20 สิงหาคม 2547 17:26 น.
Snowflake*
ผมมันคนช่างสังเกตครับ...
เมื่อวานนี้ ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่งทำรองเท้าแตะหายเมื่อเช้านี้ที่ศาลาวัดแถวบ้าน...อันที่จริง ผมว่า เขาไม่ได้ทำรองเท้าหายหรอกครับ ก็ที่ศาลาวัดนี่ ใครๆก็รู้ว่าจะต้องถอดรองเท้าไว้ข้างล่างก่อนที่จะเดินขึ้นไป...ที่รองเท้าของเขาหายไป จึงน่าจะเป็นว่ามีคนหยิบไปมากกว่าครับ...
หยิบไปด้วยสาเหตุอะไรนั้น ผมว่าเป็นไปได้หลายอย่างครับ...
คนที่หยิบไปอาจจะรู้สึกว่ารองเท้าของเขาคล้ายคลึงกับของตัวเองจึงหยิบผิด หรือว่าอาจจะจงใจขโมยรองเท้าของเขาไปเลยก็ได้ หรือว่า สาเหตุที่แปลกกว่านั้นก็เป็นไปได้ อาจจะมีคนขอยืมใส่ไประหว่างที่หารองเท้าของตัวเองไม่เจอแล้วตั้งใจว่าเมื่อพบรองเท้าของตัวเองแล้วจะเอามาคืน...หรือว่า...
นั่นล่ะครับ...เป็นได้หลายสาเหตุ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใด ผมเห็นผู้ชายคนนี้เดินวนกลับมาหารองเท้าแตะของเขาอยู่หลายรอบ โดยมีหลายๆคนที่ท่าทางจะเป็นญาติพี่น้องเดินมาช่วยหาด้วย...ผู้หญิงสองคนที่ท่าทางน่าจะเป็นแม่และน้าหรือป้าของเขา ผู้ชายอายุใกล้เคียงกันที่น่าจะเป็นพี่ชาย น้องชาย หรือลูกพี่ลูกน้องสามคน เด็กผู้ชายที่น่าจะเป็นหลานของเขา ไม่ก็ลูกพี่ลูกน้องหนึ่งคน และผู้หญิงที่อายุใกล้เคียงกันอีกคนที่ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นน้องสาว...หรือไม่ก็ลูกพี่ลูกน้อง
ผมเดาเอาทั้งนั้นล่ะครับ...
และดูเหมือนว่า การที่รองเท้าแตะของเขาหายจะเป็นเรื่องขำนิดๆของทุกคน รวมไปถึงเจ้าตัวเองด้วย...เขาคงคิดอยู่ในใจทำนองว่า "แล้วจะกลับบ้านยังไง(วะ)เนี่ย" ผมเห็นทุกคนเดินไปทานข้าวกัน ผู้ชายคนนั้นลุกออกมาจากโต๊ะพักใหญ่ๆ แล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรองเท้าแตะ...ทุกคนต่างเอ่ยถามเขาคล้ายๆกันว่าไปเจอมาได้ยังไง โชคดีจริงๆ...อืมม ก็เป็นโชคดีของเขาจริงๆนั่นล่ะ ผมว่า ของหายไปแล้วแต่ได้คืนกลับมาอีกครั้ง...โชคดีจริงๆ
ผมคงลืมเรื่องของผู้ชายคนนี้ไปแล้ว หากผมไม่ได้บังเอิญพบเขาอีกครั้งที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าประจำของผมที่อนุสาวรีย์ชัยฯ...
ผมสังเกตเห็นเขาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านกับผู้หญิงคนที่เมื่อเช้าผมเดาเอาว่าเธอน่าจะเป็นน้องสาวหรือลูกพี่ลูกน้องของเขา และก็บังเอิญอีกนั่นล่ะที่ภายในร้านที่แคบแสนแคบร้านนั้น เก้าอี้ข้างๆผมเป็นที่เดียวที่ว่างอยู่ ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน ผู้ชายคนนั้นนั่งฝั่งเดียวกับผม...ทั้งสองคนสั่งก๋วยเตี๋ยว แล้วเริ่มพูดคุยกัน
ผมได้บอกพวกคุณแล้วหรือยังครับ ว่านอกจากผมจะเป็นคนช่างสังเกตแล้ว ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า ผม...เป็นคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านด้วย...บทสนทนาที่เขาทั้งสองคนคุยกัน ที่ผมจะได้กล่าวถึงต่อไปนี้ ทำให้ผมรู้ชัดเจนว่า สิ่งต่างๆไม่ได้เป็นไปอย่างที่ปรากฎแก่สายตาเสมอไป...
"วันนี้เป็นยังไงบ้าง" ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยถาม
"ก็ดีครับ...ดี...ดีมากๆเลยล่ะ แล้วคุณล่ะ เป็นไงบ้าง" เขาถามเธอกลับ
"อืมม...ก็ มีความสุข มากๆ"
.
.
.
จากสรรพนามที่พวกเขาคุยกัน ผมเริ่มรู้แล้วว่าเขาทั้งสองคนคงไม่ได้เป็นญาติกันแน่ๆ เธอคนนั้น อาจจะเป็นเพื่อนของเขา หรือเป็นแฟน...หรือไม่ใช่นะ...
"ครับ...ก็ดีแล้ว" เขากล่าวต่อ
"อืมมนี่ แล้ว...เรื่องคนนั้นน่ะ...ถามจริงๆเถอะ จะตัดใจจากเขาเหรอ หรือว่าไม่...หรือว่ายังไง..." ผู้หญิงคนนั้นถาม
"ถ้าให้เราพูดตรงๆนะ ตอนนี้เราสับสน เราตอบไม่ได้หรอกว่าเราจะเลือกใคร รู้มั้ย...ตอนแรกนะ เราตัดสินใจไปแล้ว" เขาพูดขึ้นอย่างลังเล...ผมไม่แน่ใจว่าเขาชั่งใจกับประโยคที่เอ่ยออกมานี้นานเพียงใด
"ค่ะ...ฉันรู้...นั่นสินะ จะไม่รู้ได้ยังไง ...คุณเลือกเขาไปแล้วนี่นะ ตอนนั้นน่ะ" เธอพูด ยิ้มจางๆ
"ครับ...แต่ตอนนี้ วันนี้ พอเราเจอหน้าคุณ คุณรู้มั้ยว่าจากเปอร์เซ็นต์ที่เราจะกลับมาตอนแรก มันแทบเป็นศูนย์เลยนะ แต่ตอนนี้ เราพูดตรงๆ ห้าสิบ-ห้าสิบน่ะ" เขาพูด ท่าทางกังวล
"ค่ะ เท่านี้...ก็พอแล้ว ฉันเข้าใจ ฉันก็เคยเป็นอย่างคุณมาก่อน คุณก็เหมือนกันฉันในตอนก่อนหน้านี้ ตอนนั้น ฉันก็สับสนเหมือนคุณ...ฉะนั้น ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ" เธอยิ้ม...ยิ้มเศร้าๆ
.
.
.
"นี่ ...ช่างเถอะ เรื่องนั้นน่ะ ฉันจะไม่เศร้ามากแล้ว...อย่างน้อยก็จะไม่เป็นอะไรมาก ว่าแต่ คุณน่ะ โชคดีจังนะ ได้รองเท้าคืนเนี่ย" เธอกล่าว ดูจะร่าเริงขึ้นนิดหน่อย
"ใช่ๆ นั่นสิ...สงสัยมีคนใส่ผิดไปแล้วเอามาคืนมั้ง"
.
.
.
บทสนทนาต่อจากนี้ก็เป็นในทำนองนี้ ผมไม่กล้าเดาอีกแล้วล่ะว่าเขาสองคนรู้สึกต่อกันยังไง...ผู้ชายคนนี้จะยังเหลือหัวใจให้กับผู้หญิงคนนี้หรือเปล่า...ผู้หญิงคนนี้รักเขามากแค่ไหน...เขาสองคน จะได้กลับมารักกันหรือไม่...
"ไม่กล้าแม้จะคาดเดา" ประโยคนี้ที่ใกล้เคียงกับประโยคหนึ่งจากหนังสือของคุณมูราคามิคงจะบรรยายความรู้สึกของผมได้ใกล้เคียงที่สุด...
.
.
.
me*