเห็นจริง รู้ตามความเป็นจริง รู้แล้วก็สงบ
       เราได้หยิบยกคำหลวงพ่อท่านสอน มาให้อ่าน เพื่อเกิดประโยชน์ต่อท่านบ้าง เราเองแม้จะเข้าร่วมการปฏิบัติธรรม เราก็ไม่ได้เอ่ยอ้างว่า เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริง เรารู้เท่าที่การเจริญสมาธิของเราจะทำได้ เราอาจะไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในถ้ำ และเราเองก็อาจจะไม่ใช่คนที่อยู่นอกถ้ำ แต่เราก็สามารถมองเห็นบางเสี้ยวของถ้ำ จากที่ใดที่หนึ่งที่เรายืนอยู่ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวนิดเดียวเราก็ภูมิใจที่สามารถมองเห็นในส่วนนั้นได้
       ครั้งหน้าจะเข้าสู่วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมแล้วนะคะ วันสุดท้ายจะเป็นการเก็บอารมณ์ เป็นการทดสอบเราว่า เราสงบได้แบบไหน เป็นสงบแบบนอกถ้ำหรือว่าสงบภายในถ้ำ คอยติดตามนะคะ
				
10 พฤษภาคม 2547 05:33 น.

กิจกรรม... สำหรับวันว่าง

sun strom


          เช้าวันเสาร์ป๊าไปรับที่ที่สถานีรถปรับอากาศเวลาตีห้า หลังจากนั้น 15 นาที ก็ขับรถถึงบ้าน นอนต่ออีก 1 ชั่วโมง ก็ตอนเช้าวันนี้มีฝนโปรยมาจากฟ้าให้อากาศมันดีขึ้นนี่นา ตื่นอีกที 6 โมงกว่านิดหน่อย ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง แหงนหน้ามองฟ้า อืมม...เรากลับหวนคิดถึงบ้านที่เราจากมา....
          ที่บ้านเรานั้นยามเช้าเรามักจะตื่นตั้งแต่เช้า และชอบที่จะเดินเล่นภายในบริเวณบ้านที่มีต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่เกือบ 10 ต้น ปลูกเรียงรายกันเป็นระยะ เราชอบดูกระแตตัวน้อย ๆ วิ่งเล่นกัน ชอบดูนกหลากหลายชนิดที่คอยบินมาเกาะที่กิ่งไม้ให้เราได้ชื่นชม ชอบฟังเสียงจักจั่นที่ดังจนแสบแก้วหูเพราะมันเยอะมาก หากเราเดินผ่านใต้ต้นไม้ ก็เหมือนกับมีละอองฝนเล็ก ๆ หล่นมากระทบตัวเรา แรก ๆ เราไม่ทราบหรอกน๊ะว่ามันเป็นอะไร ป๊าบอกว่า นั่นคือฉี่ของตัวจักจั่น
          บรรยากาศแบบนี้หาไม่ได้ที่บ้านในเมืองนนท์  กว่าเราจะทำความสะอาดร่างกาย แต่งตัวเรียบร้อยก็เกือบ ๆ เจ็ดโมงเช้า รับประทานอาหารเช้าเสร็จก็กลับขึ้นไปบนห้อง เพราะระหว่างที่ทานอาหารกันนั้น ป๊าบอกว่า วันนี้เราไม่ต้องไปเป็นเพื่อนป๊า เพราะป๊าจะไปกันเองกับแม่เล็ก 2 คน เราก็เลยมีเวลาเป็นของตัวเอง ดีใจจัง เราจะไปไหนดีน๊ะ..........
          มีโอกาสแบบนี้น่าจะออกไปทานข้าวกลางวันนอกบ้านซักหน่อย ส่งข้อความหาใครคนหนึ่ง บอกเค้าว่า วันนี้เราอยู่นนท์น๊ะ บอกไปแค่นี้ เพียงเพื่อคอยการเรียกกลับ แต่สุดท้ายก็หาย ไม่มีอะไรผ่านเข้ามาทางโทรศัพท์ ตัดใจ เค้าคงไม่ว่าง ไม่เป็นไรเราคงมีโอกาสพบเค้าซักวัน หันหน้าเข้าหาตู้หนังสือ รื้อหนังสือต่าง ๆ ออกมาอ่าน ทั้งอ่านทั้งแยกหมวดหมู่ และจัดเก็บเข้าที่ใหม่ กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเที่ยง  ลงมาข้างล่างทำบะหมี่ทาน ยังอีกตั้งครึ่งวันเราจะทำอะไรดีหละ
          กดโทรศัพท์อีกครั้ง หาปะป๊า ทราบว่าตอนนี้ท่านกำลังนั่งทานอาหารกลางวันที่ร้านธิดาวรรณเพชรบุรีก็เบาใจ อีกซักพักท่านคงแวะไปที่สถานีควบคุมการส่งสัญญาณผ่านเคเบิลใต้น้ำที่ ชลี 1 หาดเจ้าสำราญ เพื่อพูดคุยกับเพื่อน ๆ ของท่าน ป๊าบอกว่าหากแม้เราไปเที่ยวถ้ามีโอกาสแวะไปดูคนทำงานที่เค้าต้องเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่างน้อย ๆ ก็เพื่อเป็นกำลังใจให้กับบุคคลเหล่านั้น เราไม่ได้มาตรวจงาน แต่เรามาในฐานะเพื่อนของเค้า ป๊าเป็นคนมีน้ำใจสำหรับเพื่อนเสมอ
          ยามบ่าย ๆ เราลงมาข้างล่างต่อเน็ต เข้าไปคุยกับเพื่อน ๆ ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ต้องออฟไลน์ เพราะไม่สนุก ในใจเรากังวลจัง แต่ว่า...เป็นเรื่องอะไรหละ อยากจะโทรหาเค้าน๊ะ แต่เราไม่กล้า เพราะเราเคยสัญญากับเค้าไว้แล้วว่า เราจะไม่รบกวนเค้าในเวลาที่เค้าต้องใช้เวลาเหล่านั้นกับครอบครัวของเค้า อีกอย่างเราเป็นผู้หญิง ดูไม่เหมาะหากจะทำอะไรแบบนั้น ลงไปเดินเล่นหน้าบ้านได้แป๊บเราก็ต้องกลับเข้าห้องอีกครั้ง เปิดทีวีดู เลือกช่อง HBO เนื่องจากมีภาพยนตร์ให้เราได้ดูตลอด ดูหนังยังไม่จบเรื่องเราก็เบื่ออีกแล้ว กังวล.....
          ซิน๊ะเราต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อให้ความกังวลหายไป เข้าห้องพระทำสมาธิซักหน่อยดีกว่า ตั้งนโมสามจบเสร็จแล้ว ก็อธิฐานขอพรจากหลวงพ่อ ลงมือนั่งสมาธิ  2 ชั่วโมงผ่านไป เราดีขึ้นมาก ไม่กังวลอีกแล้ว เนี่ยเป็นเพราะเราหวังมากเกินไป อะไรบ้างหละที่เป็นของเรา ไม่มีซักอย่าง หวังอะไรหละ สิ่งที่เป็นไม่ได้ตัดทิ้งเสียน๊ะ ชำเลืองมองนาฬิกาข้างผนัง 16.30 น. เราผ่านครึ่งวันบ่ายมาได้ ประเดี๋ยวไปตลาดซักหน่อย ซื้อขอมาตั้งโต๊ะสำหรับมื้อเย็นรอป๊ากับแม่เล็ก
          ใคร่ขอแทรกเรื่องนี้คั่นเรื่องปฏิบัติธรรม 5 ที่กำลังจะตามมา เนื่องด้วยในการที่จะสื่อให้เห็นปีตินั้น มันค่อนข้างละเอียด จริง ๆ แล้วเรื่องปฏิบัติธรรมตอนที่ 5 นั้นเราเขียนไว้ใกล้จะจบแล้ว แต่เราลืมแผ่นดิสไว้ที่นนท์เลยไม่มีโอกาสจะลงให้อ่าน คงต้องเรียบเรียงใหม่อีกครั้งซิน๊ะ
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงsun strom