8 พฤษภาคม 2550 01:48 น.
sangtien
บทที่ ๒๑ คีย์แมนโทน...แฉวิธีโจรจะยึดเมือง - โดย สอาด จันทร์ดี
............ผมโทรไปหา "คีย์แมนโทน" ซึ่งตอนนี้ ได้แยกย้ายกลับบ้านตั้งแต่ โรงแยกแก๊สก่อสร้างแล้วเสร็จใหม่ๆ ด้วยเหตุว่าผมยังคงติดต่อกับคีย์แมนโทนเป็นระยะ ทำให้ผมได้ทราบเรื่องราว ความดุเดือดเลือดพล่าน ของพวกโจรปัตตานี พอที่จะประมวลได้
ครั้งหลังสุด ผมยกหูโทรเมื่อวันที่ ๒๘ พศจิกายน ๒๕๔๙ ผมบอกว่า ผมหางานรับเหมาใหม่ที่อำเภอจะนะ ห่างจากที่เดิม ๑๐ กม.ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ซึ่งขณะนี้บริษัทชิโน-ไทย เป็นผู้รับเหมาใหญ่ รับต่อมาจากบริษัทเมรูเบนี (ญี่ปุ่น) มีบริษัทเล็กๆรับเหมาช่วงอีกหลายบริษัท โครงการนี้เป็นโครงการโรงงานไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เขาอยากได้งานทำ จึงรับปากจะรีปไปพบผม
คีย์แมนโทนบอกให้ผมรอพบหน่อย เขาต้องการพบผมเพื่อจะหางานทำ จะไปพบผมที่อำเภอหาดใหญ่ เขาจะมีเวลาช่วงเช้าตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ถึง ๑๔.๐๐ น แล้วจะรับกลับ
ผมรับปากด้วยความดีใจที่จะได้พบโทน ตั้งใจจะต้องหาคำตอบ และจะต้องหางานให้เขาทำ ไม่เช่นนั้นก็จะทำให้เขาเกิดเข้าใจผิดว่า ผมอยากรู้เรื่องภาคใต้มากเกินไป
แต่ไม่นาน...หลังจากหนังสือเล่มนี้พิมพ์เผยแพร่...
ถึงเวลานั้น จะไม่มีอะไรปิดบังอีกแล้ว...เขาต้องรู้ "ตัวจริง" ของผมจนได้
ผมนั่งรออยู่ห้องพัก ขณะนั่งรอ ผมได้เขียนต้นฉบับให้ นสพ. บ้านเมือง อีก ๒ ตอน เป็นเรื่อง "ยะลาวิกฤติ" กับเรื่องประวัติความเป็นมาของโจรปัตตานี แล้วผมก็ส่งให้ "คุณวิเชียร อินจนา" หน.บก.บ้านเมือง
อีกไม่นาน คีย์แมนโทนก็โผล่เข้ามาในห้อง
คีย์แมนโทนถามเรื่องงาน ผมบอกเขาว่า "คุณช้าง" นายช่างคนเดิม ทำงานอยู่โรงไฟฟ้าจะนะ เพิ่งจะลงมือ ถ้าโทนอยากทำงาน จะฝากให้ เขาบอกว่าเขาอยากทำ ผมจึงต่อโทรศัพท์ถึงคุณช้างที่โรงไฟฟ้า ฝากงานให้เขาทำได้โดยไม่ยาก
ผมถือโอกาสนั้นสอบถามเรื่องราวโจรปัตตานี เขาเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบังเหมือนเช่นเคย โดยได้นำความน่ากลัวว่าจะเกิดเหตุรุนแรง...เขาบอกว่าโจรก่อการร้ายได้ส้องสุมกำลังผู้คนเอาไว้ แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม กำหนดดีเดย์ก่อนสิ้นปี ๒๕๔๙ หรืออย่างช้า ต้นปี ๒๕๕๐
กลุ่มที่หนึ่ง เป็นหน่วยกล้าตาย จบวิทยายุทธ์มาจากต่างประเทศ ภายใต้การนำของหัวหน้าโจร ใช้ชื่อจัดตั้งว่า "ดอเยาะ" ดอเยาะรับบัญชามาจากสะแปอิง เจ้าของโรงเรียนธรรมวิทยา
คนของดอเยาะส่วนหนึ่ง มาจากอาเจะห์ เป็นนักรบชั้นแนวหน้า
ทั้งสองกองกำลัง มีการเตรียมพร้อมที่จะก่อความไม่สงบขั้นรุนแรง
กสุ่มที่สอง มีหัวหน้าโจรชื่อ "มะแซ อุเซ็ง" ค่าหัว ๕ ล้านบาท มะแซ อุเซ็ง มีอำนาจใหญ่โตมาก ถ้าพวกโจรปัตตานีได้รับชัยชนะ มะแซ อุเซ็ง จะได้รับตำแหน่ง ผบ.ทบ. และจะได้เป็นรัฐมนตรีว่า กระทรวงกลาโหม
กลุ่มที่ ๓ มีหัวหน้ามากมายหลายคน รวบรวมกองกำลังหญิงและเด็กเอาไว้ขึ้นยึดที่ทำการของรัฐ เช่น สถานีตำรวจ สถานีอนามัย โรงพยาบาล สำนักงาน อบต. ที่ว่าการอำเภอ ศาลากลางจังหวัด ศาล วัด ศาลาประชาคม
มีเป้าหมายจะปิดล้อมค่ายทหาร และตำรวจ บังคับให้ยอมจำนน
โจรจะบุกเข้ายึดพระราชวังทักษิณราชนิเวศน์ แล้วจะใช้เป็นที่ประกาศเอกราช....
คีย์แมนโทนบอกต่อไปว่า ถ้าแผนการต่างๆไม่สามารถไปสู่เป้าหมายได้ โจรปัตตานีจะใช้วิธีก่อกวนทำความเสียหายให้เกิดขึ้นจนทนไม่ไหว การฆ่าตัดคอ เผาดิบ หรือเอามีดเชือดให้เป็นคดีฮือฮา ทำลายความศรัทธาของประชาชนว่า รัฐไม่มีความสามารถทำให้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้สงบลงได้ จะทำให้เกิดความกดดันในรูปแบบต่างๆ หนักหน่วงยิ่งขึ้น
มีเรื่องจริงที่โจรทำได้แล้วในวันนี้ (๒๘ พศจิกายน ๒๕๔๙) ได้แก่การยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ โจรสามารถควบคุมมวลชนได้ครบทุกพื่นที่ พวกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และคนพุทธกลายเป็น "ตุ๊กตาไขลาน" เดินกะย่องกะแย่งเหมือนคนตายทั้งเป็น
เรื่องจริงอีกเรื่อง ได้แก่ ไม่มีใครรู้ว่า "หัวหน้าบงการใหญ่" อยู่เบื้องหลังคือใคร
คีย์แมนโทน บอกว่า ฝ่ายราชการเพ่งเล็งไปที่สะแปอิง โรงเรียนธรรมวิทยา ว่าเป็นหัวหน้าโจร
จะว่าสะแปอิงก็ใช่ เพราะว่าผู้ที่จะถูกเปิดตัวให้เป็นผู้นำสูงสุด ในวันประกาศตั้งรัฐปัตตานี ได้แก่ "สะแปอิง" อย่างแน่นอน สะแปอิง มีฐานะทางสังคมสร้างเอาไว้สูง ฝีก "นักรบ" เอาไว้มาก พวกนักรบของสะแปอิง เป็นนักเรียนนักศึกษาระดับเยาว์วัย สมัยหนึ่งเคยมีภาพหลุดรอดออกมาว่า เป็นภาพฝีกการรบในป่า หนังสืพิมพ์เอาไปลงข่าวฮือฮา
ต่อมาไม่กี่วัน..มีข่าวออกมาจากหน่วยเหนือว่า เป็นภาพนักเรียนแต่งแฟนซี
ไม่ใช่เป็นภาพนักศึกษาฝีกอาวุธ...
แส่ดงให้เห็นว่า "ไส้ศึก" ทำงานสกัดกั้นเพื่อปกป้องพวกเขาอย่างได้ผล
อย่างไรก็ตาม มนต์ขลังที่จะได้ใครมาเป็นผู้นำของประเทศที่แท้จริงนั้น เป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ตอนนั้น จะมีหัวหน้าใหญ๋ "เบอร์ซาตู ชื้อ ดร.วัน กาเดร์" จากกัวลาลัมเปอร์ รวมทั้งหัวหน้าใหญ่จาก ซ่าอุดิอาระเบีย หรือ กลุ่มประเทศอาหรับทั้งหมด หรือต่อไปถึงหัวหน้าใหญ่ในประเทศสวีเดน อเมริกา และ ยูโรป จะพากันลงมติว่า จะลือกใครมาเป็น
" สุลต่านองค์แรก"
รัชทายาทราชวงค์ที่แท้จริงของเชื้อสายสุลต่าน...ถูกเก็บเอาไว้ในความลี้ลับ
เขาลือกันว่าประดาแกนนำต่างๆ รู้กันแล้วว่าเป็นใคร
คีย์แมนโทนบอกว่า ในเบื้องต้นนี้ ขั้นตอนที่สำคัญคือ กำลังอยู่ในข่วงของการเตรียมยึดเมืองให้เป็นที่เปิดเผย ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะยึดอย่างไร จึงจะทำให้เป็นที่เปิดเผยได้
สถานการณ์ในเวลานี้ จึงอยู่ในทาง ๒ ปัญหา
ปัญหาที่หนึ่ง - ขณะนี้โจรยึดอำนาจรัฐได้แล้วเกือบหมด แต่ยังไม่มีทางประกาศเปิดเผยได้
ปัญหาที่สอง - โจรกำลังวางแผนขั้นแตกหัก หาทาง "ยึดเมือง" แล้วประกาศแก่ชาวโลกได้
คีย์แมนโทนบอกว่า พวกแกนนำเขาคิดหาหนทางใน ๒ ปัญหานี้อยู่ อันหมายถึงประชาชน ยังคงไปไหนมาไหนได้สะดวก เพราะเป็นอิสลามอยู่ในกลุ่มแนวร่วมของโจรปัตตานี สักษณะเช่นนี้แหละ ที่แสดงว่าโจรยึดเมืองได้แล้ว แต่เป็นที่รู้กันในหมู่ประชาชนเท่านั้น ยังไม่ได้ประกาศให้ชาวโลกรู้ พวกเขากำลังหาหนทางประกาศอยู่
โทนบอกว่าเขาสงสารและรู้สึกเห็นใจคนพุทธ แต่จะทำอย่างไรได้ มันใหญ่โตเกินไปที่คนอย่างเขาจะออกความเห็น
ผมเดินลงมาส่งคีย์แมนโทนที่ลานจอดรถ เขาขับรถออกไปด้วยท่าทางสดชื่นแจ่มใส ไม่มีแววรับทุกช์อะไรเลย ตรงกันข้ามกับชาวหาดใหญ่ทั้งหลาย พากันตกอยู่ในอาการขรึมซึมเศร้าฝังลึก บางคนบอกกับผมว่า ชีวิตไม่ปลอดภัย ถ้าโจรปัตตานีได้ ๓ จังหวัด มันจะกระทบร้ายแรงถึง ๕ - ๖ จังหวัด
ภุเก็ต เกาะสมุย เกาะสาหร่าย เกาะลันตา...หรือเกาะตะรุเตา ฉิบหายหมด
อ่าวไทย หรืออันดามัน...เสร็จมัน..
ผมบอกกับชาวหาดใหญ่ที่รักกันว่า...เป็นไปไม่ได้
ชาวหาดใหญ่ตอกกลับผมว่า...รัฐบาลก็พุดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่มันกำลังจะเป็นไป
เมือได้ยินเช่นนั้น ผมเงียบอึ้งเลย...
บทที่ ๒๒ โฉมหน้าผู้บงการซ่อนอยู่ ในองค์การศาสนา..โดย สอาด จันทร์ดี
ในที่สุด...โจรปัตตานีก็ได้รับความสำเร็จ ในการทำให้ทุกคนเข้าใจได้ไม่ยากว่า เจ้าภาพของการต่อสู้ "คือ องค์กรศาสนาอิสลาม" โดยเฉพาะได้แก่ องค์กรศาสนาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ทำหน้าที่เป็นแกนหลัก (เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า องค์การอิสลามในกรุงเทพมหานคร ไม่มบทบาทในการต่อสู้) ทำให้โฟกัสลงไปได้ว่า
ผู้นำศาสนา และผู้สอนศาสนาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม
วิธีการของโจรปัตตานี จะอ้างอยู่ ๒ ประการ
๑) อ้างว่าประเทศไทย ปกครองปัตตานีด้วยความไม่เป็นธรรม กดขึ่ข่มเหง
๒) รัฐบาลไทยข่มเหงรังแกอิสลาม...!!
โจรปัตตานี ได้อาศัย ๒ ประเด็นนี้ เป็นสาเหตุหลักก่อให้เกิดความขัดแย้ง ถ้าก่อปัญหาไม่ได้ ก็จะใช้วิธีการ "ทำร้าย" หรือไม่ก็อาศัยวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ออกเอกสารกล่าวหา ทำให้สังคมมุสลิมปั่นป่วน เพราะชาวบ้านได้รับฟังแต่เรื่องที่ไม่จริง
โจรปัตตานีสามารถสร้างผู้นำทางศาสนารวมทั้งครูสอนศาสนา (อุสตาส) ให้เป็นหัวหน้าในพื้นที่ต่างๆ แล้วแบ่งกันรับผิดชอบ ออกปฎิบัติการตามคำสั่ง และยังสามารถทำให้ห้วหน้าแต่ละคนมีความดูดดื่ม เลื่อมใสศรัทธา พอกพูนอุดมการณ์อย่างถวายหัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือการเป็นนักรบของพระเจ้า เป็นการทำสงครามเพื่อปลดปล่อยอิสลาม
แล้วก็สร้างให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คนอิสลามทุกคนคือนักรบของพระเจ้า ถ้าใครไม่รบก็จะต้องให้ความช่วยเหลืออย่างอื่นแทน หรือถ้าช่วยเหลือไม่ได้ก็ต้องยืนอยู่ข้างเดียวกัน ทุกคนต้องสาบานว่า จะต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปัตตานีให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้า โดยถือคำสาบานว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนได้เปล่งวาจาออกมาด้วยความเสียสละ ไม่กลัวตายใดๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นคำสัตย์สูงสุด
โจรปัตตานี ได้ใช้วิธีหลายรูปแบบ อบรมบ่มนิสัย สร้างนักรบ สร้างความกล้าหาญ ทำให้ผู้ที่ได้รับการอบรม จะยินยอมพร้อมใจ มอบตัวเองเข้าไปรับใช้ โดยไม่ได้นึกแม้แต่นิดว่าแผ่นดินที่อ้างว่าจะปลดปล่อยให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้านั้น ที่แท้ก็คือจังหวัดปัตตานีที่เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยตั้งแตไหนแต่ไรมา
โจรปัตตานีบิดเบือนข้อเท็จจริง ปลอมประวัติศาสตร์ ทำให้เชื่อว่าปัตตานีและอีกหลายจังหวัดเป็นส่วนหนึ่งของมลายู แต่ต้องเสียดินแดนให้ไทยเพราะอังกฤษเข้ามารุกราน แล้วอังกฤษก็แบ่งส่วนนี้ให้ประเทศไทยยึดครอง
เมื่อประเทศมลายูทั้งหมดได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ประเทศไทยไม่ยอมให้เอกราชแก่ปัตตานีแม้เพียงตารางนิ้วเดียว
สิ่งเหล่านี้คือการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
ความจริงในประวัติศาสตร์นั้น ปัตตานีและอีกหลายจังหวัดในแหลมมลายู เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยกรูงครีอยุธยา เช่น ไทรบุรี เป็นต้น ปัจจุบันนี้ก็ยังมีหมู่บ้านไทยตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน รัฐเปอร์สิส และเมืองอะโรสตาร์ หมู่บ้านบางหมู่บ้าน ยังมีชื่อไทย เช่น หมู่บ้านนาคา คนไทยในประเทศมาเลเซียพูดไทยสำเนียงกรุงเทพฯยังไงยังงั้น เหมือนคนบางกอก - ไม่มีเพี้ยน (ผู้เขียนไปเยื่ยมชมหมู่บ้านเหล่านี้มาหลายครั้ง)
ประเทศไทยตะหากเสียดินแดนให้อังกฤษ เมื่ออังกฤษปล่อยมลายูให้ได้รับเอกราช แทนที่ประเทศไทยจะได้ดินแดนคืน กลับสูญเสียไปเลยรวมแล้ว ๕ จังหวัด เช่น จังหวัดปีนัง เป็นต้น
ดินแดนปัตตานี เป็นของประเทศไทยตั้งแต่โบราณกาล แต่เนื่องด้วยคนมลายูได้อพยพเข้ามามาก กอรปกับนับถือศาสนาอิสลาม จึงอ้างไปส่งเดชว่า ไทยปกครองปัตตานีมายาวนาน ไม่ยอมให้เอกราช
เรื่องง่ายๆ ในประวัติศาสตร์โดยแท้ แต่กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ถูกโจรปัตตานีแหกตา เอาไปโฆษณาชวนเชื่อ ตั้งแต่เมือ ๕๐๐ ปี ก่อนถึงปัจจุบัน ยังไม่เลิก
วิธีการที่พวกโจรเอามาใช้อย่างได้ผลนั้น เรื่องคือการ "บิดเบือน" แล้วก็สร้างสิ่งที่บิดเปือนให้น่าเชื่อถือว่า เป็นเรื่องจริง โจรปัตตานีได้อาศัยสถาบันของศาสนา แล้วอ้างเอาพระเจ้า หรือ "องค์อัลเลาะห์" มาเรียกร้องความสามัคคึจากชาวบ้าน ซึ่งเป็นอิสลามด้วยกัน
พี่น้องอิสลามผู้บริสทธิ์ตกเป็นเหยื่อของโจรอิสลาม ขยายวงกว้างออกไปทุกที
โจรปัตตานีชี้ให้เห็นว่า การปกครองที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติที่แท้จริง ต้องเป็นรัฐอิสลามเท่านั้น ผู้นำของประเทศ ต้องใช้หลักการของพระศาสนาบริหารประเทศชาติบ้านเมือง เมื่อปัตตานีได้รับการปลดปล่อย คณะกรรมการจะทำการเลือกเฟ้นอย่างสำคัญที่สุด เพื่อจะสรรหาผู้นำของประเทศ
รู้กันในหมู่ชาวปัตตานี ยะลา นราธิวาส ว่ามีทางสองแพร่งที่จะต้องเลือกเดินในอนาคต แพร่งที่หนึ่ง ผู้นำสูงสุดเลือกมาจากสายสุลต่านเก่า หรือ/แพร่งที่สอง เลือกมาจากผู้นำสูงสุดของศาสนาอิสลาม หรือจะได้รับการสถาปนาเป็นสุลต่านองค์แรก
วันนี้ ถ้าอยากดูโฉมหน้าของผู้บงการ กับโฉมหน้าใครถูกจองตัวให้เป็นประธานประเทศ จะไม่เหมือน...คนที "บงการ" กับคนทึ่จะมาเป็น "สุลต่าน" ไม่ได้เกี่ยวกัน คนที่จะมาเป็นผู้นำหรือสุลต่าน ไม่ได้ร่วมบัญชาการรบ แต่ได้ทำหน้าที่ในระดับสากล
คนที่บัญชาการ ก็บัญชาการรบ ทำหน้าที่ "รบ" เป็นการจำเพาะ
โฉมหน้าของผู้บงการ ที่คนไทยอยากรู้ว่าเป็นใคร(?)นั้น ถ้าต้องการรู้จริงๆ ก็ไม่เกินบ่ากว่าแรงที่จะรู้ได้ ซึ่งผู้สันทัดกรณีได้บอกวิธีการดูเอาไว้ ดังนี้
๑. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ "อับดุลกาเดร์" ว่ามีใครเป็นคนสายนี้?
๒. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ "หะยีสุหลง" ว่ามีใครเป็นลูกเต้า เหล่ากอ?
สรุปแล้วมีอยู่ ๒ สายเท่านั้น ดูได้ไม่ยากเลย ดูแล้วจะร้อง "อ๋อ" คนนี้เอง ทีนี้...ถ้าอยากรู้ให้ชัด ก็ต้องค้นหาว่า "ใคร"...คือสายเลือดของ"อับดุลกาเดร์"...? และใครคือสายเลือดของ "หะยีสุหลง" ? คนใดคนหนึ่งใน "ต้นตระกูล" นักสู้ดังกล่าวนี้ คือจอมบงการอย่างแน่นอน และถ้าจะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า ทั้งอับดุลกาเดร์(พ.ศ. ๒๔๔๐) เรื่องราวเมื่อ ๑๐๙ ปีก่อน และหะยีสุหลง อับดุบกาเดร์ (พ.ศ. ๒๔๙๔) เรื่องราวเมื่อ ๕๕ ปีผ่าน เป็นเชื้อสายเดียวกันหรือไม่
เมื่อวิเคราะห์อย่างนี้ ก็จะเหลือ "ผู้บงการ" อยู่หนึ่งเดียว
ขณะนี้มีบัญชีรายชื่อผู้บงการอยู่หลายคน เช่น มะแซ อุเซ็ง (ค่าหัว ๕ ล้านบาท)
สะแปอิง ผู้โด่งดังจากโรงเรียนธรรมวิทยา และ ดร.วัน กาเดร์ หัวหน้าขบวนการ
" เบอร์ซาตู" ตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซีย
ไม่มีใครรู้ว่า ดร.วัน กาเดร์ เป็นลูกหลานใคร แต่การที่เขาก้าวขึ้นมาเป็น "แม่ทัพใหญ่" ควบคุมทุกขบวนการเอาไว้ในคอลโทรล ชื่อขบวนการของเขา ไม่ใช่เขาตั้งเอง แต่เขาได้จับเอาองค์กรจัดตั้ง ๒๓ องค์กร เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว จึงเรียก เบอร์ซาตู โดยไม่มีคำว่า "พูโล" พ่วงท้ายเลย
เบอร์ หมายถึง "อับดับที่..."
ซาตู..หมายถึง "หนึ่ง"
ผู้สันทัดกรณ๊เอง ก็ไม่อาจวิเคราะห์ฐานะของ ดร.วัน กาเดร์ ได้ แต่น่าจะเชื่อว่า นายคนนี้คือกระเป๋าเงิน "หนึ่งหมื่นล้าน" ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชู สร้างกองทัพพระเจ้าให้เติบโตขึ้นมา นอกจากจะเป็นกระเป๋าเงินแล้ว เขายังเป็นที่ยอมรับของนักการเมืองในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะคือ ท่านอดีต นายกฯ มหาเธร์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโฉมหน้าของจอมบงการ จะยังไม่ชัดก็ตาม ภาพได้ปรากฎชัดออกมาว่า องค์กรศาสนาอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือเจ้าภาพตัวจริง!!
โจรปัตตานีเองมีความจงใจทีจะให้เจ้าภาพตัวจริง คือสถาบันอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โจรปัตตานีสามารถชูเอาศาสนาขึ้นมาเป็นจอมทัพ โดยพยายาม "ปั้นกรอบ" ให้เป็นภาระหน้าที่ของชาวอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น เป็นการปกป้องอิสลามจากส่วนกลางไม่ให้ได้รับผลกระทบ
แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ได้อาศัย "พลังอิสลาม" เป็นทฤษฏีชี้นำไปในตัวเสร็จ
พร้อมกันนี้ ก็ได้ป้องกันมิให้อิสลามจากส่วนกลาง เช้ามามีบทบาทร่วมโดยเฉพาะในความเชื่อที่ว่า ถ้าได้รัฐปัตตานีขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นท่านจูฬาราชมนตรี หรืออิสลามคณะใดก็ตาม ไม่ใช่ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากชาติที่ตั้งขึ้นใหม่ในโลก
พวกเขาคิดการไกลชนาดนั้น ผมพยายามที่จะกระเทาะเปลือกให้เห็นใบหน้าจอมบงการ คือใคร ซึ่งตอนนี้ท่านอ่านออกได้เองแล้วว่า "คนนั้นกับคนนี้" คือจอมบงการ แม้ว่าโจรปัตตานีจะหาทางให้ ศาสนาอิสลาม เป็นเจ้าภาพที่แท้จริง แต่โจมบงการที่แท้จริงมิใช่ศาสนา แต่เป็นคนที่มีพละกำลัง อำนาจ
คน-คนนั้นเคยเป็นถึงรัฐมนตรี เคยเป็นนักการเมืองใหญ่
เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของกบฎปัตตานี
แล้ววันนี้...เขาบงการต่อ...ในขณะที่รัฐบาลบอกว่า ไม่รู้ว่าเป็นใคร จนถึงไข่แดงแล้วคลี่ให้ดูว่า ไฟใต้...ใครบงการ ? เมื่อท่านอ่านจบ โปรดจำขื่อเอาไว้...โจรปัตตานีพวกนี้ ป้วนเ**ยนอยูในแวดวงการต่อสู้ อยู่ไม่ไกลจากตัวท่านดอกครับ
นี้คือทีวีวงจรปิด ที่สามารถฉายภาพดูได้...แต่รัฐบาลไม่ยอมฉาย...มันถึงได้มืดยังไงล่ะ
บทที่1 ไม่เกินปี 2551 ประเทศไทยจะสูญเสียดินแดน
ผมขออนุญาตเขียนบทความวิเคราะห์สถานะการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บ้างนะครับ
ขออ้างอิงข้อมูลจากท่านสอาด จันทร์ดี ซึ่งมีความใกล้เคียงกับที่ผมเคยวิเคราะห์ด้วยตนเองมาก่อนหน้านั้น(ปลายปี 2547) และผมได้ติดตามอ่านบทความของท่านสอาด จันทร์ดีมาทุกตอนเลย ได้ประโยชน์มากๆอย่างเหลือล้น และมีความน่าจะเป็นดังที่ท่านเขียนมานั้น 80-90 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว
ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนว่าผมเป็นคนเชียงใหม่เคยรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาบ้างแต่น้อยมากเมื่อเทียบกับที่ท่านเขียน แต่ผมเข้าใจในความประสงค์ของโจรใต้ตรงกันกับที่ท่านเขียนก็คือ พวกมันมีเป้าหมายเดียวธงอันเดียวเท่านั้นคือแบ่งแยกดินแดน (ใครที่คิดจะสมานฉันท์กับมันนั้นถือได้ว่าหน่อมแน่มมากๆ) และผมก็คิดได้ถึงกลยุทธ์ที่โจรใต้จะนำมาใช้กับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยผมก็คิดเอาเองได้เกือบทุกข้อที่ท่านเขียน ที่คิดไม่ถึงก็คือ กลยุทธ์ที่ 5 และ 15 ผมไม่เคยคิดว่าพวกนี้เป็นโจรกระจอกเลย พวกนี้อดทนมานะพยายามสูงมากๆ
หลังจากที่อ่านบทความของท่านสอาด จันทร์ดี ในเรื่องกลยุทธ์ที่ 15 แล้ว ผมมานั่งวิเคราะห์แล้วพบว่า กลยุทธ์ที่ 15 หากถูกนำมาใช้จริงๆ คิดว่าภายในปีนี้แหละ(2550)คงต้องถูกนำมาใช้แน่นอน และตอนนั้นต้องเกิดการรบกับรัฐบาลไทยเป็นแน่แท้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีวิธีแก้ไขใดๆได้อีกแล้ว เหตุการณ์นองเลือดกระจายทั่ว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องเกิดขึ้นตามมา
หลังจากนั้นชาวอิสลามทั่วโลกจะเรียกร้องให้ UN ออกมาจัดการกับปัญหานี้ และ UN คงไม่อาจจะปฏิเสธได้ เหตุการณ์ก็จะนำไปสู่สถานการณ์เช่นเดียวกันกับติมอร์ตะวันออก คือ รัฐบาลไทยต้องถอนทหารออกไปจากเขตพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ UN จะจัดส่งกองกำลังทหารจากชาติที่เป็นกลางมาควบคุมดูแลแทน
ขั้นตอนต่อไปก็คือ UN จะจัดให้มีการทำประชามติสอบถามประชาชนในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในเรื่อง การขอประกาศแยกตัวอิสระ ซึ่งหากผลประชามติออกมาว่า ต้องการ ทาง UN ก็จะดำเนินการสอบถามประชามติอีกครั้งถึงชื่อที่จะใช้เรียกประเทศของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และดำเนินการประกาศให้ชาวโลกรับรู้โดยทั่วกันว่า จะมีประเทศที่เกิดใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 ประเทศชื่อ.....?...... ขั้นตอนนี้คาดว่าใช้เวลาจนเสร็จสิ้นกระบวนการไม่เกินปี 2551
ติดตามบทที่ 2 ป้องกันก่อนแก้ไขโดย อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง
8 พฤษภาคม 2550 01:39 น.
sangtien
บทที่ ๑๙ โจรปัตตานี...รุกทางการเมืองหนัก - โดย สอาด จันทร์ดี
ปี พ.ศ ๒๕๒๗ - ๒๕๔๙
เมื่อประเทศไทย ได้ออกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ สถานการณ์บ้านเมือง เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ประดา ผกค.ทั้งหลาย ได้ยินยอมพร้อมใจวางอาวุธ หันหน้าเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทย โจรปัตตานีที่เคยมีบทบาทร่วมกับ ผกค.ได้แยกตัวออกไป แล้วดำรงสภาพของตนไว้
แต่เป็นการดำรงทีฝ่ายรัฐบาลไม่ได้รับรู้ด้วย อีกอย่างหนึ่ง ฝ่ายรัฐบาลไม่เคยมีโจทย์กับตนเองมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาของชนเผ่าใหญ่อีกเผ่าหนึ่ง คือคนไทยเชื้อสายมลายู แล้วก็สรุปเอาเองว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหาการเหยียดผิว ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติศาสนา แล้วเราก็สรุปเอาเองว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหานี้
แท้ที่จริง พี่น้องใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ถูกปลุกระดมเละตุ้มเป๊ะจนยากที่จะแก้คืน นอกจากยากที่จะแก้คืนดังกล่าวนั้นแล้ว เรายังหมดโอกาสรู้ความจริง มันเนื่องมาจากนักการเมืองไม่ได้ทำหน้าที่เพือความมั่นคงของชาติ ไม่ใส่ใจในปัญหาของชาติอย่างรอบด้าน
นักการเมืองในท้องถิ่นปิดบังซ่อนเล้นเรื่องราวให้ลึ้ลับอย่างมิดชิด
หน่วยข่าวกรองชาติ ก็มุ่งประเด็นโจรก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จนลืมเรื่องอื่นทั้งหมด
นักการเมืองของไทย ส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นสักแต่พุทธในชื่อ ส่วนความเชื่อ ความรับผิดชอบ ไม่มีเหลืออยู่ในตัวของนักการเมืองเลย
โจรปัตตานี จึงเป็นฝ่ายรูกทางการเมือง แต่พวกเขาจะไม่แสดงออกให้ปรากฎเห็น ไม่มีการกระทำที่ส่อไปถึงความต้องการว่าจะแบ่งแยกดินแดน แต่ถ้าจะสังเกตุให้ดี เราจะพบเห็นข้อเรียกร้องและการปฎิบัติที่กระทบต่อพระพุทธศาสนา เช่นเรียกร้องไม่ให้สอนวิชาพุทธศาสนาในโรงเรียน ให้ขนย้ายพระพุทธรูปออกไปจากที่ตั้ง ห้ามประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ
โจปัตตานีรุกทางการเมืองอย่างได้ผล และทวีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ ใน
สภาท้องถิ่นและสภาระดับชาติ ได้มีตัวแทนของพี่น้องอิสลามชนะการเลือกตั้งเข้ามาจำนวนไม่น้อย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในนโยบายปรับปรุงรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาเอง อิทธิพลทางความคิดที่โจรปัตตานีเดินงาน แล้วส่งออกสู่สังคม บังคับโดยอัตโนมัติ ให้นักการเมืองไทยวางตัวเป็นศัตรูกับพุทธศาสนาของตัวเองอย่างไม่รู่ตัว ดังจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ถูกคณะปฎิวัติเชือดทิ้งไปแล้วนั้น
ไม่ยินยอมให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติคนพุทธมากกว่า ๒ ล้านคนล่าชื่อส่งสภาก็ไม่มีผลอะไรเลยนักการเมืองเพิกเฉย แถมมีการพูดว่า "ถ้าทำอย่างนั้น ระวังเลือดจะท่วมท้องช้าง" ..!!
นับแต่บัดนั้น สถานการณ์หลายอย่างได้บีบคั้นพระพุทธศาสนาและชาวพุทธรุนแรง แต่ชาวพุทธทั้งปวงก็ยังคงตั้งอยู่ในความสงบ ไม่ได้มีความโกรธแค้นให้อิสลามอะไรทั้งสิ้น
ด้านอิสลามนั้น เริ่มปรากฎขึ้นในสถาบันการเมืองอย่างโดดเด่น เช่น บางท่านได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี บางท่านเป็นรัฐมนตรี และบางท่านได้เป็นประธานสภา และในสภาก็มีนักการเมืองอิสลามอย่างมีหน้ามีตาหลากหลายมากขึ้นคนไทยพากันต้อนรับนักการเมืองสายอิสลามด้วยความเต็มใจ
เพราะจะได้อวดกับชาวโลกได้ว่า ประเทศไทยไม่มีการกีดกันคนศาสนาอื่นคนไทยพุทธ แอบภูมิใจกับความเจริญก้าวหน้าของพี่น้องอิสลาม ด้วยความรู้สึกจากน้ำใสใจจริงคนพุทธไม่เคยออกปากคัดค้านและไม่ขัดขวางไม่ว่ากรณีใด เพราะถือว่าทุกคนเป็นเสมือนหนึ่งลูกพ่อเดียวกัน...เอากันง่ายๆ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งเป็นอิสลามขนานแท้ ทำการปฎิวัติรัฐประหาร ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในประเทศ เมื่อปฏิวัติเสร็จ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ" หรือ คมช. โดยท่าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำหน้าที่เป็นประธาน คมช. คนไทยก็พากันต้อนรับทั่วประเทศ
ประเทศไทยทั้งประเทศน้อมใจรับโดยไม่ได้นึกถึงความแตกต่างทางศาสนา
แต่ในเวลาเดียวกันที่คนไทยน้อมใจรับ โจรกลับบั่นคอพี่น้องชาวพุทธที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกาศฆ่าและขับไล่ใสส่ง "คนพุทธ" สถานเดียวขณะเขียนต้นฉบับให้กับหนังสือเล่มนี้ (๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙) ผมพักอยู่โรงแรมไดอิชิ หาดใหญ่ พอตื่นขึ้นมาก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่จังหวัดยะลาว่า โจรป่าพวกนั้น โปรยใบปลิวข่มขู่ไทยพูทธ ประกาศปิดร้าน ถ้าไม่เชื่อ จะเอาให้ร้องไม่ออก
ผมรับโทรศัพท์ด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าตอนที่เข้าไปทำงานที่โรงแยกแก๊สใหม่ๆ ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดนี้...แต่วันนี้มันร้ายเกินกว่าคิดมากมายยิ่งนัก เพื่อนบอกว่าโจรปิดเมือง ปิดหมู่บ้าน ตัดการติดต่อกับราชการ ไม่ให้ชาวพุทธขยับเขยื้อนได้ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ ยังถูกตรึงอยู่กับที่ แต่พวกโจรปัตตานี และชาวบ้านแนวร่วมทั้งหมดมีอิลรภาพไปไหนมาไหนได้อย่างเสรี ประหนึ่งไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น
แต่คนพุทธ กลายเป็นคนต้องห้ามในแผ่นดินของตน คนที่หลบไปพึ่งวัดเกือบจะบ้าอยู่แล้ว
ผมตระหนักกับตนเองว่า โจรปัตตานีไม่ใชรุกหนักแต่ทางการเมืองเท่านั้น ยังรุกหนักทางอาวุธอย่างเข้มข้นรุนแรงในรอง ๑๐๐ ปี สถานการณ์แบบนี้ จะต้องมีการชี้ขาดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ในโอกาสข้างหน้าในไม่นาน
หรือกล่าวให้ชัด เมื่อเหตุการณ์รุนแรงอย่างเป็นระบบมาถึงขั้นนี้ จะให้เรื่องจบลงง่ายๆ เป็นไปใม่ได้เลย โอกาสที่จะแตกหักไปข้างหนึ่ง จะต้องมีขึ้น
การกระทำครั้งนี้ โจรปัตตานีเขาคงจะมี "หัวหน้าใหญ่" บัญชาการอยู่ไม่ไกลแน่ๆ เชียว
ไม่เช่นนั้น จะไม่ประสบผลสำเร็จได้ขนาดนี้
แต่ฝ่ายรัฐบาล ก็ยังบอกไม่ได้ว่า ใครคือจอมบงการเคยเห็นฝ่ายรักษาความสงบพูดมาหลายครั้ง จะตะครุบหัวหน้าใหญ่ให้ได้ จนแล้วจนรอด ยังไม่ได้แม้แต่กลิ่น...มันช่างลึกลับอำมืดอย่างไม่น่าเชื่อ ?
ผมตรวจดูระยะเวลาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ ถึง ๒๕๔๙ รวม ๒๒ ปี เป็นช่วงที่ โจรปัตตานีได้พัฒนารูปแบบการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม ดีกว่าทุกยุค จึงเป็นการยากที่รัฐบาลจะแก้ปัญหานี้ให้สงบเงียบลงได้โดยง่าย และเดาไม่ถูกว่าจะบานปลายร้ายแรงถึงขั้นเป็นสงครามหรือไม่
บทที่ ๒๐ จากกรือเซะ ถึง ตากใบ โดย สอาด จันทร์ดี
เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจไม่มีใครอยากให้เกิด มันก็เกิด
อันนั้นได้แก่กรณี กรือเซะ และตากใบ
หนังสือเล่มนี้จะยังไม่เขียนถึงรายละเอียดของปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะมันจะนำไปสู่ข้อขัดแย้งมากขึ้น มากกว่าจะเป็นผลดี ผมจะสรุปเพียงสั้นๆว่า เมื่อเกิดการปล้นปีนค่ายทหารพัฒนา อำเภอเจาะไอร้อง...๔ มกราคม ๒๕๔๗
ทำให้สถานที่ราชการที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ร้อนระอุขึ้นมา
เมื่อมีกลุ่มผู้ไม่หวังดี บูกโจมตีเจ้าหน้าที่แล้วหนีเข้าไปหลบซ่อนตัวในสุเหร่ากรือเซะ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทหารยกกำลังตามเข้าไปล้อมเอาไว้จนเกือบค่ำทำให้ทหารวิตกว่า ถ้าปล่อยให้ตะวันตกดิน สถานการณ์จะพลิกผันอย่างแน่นอน ทหารจึงบุกเข้าจับ แล้วเกิดยิงกันขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีถูกจับตายเรียบในสุเหร่า
มันได้กลายเป็นบาดแผลร้ายกาจบาดหมางใจ กินใจกันรุนแรงอีกคำรบหนึ่ง
ได้เกิดวิพากย์วิจารณ์ และตำหนิติเตียนในสื่อและสังคมการเมืองของประเทศไทยว่า "ทหารทำรุนแรงเกินเหตุ" ผู้สันทัดกรณ๊กล่าวว่า กลุ่มผู้ไม่หวังดี ได้กระทำรุนแรง เข่นฆ่าผุ้คนอย่างไร้ความปราณี เมือทหาร ตำรวจเข้าไประงับเหตุ กลุ่มผู้ไม่หวังดี ไม่ยินยอมให้จับกุม เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางออกสุดท้ายจึงต้องเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่ปฎิบัติเช่นนี้ จะให้ทำอย่างไรเช่นเดียวกัน กรณีตากใบ ก็ไม่แตกต่างจากกรณีอื่น
ทหาร ตำรวจ ไม่มีทางออกอื่นใดที่จะทำให้เหตุการณ์สงบลงได้ วิธีแก้คือต้องจับกุมคุมตัวผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อจะเอาไปสอบสวน แต่ได้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา ทำให้มีคนขาดอากาศหายใจ ล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็มีคนรุมประนามทหาร
ผู้สันทัดกรณ๊กล่าวว่า แม้ทหาร ตำรวจ จะพยายามทำแบบอะลุ้มอะล่วย หรือกระทำอย่างเฉียบขาดรุนแรงก็ตาม ก็ไม่อาจทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดี "ยุติ" การก่อความไม่สงบ เพราะเจตนาของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เป็นกลุ่มโจรปัตตานี มีอุดมการณ์แน่วน่ที่จะทำให้เกิดสงครามในที่สุดความเห็นของผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า ถ้าจะเปรียบเทียบกันระหว่างการปราบปรามที่ถูกประนามว่า กระทำรุนแรงเกินขอบเขตนั้น ไม่สามารถเทียบได้กับความร้ายกาจรุนแรง ที่ฝ่ายโจรปัตตานี ได้กระทำต่อข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนตาดำๆ มีคนล้มตายในสภาพศพที่ถูกฆ่าอย่างทารูณ ผิดมนุษย์มะนานับไม่ถ้วน ที่เคยกระทำมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
อีกประการหนึ่ง ถ้าไม่มีโจรปัตตานี ไม่มีการเข่นฆ่า ไม่ก่อกบฎต่อแผ่นดิน เราก็จะไม่มีอะไรให้บาดหมาง เพราะว่าหัวใจคนไทยที่แท้จริง ไม่ยินยอมให้ศาสนามาแบ่งแยกให้แตกสามัคคีอยู่แล้ว เราจะสามารถอยู่ร่วมแผ่นดินได้อย่างปกติสุข ต่างคนต่าง
ปฎิบัติตัวปฎิบัติตน ตามความเชื่อถือและความศรัทธาที่แตกต่างกันออกไปโดยปกตินั้น ขอบเขตความเชื่อของคนพุทธนั้นไม่มีข้อห้ามไม่ให้ร่วมบุญกับคนศาสนาอื่น คนพุทธหรือชาวพุทธ มีลักษณะที่ "ผ่อนคลาย" ในทุกกรณี คนพุทธสามารถเข้าร่วมบุญได้กับทุกคน ทุกศาสนา ถ้าศาสดานั้นๆ ผ่อนปรนให้เข้าร่วมได้ คนพุทธจะเข้าร่วมได้ทันที
ถ้าไม่มีโจรปัตตานี พุทธศาสนากับศาสนาอิสลาม จะอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติสุข หรือว่า แม้โจรปัตตานี จะปลุกให้คนอิสลามเกลียดพุทธเพียงใด แต่เราก็รู้ว่าศาสนาไม่เกี่ยวเพราะว่าที่แท้จริง...โจรปัตตานีอาศัยศาสนาเป็นเครืองมือสงครามต่างหากสักวันหนึง จะมีคนพิสูจน์ให้เห็นว่าศาสนาอิสลามไม่เกี่ยว
พุทธและอิสลาม ไม่เคยเป็นศัตรูของกันและกันกรณี กรือเซะ กับตากใบ...น่าจะเป็นผลพวงความชั่วร้ายที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
**** บัดนี้เรื่องที่คุณสอาด จันทร์ดีเขียนขึ้นจากความป็นจริง ได้เผยโฉมหน้ามาให้เห็นจะจะแล้ว ด้วยแผนการที่กลุ่มโจร (มี กลุ่มแบ่งแยกดินแดนภาคใต้, มหาธีร์ มูฮัมหมัด - อดีตนายกฯของมาเลเซีย และกลุ่มบงการ "อัลไคด้า" )ได้ร่วมกันทำแผนจะยึดครองประเทศไทยทั้งประเทศใน ๑๐ ปี เหตุการณ์ที่เขียนนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆแผนลวงโลกเพื่อจะดิสเครดิสประเทศไทยต่อสังคมโลก ซึ่งแผนการณ์ได้ถูกแฉโดย เอกสาร "แนวร่วม คนไทยรักชาติ" ฉบับปฐมฤกษ์ ๑ มกราคม ๒๕๕๐ โดยทีกลุ่มก่อการร้ายที่ กรือเซะ และตากใบ อาจเป็นลูกชาวพุทธที่ถูกลักพาตัวเมือ ๓๙ ปีก่อน ถูกนำไปเลี้ยง และฝีกก่อการร้ายมาฆ่าคนไทยอีกที โดยกล่าวว่า "จำไว้ ให้คนของมันฆ่าฟันกันเอง"
ท่านผู้รักชาติ โปรดติดตามอ่าน....
ในที่สุด...โจรปัตตานีก็ได้รับความสำเร็จ ในการทำให้ทุกคนเข้าใจได้ไม่ยากว่า เจ้าภาพของการต่อสู้ "คือ องค์กรศาสนาอิสลาม" โดยเฉพาะได้แก่ องค์กรศาสนาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ทำหน้าที่เป็นแกนหลัก (เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า องค์การอิสลามในกรุงเทพมหานคร ไม่มบทบาทในการต่อสู้) ทำให้โฟกัสลงไปได้ว่า
ผู้นำศาสนา และผู้สอนศาสนาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม
วิธีการของโจรปัตตานี จะอ้างอยู่ ๒ ประการ
๑) อ้างว่าประเทศไทย ปกครองปัตตานีด้วยความไม่เป็นธรรม กดขึ่ข่มเหง
๒) รัฐบาลไทยข่มเหงรังแกอิสลาม...!!
โจรปัตตานี ได้อาศัย ๒ ประเด็นนี้ เป็นสาเหตุหลักก่อให้เกิดความขัดแย้ง ถ้าก่อปัญหาไม่ได้ ก็จะใช้วิธีการ "ทำร้าย" หรือไม่ก็อาศัยวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ออกเอกสารกล่าวหา ทำให้สังคมมุสลิมปั่นป่วน เพราะชาวบ้านได้รับฟังแต่เรื่องที่ไม่จริง
โจรปัตตานีสามารถสร้างผู้นำทางศาสนารวมทั้งครูสอนศาสนา (อุสตาส) ให้เป็นหัวหน้าในพื้นที่ต่างๆ แล้วแบ่งกันรับผิดชอบ ออกปฎิบัติการตามคำสั่ง และยังสามารถทำให้ห้วหน้าแต่ละคนมีความดูดดื่ม เลื่อมใสศรัทธา พอกพูนอุดมการณ์อย่างถวายหัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือการเป็นนักรบของพระเจ้า เป็นการทำสงครามเพื่อปลดปล่อยอิสลาม
แล้วก็สร้างให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คนอิสลามทุกคนคือนักรบของพระเจ้า ถ้าใครไม่รบก็จะต้องให้ความช่วยเหลืออย่างอื่นแทน หรือถ้าช่วยเหลือไม่ได้ก็ต้องยืนอยู่ข้างเดียวกัน ทุกคนต้องสาบานว่า จะต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปัตตานีให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้า โดยถือคำสาบานว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนได้เปล่งวาจาออกมาด้วยความเสียสละ ไม่กลัวตายใดๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นคำสัตย์สูงสุด
โจรปัตตานี ได้ใช้วิธีหลายรูปแบบ อบรมบ่มนิสัย สร้างนักรบ สร้างความกล้าหาญ ทำให้ผู้ที่ได้รับการอบรม จะยินยอมพร้อมใจ มอบตัวเองเข้าไปรับใช้ โดยไม่ได้นึกแม้แต่นิดว่าแผ่นดินที่อ้างว่าจะปลดปล่อยให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้านั้น ที่แท้ก็คือจังหวัดปัตตานีที่เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยตั้งแตไหนแต่ไรมา
โจรปัตตานีบิดเบือนข้อเท็จจริง ปลอมประวัติศาสตร์ ทำให้เชื่อว่าปัตตานีและอีกหลายจังหวัดเป็นส่วนหนึ่งของมลายู แต่ต้องเสียดินแดนให้ไทยเพราะอังกฤษเข้ามารุกราน แล้วอังกฤษก็แบ่งส่วนนี้ให้ประเทศไทยยึดครอง
เมื่อประเทศมลายูทั้งหมดได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ประเทศไทยไม่ยอมให้เอกราชแก่ปัตตานีแม้เพียงตารางนิ้วเดียว
สิ่งเหล่านี้คือการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
ความจริงในประวัติศาสตร์นั้น ปัตตานีและอีกหลายจังหวัดในแหลมมลายู เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยกรูงครีอยุธยา เช่น ไทรบุรี เป็นต้น ปัจจุบันนี้ก็ยังมีหมู่บ้านไทยตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน รัฐเปอร์สิส และเมืองอะโรสตาร์ หมู่บ้านบางหมู่บ้าน ยังมีชื่อไทย เช่น หมู่บ้านนาคา คนไทยในประเทศมาเลเซียพูดไทยสำเนียงกรุงเทพฯยังไงยังงั้น เหมือนคนบางกอก - ไม่มีเพี้ยน (ผู้เขียนไปเยื่ยมชมหมู่บ้านเหล่านี้มาหลายครั้ง)
ประเทศไทยตะหากเสียดินแดนให้อังกฤษ เมื่ออังกฤษปล่อยมลายูให้ได้รับเอกราช แทนที่ประเทศไทยจะได้ดินแดนคืน กลับสูญเสียไปเลยรวมแล้ว ๕ จังหวัด เช่น จังหวัดปีนัง เป็นต้น
ดินแดนปัตตานี เป็นของประเทศไทยตั้งแต่โบราณกาล แต่เนื่องด้วยคนมลายูได้อพยพเข้ามามาก กอรปกับนับถือศาสนาอิสลาม จึงอ้างไปส่งเดชว่า ไทยปกครองปัตตานีมายาวนาน ไม่ยอมให้เอกราช
เรื่องง่ายๆ ในประวัติศาสตร์โดยแท้ แต่กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ถูกโจรปัตตานีแหกตา เอาไปโฆษณาชวนเชื่อ ตั้งแต่เมือ ๕๐๐ ปี ก่อนถึงปัจจุบัน ยังไม่เลิก
วิธีการที่พวกโจรเอามาใช้อย่างได้ผลนั้น เรื่องคือการ "บิดเบือน" แล้วก็สร้างสิ่งที่บิดเปือนให้น่าเชื่อถือว่า เป็นเรื่องจริง โจรปัตตานีได้อาศัยสถาบันของศาสนา แล้วอ้างเอาพระเจ้า หรือ "องค์อัลเลาะห์" มาเรียกร้องความสามัคคึจากชาวบ้าน ซึ่งเป็นอิสลามด้วยกัน
พี่น้องอิสลามผู้บริสทธิ์ตกเป็นเหยื่อของโจรอิสลาม ขยายวงกว้างออกไปทุกที
โจรปัตตานีชี้ให้เห็นว่า การปกครองที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติที่แท้จริง ต้องเป็นรัฐอิสลามเท่านั้น ผู้นำของประเทศ ต้องใช้หลักการของพระศาสนาบริหารประเทศชาติบ้านเมือง เมื่อปัตตานีได้รับการปลดปล่อย คณะกรรมการจะทำการเลือกเฟ้นอย่างสำคัญที่สุด เพื่อจะสรรหาผู้นำของประเทศ
รู้กันในหมู่ชาวปัตตานี ยะลา นราธิวาส ว่ามีทางสองแพร่งที่จะต้องเลือกเดินในอนาคต แพร่งที่หนึ่ง ผู้นำสูงสุดเลือกมาจากสายสุลต่านเก่า หรือ/แพร่งที่สอง เลือกมาจากผู้นำสูงสุดของศาสนาอิสลาม หรือจะได้รับการสถาปนาเป็นสุลต่านองค์แรก
วันนี้ ถ้าอยากดูโฉมหน้าของผู้บงการ กับโฉมหน้าใครถูกจองตัวให้เป็นประธานประเทศ จะไม่เหมือน...คนที "บงการ" กับคนทึ่จะมาเป็น "สุลต่าน" ไม่ได้เกี่ยวกัน คนที่จะมาเป็นผู้นำหรือสุลต่าน ไม่ได้ร่วมบัญชาการรบ แต่ได้ทำหน้าที่ในระดับสากล
คนที่บัญชาการ ก็บัญชาการรบ ทำหน้าที่ "รบ" เป็นการจำเพาะ
โฉมหน้าของผู้บงการ ที่คนไทยอยากรู้ว่าเป็นใคร(?)นั้น ถ้าต้องการรู้จริงๆ ก็ไม่เกินบ่ากว่าแรงที่จะรู้ได้ ซึ่งผู้สันทัดกรณีได้บอกวิธีการดูเอาไว้ ดังนี้
๑. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ "อับดุลกาเดร์" ว่ามีใครเป็นคนสายนี้?
๒. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ "หะยีสุหลง" ว่ามีใครเป็นลูกเต้า เหล่ากอ?
สรุปแล้วมีอยู่ ๒ สายเท่านั้น ดูได้ไม่ยากเลย ดูแล้วจะร้อง "อ๋อ" คนนี้เอง ทีนี้...ถ้าอยากรู้ให้ชัด ก็ต้องค้นหาว่า "ใคร"...คือสายเลือดของ"อับดุลกาเดร์"...? และใครคือสายเลือดของ "หะยีสุหลง" ? คนใดคนหนึ่งใน "ต้นตระกูล" นักสู้ดังกล่าวนี้ คือจอมบงการอย่างแน่นอน และถ้าจะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า ทั้งอับดุลกาเดร์(พ.ศ. ๒๔๔๐) เรื่องราวเมื่อ ๑๐๙ ปีก่อน และหะยีสุหลง อับดุบกาเดร์ (พ.ศ. ๒๔๙๔) เรื่องราวเมื่อ ๕๕ ปีผ่าน เป็นเชื้อสายเดียวกันหรือไม่
เมื่อวิเคราะห์อย่างนี้ ก็จะเหลือ "ผู้บงการ" อยู่หนึ่งเดียว
ขณะนี้มีบัญชีรายชื่อผู้บงการอยู่หลายคน เช่น มะแซ อุเซ็ง (ค่าหัว ๕ ล้านบาท)
สะแปอิง ผู้โด่งดังจากโรงเรียนธรรมวิทยา และ ดร.วัน กาเดร์ หัวหน้าขบวนการ
" เบอร์ซาตู" ตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซีย
ไม่มีใครรู้ว่า ดร.วัน กาเดร์ เป็นลูกหลานใคร แต่การที่เขาก้าวขึ้นมาเป็น "แม่ทัพใหญ่" ควบคุมทุกขบวนการเอาไว้ในคอลโทรล ชื่อขบวนการของเขา ไม่ใช่เขาตั้งเอง แต่เขาได้จับเอาองค์กรจัดตั้ง ๒๓ องค์กร เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว จึงเรียก เบอร์ซาตู โดยไม่มีคำว่า "พูโล" พ่วงท้ายเลย
เบอร์ หมายถึง "อับดับที่..."
ซาตู..หมายถึง "หนึ่ง"
ผู้สันทัดกรณ๊เอง ก็ไม่อาจวิเคราะห์ฐานะของ ดร.วัน กาเดร์ ได้ แต่น่าจะเชื่อว่า นายคนนี้คือกระเป๋าเงิน "หนึ่งหมื่นล้าน" ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชู สร้างกองทัพพระเจ้าให้เติบโตขึ้นมา นอกจากจะเป็นกระเป๋าเงินแล้ว เขายังเป็นที่ยอมรับของนักการเมืองในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะคือ ท่านอดีต นายกฯ มหาเธร์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโฉมหน้าของจอมบงการ จะยังไม่ชัดก็ตาม ภาพได้ปรากฎชัดออกมาว่า องค์กรศาสนาอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือเจ้าภาพตัวจริง!!
โจรปัตตานีเองมีความจงใจทีจะให้เจ้าภาพตัวจริง คือสถาบันอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โจรปัตตานีสามารถชูเอาศาสนาขึ้นมาเป็นจอมทัพ โดยพยายาม "ปั้นกรอบ" ให้เป็นภาระหน้าที่ของชาวอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น เป็นการปกป้องอิสลามจากส่วนกลางไม่ให้ได้รับผลกระทบ
แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ได้อาศัย "พลังอิสลาม" เป็นทฤษฏีชี้นำไปในตัวเสร็จ
พร้อมกันนี้ ก็ได้ป้องกันมิให้อิสลามจากส่วนกลาง เช้ามามีบทบาทร่วมโดยเฉพาะในความเชื่อที่ว่า ถ้าได้รัฐปัตตานีขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นท่านจูฬาราชมนตรี หรืออิสลามคณะใดก็ตาม ไม่ใช่ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากชาติที่ตั้งขึ้นใหม่ในโลก
พวกเขาคิดการไกลชนาดนั้น ผมพยายามที่จะกระเทาะเปลือกให้เห็นใบหน้าจอมบงการ คือใคร ซึ่งตอนนี้ท่านอ่านออกได้เองแล้วว่า "คนนั้นกับคนนี้" คือจอมบงการ แม้ว่าโจรปัตตานีจะหาทางให้ ศาสนาอิสลาม เป็นเจ้าภาพที่แท้จริง แต่โจมบงการที่แท้จริงมิใช่ศาสนา แต่เป็นคนที่มีพละกำลัง อำนาจ
คน-คนนั้นเคยเป็นถึงรัฐมนตรี เคยเป็นนักการเมืองใหญ่
เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของกบฎปัตตานี
แล้ววันนี้...เขาบงการต่อ...ในขณะที่รัฐบาลบอกว่า ไม่รู้ว่าเป็นใคร จนถึงไข่แดงแล้วคลี่ให้ดูว่า ไฟใต้...ใครบงการ ? เมื่อท่านอ่านจบ โปรดจำขื่อเอาไว้...โจรปัตตานีพวกนี้ ป้วนเ**ยนอยูในแวดวงการต่อสู้ อยู่ไม่ไกลจากตัวท่านดอกครับ
นี้คือทีวีวงจรปิด ที่สามารถฉายภาพดูได้...แต่รัฐบาลไม่ยอมฉาย...มันถึงได้มืดยังไงล่ะ
(โปรดติดตาม บทที่ ๒๓ อุ้มฆ่าทนาย...สมชาย นีละไพจิตร)
............
8 พฤษภาคม 2550 01:35 น.
sangtien
บทที่ ๘ ตัวร้ายจากอกเจะห์ - โดย สอาด จันทร์ดี
ผมเจอ คีย์แมนโทน ก่อนใครอื่นสุบิน หัวหน้าเซฟตี้เป่านกหวีดเรียกแถว ผมยืนพูดในท่าเดิมเหมือนทุกวัน
บอกให้ทุกคนขยับตัวให้ห่างกัน ๑ ช่วงแขน คนงานมีมากกว่า ๑๐๐ มองดูแล้วเหมือนกองกำลังย่อมๆ ผมเริ่มต้น
ด้วยคำพูดที่ฟังเข้าใจง่ายว่า ก็หวังว่าสำนักงานของเราคงปลอดภัย ไม่ถูกไฟไหม้ ไฟไหม้"โซโย" ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร
แต่ผมเดาเอาไว้ก่อนว่า การเดินสายไฟทีสะเพร่า อาจทำให้ไฟลัดวงจรได้ ดังนั้น พวกเราต้องเข้างวดกวดขัน ดูกันให้ดี
ผมโยนเรื่องไปให้อุบัติเหตุทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก...เพราะโทนได้บอกข่าวนี้แล้วไง
ผมพูดถึงประโยคนี้ แถวทั้งแถวมองไปที่สำนักงานกลางสนามของ "โซโย" ซึ่งในตอนนี้ไม่มีเหลือแม้แต่หลังเดียว
พวกคนงาน "โซโย" ดูสับสนวุ่นวายทว่า...โรงแยกแก๊สทั้งโรง ทำประหนึ่งไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น คนงานของ
บริษัทต่างๆทำงานตามปกติ ไม่นานก็มีข่าวออกมาว่า ตำรวจสรุปแล้วเกิดจากอุบัติเหตุ นี้คือตัวอย่างเหตุร้ายที่เกิดขึ้น
ให้กระทบจิตใจยากที่จะลืม
ตอนบ่ายของวันนั้น ผมเดินไปตรวจงานด้านทิศเหนือ พบคีย์แมนโทนกำลังดึงสายเชื่อมเพื่อที่จะย้ายเอาไปติดตั้งอีกแห่ง
ผมตบไหล่โทนด้วยความสนิทสนม คนงานอีกกลุ่มกำลังง่วนอยู่กับงาน เสียงเครื่องปั่นไฟ เสียงเครื่องจักรทำงาน
ทำให้บรรยากาศทีจะมีความเลวร้าย กลับเข้าสู่สภาพปกติ โทนมองดูหน้าผม ปล่อยมือจากสายเชื่อม แล้วเดินเข้ามายืน
ข้างหน้าห่างผมไม่เกินเมตร เอ่ยปากบอกเรื่องใหม่เบาๆ
"นายหัว...ตอนนี้ พวก**ดอเยาะ มันสั่ง**ตัวร้ายมาจาก "อาเจะห์" มากกว่า ๓๐ คนแล้วนะ มันคงก่อกวนรุนแรงยิ่งขึ้น.."
"มันมาถึงแล้วหรือยัง.." ผมถาม โทนตอบว่า "เพิ่งผ่านแดนเข้ามา..."
"เออ ขอบใจมากโทน รู้แล้วก็ไม่ทราบว่าจะมีประโยชน์อะไร ทำได้อย่างเดียวคือหนักใจแทนประเทศชาติ ตัวเราก็แค่นี"
พูดจบ ผมเดินเลยเขาไป ปล่อยให้เขาทำงานด้วยความสบายใจหลังจากเลิกงาน ผมนั่งเปิดดูแผนที่ในห้องพัก ตรวจดูสถาน
ที่ตั้งของ"จังหวัดอาเจะห์" ของประเทศอินโดนีเซีย พบว่าเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่บนเกาะใหญ่ติดกับมาเลเซีย เยื้องมาทาง
ประเทศไทย พวกอาเจะห์เป็นกบฎ มีกองกำลังต่อสู้กับรัฐบาลเพื่อจะแบ่งแยกดินแดน อินโดนีเซียส่งทหารเข้าไปปราบ
ชนิดเลือดหยดติ๋ง พวกโจรแบ่งแยกดินแดนอาเจะห์มีอาวุธร้ายมากมาย ไม่รู้ไปขนมาจากไหน พวกอาเจะห์คือหอกข้าง
แคร่ของอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซียเขาไม่ยอม
ตอนที่ผมทำงานอยู่กัวลาสัมเปอร์ ที่บริษัท "ตาลาม คอร์ปปอเรชั่น" ผมรู้จักคนงาน
อาเจะห์มากกว่า ๕๐ คน ทำงานร่วมกับคนไทยด้วยนิสัยใจคอที่ดี แต่คนเหล่านี้เป็นอริกับคนอินโดนีเซียด้วยกัน
สาเหตุเนื่องมาจากเชื้อสายชาวอาเจะห์ เป็นเชื้อสายมลายู จึงต้องการแยกรัฐอิสลามใหม่ ผมพอจะรู้เรื่องราวของพวก
อาเจะห์ แต่ไม่เคยได้ข่าวว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับปัตตานีวันนี้ โทนบอกว่า **ตัววร้ายจาก "อาเจะห์"
ยกกำลังมาช่วย "ดอเยาะ"ถ้าเป็นแบบนี้ ความเลวร้ายนับวันแต่จะขยาย
ผมถือโอกาสขณะทำงาน เปิดดูแผนที่ประเทศไทย แล้วดูเลยลงไปทางตอนใต้ เห็นเนื้อที่แล้ว ก็ใจหาย แผ่นดิน
ใต้สุดด้านทางฝั่งอ่าวไทย ซึ่งเป็นผืนดินเดียวกันกับประเทศมาเลเซีย ใต้ไทยลงไป เป็นอีกแผ่นดินหนึ่งที่มีเชื้อ
สายเดียวกันกับคนไทยในยะลา ปัตตานี นราธิวาส คนมาเลเซียที่ผูกพันกับ ๓ จังหวัดภาคใต้มากที่สุด แผ่นดินนั้น
ได้แก่รัฐกลันตัน
ความจริงแล้ว ประเทศมาเลเซียมีพื้นที่ภูมิศาสตร์เป็นเกาะ แต่ละเกาะ จะมีความใหญ่โนจนเกือบไม่ใช่เกาะ
เช่น เกาะซาราวัค เป็นต้น
ส่วนที่เป็นที่ตั้งของเมืองหลวง และอีกหลายจังหวัด รวมทั้งรัฐกลันตันนั้น เป็นผืนดินผืนเดียวกับปลายแหลม
ของประเทศไทย เส้นพรมแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย เป็นเส้นแบ่งเขตโดยอาศัยแม่น้ำเล็กๆก็มี เอาภูเขาไฟ
เป็นเส้นแบ่งเขตก็มี ไทยกับมาเลเซีย จึงเป็นประเทศมี "แผ่นดิน" ติดกัน ในส่วนที่เป็นเมืองหลวงของมาเลเซีย
ตั้งอยู่บนแหลมทองของประเทศไทย
บทที่ ๙ ปัตตานี..เป็นอิสลามตั้งแต่เมื่อใด โดย สอาด จันทร์ดี
ผมจับภาพได้กระจ่างชัดว่า ปัญหาที่ ๓ จังหวัดภาคใต้ เกิดจากพี่น้องชาวไทยเชื้อสายมลายู ถูกโจรข่มขู่ไม่ให้
รับการเป็นสัญชาติไทยบ้าง ตัวเองตั้งใจแน่วแน่ ไม่ยอมรับนับเอาสัญชาติไทยเป็นของตนบ้าง รวมแล้วไม่น้อย
กว่าร้อยละ ๘๐ ถ้าเป็นเช่นนี้ มีคนที่ไม่ยอมเป็นคนไทยมากกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ คน ผู้คนเหล่านี้เป็นอุปลรรคใหญ่
หลวงในการสร้างความสมานฉันท์ เนื่องจากความสมานฉันท์ในเป้าหมายของเขา "จะต้องได้สิ่งที่ต้องการตอบแทน
จึงจะเกิดความสมานฉันท์ได้"ขออ้างโทนอีกนั่นแหละ โทนบอกว่า สิ่งที่เขาต้องการ คือ "เป็นประเทศปัตตานี...?"
ผมจับภาพได้ต่อไปว่า ปัญหาที่แก้ยากที่สุด ก็เพราะรัฐบาลทุกรัฐบาลมีความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงตลอด ๑๐๐
ปีผ่าน ด้วยการพยายาม "อ่อนข้อ" ให้ทุกเรื่อง จนฝ่ายโจรสามารถนั่งอยู่บนหลังเสือแล้วบังคับให้เสืออยู่ในสภาวะจำยอม
จำยอมไปทุกเรื่อง ยอมแพ้ให้แก่นักการเมืองโจรยอมจำนนต่อการด่าทอ ยอมจำนนต่อข้อกล่าวหาที่เท็จ
ความผิดพลาดอันยาวนาน เกิดจากน้ำมือของนักการเมืองสายพุทธที่บริสุทธิ์มากกว่าโจร ทำให้โจรได้ทีขี่แพะไล่
ปัญหาที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงเป็นปัญหาใหญ๋ที่สั่นสะเทือนความมั่นคงของประเทศไทยอย่างไม่เคยเป็น
มาก่อน เราจะทำอย่างไรจึงจะแก้คืนได้ ลองหันไปทางท่านแม่ทัพที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อสายอิสลามด้วยกัน คงจะช่วยได้
ได้แก่ พล อ. สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฎิวัติที่เป็นอิสลาม ที่คนไทยมั่นใจว่าท่านผู้นี้ จะกู้ ๓ จังหวัดชายแดน
คืนมาได้ เพราะจะมีบารมีให้อิสลามเกรงใจ เชื่อหรือว่าโจรจะยอมรับนับถือบารมี
ถ้าโจรยินยอมง่ายๆเช่นนี้ อับดุลกาเดร์, หะยีสุหลง และ "ตวนกู" อีกตั้ง ๓ คน คงไม่พากันบ้าต่อสู้อย่างยาวนาน
ถึงขนาดสู้ถวายหัว เอาชีวิตและความทุกข์ยากของครอบครัวเข้าแลก เขาคงยินยอมสวามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์
ด้วยความรักและศรัทธาไปนานแล้ว
บทที่ ๑๑ สถานที่ตั้ง....เมืองหลวงรัฐปัตตานี จาก กระเทาะเปลือกไฟใต้ ใครบงการ
คีย์แมนโทนกับผมใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้ข่าวมาว่า สาวชาวใต้เชื้อแขกหลายคนตก
หลุมรักหนุ่ม่อีสาน บางคนถึงกับได้เสียเป็นแฟนกันแล้ว แต่พ่อแม่คงไม่ยอมรับง่ายๆ ผมบอกกับโทนว่า
ถึงพ่อแม่ยังไม่ยอมรับก็คงห้ามไม่อยู่ เพราะว่าอำนาจแห่งความรักไม่มีอะไรขวางกั้นได้ โทนหัวเราะเพราะ
เขามีประสบการณ์มากกว่าใคร
ช่าวสาวใต้กลายเป็นแฟนหนุ่มพุทธ ดังไปเร็วมาก ปรากฎว่าไม่นานก็ได้เกิดความปั่นป่วน ในบริษัทผู้รับเหมา
ช่วงหลายบริษัท พ่อแม่บางรายให้ลูกออกจากงานทันที ห้ามไม่ให้คบหาสมาคมกันแต่คนมันจะรักกัน
เขาก็ต้องหาทางแก้ไขจนได้ วิธีการแก้ไขนั้นคงไม่พ้นต้องไปเปลี่ยนศาสนา ใช้เวลาศึกษาวิธีการละหมาด
และการแสดงตนเป็นอิสลามอีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะได้แต่งงานกัน โทนเล่าต่อไปว่า สาวใต้ชอบหนุ่ม
เหนือและหนุ่มอีสานเพราะเป็นคนทำงาน ดูแลเอาใจใส่เมียดี เป็นที่ประทับใจจนกลายเป็นเรื่องเล่าขาน
สร้างความเชื่อถือเอาไว้มาก
ต่อมาอีก ๓ - ๔ วัน ผมถือโอกาสคุยกับคีย์แมนโทน ขณะพักเที่ยงอีกเช่นเคย
ผมเล่านิทานนำร่องไปก่อน ผมบอกว่า ผมเคยมาทำงานที่สงขลาเป็นผู้จัดการบริษัทเจาะสำรวจน้ำมันและ
ก๊าซในอ่าวไทย ชื่อบริษัท ยูโนแคล ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ตอนนั้นบ้านเมืองยังไม่เจริญ โจรจับตัวเรียกค่าไถ่มีไป
ทุกหัวระแหง ข่าวแบ่งแยกดินแดนได้ยินมาแต่ครั้งนั้นแล้ว ผมบอกว่าผมอยู่สงขลาติดต่อกัน ๖ ปี จึงลาออกแล้ว
ไปทำงานตะวันออกกลาง แล้วผมก็ถามโทนว่า " เคยรู้ไหม...พวกโจรปัตตานี เขาคิดจะตั้งเมืองหลวงที่ไหน..."
โทนบอกว่า "ได้ยินยิ่งกว่าได้ยิน เขารู้แล้วด้วยว่าพวกนั้นจะตั้งที่ไหนเป็นเมืองหลวงของรัฐปัตตานี..."
"รู้แล้วเรอะ ?" ผมมีอาการตื่นเต้น แต่ก็ต้องรีบเก็บอารมณ์
"รู้ซิครับนายหัว เขาวางแผนเอาไว้แล้วจะตั้งที่ไหน..." "ปัตตานีนะซี"...ผมพูดขึ้นมาก่อน
"เปล่าเลย...นายหัวรู้มาผิดๆ" โทนมองดูหน้าผม" อ้าว..แล้วที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่ปัตตานี ผมมองที่ตาของเขา
จาก กระเทาะเปลือก...ไฟใต้ ใครบงการ ?
ความแตกต่าง ที่รู้สึกและคิดที่ไม่เหมือนกัน โปรดพิจารณาข้อความดังต่อไปนี้
๑. บางท่านอยากรู้ว่า ใครคือตัวการป่วนใต้
๒. บางท่านไม่อยากรู้ ไม่อยากสนใจ ไม่อยากวุ่นวายด้วย
บทที่ ๑๒ ธงชาติและ...เพลงเชาติปัตตานี โดย สอาด จันทร์ดี
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ วันหนึ่ง ผมได้เห็น "ธงชาติ" ของปัตตานี ผมจะไม่ขออธิบายรูปร่างหน้าตา และจะไม่นำมาเผยแพร่
ไม่ว่ากรณีใดๆ แต่ที่ผมหงุดหงิดใจมาก ทำไม คนอย่างทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีวิธีแก้เกม
กับพวกที่สร้างธงชาติปัตตานี ผมถามของผมอยู่ในใจว่า นายกฯ เป็นคนโง่หรือคนฉลาด แล้วก็เลยไปถึง
พล. อ ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะผู้โอบอุ้มกลุ่มวาดะห์ ไม่รู้เชียวหรือว่า โจรป่าทำธงชาติเตรียมไว้นานแล้ว
นอกจากนี้ ผมมีคำถามเยอะแยะกับประดานักการเมืองทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. และ ส.ว. ที่ได้ดิบได้ดีในสภา
ไม่มีใครแม้แต่รายเดียวที่จะบอกได้ว่า โจรได้จัดทำธงชาติแล้วเก็บเอาไว้ในที่สูง ธงชาติผืนแรก ปักดิ้นทอง
งดงามยิ่งนัก (จากคำบอกเล่าของโทน)
อย่าว่าแต่ธงชาติเลย เพลงชาติก็มีแล้วชาวบ้านที่อยู่ในเขตอิทธิพลของโจรพูโล เขาห้ามร้องเพลงชาติไทย
ห้ามแสดงการเคารพสถาบันของชาติไทยบางหมู่บ้านร้องเพลงชาติปัตตานีเวลา ๐๘.๐๐ น. แทนเพลงชาติไทย
เพียงแต่ว่ายังไม่มีการชักธงชาติปัตตานีเท่านั้น
เรื่องเหล่านี้ไม่เคยมีใครรู้แม้แต่รายเดียวหรือไง คนระดับนายกรัฐมนตรี รํฐมนตรี หัวหน้ากรองช่าว ผู้อำนวยการศูนย์
ประสานงานแห่งชาติ หัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ ตลอดทั้งนักการเมืองน้อยใหญ่ ไม่รู้กันเลยหรือไงเรื่องเหล่านี้
เป็นคำถามที่น่าฉงน....
บทที่ ๑๓ กลยุทธของโจรพูโล โดย สอาด จันทร์ดี
อยู่มาวันหนึ่ง ผมได้ต้อนรับชายวัย ๔๐ ชาวตรัง ชื่อประทีป เป็นวิศวกรเครื่องจักรกล มาสมัครงานตำแหน่ง
"นายช่างควบคุมการติดตั้งเครื่องจักร" ผมกำลังอยากได้อยู่พอดี จึงรีบรับสมัครและบรรจุงาน ให้ลงมือทำงาน
ในวันรู่งขึ้นตอนแรกๆ นายช่างประทีป จะไม่ค่อยมีเวลาว่าง เพราะงานเร่งเหลือเกิน ขนาดว่าวิ่งแล้วนะ ยังไม่ทันใจเลย
นายช่างประทีปทำงานอยู่กับนายช่างประกอบ จงคณารักษ์ ผมเข้าไปแจมด้วยเป็นครั้งคราว ทำให้ผมได้ทำงานร่วมกัน
จึงใกล้ชิดสนิทสนมภายในเวลาอันรวดเร็วพอเขารู้จักชื่อผม เขาร้องอ้อ...อาจารย์นี้เอง ที่เขียนเจ้าพ่อกรรมกรในฟ้า
เมืองไทย ผมตามอ่านจนกระทั่งฟ้าเมืองไทยเลิกไป แล้วเขาก็ถามหาคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ และ"คำพูน บุญทวี
" ผมบอกว่า "ท่านอาจินต์ ปัญจพรรค์" ท่านยังเขียนหนังสืออยู่ วงการนักเขียนถือว่าท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่
ส่วนคำพูน บุญทวี...กลายเป็นคนบุญหมด...ล้มหายตายจากไปนานแล้ว "ตอนนี้อาจารย์สอาดเขียนอยู่หรือเปล่า
มิทราบครับ..? ผมบอกว่าผมไม่มีเวลาเขียน"คุณก็เห็นมีแต่งานกับงาน จะเอาเวลาจับปากกาที่ไหนได้"
ผมจำเป็นต้องโกหก ไม่ได้บอกให้เขารู้ว่าผมใช้นามปากกาอื่นเขียนเรื่องภาคใต้อีก ๑๐ วันต่อมา...ผมถือโอกาส
สอบถามความเห็นนายช่างประทีปว่าเขารู้สึกอย่างไรกับการก่อการร้ายที่กำเริบเสิบสาน ทำยังกะบ้านเมืองไม่มี
ขื่อมีแป นายช่างประทีปพูดไม่กี่คำ แต่กินใจความมาก..เขาพูดว่า "รัฐบาลถูกหัวหน้าโจรพูโตนั่งอยู่ใกล้ๆ
หลอกกินตับ...เสียรู้โจร ถูกฆ่าตายรายวัน ยังมีหน้า มาพูดว่าแก้มาถูกทางแล้ว..." พูดแล้วสะบัดหน้าพรืด...มีอาการ
หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดฟังคำตอบแล้ว...เชื่อเลย...เขาพูดจากใจจริง พูดตรงประเด็นเป๊ะ คำพูดของเขากลั่นออกมา
จากใจ เห็นได้จากใบหน้ามีแววฉุนลึก
ในสัปดาห์นั้น ผมหาโอกาสนัดกับเพื่อนเก่าแก่สมัยทำงานด้วยกันที่ ยูโนแคล เขาเป็นคนพื้นที่มาตั้งแต่เกิด ภรรยาก็
เป็นคนพื้น เขาคนนี้ได้เล่าระเอียดยิบเกี่ยวกับ "กลยุทธ์" ของพวกโจรพูโลให้ฟัง ท่านผู้นี้รู้ดีว่าผมเป็นคนเขียนหนัง
สือ เพราะเขารู้จักอดีตอันยาวนานของผม เขาเล่าแบบไม่ปิดบังเลยกลยุทธ์ที่หนึ่ง...ทำอะไรก็ได้ ทำให้พี่น้องมุสลิม
เกลียดคนไทย เอาให้เกลียดถึงกระดูกดำ ดังนั้น การฆ่าแล้วโยนความผิดให้ตำรวจ ถ้าโยนไม่ได้ ก็จะกล่าวโทษคนที่
ถูกฆ่าตายว่าทรยศต่อพวกเดียวกัน สมควรตาย
กลยุทธ์ที่สอง...โจรพูโล วางแผนสร้างนักรบมายาวนาน พวกอุสตาส(ครูสอนศาสนา)
รับหน้าที่อบรมสั่งสอนจิตสำนึก แล้วคัดเลือกคนส่งต่อให้หน่วยเหนือของเขา หาทางส่งไปฝีกอบรมที่ต่างประเทศ
ทั้งโดยเปิดเผยภายใต้การสนับสนุนของรัฐ และแอบไปรับการฝีกแบบใต้ดินหลักสูตรให้เก่งภาษาอาหรับจบแล้วให้
ทางการ (ไทย) รับรองปริญญาตรี เมือกลับถึงประเทศไทยจะได้รับราชการบริหาร ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะ
นักรบหนุ่ม(และสาว) กำลังฝีกอบรมอยู่ต่างประเทศ พ่อแม่จะได้รับเงินกองทุนช่วยเหลือครอบครัว จะไม่ให้ได้รับ
ความลำบากกลยุทธ์ที่สาม...สร้างนักการเมืองในทุกระดับ ส่งลงเลือกตั้งทุกพรรคการเมือง ทั้งใน ๓ จังหวัดภาคใต้
และทั่วประเทศ กระจาย "นักการเมือง" ออกไปทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด เพื่อการยึดหัวหาดเบ็ดเสร็จ
สร้างอำนาจต่อรองให้มีกำลังมากขึ้นกลยุทธ์ที่สี่...ประสานงานกับองค์กรมุสลิม มีการเดินทางไปมาหาสู่เชื่อม
สัมพันธไมตรี ผูกมิตร แล้วถือโอกาสเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ กล่าวหาประเทศไทยของตัวเอง โดยบอกให้สังคม
ภายนอกเข้าใจผิด คิดว่าปัตตานีตกเป็นเมืองขึ้นของไทย ในกลยุทธ์ตัวนี้ โจรพูโลไม่ได้รับความสำเร็จเท่าที่ควร
เพราะทะเบียนเมืองขึ้นของโลก ไม่มีรายชื่อประเทศปัตตานีโจรปัตตานี จึงหันไปให้ข้อมูลเท็จ ฆ่ากันเองแล้วหา
ว่าถูกอุ้ม ไม่มีใครรังแกก็หาว่ารังแก ไม่ยอมทำงานอะไรเลย ก็หาว่ารัฐบาลเอาใจใส่แต่
พวกพุทธ ปล่อยทิ้งมุสลิมไม่ใยดี
กลยุทธ์ที่ห้า...สร้างสุเหร่าให้มากเข้าไว้ แม้ว่าบางหมู่บ้านจะมีอิสลามเพียงครอบครัวเดียวก็สามารถ "หาเงินมา
สร้างสุเหร่าได้" แล้วก็ออกข่าวเสมอว่า จำนวนประชากรของมุสลิมในประเทศไทย มีมากเป็นอันดับสองของประเทศ
พูดให้มากเข้าไว้กลยุทธ์ที่หก...ออกวารสารและนิตยสารภายในที่ไหนก็ตาม เนื้อหาจะต้องสะท้อนปัญหาของอิสลาม
ทั่วโลก แล้วดึงมาลงว่าประเทศไทยก็มีปัญหาไม่หย่อนไปกว่ากันพร้อมกับได้สนับสนุนให้ปัญญาชนออกมาทำสื่อ
ให้มากขึ้น สร้างองค์กรประชาชนด้านนี้ เพื่อการเผยแพร่ให้กว้างขวางกลยุทธ์ที่เจ็ด...ได้รับผลกระทบอะไรเล็กน้อย
ก็ตาม ให้โวยวายทันทีกลยุทธ์ที่แปด...จัดตั้งกองกำลังส่วนหน้า กองหนุน และจัดตั้งแนวร่วมให้กระจายครบ ๕ จังหวัด
แต่ให้เน้นที่ ๓ จังหวัดก่อน ถ้าได้ยินเสียงบอกกล่าวให้ระดมผู้คนไม่ว่ากรณีใดๆ ให้จัดการระดมคนภายใน ๓ ชั่วโมง
เฉพาะหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ให้ระดมได้ทันที หมู่บ้านไหนไม่ให้ความช่วยเหลือ จะถูกขึ้นบัญชีดำ
กลยุทธ์ที่เก้า...เป้าหมายคือแบ่งแยกดินแดน แต่เวลาแส่ดงความคิดเห็น ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม จะไม่บอกแม้แต่ประโยคเดียวว่า
ต้องการแบ่งแยก สิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง คือ "ขอปกครองตนเอง" โดยยินดีที่จะให้รัฐบาลกลางเป็นผู้บริหาร
กลยุทธ์ข้อนี้ถือว่าเป็นหัวใจเพราะว่าถ้าได้ปกครองตนเอง จะเป็นเงื่อนไขไปสู่การ "ปกครองกันเอง" จะทำให้การ
แยกตัวเองอย่างแท้จริงง่ายขึ้นกลยูทธ์ที่สิบ...เรียกร้องให้ใช้ภาษายาวีเป็นภาษากลาง ประดาผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต.
และ ข้าราชการทั้งหลายร้อยละ ๘๐ ต้องเป็นอิสลามกลยุทธ์ที่สิบเอ็ด...กองกำลังทั้งหมด แม้จะจบวิชาฆ่ามาจากต่าง
ประเทศ มีความชำนาญในการใช้อาวุธ แต่ให้เริ่มต่อสู้ด้วยอาวุธโบราณ เช่น มีดสปาต้า กริช การฆ่าให้เชือดคอ
เชือดลูกกระเดือก หรือไม่ก็ตัดหัวหิ้วเอาไปประจาน แสดงออกประหนี่งเป็นการระบายความแค้นกลยุทธ์ที่สิบสอง
...หลอกล่อ ยั่วยุให้ฝ่ายราชการใช้กำลังปราบปราม เพื่อจะได้เป็นข้ออ้างว่าถูกปราบปรามอย่างทารุณ ไม่มีความยุติธรรม
กลยุทธ์ที่สิบสาม...โปรยใบปลิว ปลุกระดมชาวบ้านให้เข้าร่วม พวกอุสตาสออกไปพบกับชาวบ้านแจ้งให้ทราบว่า
อีกไม่นานจะชนะกลยุทธ์ที่สิบสี่...เริ่มปฏิบัติการกับพระพุทธศาสนาและชาวพุทธ ขับไล่ให้ออกไปจากดินแดน
ถ้าใครไม่กลัวตาย ให้ฆ่าทิ้งอย่าง**มโหด ไม่เลือกลูกเด็กเล็กแดงกลยุทธ์ที่สิบห้า...ให้คอยฟังสัญญาณปลดปล่อย
ปัตตานี เมื่อได้รับสัญญาณ ให้ทุกคนออกไปยึดที่ทำการของรัฐบาลทุกแห่ง เอาเด็กและผู้หญิงเป็นเกราะกำบัง
กะว่าจะใช้คน ๕ แสน หรือ ๒ ล้านคน ก็จะสามารถยึดได้ภายในวันเดียว แล้วประกาศเอกราช...
และวันนั้นชาวปัตตานี จะได้เห็นหน้าว่า ใครคือสุลต่าน หรือ ประธานาธิบดี คนแรกของชาวปัตตานีที่รอคอยมา ๑๐๐ ปี
แล้วจะได้เห็นแม่ทัพนายกอง ตลอดทั้งคณะผู้บริหารประเทศใหม่ ภายใต้ธงชาติปัตตานี พวกโจรปัตตานีเขามั่นใจของ
เขามากเพื่อนเก่าแก่ในยูโนแคล คนพื้นที่โดยแท้นำเอาข้อลี้ลับมาเล่า และยืนยันว่าเป็นความจริงครบทุกกลยุทธ์
ไม่ใช่ปั้นแต่งขึ้นกลยุทธ์ที่สิบหก...เป็นกลยุทธ์พลิกผันไปตามสถานการณ์ จะมี "คำลั่งพิเศษ" ออกมาเป็นระยะ
โดยจะปรับเข้ากับกลยุทธ์เก่าหรือกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่งเพื่อนของผมบอกซ้ำว่า กลยุทธ์ของพวกโจรพูโลร้ายกาจมาก
แล้วจับมือถือแขนเขย่า ด้วยความคับแค้นใจ บอกกับผมว่า ถ้าคุณสอาดเขียนหนังสือเปิดหน้ากากเมื่อใด ให้แปลเป็น
๔ ภาษา คือภาษาอังกฤษ อาหรับ ภาษาจีน โดยมีไทยเป็นแม่บท คนจะได้รู้กำพืดที่แท้จริงของโจรปัตตานี
ผมรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักที่ได้รับรู้กลยุทธ์ลี้ลับที่พวกโจรวางเป็นกระดานเอาไว้ให้ขบวนการของพวกเขาเดินตามอย่าง
เป็นขั้นเป็นตอน ผมเชื่อว่าโจรเขาแน่นมาก..โจรปัตตานีไม่ใช่โจรกระจอกอย่างแน่นอน
อดีต คลำหาปม - โดย สอาด จันทร์ดี
การค้นหาตัวเหตุและปัจจัยว่า อะไรคือตัวแก่นในที่ทำให้เกิดปัญหาความวุ่นวายใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
ก็ต้องย้อนกลับไปสู่อดีต
๑. เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๐๒๒ เจ้าอินทิรา เปลี่ยนศาสนา หันไปนับถืออิสลาม
๒. ปี พ.ศ. ๒๓๕๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑
ทรงแบ่งการปกครองหัวเมืองออกจากอำนาจของปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง
๓. ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงให้ยกเลิกระบบเจ้าพระยามหานคร
แล้วนำระบบใหม่มาใช้ เรียกว่า มณฑลเทศาภิบาล เพี่อการเก็บภาษีอากร ส่งตรงเข้าวังหลวง โดยไม่ผ่านปัตตานี
เหมือนเก่าก่อน (ระบบนี้ได้พัฒนาเป็นเทศบาลถึงปัจจุบัน
๔. ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ อับดุลกาเดร์ หรือ "พระยาวิชิตภักดี" ได้ก่อกบฎต่อเมืองหลวง
๕. ปี พ.ศ. ๒๔๕๓ โต๊ะแต มือขวาของพระยาวิชิตภักดี หรือ "อับดุลเกเดร์" ยกกำลังเข้าผาอำเภอยะลา จังหวัดยะลา
ผุ้บงการอยู่เบื้องหลัง คือ อับดลกาเดร์
๖. ปี พ.ศ. ๒๔๕๔ หะยีบูละ ก่อจลาจลขึ้นที่ จันสตาวา อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
๗. ปี พ.ศ. ๒๔๖๕ เปาะจิกา เปิดแนวรบทั่ว ๓ จังหวัด ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง รํฐบาลจึงปราบปราม
อย่างหนัก เปาะจิกาตายในรังปืน
๘. ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ อับดุลกาเดร์ หรือ "พระยาวิชิตภักดี" ถึงแก่กรรมที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ก่อนตายได้ฝาก
อุดมการณ์เอาไว้ว่า ขอให้ลูกหลานอย่าเลิกการต่อสู้ ให้เสียสละชีวิตแลกเอาปัตตานี กลับมาเป็นประเทศเอกราชให้
ได้ นับแต่นั้นมาก็ได้มีเริ่มนับวันเวลากำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมาย
๙. ในปีเดียวกันนี้ (๒๔๗๖) ได้มีตัวตายตัวแทนอับดุลกาเดร์ปรากฎตัวขึ้น แล้วประกาศสืบทอดเจตนารมณ์
รับหน้าที่เป็นหัวหน้าโจรปัตตานี คนที่ ๑ ท่านผู้นั้นมีชื่อว่า "ตวนกู มะหมุด มะไฮยีดิน"
๑๐. ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ตวนกู มะหมุด มะไฮยีดิน ได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ เพิ่มการต่อสู้ทางการเมือง จึงสร้างมือ
ขวาของตน คือ "ตวนกู อับดุลยะลา" หรือ นายอดุลย์ ณ สายบุรี ให้ลงพื้นที่คลุกคลีกับชาวบ้าน ใช้เวลาเปิดตัวอยู่
หลายปี จึงได้มีโอกาสสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฏร นายอดุลย์ ได้รับชัยชนะลอยสำเข้าสภา
๑๑. ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ นายอดุลย์ ณ สายบุรี หรือ "ตวนกู อับดุลยะลา" ผู้แทนราษฏร ได้อภิปรายในสภาว่า ประเทศไทย
ข่มเหงรังแกพี่น้องอิสลาม ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่อยากเป็นคนไทย เพราะเป็นแล้วเสียเปรียบ แล้วกล่าวตู่ประเทศไทย
ล่าเอาปัตตานีมาเป็นเมืองขึ้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ปฎิเสธข้อกล่าวหาของ
นายอดุลย์ ณ สายบุรี ถึงแม้จอมพล ป.พิบูลสงคราม จะปฎิเสธอย่างไร แต่คำประกาศของ นายอดุลย์ ณ สายบุรี
ก็ได้ปราฎขึ้นในรัฐสภาแล้ว
๑๒. ในช่วงเดียวกันนี้ ได้เกิดปรากฎการณ์ มีห้วหน้าโจรปัตตานี ถึง ๓ ตวนกู
(๑) ตวนกูมะหมุด มะไฮมะยีดิน
(๒) ตวนกูอับดุลยะลา หรือ นายอดุลย์ ณ สายบุรี
(๓) ตวนกูมัดตารอ
๑๓. ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เกิดปรากฎการณ์ หัวหน้าโจรแบ่งแยกดินแดนใหม่ แทนพวกตวนกูทั้งสาม คนผู้นั้น คือ
"หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์" ซึ่งเป็นเชื้อสายที่แท้จริงของพระยาวิชิตภักดี หรือ "อับดุลกาเดร์" หะยีสุหลง
อัปดุลกาเดร์ ได้กระทำเยี่ยงกบฎต่อแผ่นดิน จึงถูกจับกุมตัว ถูกตัดสินให้จองจำ ๗ ปี ที่นครศรีธรรมราช แต่ได้รับการ
พระราชอภัยโทษ ปล่อยออกมาจากเรือนจำ หลังจากถูกขังอยู๋ ๓ปี ๖ เดือน
๑๔. ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ หัวหน้าโจรปัตตานีตัวแทนหะยีสุหลง ชื่อ "หะยีดือราแม" ได้ก่อ
กบฎขึ้น ที่อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เรียกว่า กบฎ"ดุชงญอ"
๑๕. ปี พ.ศ ๒๔๙๔ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ถูกจับถ่วงน้ำที่เกาะหนู-เกาะแมว จังหวัดสงขลา สร้างความโกรธแค้น
ชิงชังให้เกิดขึ้นในหมู่อิสลาม อย่างไม่เคยมีมาก่อน
๑๖. ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นักการเมืองภาคใต้ ๕ จังหวัด ประกาศนโยบายตรงกันหมดว่า ถ้าชนะการเลือกตั้ง จะแยก
ดินแดนออกมาเป็นประเทศปัตตานี ปรากฎว่าผู้สมัครที่ประกาศนโยบายแบ่งแยกดินแดน ชนะการเลือกตั้ง
ครบ ๕ จังหวัด แต่ไม่ทันได้อภิปรายในสภา จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ ได้ทำการปฎิวัติจอมพล ป. พิบูลสงคราม
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐
เรื่องราวที่มีความต่อเนื่องเป็นประหนึ่ง "นิยายเก่าแก่ปรัมปรา" เรื่องนี้ เป็นเรื่องราวที่เป็นจริง จากชีวิตจริง
ได้เกิดปัญหาเข่นฆ่าราวีติดต่อกันยาวนาน ในแผ่นดินสยาม โดยที่ประเทศสยาม หรือ ประเทศไทย ไม่ได้แก้ไข
มาแต่ต้น ทำให้เกิดการกล่าวตู่ มีการต่อสู้อย่างยอมถวายชึวิต มีการปลูกฝังให้เยาวชนรุ่นต่อมาเข้าใจผิด คิดว่า
การกระทำของตนเองเป็นสิ่งถูกต้องทั้งหมดนี้คือ การคลำหาปมเงื่อนว่าอะไรคือต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด
ผมได้นำประวัติศาสตร์โดยย่อ ตั้งแต่ปี ๒๐๒๒ ฉายให้ท่านได้เห็น "ทางเดิน" ของตัวละครมาจนถึงฉากหลังสุด
คือสิ้นสุดลงที่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ รวมเวลา ๔๗๘ ปี พอจะทำให้มองเห็นภาพว่า โจรปัตตานีนั้นมีความพยายาหนัก
หน่วงเพียงใดเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะทำให้ปัญหายุติเพียงแค่สมานฉันท์ หรือการกล่าวขอโทษ มันย่อม "เป็นไปไม่ได้เลย
" ประโยคนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดของประเทศสยาม หรือ ประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง
แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาผู้บริหารประเทศว่า ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในปัญหา ความไม่มั่นคงของประเทศไทย
ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่
บทที่ ๑๖ โจรปัตตานีสร้างหนังสือปลุกระดม ถล่มรัฐบาล โดย สอาด จันทร์ดี
ปี พ.ศ. ๒๕๐๑
สิ่งหนึงที่คนไทยต้องยอมรับความจริงว่า ชาวปัตตานี และจังหวัดอื่น เช่นชาวยะลา นราธิวาส เป็นต้น
ผู้คนส่วนใหญ่ร้อยละ ๗๕ ถึง ๘๒ เปอร์เซ็นต์ มีเชื้อสายมลายู ซึ่งได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย
ซึ่งเราได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนไทยด้วยกัน
ชาวไทยเชื้อสายมลายู มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับคนไทยทุกชนเผ่า และเราต้องยอมรับความจริงอีกเช่นกันว่า
ชาวไทยเชื้อสายมลายูได้เป็นกบฎด้วยความกล้าหาญมายาวนาน ไม่หวั่นเกรงอาญา ไม่กลัวความตาย พวกเขา
ได้สืบทอดอุดมการณ์อย่างต่อเนื่อง เกาะติดเป็นพวงเดียวกัน ไม่เคยปล่อยให้ว่างเว้นเลย
พวกเขาได้พัฒนาองค์ความรู้ อันมีทั้งยืนอยู่บนรากฐานที่เป็นจริง และการปั้นแต่งเสแสร้งแกล้งทำ
ตลอดทั้งการสร้างมุมมองให้เกริกก้องขึ้นในโลกอิสลาม พวกเขาได้รับความสำเร็จ ในการอาศัยร่มเงา
ของศาสนาอิสลาม เป็นทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อการแบ่งแยก
ดินแดน
บทที่ ๑๖ โจรปัตตานีสร้างหนังสือปลุกระดม ถล่มรัฐบาล โดย สอาด จันทร์ดี
ปี พ.ศ. ๒๕๐๑
สิ่งหนึงที่คนไทยต้องยอมรับความจริงว่า ชาวปัตตานี และจังหวัดอื่น เช่นชาวยะลา นราธิวาส เป็นต้น
ผู้คนส่วนใหญ่ร้อยละ ๗๕ ถึง ๘๒ เปอร์เซ็นต์ มีเชื้อสายมลายู ซึ่งได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย
ซึ่งเราได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนไทยด้วยกัน
ชาวไทยเชื้อสายมลายู มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับคนไทยทุกชนเผ่า และเราต้องยอมรับความจริงอีกเช่นกันว่า
ชาวไทยเชื้อสายมลายูได้เป็นกบฎด้วยความกล้าหาญมายาวนาน ไม่หวั่นเกรงอาญา ไม่กลัวความตาย พวกเขา
ได้สืบทอดอุดมการณ์อย่างต่อเนื่อง เกาะติดเป็นพวงเดียวกัน ไม่เคยปล่อยให้ว่างเว้นเลย
พวกเขาได้พัฒนาองค์ความรู้ อันมีทั้งยืนอยู่บนรากฐานที่เป็นจริง และการปั้นแต่งเสแสร้งแกล้งทำ
ตลอดทั้งการสร้างมุมมองให้เกริกก้องขึ้นในโลกอิสลาม พวกเขาได้รับความสำเร็จ ในการอาศัยร่มเงาของศาสนาอิสลาม
เป็นทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อการแบ่งแยก
ดินแดน
หนังสือเล่มสำคัญยิ่งเล่มหนึ่งได้ถูกสร้างขึ้นชื่อว่า "รวมแสงแห่งสันติ" เขียนเป็นภาษามลายู แล้วแปลเป็นภาษาไทย
เขียนโดย อามีน โต๊ะมีนาล ตึพิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑
หนังสือเล่มนี้ กล่าวหารัฐบาลร้อยแปดพันประการ พร้อมกับได้ยกย่องสรรเสริญนักรบชั้นแนวหน้าของเขา
โดยเฉพาะได้ยกย่อง "หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์" ว่าเป็นยอดวีรบุรุษของชาวมลายูในประเทศไทยปี พ.ศ. ๒๕๐๓
อามีน โต๊ะมีนาล ได้พิมพ์หนังสือใหม่อีกเล่มหนึ่ง ชื่อ "ประวัติรัฐมลายูปัตตานี" หนังสือเล่มหลังนี้กล่าวว่า
ดินแดนแถบนี้ทั้งหมดเป็นของมลายูมาก่อน ดังนั้น
ทุกคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในดินแดนนี้ ย่อมมีสิทธิถือสัญชาติมลายูใครให้พวกเขาถือสัญชาติไทยก็ถือไป แต่ในใจ
ไม่ยอมรับการเป็นคนไทย
หนังสือทั้งสองเล่ม ได้ถูกตีพิมพ์แจกจ่ายไปตามหมู่บ้านครบทุกครัวเรือน บางครัวเรือนมีมากถึง ๓ - ๔ เล่ม
หลังจากนั้น ก็ได้จัดตั้งกองกำลังขึ้นในตำบลต่างๆ มีหัวหน้ารับผิดชอบ กระจายกันออกไป สร้างความ
สับสนอลหม่าน ราชการไทยเข้าไม่ถึงหมู่บ้านมาตั้งแต่บัดนั้นปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ปีเดียวกันกับหนังสือ
"ประวัติรัฐมลายูปัตตานี" ถูกตีพิมพ์ขึ้น แล้วแจกจ่ายชาวบ้านไปจนทั่ว เป็นปีที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์
ส่งคนงานชาวอีสานลงไปช่วยเหลือการกรีดยาง ปลูกต้นยาง พวกโจรปัตตานีจำเป็นต้องยอมรับคน
งานจากอีสาน เพราะความที่ขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก แต่ในขณะเดียวกัน โจรปัตตานนีเริ่มปลุกระดม
ไปตามหมู่บ้าน กระทำการแข็งข้อให้รัฐบาลเห็นจะจะ
ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ รัฐบาลสสืบทราบมาว่า โจรแบ่งแยกดินแดนจะก๋อการร้ายขึ้น โดยจะยึดที่ทำการของรัฐบาล
และสถานที่ราชการต่างๆ โดยจะยึดพร้อมกันใน ๔ จังหวัด คือยะลา ปัตตานี นราธิวาส และจังหวัดสตูล
รัฐบาลจึงส่งกำลังลงไปจับกุมบุคคลต้องสงสัยได้จำนวนมาก แล้วเอาตัวขึ้นมาสอบสวนที่กรุงเทพฯ
รัฐบาลสอบสวนอยู่ไม่นานก็ปล่อยตัวทั้งหมด ก่อนปล่อยตัวกลับ ได้อบรมให้ความรู้และความเข้าใจ แล้ว
"มอบเงิน" ให้คนละมากๆ ซึ่งก็รู้กันในหมู่โจรว่าเป็นการซื้อใจพี่น้องคนไทยเชื้อสายมลายูมีข่าวว่าพวกโจร
ปัตตานีพากันหัวเราะงอหาย รับเงินด้วยความสนุกสนาน
บางคนยังได้รับเงินเป็นเดือนอีกต่างหา
ทางฝ่ายรัฐบาลสมัยนั้น คงคิดว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว โดยมีคำสั่งให้เก็บและทำลายหนังสือ ๒ เล่มที่ "อามีน
โต๊ะมีนาล" เขียนขึ้น
รัฐบาลไม่รู้ดอกว่า หนังสือทั้งสองเล่มนั้น ไม่ต้องถือติดมืออีกแล้ว เพราะถ้อยคำทั้งหลายได้ถูกจานลงในหัวใจ
และกลายเป็นบทบัญญัติให้ปฎิบัติตาม พวกเขาจึงพากันทำลายตามคำสั่ง และการถูกสั่งให้ทำลายหนังสือ
ทั้งสองเล่มดังกล่าว กลับยิ่งก่อให้เกิดความเกลียดชังหนักยิ่งขึ้น
จึงกล่าวได้ว่า หนังสือปลุกระดมที่แกร่งกล้าที่สุดของโจรปัตตานี คือ หนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้
ยทที่ ๑๗ การก่อการร้าย...โจรจับตัวเรียกค่าไถ่ - โดย สอาด จันทร์ดี
ปี พ.ศ. ๒๕๐๕...ก่อนสิ้นยุคจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ โจรปัตตานีเริ่มแผนการใหม่ด้วยการจับตัวเรียกค่าไถ่
สร้างความเดือดร้อนให้พ่อค้าประชาชน และก่อให้เกิดความปั่นป่วนแก่รัฐ ยากที่จะระงับเหตุการณ์ให้สงบลงได้
การจับตัวเรียกค่าไถ่แต่ละครั้ง จะมีชื่อห้วหน้าโจรกบฎขึ้นมา เดี๋ยวคนโน้น เดี๊ยวคนนี้ แต่ละคนล้วนแต่กํากั่น
น่าสะพรึงกลัว คนที่ถูกโจรจับตัวเรียกค่าไถ่ เมื่อรวดชีวิตกลับมาได้ บางคนต้องเลิกอาชีพ หลบหนีไปอยู่ที่อื่น
บางคนต้องรับผิดชอบ "ส่งเสีย" ลูกของโจรป่าให้ได้เข้าเรียนถึงขึ้นมหาวิทยาลัย โจรปัตตานีปล่อยตัวออกมา
อย่างมีเงื่อนไข
คำว่า "ส่งเสียลูกของโจรป่า" เป็นเรื่องเล่ากันในหมู่ของคนที่ถูกโจรจับเอาไปรีด บางคนก็เอาเงินสดก้อนใหญ่
บางคน...โจรไม่บีบเอาเงิน แต่ได้บังคับให้ส่งเสียบุตร ทั้งหญิงและชายให้รับผิดชอบแทน ถ้าไม่เช่นนั้น
จะเชือดคอให้ตายอยู่กลางป่า
คนที่ถูกโจรจับตัวเรียกค่าไถ่บางราย ต้องส่งเสียลูกของโจร ด้วยความรับผิดชอบและอดทน ลูกโจรเรียน
จบมหาวิทยาลัย ได้เข้ารับราชการ บางคนออกไปเป็นนักการเมือง โดยที่ลูกตัวเองต้องหยุดเรียนออกมาทำงาน
หาเงินส่งเสียลูกของโจร คนที่รู้ความจริงว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ คือ คนผู้เป็นพ่อที่ถูกโจรจับเข้าป่า คนอื่นไม่รู้ด้วย
โจรปัตตานี ทำทุกอย่างเพื่อจะหาทางเอาชนะในสงครามกบฎของพวกเขาการก่อการร้าย โจรจับตัวเรียกค่าไถ่
จึงเป็นเรื่องน่าสยดสยองยิ่งนัก
สถานการณ์การก่อการร้าย
ล้ทธิก่อการร้าย ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดในประเทศไทยยุคนี้ แท้ที่จริง การก่อการร้ายได้เกิดกับประเทศไทยมานานแล้ว
โดยที่คนไทยไม่เคยให้ความสำคัญในเรื่องนี้เลย เมือเกิดเหตุร้ายขึ้นมา ก็ไม่บอกได้ว่าเป็นเหตุร้ายแบบไหน
ลัทธิก่อการร้าย (terrorist) เป็นลัทธิของคนป่าเถื่อน ใช้ปฎิบัติการไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ คนที่บงการ
ให้ทำ เป็นพวกไม่มีศาสนา ไม่รู้จักบาปบูญคุณโทษ แต่คนพวกนี้ จะอ้างการกระทำว่า เป็นความประสงค์ของ
พระผู้เป็นเจ้า แล้วก็มีคนขานรับว่า การก่อการร้าย เป็นแนวทางการต่อสู้ที่ถูกต้อง การก่อการร้ายที่ยิ่งใหญ่
หมายถึง"นักรบ" ของกระบวนการนี้ ได้รับการปลูกฝังล้างสมอง ให้มีความกล้าหาญถึงขั้นยอมตายถวายชีวิต
ลัทธิก่อการร้ายได้กลายเป็น "หอกเล่มใหญ่" ไล่ล่าฆ่าคนปานว่าเล่นบนโลกกลมๆใบนี้ โจรปัตตานีได้ใช้ลัทธิ
ก่อการร้าย ทำสงครามกับรัฐบาลรัฐบาลที่ไม่มีความรู้พื้นฐานในปัญหาของตนเอง ตกเป็นเหยื่อของพวกผู้ก่อ
การร้ายอย่างขนานใหญ่ สิ่งที่ทำให้ตกเป็นเหยื่ออย่างร้ายกาจ ได้แก่ "ยุทธวิธี" ที่แตกต่างกัน โจรก่อการร้าย
ยิงมาจากมุมมืด...ยิงตายแล้ว กระโดดขึ้นคร่อมศพ เยี่ยวรดศพ ประจานให้เสียหาย แล้วคว้าอาวุธของทหาร
ตำรวจติดมือไปด้วย
ทหาร ตำรวจ อยู่ในทีสว่าง...เป็นที่โล่งตา มองเป็นเป้านิ่ง จึงถูกถล่มอย่างเมามัน
นอกจากนี้ โจรปัตตานียังใช้วิธีการก่อวินาศกรรม (Sabotage) เช่นวางระเบิดทางรถไฟ ขุดหลุมให้รถตก
ไปทั้งคัน จุดระเบิดด้วยมือ วิธีแบบนี้ วงการลัทธิก่อการร้ายเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "แซบโบตาจ" ดังที่ผมวงเล็บ
เอาไว้นั่นแหละครับ
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ตกอยู่ในสถานการณ์สงครามโจรก่อการร้าย ที่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อ
ประเทศชาติและประชาชน โดยมีความไม่มั่นคงของดินแดนเป็นเดิมพัน รัฐบาลยังไม่ได้ขยับทิศทางแก้ปัญหา
ที่เป็นแฟคเตอร์ที่แท้จริงเลยถ้ารัฐบาลอยากทราบว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร โปรดดูข้อเสนอแนะ และการแส่ดง
ความคิดเห็นแนวทางแก้ปัญหา ที่ได้น้อมนำมามอบให้ด้วยความปรารถนาดี ในหนังสือเล่มนี้ผมนำรูปภาพ ๓ แผ่น
มาให้ดู จะเห็นการก่อการร้าย มีความเลวร้ายเพียงใด
ภาพเหล่านี้ ฟ้องให้เห็นสถานการณ์ที่แท้จริงว่า มันเป็นสถานการณ์ก่อการร้าย ที่จะต้องหาทางทำให้สงบ...
ไม่ว่าจะสูญเสียมากมายเพียงใด เพราะว่า ถ้าโจรไม่เลิก ก็อย่าหวังเลยว่า ๓๐ ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะ
ร่มเย็นขึ้นมาได้ ??!!!ทหารหาญ...ก็ตายเกลื่อน
ตำรวจ ทหาร อยู่ในที่โล่ง โจรปัตตานี เร้นกายอยู่กับมุมมืดและฝูงชน ไม่ง่ายเลยที่จะปกป้องตัวเอง
ทหารเองถือปืนเป็นเป้านิ่ง เขาจะยิงเมื่อใด...จากมุมไหน ใครจะไปรู้ รู้อีกที...ตายเป็นผีไปแล้ว
ฝ่ายรัฐบาล ได้พยายามอย่างไหญ่หลวง ที่จะใช้วิธีการ "สมานฉัทน์" ด้วยการส่งทหารไปคุ้มครองประชาชน
นั้นเป็นผลพวงทางความคิดที่ถูก "ไส้ศึก" วางแผนให้หลงทางทหารกับตำรวจ จึงกลายเป็นเหยื่อขิ้นแล้วชิ้นเล่า
ประชาชนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ท่านผู้อ่านที่เคารพ...ท่านรอคอยรับทราบตัวเลขความสูญเสีย ถูกเผา ถูกฆ่าตัดคอ
ถูกถล่มกลางไรสวน และโปรดรอรับทราบตัวเลขความตาย... ทหารหาญก็ตายเกลื่อนผมจะรวบรวมทำงาน
ประชาชน...ให้ท่านได้รับรู้ ใครกันแน่ที่ถูกฆ่าตายบังเกอร์ จุดยั่วการโจมตีทหารคิดว่า บังเกอร์จะช่วยให้ปลอดภัย
ได้นั้นเป็นความเข้าใจแบบทหารพวกโจรปัตตานี ชอบนัก...บังเกอร์ตายและสะดวกในการยิงถล่มดังภาพนี้...
บังเกอร์ไม่สามารถป้องกันได้เลย การรบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็นนรกของทหาร เพราะว่า...
โจรไม่มีบังเกอร์โจรมาวูบใหญ่เหมือนโจรนินจา...ถล่มแล้วถอยบังเกอร์ คือจุดยั่วการโจมตีระเบิดวัดเมื่อเห็นภาพ
แล้ว ขอให้ใช้สติปัญญาการอ่าน อย่าเข้าใจว่าเป็นการปลุกระดม แต่ขอให้เข้าใจเนื้อหาของหนังสือเล่มนนี้ ที่เปิด
โปงแผนการของโจรปัตตานี พวกโจรปัตตานี อาศัยการสร้างคัมภร์ปลอม หลอกลวงพี่น้องอิสลามว่า "ฆ่าพุทธ"
แล้วได้บุญ โดยเฉพาะการทำลายวัด ฆ่าพระ ยิ่งจะได้บุญมาก
คำหลอกลวงพวกนี้ ถ้าหลอกลวงแล้วไม่มีคนเชื่อก็จะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ปัญหามีอยู่ว่า มีคนหลงเชื่อ ว่าฆ่าพระ ฆ่าชาวพุทธแล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า ทำให้พระและวัดได้รับความ
เดือดร้อนแสนสาหัส ชาวพุทธทั้งหลาย ถูกไล่ล่าฆ่าฟัน ถ้าไม่หนีเอาตัวรอก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีรอให้ราชการมา
แก้ปัญหา จนป่านนี้ยังแก้ปัญหาไม่ได้ (ธันวาคม - ๒๕๔๙) !!
ยิ่งอำนาจรัฐในห้วงเวลานี้ไม่มีเหลือแล้ว ยิ่งหมดโอกาสแก้ดังนั้น วิธีหนึ่ง ที่จะต้องทำให้เห็น คือชี้ให้ดูว่า พวกโจร
ปัตตานีเล่นงานวัดอย่างป่าเถื่อน ผมเอาภาพถ่ายหน้าวัดตันหลงมัส ที่ถูกวางระเบิด มาให้ดู โดยที่ชาวพุทธไม่เคย
ไปทำลายมัสยิดตอบโต้เลยคนพุทธไม่กล้าเพราะกลัวบาป !!
ผมไม่อยากเอาภาพโจรเผาวัด ฆ่าสับคอพระมาลง เพราะไม่ต้องการปลุกระดม !!
บทที่ ๑๘ - ๑ ช่วง...โฉมหน้าโจรหดหายไป / โดย สอาด จันทร์ดี
ท่านผู้รักชาติ โปรดอ่านต่อไป....
ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๒๕
ในยุคประเทศไทยมีพรรคคอมมิวนิสต์ (พคท.) รบกับรัฐบาล เป็นยุคที่โจรแบ่งแยกดินแดนเลื่อนไหวรุนแรงไม่ได้
เพราะรัฐบาลก็ใช้กำลังปราปปรามกับ ผกค. อย่างถึงพริกถึงขิง พวกโจรที่ก๋ากั่นออกมา ก็จะถูกปราบอย่างไม่ไว้หน้า
ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย ทำให้พวกโจรต้องหลบฉากรักษาตัวรอดเอาไว้ก่อน แต่พวกโจรปัตตานี และโจรจับ
ตัวเรียกค่าไถ่จำนวนหนึ่ง ได้รับความเสียหายสูญเสียกำลังพลไปไม่น้อย
ทางการสืบทราบมาว่า โจรปัตตานีได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) เป็นการให้ความช่วย
เหลือในฐานะหัวอกเดียวกัน แต่อยู่บนเงื่อนไข "มิตรและสหาย" สถานเดียว ไม่ใช่เป็นการร่วมอุดมการณ์
ในขณะพรรคคอมมิวนิสต์ทำสงคราม เพื่อหวังจะเปลื่ยนแปลงระบอบการปกครอง ให้ได้ไม่เกินปี ๒๕๒๕ นั้น
โจรปัตตานีตระหนักดีว่า ถ้าพรรคคอมมิวนิสต์ชนะศึก พรรคคอมมิวนิสต์ก้จะใช้ลัทธิเผด็จการ รวบอำนาจการ
ปกครองเป็ดเสร็จ ไม่มีทางที่ปัตตานีจะเรียกร้องอะไรได้ ดีไม่ดีอาจถูกปราบแบบถอนรากถอนโคนอีกด้วย
โจรปัตตานีจึงหันไปพัฒนาบุคลากรอย่างขนานใหญ่ เพราะเชื่อว่า ถ้าขบวนการ "พูโล" มีผู้คนที่ทรงภูมิปัญญา
เขาหล่านั้นจะสามารถต่อกรกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้ในภายหลัง พวกโจรปัตตานีหรือ "โจรพูโล" จึงทุ่มเงินลง
ไปเพื่อพัฒนาคนในช่วงดังกล่าวนี้ โฉมหน้าของโจรก่อการร้าย " ปรากฎไม่มาก" จะมีอยู่ไม่กี่คน เช่น "เปาะสู"
เป็นต้นในระยะเวลาดังกล่าวนี้ โจรปัตตานีได้คัดสรรตัวแทนส่งไปศึกษาต่อทั้งในตะวันออกกลาง ประเทศยุโรป
-ตะวันตก รวมถึง อเมริกา คณะกรรมการพัฒนาการศึกษา ได้ติดตามดูแลตัวแทนที่เป็นนักศึกษา มีการประเมินผล
และวัดผล เก็บข้อมูลอย่างสมบูรณ์ว่า เยาวชนที่คณะกรรมการออกทุนให้นั้น เมื่อกลับมาเมืองไทย จะได้เป็นเพชร
เม็ดงามของพวกขบวนการพูโล สืบทอดอุดมการณ์ของอับดุลกาเดร์และหะยีสุหลง นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาต่อไป
ฝ่ายราชการที่ไม่ประสากับความลึ้ลับของเรื่องนี้เป็นทุนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อข่าวคราวที่น่ากลัวเริ่มจางลง ก็ทึกทักเอาว่า
โจรปัตตานีกำลังจะหมดไปจากประเทศไทยรัฐบาลเองก็ได้ใช้จ่ายเงินทุนส่งเสริมพวกโจร ให้พวกเขาได้รับการ
ฝึกที่ต่างประเทศ
8 พฤษภาคม 2550 01:28 น.
sangtien
รัฐบาลชุดนี้แม่งทำอะไรอยู่ ไม่สนใจประชาชนเลย มัวแต่นั่งเสวยสุข
http://www.chaotainews.com/
http://www.pantown.com/board.php?id=18822&area=3&name=board4&topic=2234&action=view
ข่าวคราวทั้งหลายก็สั่งปิด ไม่ยอมเผยแผ่
1 พฤษภาคม 2550 20:45 น.
sangtien
.........ยะลา ปัตตานี นราธิวาส เป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร แทบจะกล่าวได้ว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เฉพาะจังหวัดปัตตานีกับจังหวัดนราธิวาสนั้น ตั้งอยู่ติดกับอ่าวไทย ใกล้ประเทศมาเลเซีย จึงเรียกว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้
โจรก่อการร้าย ได้ทำสงครามนอกรูปแบบหนักหน่วงที่สุดใน ๓ จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พื้นที่สงครามเกิดขึ้นที่ทุกหนทุกแห่ง จนแทบจับต้นชนปลายไม่ถูก ชือของอำเภอเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเป้าถูกโจมตี เช่น อำเภอหนองจิก ยะหริ่ง แม่ลาน ทุ่งยางแดง ปะนาเระ มายอ รามัน บันนังสตา สายบุรี กะพ้อ บาเจาะ รือเสาะ ครีนคร ไม้แก่น ยี่งอ ระแงะ เจาะไอร้อง เบตง จะแนะ สุดิริน สุไหงโก-ลก สุไหงปาดี และ ตากใบ
เฉพาะอำเภอเจาะไอร้อง ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้จดจำ ทหารค่ายพัฒนาถูกโจรปล้นเอาปืนไป ๓๐๐ กว่ากระบอก ฆ่าทหารตาย ๔ คน ก่อนฆ่าได้ขึ้นเหยียบอก ตะโกนว่า **เป็นพุทธ**ต้องตาย ฆ่าแล้ว ยังทำร้ายและเหยียบหยามศพอีกต่างหาก วิธีการเหยียบหยาม มีข่าวลือมาว่าได้ฉี่รดศพ เอาฝ่าเท้าประทับไว้ที่ใบหน้า
๔ มกราคม ๒๕๔๗ ...เป็นปีแห่งความทรงจำที่รัฐบาลในสมัยนั้น...คือรัฐบาลพรรคไทยรักไทยพยายามจะไม่กล่าวถึง นอกจากไม่กล่าวถึงแล้ว ยังมีคำพูดออกมาจากปากนายกรัฐมนตรีว่า "สมควรตาย" อีกด้วย
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในสภาพภูมิศาสตร์ที่ดีเยี่ยม ไม่เคยถูกพายุถล่ม ไม่เคยมีแผ่นดินไหว เส้นทางคมนาคมไปมาหาสู่กันสะดวก ทั้งทางรถไฟ และการขนส่งทางบก การใช้สนามบินขึ้นลง ใช้สนามบินหาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล จึงกล่าวได้ว่า ยะลา ปัตตานี นราธิวาส มีความเจริญไม่แพ้จังหวัดอื่น
ถ้าไม่มีปัญหาก่อการร้ายในสามจังหวัดนี้ ประเทศไทยทั้งประเทศจะมีแต่ข่าวคราวของความสงบ ชื่อเสียงของประเทศจะโดดเด่นงดงาม และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น รัฐบาลแก้เกมโจรไม่ตก หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า "เอาโจรไม่อยู่" แถมพวกโจรเอง ได้มีเครือข่ายอยู่ต่างประเทศ คอยใส่ร้ายป้ายสี ยิ่งทำให้ข่าวที่เสียหายเกิดขึ้นกับประเทศไทยสุดที่จะหาทางเยียวยา
ขบวนการต่างๆในประเทศไทย ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา ข้อเรียกร้องหนึ่งที่ได้ผลมาก ได้แก่ข้อเรียกร้อง "ไม่ให้รังแกประชาชน" , " ให้หยุดการอุ้มฆ่า" สมาชิกวุฒิสภาหลายคนได้ดาหน้าออกมาให้หาทางสมานฉันท์ เยียวยาประชาชนโดยไว
ผลก็คือเข้าทางโจร
ฝ่ายโจรนั้นได้กล่าวร้ายป้ายสีรัฐบาลมายาวนาน หาว่าข้าราชการรังแกประชาชน มีการพูดอภิปรายในรัฐสภาด้วยฝีปากคมกล้า บอกเรื่องราวความ**มโหดเป็นฉากๆ จนสามารถทำให้ประชาชนและชาวบ้านทั่วไปเชื่อว่า ข้าราชการที่ภาคใต้รังแกประชาชนจริง
ประชาชนเกิดความเกลียดชังร่วมไปด้วย
แท้ที่จริง มีแต่โจรรังแกข้าราชการ
พวกข้าราชการนั้น น้อยนักที่จะเหยียบขาเข้าไปในหมู่บ้านได้ ยิ่งมาถึงยุค พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่ได้ประกาศขอโทษแทนรัฐบาลทักษิณ ตำรวจหมดโอกาสเหยียบเข้าไปในหมู่บ้านเด็ดขาด ตั้งแต่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
ความจริง ตำรวจและข้าราชการ หมดโอกาสเข้าหมู่บ้านมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยุคก่อนโน้นหรือปัจจุบันนี้ คนที่รังแกเขาจริงๆ คือ โจรปัตตานี
แต่มันช่างแปลก คนที่รังแกเขาทุกวัน" คือโจร" แต่ปากของโจรกลับประกาศว่า "ถูกรังแก"
ช่างแปลกอีกเช่นกัน..สมรรถภาพการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลทำไมจึงอ่อนยวบ ไม่มีวี่แววฉลาดทันโจรเลย ขนาดถูกรังแกไม่เว้นแต่ละวัน ก็ยังเป็นทองไม่รู้ร้อน คนทีคับแค้นใจก็ได้แต่รับแค้น ไม่มีทางไหนที่จะทำให้หายคับแค้นได้
เมื่ออยู่ในหน้างาน ผมมองหาคีย์แมนโทน เพราะบางทีอาจจะได้รับฟังข่างใหม่ๆขึ้นมาบ้าง ผมบอกให้คนไปตามหาโทน ให้มากินข้าวเที่ยงด้วยกัน
คุณช้าง หรือ ชูศิษย์ เลาวนากิจกุล กินข้าวแล้วถือโอกาสนอนบนเก้าอี้งีบหลับเอาแรง ผมพาโทนเข้าไปนั่งคุยกันที่มุมห้องทำงาน ผมถามโทนว่ามีข่าวอะไรไหม...โทนมองออกไปทางหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว จึงกระซิบบอกผมว่า "ผมกำลังจะหาทางออกนายหัว ข่าวว่าดอเยาะจะเผา "โซโย" อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ครับ..."
โอ๊ะ...ผมครางออกมา
"อย่าไปยุ่งดีกว่านายหัว พวกนี้..ถ้ามันจะทำมันก็ต้องทำ"
อ้าว..แล้วก็บริษัทของเราล่ะ...? ผมร้อง โทนบอกว่า "ไม่เกี่ยว"
ผมได้รับข่าวด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ผมต้องระวังตัวแจ กลัวมันจะรู้ว่าผมอยู่ตรงนั้น จึงยิ่งต้องระวัง โทนเองก็ไม่รู้ว่าผมเขียนคอสัมน์ด่าพวกโจรป่าทุกวัน แม้ว่าหนังสือพิมพ์บ้านเมืองจะมีขายที่หาดใหญ่และภาคใต้ทุกจังหวัด ก็ไม่มีใครรู้นามปากกาของผม
คีย์แมนโทนเขารักผม เพราะความเป็นอีสานด้วยกัน เขาได้ประโยชน์เกี่ยวกับอาชีพการงานไม่น้อยเลย ความรักมันจึงถูกวางไว้บนความไว้วางใจ
หลังพักเที่ยง ผมมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นโครงสร้างของโรงแยกแก๊สเริ่มมีสิ่งก่อสร้างหนาตาขึ้น ถ้าการก่อสร้างเสร็จ โรงแยกแก๊สจะมีรูปร่างเหมือนโรงกลั่นน้ำมัน
ห่างออกไปทางทิศตะวันตกของสำนักงานที่ผมนั่งทำงานประมาณ ๒๕๐ เมตร เป็นสถานที่ตั้งของบริษัท "โซโย" ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาช่วงเช่นเดียวกับพวกผม ทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของบริษัท "เร็ดซี" รับเหมางานประเภทเดียวกัน บริษัทอิตาเลี่ยนไทย ตั้งสำนักงานอยู่ทางปากทางออก
ผมกระวนกระวายใจอยากบอกข่าวนี้ให้ "ซัมซุง" รู้ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องบอกให้ได้ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง รู้แล้วจะทำเป็นเงียบเห็นไม่ใด้แน่ คิดแล้วก็เลิกงานในวันนั้น แต่ยังเลิกหลังคนอื่นตั้ง ๒ ชั่วโมง เพราะต้องตรวจดูความเรียบร้อย เพื่อจะได้เตรียมงานในวันรุ่งขึ้น ผมกลับถึงบ้าน แวะไปกินข้าวเย็น แล้วอาบน้ำ นุ่งชุดนอนเข้าห้องนอนไหว้พระสวดมนต์เสร็จ ถือโอกาสเจริญสมาธิประมาณ ๓๐ นาที เสร็จแล้วก็ล้มตัวลงนอน
ผมนอนหลับสบายตลอดคืน
ตื่นแต่ตีห้า...รีบกระวีกระวาด ลงไปหารถที่จอดรอรับอยู่แล้ว
ผมเดินทางถึงโรงแยกแก๊ส...ในขณะตะวันสีแดงดวงกลมโตกำลังโผล่พ้นขอบฟ้า แต่บรรยากาศประตูทางเข้าไปทำงานวันนี้ เงียบเหงาผิดปกติ ผู้คนบางตา ทหาร ตำรวจ ที่ปักรักษาความปลอดภัย ดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
หน้าประตูใหญ่ มีรถดับเพลิงของเทศบาลจอดอยู่ ๑ คัน ลุงร้านกาแฟมองดูหน้าผม แล้วกระซิบบอกเสียงหนักๆ "ไฟไหม้โซโยตอนตีสองวอดไปทั้งหลัง" พูดจบก็เดินไปชงกาแฟ คนอื่นๆได้ยินพากันเงียบ ไม่มีใครถามหาว่าเกิดอะไรขึ้น
"โทน.." ผมครางอยู่ในใจ "โจรมันเผาเร็วกว่ากำหนด"