19 ธันวาคม 2547 22:14 น.
starringsound
ตอนเลือกหนังสือนิทาน ก็เห็นเด็ก ๆ ผู้หญิงผู้ชายอยู่
3-4 คนกำลังดูหนังสือนิทานกันอยู่อย่างตั้งใจและอยากรู้อยากเห็นมาก
เห็นเด็ก ๆแล้วยังแอบยิ้มเลยว่า เด็ก ๆ เนี่ย ดูใสมาก ๆ ไร้เดียงสา
มีชีวิตชีวา
พอเลือก ๆ ไปสักพักนึง ก็ได้เล่มที่ถูกใจมาเล่มสองเล่ม
พอเลือก ๆ เล่มที่ 3 ก็นั่งยอง ๆ อ่าน
พอดีกับที่มีเด็กผู้ชายคนนึงกำลังนั่งดูหนังสืออยู่เหมือนกัน
ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรเค้ามาก จนมีเสียงพึมพำออกมากับว่า
ตัวนี้ สไปเดอร์แมน ตัวนี้....
เลยหันไปหาเค้า แล้วเค้าก็หันมามองพอดี
เค้าเลยชี้ให้ดูสไปเดอร์แมนที่เค้าดูอยู่
ก็ดูกับเค้าอยู่สักพักนึง แล้วก็เลือก ๆ ของตัวเองต่อจนหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาเรื่องปีศาจขยะ
แล้วตอนที่นั่งยอง ๆ อ่านหนังสือเล่มนี้ เด็กผู้ชายคนนี้ ก็หันมา แล้วบอกว่า เล่มนี้เคยอ่านแล้วครับ
เลยถามว่า แล้วเรื่องนี้เป็นยังงัย ทีนี้เค้าก็หันมาหาเต็มตัวเลย
แล้วเล่าให้ฟังว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับปีศาจขยะ ถ้าทิ้งขยะไม่ถูกที่ ก็จะเป็นแบบรูปนี้
เราต้องเลือกอีกทางนึง ก็คือทิ้งขยะให้เป็นที่ครับ
เลยถามเค้าว่า แล้วหนูทำแบบไหนคะ
เค้าก็บอกว่า ทิ้งขยะเป็นที่ครับ
ด้วยความสดความใสของเค้านี่แหละ ทำให้เรายิ้มออกมาได้ เค้าก็ไม่ใช่เป็นเด็กน่ารักอะไรมาก
ขาว ๆ ท้วม ๆ หน่อย แก้มป่อง ๆ แล้วก็คงเพราะเราหลงเสน่ห์
คนพูดเพราะด้วยแหละ
เค้าเลยดูน่ารักมากในสายตาเรา เห็นแล้วรู้สึกว่า
ถ้าจะต้องทำอะไรเพื่อให้เด็กอ่าน
หรือมีโอกาสทำอะไรให้เค้า จะทำให้ดีที่สุดเลย
เพราะด้วยความไร้เดียงสาและความเป็นเด็ก เป็นสิ่งที่ควรทะนุถนอมไว้ให้ดี
ที่จริงก็นึกชมคุณแม่เค้าด้วย เพราะยืนอ่านหนังสือเล่มอื่นรอลูกชายอย่างอดทน ไม่บ่นเลย คุณแม่เค้าก็เรียนกนะว่า ไปหรือยังครับ
ลูกชายก็ยังนั่งอ่านหนังสือต่อไป
เราก็เลือกได้ 4 เล่มแล้วก็จ่ายตังค์ เดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกที่ดี ๆ
ดีแบบบอกไม่ถูกก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไม
17 ธันวาคม 2547 23:15 น.
starringsound
....ฉันเคยถามตัวเองหลายครั้งว่า เพราะอะไรมันถึงเป็นแบบนี้ แล้วคำตอบเดิม ๆ ที่นึกออก ก็คงไม่พ้นว่า...
....เพราะเราอยากให้เค้าเชื่อว่าเราเป็นคนดี....อยากให้เค้าประทับใจเรา .....อยากให้เค้าไปพูดต่อถึงเราในทางที่ดี.....คงอยากให้เค้า...อีกหลายร้อยอย่าง แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเหตุผลไหน สิ่งที่มันใช่จริง ๆ คงไม่พ้นเรื่องภาพ หรอก
....คนทุกคน มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่า เค้าหันด้านไหนหาเรา และหันด้านไหนคนอื่น ถ้าเค้าหันด้านไม่ดีหาเรา สิ่งที่เราทำได้มีอยู่ 2 ทางคือ พยายามเข้าใจและรับด้านไม่ดีของเค้าให้ได้ในที่สุด หรือไม่ต้องเข้าใจ ไม่ต้องพยายามอะไร แต่ก็ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันมากนัก ลองคิดดู ถ้าเราเลือกทางแรก เราต้องยอมปรับความคิดของตัวเอง ยอมพยายามที่จะปรับตัวเข้าหาเค้า แล้วก็ยอมเสียเวลา ถ้าในที่สุด เราจะรับเค้าไม่ได้จริง ๆ
....ลองถามตัวเองดูสิ ว่า ถ้าเราเลือกทางนี้ แล้วต้องทำอะไรมากมายขนาดนี้ เราจะเลือกหรือเปล่ามันก็คงเหมือน ๆ กับที่คนอื่นถามตัวเองคำถามนี้เหมือนกัน นี่แหละ มันถึงออกมาเป็นแบบนี้ เป็นสังคมแบบที่ทุกคนต้อง สร้างภาพ ของตัวเองให้ดูดีกว่าที่เป็นเสมอ เพราะเราไม่รู้หรอกว่า ถ้าเราทำและเป็นอย่างที่เราเป็นจริง ๆ ด้านที่เราหาหันคนอื่น มันจะเป็นด้านที่คนอื่นรับได้มากแค่ไหน ถ้ารับได้ก็คงดีไป แต่ถ้าไม่ได้หละ มีแต่เสียกับเสีย เราคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะเป็นทางไหน เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคน ๆ นั้น เค้ายอมใช้เวลากับเราหรือเป่า คนส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยกล้าที่จะเสี่ยงเป็นตัวเองที่ดีและไม่ดี ให้คนที่เพิ่งรู้จักเห็น แต่เค้าจะเป็นเฉพาะตัวเองในแบบที่ดีหรือ อาจเป็นตัวเองในแบบที่พยายามสร้างให้คนอื่นเชื่อ
.
แล้ว....คนใกล้ตัวเราหละ คนที่เห็นตัวตนเราที่แท้จริง คนที่รับเราได้แล้ว คนที่อยู่เป็นเพื่อนเรา เดินกับเรา กินข้าวกับเรา ทำงานร่วมกับเรา ดูแลเรา คอยห่วงใยเรา คอยให้คำปรึกษา เป็นbackup ให้เราเสมอ เราไม่ควรจะทำให้เค้ารู้สึกดีกับเรามากกว่าเหรอ มันคงไม่ใช่เพราะบุญคุณอะไรหรอก แต่มันเป็นสิ่งดี ๆ ที่ควรมีให้กัน จริงอยู่ ที่หันมาทีไร เราก็เห็นเค้าคนนี้เสมอ เรามีเค้าตลอด เพราะความดีและความใส่ใจของเค้า มันกลายเป็นทำให้เค้ากลายเป็น ของตาย ของเราไปได้ ทั้งที่เค้าอาจเป็นคนที่รักเราจริงมากที่สุดก็ได้
....การที่เราไม่ต้องใส่หน้ากากเวลาที่อยู่กับเค้า มันคือการที่เค้ายอมรับตัวตนที่แท้จริงของเราได้ เค้าเห็นภาพเราแบบที่เป็นเรา ไม่ใช่ภาพที่เราอยากให้เค้าเห็นว่าเราเป็น เค้าใช้ใจเติมเต็มสิ่งที่ดีให้เรา แต่เรากลับใช้ใจเราทำร้ายเค้าด้วยการมองข้ามเค้าไป....
ลองนึกดูสิว่า ถ้าเราเป็นเค้า เราจะยังเป็นเหมือนเค้าที่ยังอยู่เป็นของตายเพื่อเราได้หรือเปล่า
ลองนึกดูสิว่า ถ้าวันนึงที่เราหันไปแล้วไม่เห็นเค้าแล้ว คนที่เราเพิ่งรู้จักคนใหม่เค้าจะแทนคน ๆ นั้นของเราเหรอ
อย่าปล่อยให้อะไรมันสายเกินไป แล้วเรามานั่งเสียใจทีหลัง หรือตีโพยตีพายว่าเค้าไม่ให้โอกาสเราเลย
เพราะตลอดเวลาที่เค้าอยู่ ณ ตรงนั้น เค้ามีโอกาสให้เราเสมอ
แต่เราก็ผลักมันออกไปแล้วเลือกที่จะวิ่งตามคนอื่น
17 ธันวาคม 2547 23:10 น.
starringsound
...ฉันเคยถามตัวเองหลายครั้งว่า เพราะอะไรมันถึงเป็นแบบนี้ แล้วคำตอบ
5 ธันวาคม 2547 15:59 น.
starringsound
Dad : Im so tired. I wanna go home.
Mom : Dear, if you love me, can you wait for me for a little while??
Dad : I love you but Ive been here for many hours. Im so hungry.
Mom : Sit down!! Well go home soonn. I m almost done with my shopping!!
2 Hours later,
Dad : I go home now. If you wanna go on your shopping, just go home by taxi, ok?
Mom answers angrily
Mom : You know if Im done, what I have to do later???
: I have to cook your dinner and wash dishes after you eat.
: Is it my fault that I just want you to wait for me is a very short period.
Then, Dad says nothing.
This conversation is from Thinking out loud by Pop Areeya Sirisopa. What she wrote in the book was through her own experience and her attitudes towards life, love and society.
....And my most favorite chapter out of 14 is Loves task, where the conversation above between her dad and her mom can be seen at the beginning of the story. She wrote about her own parents when they go shopping together. What she always sees is the picture of her dad with many shopping bags in both hand waiting patiently for her mom who appears inside the shops.
....Actually, it reminds me of the similar picture of guys waiting for their girls at the department stores, including my dad. I cannot be sure of the exact percentage of such guys over the world but Im certain that there must be over 70%. Basically, nobody likes to wait for anything and men never love shopping ; they prefer playing their games, watching TV, listening to the radio, repairing cars, or hanging out with their friends than spending their time waiting so long for their girls
....As for me, I have always been wondering why men choose to be chauffeurs driving their wives or girlfriends to the mall and also porters carrying a lot of shopping bags following their girls.
And what I got is
It s because of Love
When we love someone, we can change ourself as men change to be able to wait for their girls doing shopping just because those guys want their lovers to be happy. And its also their pleasure to spend time sharing activities with their loved ones.
....Moreover, love can change us to be better persons. This is because when we love someone, we ,usually, want to give the best things to make them happy. And if we are still not good enough or do whatever that upsets them, we are not happy either.
We can change just because we wanna be
the best present for our loved ones.
3 ธันวาคม 2547 18:28 น.
starringsound
อาจารย์โธมัสคะ อาจารย์นิยามคำว่า ชีวิต ว่าอะไรคะ
มีเสียงหัวเราะดังขึ้น แล้วคนในห้องก็เริ่มทะยอยเดินออก
โธมัสยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ เค้ามองหน้าฉันพักใหญ่ ๆ แล้วใช้สายตาถามว่าฉันอยากจะรู้คำตอบจริง ๆ เหรอ และเมื่อเค้าเห็นสายตาที่มุ่งมั่นและจริงจังว่า ฉันอยากจะรู้จริง ๆ เค้าก็พูดขึ้นว่า
ผมจะตอบคำถามคุณ
เค้าหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วเปิดหาช่องที่ใส่ธนบัตรทีทำจากหนัง แล้วก็ดึงกระจกกลม ๆ เล็ก ๆ ขนาดเท่าเหรียญควอเตอร์อเมริกา(ใหญ่กว่าเหรียญสิบบาทไทยเล็กน้อย)ออกมา
แล้วเค้าก็เริ่มพูดว่า
ตอนที่ผมยังเด็ก ๆ ช่วงเกิดสงคราม ครอบครัวของผมยากจนมาก เราอยู่ในหมู่บ้านที่ไกลโพ้น มีอยู่วันหนึ่ง ผมก็เจอเศษกระจกที่แตกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อยจากมอเตอร์ไซต์ของทหารเยอรมันกระจายอยู่บนถนน
ผมพยายามที่จะหาชิ้นส่วนทั้งหมดแล้วต่อให้มันเป็นกระจกรถเหมือนเดิม แต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมก็เลยเปลี่ยนใจเก็บส่วนที่ใหญ่ที่สุดไว้แทน ผมถูมันกับก้อนหินจนมันเป็นรูปกลม ๆ มากขึ้น แล้วผมก็เริ่มคิดหาวิธีเล่นกับมัน ในที่สุด ผมก็คิดเกมใหม่ขึ้นได้จากเจ้ากระจกกลม ๆ นี่แหละ ผมมักจะถือมันส่องกับสิ่งของที่ผมมีอยู่หรือเดินผ่าน ผมตื่นเต้นมากเพราะมันสะท้อนแสงออกมาเป็นเงากลม ๆ ทุกที่ที่ผมส่อง แม้ในที่ที่มืดสนิทที่ แสงอาทิตย์ไม่เคยส่องถึง ในรูลึก ๆ รอยร้าว หรือแม้แต่ตู้เสื้อผ้าที่มืดสนิท มันก็สะท้อนแสงออกมา
ผมยังเก็บเศษกระจกกลม ๆ อันนั้นไว้ และเมื่อผมโตขึ้น ผมก็คงเล่นเกมกระจกอยู่เสมอเวลาที่ผมว่าง ๆ หรือไม่มีอะไรทำ แสงที่ส่องออกมาก็ยังเป็นความท้าทายของเกมนี้ ตอนที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่ ผมก็เข้าใจว่า เกมกระจกที่ผมคิดขึ้นมา มันไม่ใช่เป็นแค่เกมเด็ก ๆ แต่เป็นสิ่งที่ชี้นำเส้นทางชีวิตของผม ผมเพิ่งจะเข้าใจว่า ผมไม่ใช่เป็นแสงหรืออะไรที่ให้ความสว่างในแบบที่เป็นแหล่งพลังงาน แต่ผมเป็นแสงแห่งความจริง ความเข้าใจ และความรู้ ที่จะส่องให้ทุกที่ที่ผมไปสว่าง
ผมก็เหมือนเป็นชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งของกระจกบานหนึ่ง ซึ่งผมเองก็บอกไม่ได้ว่าผมเป็นกระจกรูปร่างแบบไหน แต่ที่สำคัญกว่านั้น สิ่งที่ผมมีสิ่งที่ผมเป็นสะท้อนให้เงาและแสงสว่างแก่โลกนี้ได้ แสงจากชีวิตผมอาจสะท้อนเข้าไปในส่วนลึกของใครก็ได้ หรือแม้แต่จะทำให้ใครเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ไม่แน่หรอกนะ บางทีคนอื่น ๆ ก็คิดและกำลังทำเหมือนผมเช่นกัน แล้วแสงสะท้อนจากตัวผมเองนี่แหละคือความหมายของชีวิตในนิยามของผม
Translated by Starringsound