1 พฤษภาคม 2550 20:43 น.

บทที่ ๖ โจรป่าเผยแพร่ อุดมการณ์รัฐปัตตานี โดย สอาด จันทร์ดี ๖

sangtien

อ่าน "กระเทาะเปลือก ไฟใต้ ใครบงการ" มาโดยตลอด
เชิญอ่านต่อในตอนที่ ๖ ได้แล้ว.....

โจรป่าเผยแพร่อุดมการณ์รัฐปัตตานี

ในปี ๒๕๐๐ ยุคจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ เป็นยุคที่การเลือกตั้งที่ภาคใต้ไม่เรียบร้อย 

สาเหตุเกิดมาจากพวกนักการเมืองที่สมัคร ส.ส. ได้ประกาศนโยบายออกมาตรงกันหมด ด้วยการประกาศว่า ถ้าชนะการเลือกตั้ง จะแยกดินแดนออกมาเป็นประเทศ จะยกปัตตานีเป็นเมืองหลวง และยังได้ยกเอาพระศาสนาขึ้นมาเป็นเครื่องมือหาเสียง สร้างกระแสให้ประชาชนเกิดความต้องการที่จะเป็นอิสระจากประเทศไทย

โจรก่อการร้ายได้ขยายอุดมการณ์จากป่าเข้าสู่เมือง
พุ่งตรงไปที่รัฐสภา โจรวางแผนเข้าไปปลุกระดม บุกถึงรํฐสภา

ในปีพ.ศ. ๒๕๐๐ นั้น มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่น่ารู้มากมาย
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐ การเลือกตั้งทั่วไปเต็มไปด้วยการทุจริตหลายรูปแบบ
พรรคเสรีมนังคศิลา ชนะท่วมท้น

๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ ยึดอำนาจ ทำให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนีภัยหลบออกนอกประเทศ ต่อมาได้ถึงแก่กรรมที่ประเทศญี่ปุ่น

๑๕ ธันวาคม ๒๕๐๐ มีการเลือกตั้งทั่วประเทศใหม่ นายพจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรี
ในปีนี้เอง โจรได้ขยายฐานจากป่าเข้าสู่รัฐสภา จะพูดจะจาอะไรก็ตรงไปตรงมา พวกเขาบอกว่า เขาเป็น ส.ส. ของรัฐปัตตานี มีหน้าที่ต่อสู้เพื่อการปลดปล่อย และให้การคุ้มครองประชาชน ไม่ให้ถูกรังแก

ส.ส. ในรัฐสภาพากันรู้และเห็นทุกอย่างแต่ไม่มีการใครจะสามารถคลี่คลายปัญหาได้แต่ยังโชคดีอยู่ที่สภาอยู่ได้ไม่นาน ส.ส. ทั้งหลายต่างพากันแยกย้ายกลับบ้าน การเผยแพร่อุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนในรัฐสภา จึงหยุดไปด้วย ทว่า...ณ หมู่บ้านต่างๆใน ๓ จังหวัดชายแดน กลับเต็มไปด้วยความเข้มข้น มีการปลุกระดมตลอดทั้งปี

มีการจัดตั้งกลุ่มยุวอิสลาม ยุวแนวหน้า และมวลชนอิสลามกู้ชาติ ตลอดทั้งกลุ่มแนวร่วม รวมแล้วมากกว่า ๒๕ กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีธงหรือสัญลักษณ์เป็นของตนเอง โดยมีธงปัตตานีเป็นแกนหลักให้ทุกกลุ่มยึดถือเป็นโองการเดียวกัน

โจรได้สอดแทรกศาสนาอิสลามเอาเข้ามาใช้เป็นแก่นทฤษฏี ทำให้นักการเมืองทุกคน กลายเป็นนักการเมืองของนักรบ โดยมีเจตน์จำนงรบเพี่อชนเผ่าตนเอง ถ้านักการเมืองคนไหนแสดงออกไม่ตรงตามอุดมการณ์ จะมีการปล่อยข่าวประนาม ให้รู้กันไปในหมู่ประชาชน รวมทั้งถ้า "อิสลาม" คนไหนได้เป็นใหญ่เป็นโตในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอะไรก็ตาม ถ้าไม่ช่วยรบก็จะต้องไม่รังแกพวกเดียวกัน...

กระบวนการ "พูโต" ได้ปลูกฝังความเชื่อและความแน่วแน่ยากที่จะอธิบาย นี้คือเรื่องราวส่วนหนึ่งที่เป็นเรื่องจริง นับแต่ยุคของ "อับดุลกาเดร์"ผ่านไป มาจนถึงนักการเมือง 
นักกการค้า นักการเคลื่อนไหวต่างๆ ตลอดทั้งหัวหน้าองค์กรคนใหม่ ได้เข้ามาทำงานบัญชาการรบ แทนหัวหน้าคนเก่าที่ล้มหายตายจาก ทำให้เราได้เห็นปูมหลังที่เด่นชัดขึ้น

ฉากความวุ่นวายได้เกาะเกี่ยวเป็นลูกโซ่ร้อยกันเป็นพวงต่อเนื่องกัน อย่างไม่ขาดสาย โดยมีตัวละครที่สืบทราบได้ ไม่ได้มีความลี้ลับอะไรเลย แต่ที่มันลี้ลับก็เพราะ ประเทศไทยติดอยู่กับทางตันแก้ไม่ตก จะขยับไปข้างหน้าก็เจอเข้ากับการก่อวินาศกรรม การเข่นฆ่ารายวัน จะถอยหลังก็จะถูกเขาเฉือนดินแดน และยังถูกไส้ศึกแอบเล่นงานอยู่ข้างใน

ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งหมด เกิดจากรัฐบาลไทยทุกรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง มีอำนาจแต่ไม่มีสติปัญญา ไม่เคยจัดตั้งกลไกใดขึ้นมาเป็นตัวขับเคลื่อนในการแก้ไข รัฐบาลทุกรัฐบาลทำแบบสุ่มเสื่ยง เช่น เอาตำแหน่งและลาภยศมาล่อ รวมทั้งเอาผลประโยชน์มาเป็นเครื่องจองจำ หมายจะให้โจรปัตตานีติดกับ แต่โจรไม่เคยติดกับเลย รัฐบาลตะหากกลายเป็นฝ่ายติดกับ

ยิ่งรัฐบาลทำไปมากเท่าใด ยิ่งตกเป็นทาสในเรือนเบี้ยของโจรยากที่จะหลีกเลี่ยง 

สุดท้าย รัฐบาลเอง ได้ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับพระพุทธศาสนาอันเป็นพระศาสนาที่มีคนไทยร้อยละ ๙๔.๓ เพื่อจะหาทางให้เกิดความสงบสุข โดยปล่อย คนพุทธถูกไล่ฆ่าฟัน ตัดหัวเสียบประจาร รวมไปถึงเอารถแทรคเตอร์โค่นล้มสวนยาง จุดไฟเผา ขับไล่ให้ออกไปจากผืนดิน

สุดท้าย ชาวพุทธต้องหนีตายไปพึ่งวัด
ทั้งหลายทั้งปวงนั้นล้วนแต่เกิดจากความผิดพลาดของรัฐบาลทั้งสิ้น
เรื่องนี้ยังไม่จบ...จะกล่าวถึงในบทต่อไป				
1 พฤษภาคม 2550 20:40 น.

บทที่ ๕ ปูมหลังปัตตานี (ในตำรา) ภาค ๒ โดย สอาด จันทร์ดี

sangtien

เริ่มแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐...เป็นต้นมาการก่อการร้ายที่เคยมีมาแต่ก่อนอย่างไร ยังคงมีอยู่อย่างไม่เลิกราในระยะหลังๆนี้ พวกโจร อดีตบริวารของอับุดุลกาเดร์มาจนถึงยุค ๓ ตวนกูผู้ยิ่งใหญ่ พากันมีวิธีสรางเงื่อนไขแหลมคมขึ้นทุกที เช่น การไม่แสดงความเคารพต่อสัญลักษณ์ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใต ทำอะไรขัดข้องขึ้นมาหน่อย จะโวยวายหาว่าเห็นพวกเขาเป็นอิสลาม เลยถือโอกาสบั่นทอนเสรีภาพหรือไงนี่ถ้าเป็นพุทธจะเป็นอย่างนี้ไหม เขาถามประชดประชันอย่างนี้

รัฐบาลในสมัยนั้น พากันหนักใจ ไม่เข้าใจวิธีแก้ปัญหา จึงใช้วิธีการ"ใช้เงินซื้อ" โดยเชื่อว่าอำนาจเงินจะสามารถทำให้โจรเปลี่ยนใจได้ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ การก่อการร้ายยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะได้แก่การจับตัวเรียกค่าไถ่

คราวนี้ ชื่อของ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ปรากฎขึ้นมาในทำเนียบของหัวหน้าแบ่งแยกดินแดน ในระดับหัวหน้าใหญ่ มีเครือข่ายบริวารอีกมากมาย

หะยีสุหลง...ชื่อนี้ คนไทยในประเทศไทยได้รับทราบและรับฟังมายาวนาน

หะยีสุหลง อัปดุลกาเดร์ ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของ "อับดุลกาเดร์" ได้กระทำอย่างเปิดเผย ไม่มีปิดบังอำพราง เขาประกาศปลดปล่อยปัตตานี ประกาศเสริมกำลังขบวนการ "พูโต" มีกองกำลังแยกย้ายกันทำงานในหลายจังหวัดที่ภาคใต้อย่างเอาเป็นเอาตาย

รัฐบาลจึงจับกุมตัว ส่งฟ้องศาลที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พิพากษาให้จำคุก ๗ ปี

ในระหว่างหะยีสุหลงอยู่ในคุก...คิดว่าจะไม่มีใครบังอาจกระทำการอีก ที่ไหนได้ คราวนี้มีหัวหน้าคนใหม่ชื่อ หะยีดือราแม...

ปี พ.ศ.๒๔๙๑ หะยีดือราแม ก่อกบฎขึ้นที่อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เรียกว่ากบฎ 
"ดุชงญอ" มีการปะทะกันอย่างหนัก เป็นสงครามย่อยๆ ไล่ล่าฆ่าแกงกันใกล้กับชายแดน พวกสมุนบริวาร กระจายอยู่ตามอำเภอเจาะไอร้อง สุไหงปาดี ตากใบ

ท้ายสุด หะยีดือราแม หัวหน้ากบฎ "ดุชงญอ" สู้ไม่ได้ หนีข้ามฝั่งไปกบดานอยู่รัฐกลันตัน

ปี ๒๔๙๓...ประตูเรือนจำได้เปิดออก
นักโทษกบฎคนสำคัญได้รับพระราชทานอภัยโทษ เดินออกมาจากคุก...เขาผู้นั้นคือ 
หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ เขาได้รับอิสรภาพ หลังจากอยู่ทนทุกข์ทรมานในคุก ๓ ปีกับ ๖ เดือน

ทว่า...ในปี ๒๔๙๔ ข่าวน่าตกใจเกิดขึ้น
หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ถูกจับถ่วงน้ำที่บริเวณเกาะหนู-เกาะแมว จังหวัดสงขลา ข่าวว่าตำรวจที่พอจะทราบเรื่องราวความเป็นมา มีชื่อ พ.ต.ท. บุญเลิศ เลิศปรีชา รวมอยู่ด้วย

ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา...
ปูมหลังปัตตานี (ในตำรา) ภาค ๒ จึงฉายให้เห็นภาพความขัดแย้ง ได้ถือกำเหนิดเกิดมาอย่างยาวนาน โดยที่ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าถูกปกครอง แต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า "ไม่จริง" เราไม่ได้ไปเอาพวกท่านมาปกครอง เราเป็นเจ้าของแผ่นดินตรงนี้มาเนิ่นนานแล้ว พวกท่านอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารต่างหาก มาอยู่แล้วก็ไม่ว่า เราเป็นคนไทยด้วยกัน อย่ามาแบ่งแยก

การกล่าวเช่นนี้ ยิ่งยุให้เกิดการโต้แย้ง มีการต่อสู้หนักหน่วงยิ่งขึ้น

ยิ่งเมื่อหะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ถูกจับถ่วงน้ำ มันกลายเป็นว่าช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่อยู่ ข่าวลือถูกขยายความไปต่างๆนานา ล้วนแต่เสียหาย

รัฐบาลเอง ทำเป็นไม่รู้เรื่องในการตายของหะยีสุหลง แต่ชาวบ้านแถบนั้น รู้กันไปจนทั่ว เพราะจุดเกิดเหตุ ตั้งอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ ๕๐๐ เมตร เท่านั้น

ตอนที่ผมไปทำงานเป็นผู้จัดการของบริษัท ยูโนแคล ผมนั่งมองดูจุดเกิดเหตุจากโรงแรสมิหลา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔ โดยมีเพื่อนนักหนังสือพิมพ์เล่าให้ฟัง ท่านผู้นี้คือนายสะพรั่ง จันทรัตน์ และยังได้นำเอาประวัติศาสตร์เก่าๆมาเปิดเผย เล่าให้เห็นภาพของพวกโจรว่า แต่ละคน**มโหดผิดมนุษย์...เขาทำบาปเอาไว้มาก กรรมสนองกรรม นายสะพรั่ง บอกกับผม				
1 พฤษภาคม 2550 05:33 น.

บทที่ ๔ (ตอนจบ) ปูมหลังปัตตานี (นอกตำรา) ภาค ๑ โดย สอาด จันทร์ดี

sangtien

สิ่งที่เล่ามานี้เป็นปูมหลังของปัตตานี (ในตำรา) ซึ่งจะขอเล่าต่อไปว่า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ หรือก่อนหน้านี้ ความว่าชื่อของเมืองลังกาสุกะไม่มีเหลืออยู่ในความทรงจำอีกแล้ว มีแต่ปัตตานีชื่อเดียว ปัตตานีในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์เป็นเมืองที่ขึ้นตรงต่อกรุงสยาม แต่มีอำนาจยิ่งนัก มีเมืองเล็กเมืองน้อยขึ้นต่อรัฐปัตตานีอีกต่างหาก

ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๓๕๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงปริวิตกกังวลว่าจะเกิดการแข็งข้อ จึงได้แบ่งแยกดินแดนปัตตานีออกมาเป็น ๗ หัวเมือง ให้แต่ละเมืองมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง ขึ้นตรงต่อกรุงสยาม หรือกรุงเทพฯ

นี้เป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางร้ายแรงครั้งประวัติศาสตร์ของชาติไทย

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองหัวเมืองครั้งใหญ่ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระองค์ทรงให้ยกเลิกระบบเจ้าเมืองพระยามหานคร อันหมายถึงปัตตานีจะเก็บส่วยจากเมืองต่างๆส่งต่อไปให้เมืองหลวงไม่ได้อีกแล้ว ทางกรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนวิธีการใหม่ ให้แต่ละเมืองเก็บส่วยส่งเมืองหลวงโดยตรง ไม่ต้องผ่านปัตตานี ทั้งนี้เพราะเกรงว่าระบบพระยามหานครจะเบียดบังการเก็บส่วย ไม่จัดส่งตามที่เก็บได้มา

ส่วยในที่นี้ หมายถึงระบบภาษีอากรนี้แล

ระบบใหม่ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาใช้ เรียกว่า ระบบมณฑลเทศาภิบาล โดยอาศัยวิธีทรงตั้งข้าหลวงเทศาภิบาล ต่างพระเนตรต่างพระกรรณขึ้นมาดูแลรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินโดยส่วนรวม

คราวนี้ ยิ่งก่อให้เกิดความบาดหมางรุนแรงยิ่งขึ้น

พระยามหานครที่ไม่พอใจมากที่สุดมีนามว่า อับดุลกาเดร์ เจ้าเมืองปัตตานี โดยได้รับพระราชทานนามในแบบฉบับการปกครองของไทยว่า "พระยาวิชิตภักดี" แต่ปรากฎว่าพระยาพิชิตภักดีไม่มีความยินดีกับชื่อและตำแหน่งจากราชสำนัก

เขาพอใจกับชื่อเดิม "อับดุลกาเดร์" มากกว่า

ในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ อับดุลกาเดร์ จึงก่อกบฎขึ้น แสดงตนเป็นปฎิปักษ์ต่อกษัตริย์ไทยผู้เป็นใหญ่อย่างเปิดเผย พระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เห็นว่าจะเป็นภัยไปกันใหญ่เอาไว้ไม่ได้แล้ว จึงส่งกองกำลังลงมาที่ปัตตานี แล้วคุมตัวอับดุลกาเดร์ไปสอบสวนที่กรุงเทพฯ

อับดูลกาเดร์พูดภาษาไทยได้ดี เพราะเขาก็เป็นคนไทยเชื้อสายมลายู แต่ด้วยที่ท่านนับถือศาสนาอิสลาม จึงมีชื่อตามแบบฉบับของอิสลาม แม้จะพระราชทานนามให้ พร้อมกับยศศักดิ์ เป็นพระยาวิชิตภักดี อับดุลกาเดร์ก็ไม่ปรารถนา

ในหลวงรัชกาลที่ ๕ สอบสวนแล้ว ทรงมีพระเมตตา มิได้ลงโทษประหาร แต่ได้ถูกส่งไปกักตัวเอาไว้ที่พิษณุโลก ๒ ปีกับ ๙ เดือน แล้วก็ได้เดินทางกลับปัตตานีอีก ในปี ๒๔๔๗ แต่ไม่ให้มีตำแหน่งหน้าที่เป็นเจ้าเมืองเหมือนแต่ก่อน

จวน (หรือวัง) ของอับดุลกาเดร์ ตั้งอยู่บ้าน "จะบังติกอ" อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี เมื่ออับดุลกาเดร์ได้รับอภัยโทษ ปูมหลังปัตตานีในตำรากล่าวว่า 
อับดุลกาเดร์ ฮึกเหิมหนักกว่าเดิม คราวนี้ได้โฆษณาชวนเชื่อไปทั่ว มีข้อความโดยรวมดังนี้
เรียกร้องให้ราษฏร ๔ จังหวัดภาคใต้เกลียดชังคนไทย
ยุยงให้กระด้างกระเดื่องทุกวิถีทาง
บอกกล่าวว่า ดินแดนเหล่านี้เคยเป็นอาณาจักรของมลายูมาก่อน แต่ถูกประเทศสยามล่าเป็นเมืองขึ้น แล้วโฆษณาชวยเชื่อต่อไปว่า คนสยามเอารัฐเอาเปรียบคนปัตตานี กดขี่ข่มเหง ขอให้พี่น้องชาวปัตตานี จงลุกขึ้นสู้กอบกู้เอาเอกราชคืนมา

อับดุลกาเดร์ได้แสดงตนเป็นห้วหน้าใหญ่วางแผนจะกบฎซ้ำ แต่ก็ไม่พ้นสายตาของบ้านเมือง ทางบ้านเมืองจึงวางแผนกลางปี พ.ศ. ๒๔๔๘ จะจับกุมตัว ถ้าจับได้คราวนี้คงจะไม่เอาไว้ให้เป็นเสี้ยนหนาม แต่แล้วความลับก็รั่วไหล 

อับดุลกาเดร์หนีไปรัฐกลันตันรอดพ้นจากการถูกตะครุบตัวไปได้หวุดหวิด
ขณะอับดุลกาเดร์หลบภัยอยู่มาเลเซีย ทางประเทศไทยก็มีตัวตายตัวแทน
คราวนี้มีหัวหน้าโจรชื่อ "โต๊ะแต" มือขวาของอับดุลกาเดร์ ที่ยังไม่เคยมีข่าวพัวพันกับกบฎ ได้ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ สร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้ราษฏรลุ่มหลง โต๊ะแตได้ถือโอกาสที่ประชาชนเข้าข้าง ชักชวนไม่ให้เสียภาษี พร้อมกับได้ปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อ จัดตั้งกองกำลังขึ้น ๑๐๐ กว่าคน...
ยกกองกำลังเผาที่ว่าการอำเภอยะหา จังหวัดยะลา
เหตุเกิดปี พ.ศ.๒๔๕๓

คราวนี้พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ตำแหน่งนายอำเภอเบตง ได้พยายามสืบสวนจนจับตัว
โต๊ะแตได้ หลังจากได้สอบสวน เค้นเอาความจริง จึงได้รู้ว่า ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง คือ
อับดุลกาเดร์

เมื่อโต๊ะแตถูกจับ ไม่มีโอกาสออกมาปลุกระดม คิดว่าจะหมดเสี้ยนหนาม ปรากฎว่าได้มีคนใหม่เข้าทำหน้าที่แทนทันที คนนี้ชื่อ หะยีบูละ ซึ่งก็เป็นแขนอีกข้างของอับดุลกาเดร์

ปี พ.ศ. ๒๔๕๔...หะยีบูละ ก่อการจลาจลขึ้นที่ตำบลจันสตาวา อำเภอยะรัง จังหวัดยะลา เกิดปะทะกับหน่วยปราบปราม ซึ่งนำโดยพระยาศรีบุรีรัฐ นายอำเภอยะรัง 
หะยียูละ ใช้มีดดาบฟันมือขวาพระยาครีบุรีรัฐขาดกระเด็น แต่ก็สามารถจับตัวได้ในที่สุด

แม้ว่าอับดุลกาเดร์หนีไปอยู่มลายู หลุดออกไปจากอำนาจแล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียงของ
อับดุลกาเดร์กลับทวีความยิ่งใหญ่ขึ้น มีคนเคารพนับถือเป็นประหนึ่ง "แม่ทัพกู้ชาติ" ใครที่ได้พบเขาในประเทศมลายู จะตื่นเต้นดีใจ ถือว่าเป็นบุญ สมุนทั้งหลายจึงทำงานรับใช้อับดุลกาเดร์แบบถวายชีวิต ไม่มีความหวาดหวั่นว่าตัวเองจะเดือดร้อน ไม่เกรงกลัวความผิด

ปี พ.ศ. ๒๔๖๕...ก็เกิดเหตุร้ายรุนแรงขึ้นอีก
คราวนี้ สมุนของอับดุลกาเดร์ชื่อ "เปาะจิกา" เป็นหัวหน้ากบฎ คุมบริวาร ๑๕๐ คน ออกเที่ยวก่อกวนประชาชนไม่ให้สงบสุข มีการปล้นสะดมภ์ ราษฏรกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย แม้จะเป็นอิสลามด้วยกัน ถ้าไม่เข้าช่วยเหลือเขา เขาจะปล้นแล้วฆ่าทิ้ง

แผนการของเปาะจิกาคราวนี้มีความแหลมคมมาก ทางบ้านเมืองสืบรู้ว่า กำลังของ
เปาะจิกาจำนวน ๑๕๐ จะยกพวกเข้าโจมตี แล้วยึดฐานเอาไว้ จะมีกองกำลังจากรัฐกลันตันอีกไม่น้อยกว่า ๕๐๐ คน พร้อมที่จะเข้ามาช่วยรบ
คราวนั้น พ.ต.อ. พระยาเหิมประยุทธการ เป็นผู้บัญชาการสู้รบที่ยะลา
ตำรวจไทยปะทะกับกองกำลังของเปาะจิกาครึ่งค่อนวัน ในที่สุด เปาะจิกา ก็ถูกปืนด่าวดิ้น นอนกอดปืนตายในท่านักรบ ส่วนสมุนบริวารถูก พ.ต.อ. พระยาเหิมประยุทธการ ปราบปราม ถูกกระสุนปืนล้มตายนับเป็นสิบคน ตำรวจตายไปหลายคน พวกที่เหลือถูกจับได้เกือบหมด

เมื่อการรบพ่ายแพ้ อับดุลกาเดร์เมื่อรับรู้เข้าถึงกับเป็นโรคหัวใจร้ายแรง เขาเสียใจมากที่ไม่อาจทำการสำเร็จ จึงล้มป่วย แม้ว่าจะป่วยเพราะความเสียใจเพียงใด อับดุลกาเดร์ก็มิได้ย่อท้อ เขายังคงสั่งสอนสมุนบริวารให้ยึดมั่นในอุดมการณ์ จะต้องสู้เอาปัตตานี แยกเป็นรัฐอิสระให้ได้

ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ก็จากไปท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของบริวาร เมื่ออับดุลกาเดร์สิ้นลมหายใจ...ใช่ว่าเหตุการณ์จะสงบลงได้ ตรงกันข้ามกลับมีตัวตายตัวแทนคนใหม่ปรากฎตัวขึ้นมา คนทึ่ปรากฎตัวขึ้นมาแทนคราวนี้ มีศักดิ์เป็นถึง "ตวนกู" ซึ่งถือว่าสูงมาก มีนามว่า "ตวนกูอับดุลยะลา" ซึ่งมีชื่อเป็นไทยว่า นายอดุลย์ ณ สายบุรี

ส.ส. ท่านนี้ได้อภิปรายที่รัฐสภา พระที่นั่งอนันตสมาคม
ปี พ.ศ.๒๔๘๗...ขณะนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
ผมรวบรวมข่าวในสมัยนั้นได้ความว่า นายอดุลย์ ณ สายบุรี หรือ "ตวนกูอับดุลยะลา"
ส.ส. จังหวัดนราธิวาส ได้ลุกขึ้นอภิปรายกล่าวหาอย่างรุนแรงว่า ประเทศไทยปกครอง ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยความไม่เป็นธรรม รัฐบาลข่มเหงรังแกประชาชน ไม่ให้เกียรติศาสนาอิสลาม มีการแบ่งแยก เอารัดเอาเปรียบ ไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ไม่อยากเป็นคนไทย เป็นแล้วเสียเปรียบ

จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ลุกขึ้นมาตอบและโต้ว่า ทั้งหมดเป็นการกล่าวหาใส่ความ เราเป็นคนไทยด้วยกัน ประเทศไทยไม่เคยมีเมืองขึ้น คำว่า ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือจะกี่จังหวัดก็ตาม เป็นพระราชอาณาจักรแหลมทองทั้งสิ้น ที่มีพี่น้องต่างชาติอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร แต่อยู่นานวันเข้า ท่านทึกทักเอาเองว่าเป็นเมืองขึ้น
ข้าพเจ้าขอปฏิเสธข้อกล่าวหาของท่าน ส.ส. อดุลย์ ณ สายบุรี

เมื่อออกจากรัฐสภา...จอมพล ป. ได้สืบความลับจนรู้ว่า มี "ตวนกู" ที่โด่งดัง ๓ คนรวมหัวกันทำงานใต้ดิน ตั้งปณิธานจะแบ่งแยกดินแดน
๑. ตวนกูมะหมุดมะไฮยีดิน
๒. ตวนกูอับดุลยะลา หรือ "นายอดุลย์ ณ สายบุรี
๓. ตวนกูกูมัดตารอ
นี้เป็นปูมหลังตามตำราอันเป็นที่มาอีกท่อนหนึ่งของปัญหาแบ่งแยกดินแดน

มันเป็นปูมหลังที่มีอายุรวม ๑๐๙ ปี (นับถึงปี ๒๕๔๙) 

แต่เป็นปูมหลังภาค ๑ เท่านั้น ยังมีภาค ๒ เป็นปูมหลังที่จะเขียนเปิดเผยต่อไป

โปรดรับทราบเอาไว้ว่า เรื่องที่ผมนำเอามาเปิดเผย ทั้งที่เป็นปูมหลังนอกตำรา และปูมหลังในตำรา ทั้งปูมหลังภาคที่ ๑ และปูมหลังภาคที่ ๒ ล้วนเป็นเรื่องเดียวกันกับปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้

ตลอดระยะเวลา ๑๐๙ ปีที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือยะลา ปัตตานี นราธิวาส มีแต่ความสยดสยอง เข่นฆ่าราวีกันไม่ได้หยุด พวกที่คิดจะแบ่งแยก ก็คิดไปหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบ ได้ถูกนำเอาขึ้นมาตั้งเป็นตุ๊กตา เพื่อจะสืบทอดเจตนารมณ์ของ
อับดุลกาเดร์อย่างไม่มีวันเลิก

ปูมหลังปัตตานีในตำรา จึงเป็นอีกลีลาหนึ่ง ที่สามารถค้นคว้าได้ในหอสมุดแห่งชาติ และ จะสามารถเรีบนรู้ได้จากเครือข่ายพูโต ที่ได้นำอุดมการณ์ของอับดุลกาเดร์มาเป็นแม่บท แล้วทำการขยายความหมายและวีธีการปฎิบัติให้พิศดารมากขึ้น

ถามว่าหลังจากอับดุลกาเดร์แล้ว มีใครบ้างเป็นหัวหน้าใหญ่ มีคำตอบเปิดเผยมากมายหลายคน เช่น หะยี สุหลง อับดุลกาเดร์, เป๊าะสู ซึ่งพ้นสมัยไปแล้ว เมื่อหมดยุคนี้ ก็มีคนรุ่นใหมเข้ามาสืบทอดอุดมการณ์ เผยตัวให้เห็นทั้งในชื่อจริงและชื่อจัดตั้ง จะเป็นใครบ้าง จะได้พบกันในหนังสือเล่มนี้				
1 พฤษภาคม 2550 05:31 น.

บทที่ ๔ ปูมหลังปัตตานี (นอกตำรา) ภาค ๑ โดย สอาด จันทร์ดี

sangtien

คีย์แมนโทน พระเอกของผมเข้ามายืนอยู่หน้าโต๊ะ รับงานเอาไปทำ พูดภาษาอีสานกับผมด้วยความสนิทสนม ขณะเดียวกัน "ลุงเซะ" ชาวหมู่บ้านสะกอม ก็เข้ามาคุยด้วย ชาวสะกอมพูดสำเนียงใต้ที่แปลกไปจากชาวใต้ทั้งหลาย เสียงจะมีลักษณะอ่อนหวาน นุ่มนวล และแหลมไปในตัว เปรียบเหมือนคนอีสาน แต่สำเนียงชัยภูมิอะไรทำนองนั้น

สะกอมมีอาณาเขตติดกับโรงแยกแก๊ส

ชาวบ้านสะกอม แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มต่อต้านกับกลุ่มหนุนให้ก่อสร้างโรงแยกแก๊ส ลุงเซะเป็นกลุ่มสนับสนุน เข้ามาส่งเสียงดังว่า "พ้มชวนมันแล้ว ให้มันมาทำงานมันก็ไม่มา ทำงานได้เงินตั้งหลายพันไม่ทำ...มันจะทำมอบ...มันแย่จัง.." หลังจากพูดจบ แกควักยาเส้นออกมามวน แล้วหันหน้าไปคุยโขมงโฉงเฉง จับต้นชนปลายไม่ถูก

อารมณ์ของผมยังคงสดชื่นแจ่มใส แต่สมาธิในการทำงานแบ่งขั้วตลอดทั้งวัน

ขั้วแรกคืองานประจำวัน ซึ่งจะต้องตามดูทุกๆจุดว่าการทำงานเป็นไปด้วยดีหรือไม่ การทำงานในโรงแยกแก๊ส ก็เหมือนกับการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมัน ช่างที่ทำงานนำหน้าคือช่างประกอบท่อ เรียกว่า "Pipe **r" เมื่อช่างประกอบท่อเข้าหน้าได้แล้ว ช่างเชื่อม "Welder" ก็จะเข้าประจำที่ลงมือเชื่อม

ช่างเหล่านี้ มาจากเหนือและอีสาน ลูกมือจำนวนหนึ่ง ได้แก่หนุ่มสาวจากท้องถิ่น ผมบอกกับคีย์แมนโทนว่า ช่างเชื่อมประเภทนี้ รายได้ดี จ้างชั่วโมงละ ๙๒ บาทยังไม่ยอมมากันเลย วันหนึ่งทำงาน ๑๐ ชั่วโมง ได้เงินมากถึง ๑,๐๑๒ บาทเชียวนะโทน ตอนพักเที่ยง โทนขอซ้อมมือกับช่างเขาสิ...สร้างโอกาสให้แก่ตนเอง...โทนได้ยินด้วยความดีใจ 

ผมจัดการให้โทนเข้าไปเป็นกรรมกรแผนกช่างเชื่อม จะได้มีโอกาสเรียนงาน

ในกลุ่มหนุ่มสาวจากใต้ มีคุณหนูคนหนึ่งที่ผมสอบสัมภาษณ์เธอ เธอจบปริญญาตรีภาษามาเลเซียจากกัวลาลัมเปอร์ บรรจุเข้าทำงานควบคุมข้อมูลวัสดุ (Material Control) นี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความเข้าใจสภาพและปัญหารอบตัว แต่เธอเงียบและเก็บอารมณ์ได้ในทุกสถานการณ์

ใจของผมในขั้วของงาน ดำเนินไปตามปกติ

แต่อีกขั้วหนึ่งเป็นเรื่องชวนให้ครุ่นคิด ทำงานอยู่ก็คิด คิดแตกต่างไปจากทุกคนที่ทำงานด้วยกัน พรรคพวกที่ทำงานอยู่ในโรงแยกแก๊ส เมื่อเข้าประชุมจะส่งเสียงทักทาย ด้วยอารมณ์ขันบ้าง หยอกเย้ากันบ้าง หรือไม่ก็บ่นไม่อยากอยู่ อยู่ไปไม่รู้ว่าจะถูกฆ่าตายวันไหน แต่สรุปแล้ว เชื่อว่าไม่มีใครคิดที่จะเอาเรื่องภาคใต้ไปวิพากย์วิจารณ์

ผมกลับเป็นคนคิดอยู่ตลอดเวลา คิดว่าเย็นนี้จะเขียนเรื่องอะไรให้หนังสือพิมพ์บ้านเมือง คิดแล้วก็แปลกใจ มีเรื่องรอให้เขียนมากมายหลายประเด็น ล้วนแล้วแต่น่าเขียนถึง แต่ผมก็ต้องระวังอย่างยิ่ง ไม่ให้พวกโจรรู้ว่าผมทำอยู่โรงแยกแก๊ส

ผมลำดับเรื่องความเข้าใจเรื่องปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้มาตรฐานนอกตำราแล้ว ผมก็ถามเข้าหาข้อเท็จจริงว่า ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ มันเป็นในตำราไหม ผมนึกถึงคนที่เป็นพระเอกของผมคือ คีย์แมนโทนอีกเช่นเคย

ผมถามคีย์แมนโทนอีกครั้งว่า "ถามจริงๆเถอะโทน...โทนมีความรู้เรื่องปัตตานีบ้างหรือเปล่า..."โทนตอบว่า "รู้ซิ รู้เพราะเขาสอนเมียผม...เมียผมสอนผมต่อ"...หลังจากนั้น ผมได้ขอโอกาสให้โทนเล่าหรือสอนผมอีกต่อ...

คราวนี้ ความรู้ปัตตานีดูจะเข้าตำรามากขึ้น

โทนเริ่มว่า...นานมาแล้ว ปัตตานีเป็นเมืองเอกราข มีขอบเขตเชื่อมติดต่อกับผืนแผ่นดินสยามทางตอนเหนือ และมีขอบเขตติดกับมลายูทางตอนใต้ ชาวปัตตานีเป็นเชื้อสายเดียวกันกับมลายูในประเทศมาเลเซีย นับถือศาสนาอิสลามด้วยกัน มีสัทธิประเพณีเหมือนกันแต่ภาษาพูดจะแตกต่างบ้างเล็กน้อย ปัตตานีใช้ภาษายาวี มีตัวหนังสือเป็นของตัวเอง แต่ชาวมลายูในประเทศมาเลเซีย ใช้ตัวหนังสืออังกฤษ เนื่องจากถูกพวกล่าเมืองขึ้นทำลายตัวอักษรดั้งเดิม บังคับให้ใช้อักษรอังกฤษแทน

ในประเทศมาเลเซียมีสุลต่าน ๕ วงค์ แต่ละวงศ์จะได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์คราวละ ๕ ปี

ปัตตานีก็เคยมีสุลต่านเป็นของชาวปัตตานีเอง สุลต่านไม่มีเหลืออยู่ในประเทศไทย พวกที่ต้องการให้มีสุลต่าน จึงได้ประกาศจัดตั้งรัฐปัตตานี ที่พวกเรารู้กันในนามของ
พูโตนั่นแหละ พวกพูโตได้ต่อสู้มายาวนาน เคยก่อกบฎ มีการล้มตายสูญเสียกันมาแล้ว

คนปัตตานีทุกคนยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะเอาสุลต่านกลับมาให้ได้
ผมถามโทนว่า แล้วทำไมจะต้องฆ่าพุทธ ฆ่าพระด้วยเล่า
โทนบอกว่า การฆ่าพุทธ ฆ่าพระ มันเป็นมาตรการที่จะบีบบังคับเอาชนะรัฐบาล มาตรการที่สำคัญพวกนั้น ต้องท่องจำให้ขึ้นใจ

ห้ามรักคนไทย ห้ามเรียนภาษาไทย  ถึงพูดไทยได้ ก็อย่าใช้พร่ำเพรื่อ  ห้ามร้องเพลงชาติไทย   ห้ามไม่ให้ความร่วมมือกับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือข้าราชการ
ต้องสนับสนุนลูกหลานให้เรียนคัมภีร์ เรียนภาษายาวี   ต่งตัวตามแบบฉบับของอิสลาม       ทำตามคำสอนของศาสดา
เคร่งครัดในศาสนาของอิสลาม
ห้ามให้การสนับสนุนศาสนาอื่น
โดยเฉพาะคือ ห้ามช่วยเหลือศาสนาพุทธ
กดดันชาวพุทธให้อยู่ด้วยไม่ได้
ถ้ากดดันแล้วยังดื้อดึง ในที่สุดก็ต้องฆ่า
แม้แต่พระก็ต้องฆ่า
การฆ่าต้องปาดคอ...สับหัวให้เละ เชือดเนื้อหนังเป็นชิ้น แล้วเอาอุจจาระทา
ทำให้พุทธเห็นว่าจะทนอยู่ต่อไปได้ ให้มันรู้ไป

พวกนักรบน้อยใหญ่ บางคนจบมาจากต่างประเทศ จบวิชาก่อวินาศกรรม มีความรู้ในการผลิตระเบิดแสวงเครื่อง ระเบิดมือถือ มีความรู้ในการใช้อาวุธ เก่งและกล้าหาญหาตัวจับยาก นักรบทุกคนต้องสาบานตนเป็นนักรบของพระเจ้า

อีกพวกหนึ่งฝึกอบรมในป่า หรือฝึกที่สนามโรงเรีบนปอเนาะในหมู่บ้าน ฝีกใด้อย่างเปิดเผย เพราะไม่มีพวกเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าถึง คนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครกล้าเอาความไปบอก คนสองพวกนี้ทำงานด้วยกัน

โทนบอกว่ามีกองกำลังกระจัดกระจายทั่ว ๓ จังหวัดมากกว่า ๗๐๐๐ คน

ผมถามอีกว่า ใครเป็นหัวหน้าใหญ่...โทนบอกว่า เยอะแยะ...หัวหน้ามีมากกว่า ๒๕ คน คนหนึ่งชื่อ "ดอเยาะ.." อีกคนหนึ่งชื่อ "สะแปอิง" และอีกหลายคนหลายชื่อ ซึ่งเป็นทั้งชื่อจริงและชือจัดตั้ง แต่จะมีอย่างน้อย ๓ คน เป็นจอมบงการใหญ่ !!

จะชื่อไหนก็ตาม ทุกคนทำงานด้วยตัวเอง เรียกว่าตัวจริงเสียงจริง แถมมีผู้หญิงเป็นมือฆ่าอันดับหนึ่ง เหนี่ยวไกปืนแม่นยำเหมือนจับวาง โหดและห้าวหาญยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก

"โทนเป็นคนนอกมาเป็นเขย ไม่คิดว่าเขาจะระแวงดอกหรือ" ...ผมถาม
โทนตอบว่า "ตลอดปีตลอดชาติ ผมอยู่กับครอบครัว ไม่เคยเข้าใกล้ทหาร ตำรวจ ไม่ไปหาข้าราชการ เพิ่งจะมาทำงานนี้แหละเป็นครั้งแรกของชีวิต มาทำงานแล้วผมก็ต้องหลีกให้ไกลจากพวกทหาร ตำรวจ ไม่สุงสิงกับใครทั้งสิ้น...นี่...ถ้าไม่ช่นายหัวสอาด จันทร์ดี ผมไม่คิดว่าจะได้เล่าเรื่องแบบนี้ให้ใครฟัง..."

ผมถอนหายใจด้วยความรู้สึกอึดอัดโดยไม่รู้ตัว

ผมถามอีกว่า..."โทน...โทนคิดว่านักรบทุกคน เป็นหนุ่มสาวชาวบ้านเท่านั้นหรือ...? ถามแล้วผมก็นั่งรออยู่ว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร โทนมองดูหน้าผม ถามผมว่า ทำไมจึงอยากรู้มากนัก โทน...นี้มันบ้านเมืองของเรา เราอยากรู้ โทนไม่ได้รู้สึกตกใจดอกหรือ ฆ่ารายวัน พระเณรถูกสังหารโหด... ทหาร ตำรวจ ตายเป็นใบไม้ร่วง

โทนมีอาการเศร้า...เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง่ จึงพูดออกมา
"ข่าวว่า จะมีนักรบรับจ้างมาจากอินโดนีเซีย" แล้วเสริมว่า "จะมีหัวหน้าใหญ่มาจากฝั้งโน้น..."

ผมมึนตึบ...นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินเรื่องราวแบบนี้ จึงได้แต่กล่าวขอบคุณเขา ที่เขาเล่าความลับให้ฟัง เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว จิตของผมหงุดหงิด คิดไปต่างๆนานาว่า ทำไมหน่วยข่าวกรองจึงไม่รู้ หรือว่ารู้แล้ว มันช่างน่าแปลกเป็นอย่างยิ่ง

ผมเปิดดูบันทึกเก่าๆที่ผมถือติดตัวมาอ่านตรวจสอบ
เหตุร้ายที่ ๓ ชายแดนภาคใต้เกิดมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะเกิด ตัวอย่างเช่น ตัวเลขความเสียหายย้อนอดีต ตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๑๒ ถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๗ รวมเป็นเวลาเพียง ๕ ปี มีคดีก่อการร้ายเกิดขึ้น ๗๘๐ ครั้ง

เจ้าหน้าทีถูกฆ่าตาย ๕๓ คน บาดเจ็บ ๑๒๐ คน
ราษฏรถูกฆ่าตาย ๓๗๕ คน บาดเจ็บ ๑๒๗ คน
ราษฏรถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ ๑๐๒ คน
คนร้ายถูกเจ้าหน้าที่ปราบปราม-ตาย ๒๗๕ คน บาดเจ็บ ๑๓๗ คน

นี้เป็นตัวเลขย้อนอดีต...ที่ยังไม่รวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มาจนถึงยุค จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถ้ารวมตัวเลขกับอดีตเข้าไป การเข่นฆ่าราวีได้มีมาก่อนบนตัวเลขความสูญเสียที่น่าสยองใจ

หลังจากปี ๒๕๑๗ เป็นต้นมา...เหตุร้ายไม่เคยเงียบ แต่ด้วยความจำเจซ้ำซาก ได้ทำให้เรื่องราวถูกกลบเกลื่อน กอรปกับฝ่ายรัฐบาลเองก็ต้องการให้เรื่องไม่อยู่ในความสนใจของประชาชน จึงพากันปล่อยให้เป็นคลื่นกระทบฝั่ง แต่บนสถานการณ์ "คลื่นกระทบฝั่ง"ดังกล่าว ได้เกิดกระบวนการต่อสู้อย่างเข้มข้น แหลมคม....มากไปกว่าเดิมมากมายนัก

ที่แหลมคมมากที่สุด ได้แก่การสร้างนักการเมืองเป็นปากเป็นเสียงต่อสู้แทน ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐสภาของประเทศ

ในเวลาเดียวกัน ก็ได้ขอทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ มีโครงสร้างที่เป็นตัวแม่บทเกิดขึ้นอย่างเต็มกระบวน เช่นการวางตัวผู้นำรัฐปัตตานี วางตัวคณะรัฐมนตรีเงา ป่าวประกาศแก่ชาวยาวีให้รับรู้เอาไว้แต่เนิ่นๆ ว่าถ้าชนะขึ้นมา จะได้ใครมาเป็นผู้รับผิดชอบกองทัพเรือ ทัพบก...และอื่นๆ ที่รัฐปัตตานีจะต้องมี

สิ่งเหล่านี้...ไม่ได้เป็นความลับในหมู่ของชาวยาวี
แต่แปลกใจนัก รัฐบาลไทยไม่ระแคะระคายเลย

.....โปรดอ่านต่อ ตอนจบของ บทที่ ๔				
1 พฤษภาคม 2550 05:28 น.

บทที่ ๓ ปูมหลังปัตตานี (นอกตำรา) โดย สอาด จันทร์ดี

sangtien

ย่ำค่ำกลางฤดูฝน....
ฝนตกไม่มากนัก แต่ก็เล่นเอาบริเวณก่อสร้างเฉอะแฉะเป็นส่วนใหญ่ คนงานของบริษัทต่างๆพากันเลิกงานก่อนจะมืด หน่วยงานของผมพากันเลิกตาม ผมเดินขึ้นไปที่จอดรถ คนขับรถบอกกับผมว่า มีคนงานรอพบอยู่ เขายืนหลบอยู่ใต้กันสาดห้องเก็บเครื่องมือ ผมมองไปจำได้ทันที คีย์แมนโทนของผมนั่นเอง
ผมเดินไปหาเขา "มีอะไรหรือโทน..." คีย์แมนโทนดึงผมเข้าไปกระซิบ "นายหัวครับ ขากลับให้ใช้เส้นทางใหม่นะ...อย่าใช้ทางเดิม..." ผมตอบรับทันที"ได้...ขอบคุณมากโทน.."

ว่าแล้ว ผมรีบเดินกลับมาที่รถ บอกกับคนขับให้ใช้เส้นทางสายที่ก่อสร้างใหม่ หลบออกจากเส้นทางจะนะ-ลานหอยเสียบ ซึ่งเป็นเส้นทางสายเก่าที่ใช้เดินทางเข้าออกทุกวัน ขณะคนขับรถพารถวิ่งออกมาจากโรงแยกแก๊ส ผมมองดูสองฝั่งด้วยความหงุดหงิด บ้านของเราแท้ๆแต่ต้องอยู่อย่างผู้อาศัย แล้ววันนั้นก็ผ่านไป
พอวันใหม่มาถึง จึงได้รับประกาศจากซัมซุงให้เลิกใช้เส้นทางจะนะ-ลานหอยเสียบ แล้วเขียนแผนที่ใหม่แนบมากับประกาศฉบับนั้นด้วย ทำให้ผมเกิดความรู้สึกชื่นชมคีย์แมนโทนมากยิ่งขึ้น เขาบอกข่าวที่ตรงกับสถานการณ์จริงทุกครั้ง  ผมคิดของผมในใจว่า หนุ่มใหญ่ลูกอีสาน อดีตคนงานกรีดยางแล้วได้ลูกสาวเจ้าของสวนยางเป็นภรรยา แม้จะต้องเปลี่ยนศาสนา แต่ความทรงจำยังเต็มเปี่ยม เมื่อผมได้เขารุ่นหลานมาเป็นเพื่อน มิใช่แต่จะได้รับข่าวสารเพื่อความปลอดภัยเท่านั้น ผมยังจะได้รู้ความลี้ลับนานาประการเอามาเติมแต่งความกระจ่างในเรื่องปัญหาภาคใต้ ให้กระจ่างมากขึ้น  เปล่า...ผมไม่ใช่พวกสายลับ ผมไม่มีหน้าที่ด้านความมั่นคง  ผมไม่ใช่ผู้รักษากฎหมาย  และ ผมก็ไม่ใช่นักการเมือง  ผมต้องการรู้ไปทำไม รู้แล้วทำอะไรได้

มันต้องทำได้ เพราะผมมีความเข้าใจในงานเขียน ผมบอกกับตนเองว่า ผมจะเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่ง ออกมาสู่สายตาของพ่อแม่ประชาชน ซึ่งหนังสือเล่มนั้น จักต้องเป็นกุญแจไขไปสู่ความกระจ่าง ดังนั้น...เมื่อผมได้เพื่อนรุ่นหลาน "คีย์แมนโทน" ผู้ที่รู้จริง จะทำให้เรื่องปรากฎขึ้นในบรรณพิภพ ถ้าผมเขียนทันก่อนตายจากโลกนี้ไป ยังไงเสีย คนไทยจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ผมยิ่งแสวงหาข้อมูลมากขึ้น เมื่อได้ข้อมูลแล้ว ผมแยกทำเป็นสองส่วน ส่วนแรก ผมบันทีกไว้เป็นความทรงจำ อีกส่วน ผมเขีบนเป็นบทความส่งให้ นสพ.บ้านเมืองตามภาระหน้าที่

แต่เรื่องที่เขียนลงในบ้านเมือง ผมส่งต้นฉบับทางแฟกซ์จากจะนะเกือบทุกวัน สำหรับหนังสือเล่มนี้ เรื่องในเล่มนี้ทั้งเรื่อง ผมเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อจะได้เล่าฉากต่างๆให้สามารถมองเห็นภาพเคลื่อนไหว อีกอย่างหนึ่ง การเขียนคมลัมน์ในหนังสือรายวันนั้น เราย่อยเรื่องราวออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เปรียบเหมือนเอาผ้าขาวผีนใหญ่มาฉีกเป็นริ้วแล้วแขวนให้ปลิวไสว ใครมาเห็นเข้าก็จะแปลกตาแตกต่างกันออกไป ส่วนการบรรจุเนื้อหาสาระที่จะให้มันเป็นแท่งใหญ่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ การเขียนย่อย จึงไม่อาจขยายความชัดเจนได้ จะทำได้ก็เพียงการโน้มน้าว ความรู้ลึกนึกคิดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น หนังสือทำเป็นเล่มหนาเต็มมือจะขยายความได้มากกว่า ผมจึงเห็นเนื้อตัวของ คึย์แมนโทน เป็นคนสำคัญของผม เพราะเขาจะเป็นคนนำผมไปสู่เวทีน้อยใหญ่ในสถานการณ์สงครามโหด ที่มีวัตุประสงค์บั่นทอนความมั่นคงของเประเทศไทย

อาทิตย์ต่อมา....ในวันพักผ่อน
ผมเก็บตัวอยู่ในห้องพัก นั่งอ่านบันทึกเก่าๆอย่างใจจดใจจ่อ บันทึกเล่มนั้นเป็นปูมหลังของจังหวัดปัตตานี แต่เป็นปูมหลังนอกตำรา ที่ผมได้มาจากผู้รู้และการค้นคว้า ผมขอเล่าตรงนี้ก่อน ย้อนไปสู่อดีตนับพันปี ซึ่งเป็นปูมหลังของปัตตานี(นอกตำรา) ย้อมไปปี พ.ศ. ๒๑๐ ขณะนั้นประเทศไทยของเรามีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เรียกตัวเองว่า "สุวรรณภูมิ" มีเนื้อที่ใหญ่โตกว่าปัจจุบันมากกว่า ๑ เท่าตัว แต่จำนวนประชาชนมีน้อยนิด ประชาชนทั้งหมดนับถือพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เนื่องจากพระพุทธศาสนาถูกเผยแพร่เข้ามาในประเทศไทยยูคต้นๆ ยุคก่อนพระเจ้าอโศกมหาราชประมาณ ๑๑๕ ปี กล่าวคือเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันท์ปรินิพพาน เราเริ่มนับปีพุทธศักราช ๑ ซึ่งเรียกย่อว่า พ.ศ. พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในชมพูทวีปได้ประมาณ ๓๐๐ ปี ก็ได้เกิดปัญหาเสื่อมทรุดอย่างรุนแรง เมื่อพระเจ้าอโศกขึ้นครองราชย์ ได้จัดการสัมมนาพระพุทธ แล้วแก้ใขปัญหาอย่างยิ่งใหญ่ เริ่มชึ้นในปี พ.ศ. ๓๒๕ พระพุทธศาสนาจึงตั้งอยู่ได้

พระพุทธศาสนาเข้ามาถึงประเทศไทยก่อนหน้าที่แล้ว ตั้งแต่ก่อนพระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงแก้ใขปัญหา เชื่อว่าพระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลงในสุวรรณภูมิตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๑๐ เป็นต้นมา แต่พี่น้องชาวพุทธพากันกล่าวว่า พระพุทธศาสนามาถึงประเทศไทยตั้งแต่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพ ทั้งนี้ โดยอาศัยความเชื่อในรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับรอยฝ่าพระบาทไว้

เช่น พระพุทธบาท สระบุรี พระพุทธบาทพระแท่นดงรัง จ.สุพรรณบุรี พระธาตุอิงฮัง ตั้งอยู่ในแขวงสุวรรณเขตประเทศลาว ผมถามพี่น้องชาวลาวว่า ทำไมจึงเรียกพระธาตุอิงฮัง พี่น้องชาวลาวตอบว่า "อิง" หมายถึงการมาพักพิง ส่วนคำว่า "ฮัง" หมายถึงต้นรัง แล้วอธิบายต่อไปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าสมณโคดม เสด็จมาพักพิงใต้ต้นรังเป็นเวลานานถึ่งหนึ่งเพ็ญแล้ว เสด็จกลับชมพูทวีป  เรื่องเหล่านี้เป็นปูมหลังนอกตำรา ไม่มีหนังสือประวัติศาสตร์ยืนยัน  คนโบราณพากันเล่าขานสืบต่อกันมาว่า พระพุทธศาสนาได้เข้ามาถึงสุวรรณภูมิตั้งแต่เริ่มแรกประกาศพระศาสนา ไม่ใช่จะเพิ่งเข้ามาเมื่อไม่นาน  ยังมีข้ออธิบายอีกว่า การก่อสร้างปราสาทพระราชวัง ล้วนแต่มีศิลปะงดงามภายใต้พุทธศิลป์ การที่จะมีพุทธศิลป์เกิดขึ้นได้ หมายถึงการสืบสานวัฒนธรรมเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก่อน จึงมีอิทธิพลต่องานศิลปะทั้งปวง  เมื่อเป็นเช่นนี้ จะว่าพระพุทธศาสนาเพิ่งเข้ามาสู่สุวรรณภูมิจึงเป็นไปไม่ได้

ดังนั้น จึงกล่าวได้อย่างไม่ผิดเลยว่าพระพุทธศาสนา คือพระศาสนาดั้งเดิมของประเทศไทย ตั้งแต่ยุคใช้ชื่อ "ชาวสุวรรณภูมิ" หรือหากจะกล่าวว่าก่อนหน้านั้น คนไทยนับถื่อศาสนาอะไร ก็จะตอบได้เลยว่า ส่วนมากจะนับถือผี คนไทยไม่เคยนับถือคริสต์และอิสลามมาก่อน ทั้งนี้ เนื่องจากศาสนาทั้งสองเพิ่งจะเกิดขึ้นในโลกภายหลังพระพุทธศาสนาห่างกันเนิ่นนาน  ศาสนาคริสต์เกิดหลังพระพุทธศาสนา ๕๔๓ ปี  และศาสนาอิสลามเกิดภายหลังพระพุทธศาสนา ๑๑๒๒ ปี

เมื่อไม่มีคริสต์ ไม่มีอิสลามในยูคต้นๆ ดินแดนแถบใต้ทั้งหมด นับถือพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น แล้วก็มาถึงปัตตานี...ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า ๓๐๐๐ ปีย้อนหลัง สมัยโน้นไม่เคยมีชื้อปัตตานีมาก่อน ดินแดนแถบนี้ไม่มีผู้คนชาติอื่นเป็นเจ้าของ แต่ในสมัยนั้น คนไทยได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในสุวรรณภูมิมาก่อนแล้ว คนไทยในยุคนั้นมีทั้งไทยน้อย ไทยใหญ่ อ้ายลาว แยกกันครอบครองพื้นที่เป็นพระราชอาณาจักรหลายที่หลายแห่ง โดยมีภาษาพูดเป็นของตนเอง

จึงสันนิษฐานว่าคนไทย กลุ่มที่ปกครองสุวรรณภูมิมิได้ประกาศเป็นเจ้าของดินแดนแถบนี้ ตั้งแต่หลวงพระบางลงมาจนถึงใต้สุดทีเดียว ซึ่งหมายถึงเลยปัตตานีลงไปอีกจนถึงแหลมมลายู สิ้นสุดที่ชายทะเลมหาสมุทรแปซิฟิคโน้น แล้วได้จัดการส่งผู้ปกครองไปบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อส่งไปแล้ว เจ้าองค์นั้นแยกเป็นอิสระเลยก็มี ยังคงส่งส่วยสวามิภักดิ์อยู่ก็มี

เมื่อเป็นเช่นนี้ คำว่า "ปัตตานี" จึงไม่เคยมีมาก่อน และก่อนที่จะเป็นปัตตานีขึ้นมา ดินแดนแถบนี้เริ่มรู้จักกันในนามว่า "เมืองลังกาสุกะ" ประชาชนเรียกตัวเองว่าชาวลังกาสุกะ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นไทยหรือคนเผ่าไหน ชื่อสังกาสุกะ เป็นชื่อที่เล่าขานบอกกล่าวสืบต่อกันมา

คนลังกาสุกะจึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มของคนไทยดั้งเดิมที่นับถือผี เมื่อพระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลก และได้เผยแพร่เข้ามาถึง ก็เปลี่ยนเป็นพุทธ แต่ไม่มีความมั่นคง เนื่องจากจำนวนผู้คนมีไม่มาก และไม่มีคัมภีร์พระไตรปิฏก ทำให้ขาดทฤษฏี ไม่อาจยึดหัวหาดได้มั่นคงได้

เมืองลังกาสุกะ หรือปัตตานีในปัจจุบัน เป็นดินแดนที่อุดมสมบรูณ์ มีทะเลสวยงาม อุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาอาหาร เป็นเมืองใกล้ช่องแคบมะละกา เป็นเส้นทางผ่านขอทางทะเล จึงเป็นจุดพักพิงของ คนจึน อินเดีย แขกชวา ใครที่เดินทางมาถึงแล้วเลยไปก็มี พากันตั้งถื่นฐานอย่างถาวรก็มี จึงมีเรื่องเล่าขานกันยาวนานว่า เมืองลังกาสุกะมีความอุดมสมบูรญ์ยิ่งนัก

วันเวลาผ่านไปอีกยาวนาน ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน ชาวลังกาสุกะตั้งรกรากด้วยความสงบ มีการไปมาหาสู่ระหว่างชาวลังกาสุกะกับเมืองหลวง โดยกล่าวว่าในสมัยกรุงศรีอยุทธยา หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดในสมัยท่านยังหนุ่มแน่น ท่านอยู่เมืองลังกาสุกะ ในยุคนั้น เมืองลังกาสุกะได้ต้อนรับชาวเรือต่างถิ่น เดินทางมาค้าขายมากขึ้น ต่อมา...ด้วยเวลาอันยาวนานอีกเช่นกัน ด้วยอิทธิพลของคนมาใหม๋ ทำให้เชื้อสายลังกาสุกะกลายพันธ์แทบไม่เหลือ ทั้งนี้เนื่องจากเจ้าเมืองผู้ครองนคร ได้เปลี่ยนศาสนา เปลี่ยนจากพุทธไปนับถืออิสลาม เมื่อเจ้าผู้ครองนครเปลี่ยนศาสนา ชาวลังกาสุกะก็ต้องปฎิบัติตาม

ส่วนชาวกรูงศรีอยุทธยายังคงหนักแน่นอยู่กับพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินของกรุงศรีอยุทธยา ไม่มีพระหฤทัยเอนเอียงไปศาสนาไหน เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมเคยถามความเห็นท่านผู้รู้ว่า เหตุใดพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีฯ จึงตั้งมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ในขณะเจ้าผู้ครองนครลังกาสุกะไม่มีความหนักแน่นเลย ท่านผู้รู้ตอบว่า สังกาสุกะไม่มีคัมร์ภึพระไตรปิฏกให้ยึดเหนี่ยว จึงทำให้ความซาบซึ้งตกหล่นไปเป็นอันมาก ทำให้ขาดสติปัญญา ไม่มีความรู้ความเข้าใจในหลักพระศาสนาที่แท้จริง เมื่อไปเห็นของอะไรแปลกกว่าเดิม ก็จะลุ่มหลงได้ทันที  ตั้งแต่เจ้านครลังกาสุกะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม
ชาวลังกาสุกะทั้งมวลก็เป็นอิสลามด้วย

ผมพลิกเรื่องปูมหลังของปัตตานีด้วยความพินิจพิเคราะห์ ซึ่งเป็นปูมหลังที่ไม่มีการเขียนไว้ในหอสมุดแห่งชาติ ผมโชคดีที่ได้รับฟังนักปราชญ์คนสำคัญของประเทศเมื่อหลายปีก่อน แล้วได้บันทึกเอาไว้ซึ่งถือเป็นความรู้นอกตำรา (ท่านจะได้อ่านปูมหลังในตำราในบทต่อไป)

นักปราชญ์ท่านผู้รู้ผู้นั้นคือ นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ท่านผูนี้ได้ให้ความรู้แก่ผมอย่างไม่ปิดบังอำพราง คนที่ได้เข้าใกล้นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทรในยุคนั้นมีหลายคน เช่น  วึระ ถนอมเลี้ยง ดร.สอาด ปิยะวรรณ นายสวัสดิ์ ลูกโดด ฯลฯ แล้วก็ผม นายสอาด จันทร์ดี 

คนไทยห้วก้าวหน้ายุคโน้นรู้ดีว่าคนชื่อประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ได้แสดงตนเป็นผู้**วชาญลัทธิคอมมิวนิสต์ พล.อ ชวลิต ยงใจยุทธ ก็เป็นคิษย์ของประเสริฐ ทรัพย์สุนทร  ผมขอเล่าความแตกต่างบางประการ ที่เกี่ยวข้องกับนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ที่สอนลัทธิการเมือง รวมทั้งสอนลัทธิคอมมิวนิสต์ให้แก่ใครต่อใคร ท่านผู้นี้จะยอมเสียเวลาสอนเป็นการส่วนตัวให้แก่ทุกคนด้วยความเสียสละ เรียกว่าให้ความรู้เรื่องโน้นเรื่องนี้เป็นรายตัว หรือไม่ก็สอนอย่างมากไม่เกินครั้งละ ๒ คน เรียกว่าสอนแบบใครได้ฟัง คนนั้นรับรู้เอาไปเต็มๆ

เช่นเรื่องทหารประชาธิปไตยเป็นต้น  ผมอยากรู้เรื่องปัตตานี นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ท่านก็เล่าให้ฟัง ๑ วันเต็ม นอกจากนี้ ผมยังได้รับฟังความรู้เกี่ยวกับลัทธิประชาธิปไตย ทุนนิยม สังคมนิยม และ คอมมิวนิสต์ แต่ที่ประทับใจผมมากที่สุด ได้แก่ปัญหาแบ่งแยกดินแดนที่พวก "โจรปัตตานี" ต้องการได้อำนาจในดินแดนแถบนี้ความจริง ผมไม่เคยเรียกท่านผู้นี้ว่า นายประเสริฐทรัพย์สุนทร แต่ผมจะเรียกท่านผู้นี้ว่าอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร บอกว่าพวกที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนต้องการเอาปัตตานีไปเป็นรัฐอิสลาม เกิดจากคนไทยเชื้อสายมลายูไม่ใช่เกิดจากคนไทยเป็น  กบฎกันเอง

อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรบอกว่า อิสลามในประเทศไทยมี ๒ กลุ่ม ซึ่งเราเรียกว่าแขกหรือบัง แขกพวกหนึ่ง ใจไม่รักคนไทยเลย ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนไทย แขกพวกนั้นเรียกว่า แขกมลายู อีกพวกหนึ่งเรียกว่า แขกไทย ผมถามว่าอะไรคือแขกไทย

อาจารย์ประเสริฐตอบว่า แขกไทยก็คือพี่น้องอิสลามที่เป็นคนไทยทั้งกายและใจ เช่นท่านจุฬาราชมนตรี แล้วอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ได้เอ่ยถึงชื่อคุณดำรง พุดตาล - เล็ก นานา ให้ฟัง โดยกล่าวว่าลักษณะของคนเหล่านี้น่าเลื่อมใส ไม่เอาเรื่องศาสนามาเป็นปัญหาไม่ว่ากรณีใดๆ สังคมไทยไม่เคยเกิดความรู้สึกว่ามีการแบ่งแยก

ท่านเหล่านี้เราเรียกว่าแขกไทย ส่วนแขกที่มีอีกพวกหนึ่ง ในใจไม่ยอมเป็นคนไทย แขกพวกนั้นแม้จะอยู่ในประเทศไทยก็เรียกว่าแขกมลายู พวกแขกมลายูตั้งตัวเป็นโจรปัตตานี อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร กล่าวว่า เราถูกแขกที่ไม่ยอมเป็นคนไทยก่อการกบฎ กระด้างกระเดื่องหลายครั้งหลายหน แขกพวกนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปัตตานีและจังหวัดใกล้เคียง อีกส่วนหนึ่งหนีตำรวจเข้าไปอยู่ในประเทศมลายู แล้วร่วมมือกันก่อกบฎต่อประเทศไทย ทำให้เราเข้าใจผิดว่า เพื่อนบ้านแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย  อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ท่านบรรยายให้ผมฟังด้วยการยืนพูดติดต่อกัน ๓ ชั่วโมง สุดท้าย ท่านสรุปว่า ถ้าแก้ไม่ถูก จะถูกแขกในปัตตานีร่วมมือกับแขกที่หนีไปตั้งบ้านเรือนอยู่ในประเทศมลายูเพื่อนบ้านเรา กระทำการใหญได้สำเร็จ เนื่องจากพวกนักการเมืองของประเทศไทย ไม่มีความรู้ ไม่เข้าใจแนวทางแก้ปัญหา ปล่อยให้แขกกบฎปลุกปั่นยุยงประชาชน



ผมพลิกปูมหลังปัตตานีด้วยความตื่นเต้น แต่มันเป็นปูมหลังนอกตำรา ไม่มีเขียนเอาไว้ในประวัติศาสตร์ อีกประการหนึ่ง คนไทยไม่ได้จัดระบบชนเผ่าให้คนในชาติได้ศึกษา ไม่มีหลักสูตรในโรงเรียนและ หาวิทยาลัยที่เป็นประวัติศาสตร์ของชนเผ่า จึงไม่มีเรื่องชนมลายู  คนไทยด้วยกัน จึงทึกทักเอาว่าทุกคนเป็นคนไทย แต่เจ้าตัวเขาบอกว่าเขาไม่ใช่คนไทย

อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร บอกเอาไว้ว่า ความล้าหลังของประเทศไทยที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่ระบบนายทุน ขุนศึก ศักดินา แต่ที่น่ากลัวมากได้แก่ "อวิชชา" ที่มีในหลายเรื่องหลายปัญหาด้วยกัน อวิชชาตัวนี้ได้บ่อนทำลายความก้าวหน้า ความมั่นคงของประเทศ ทั้งๆที่คนไทยได้ยินคำว่าอวิชชามาเนิ่นนาน พระท่านก็เทศน์ให้ฟังไม่เคยขาดเลย

ในกรณีของปัตตานี รากเหง้าคืออวิชชา ซึ่งแปลว่าความไม่รู้ก็ได้ แปลว่าถูกอารมณ์ต่ำขวางกั้นได้ หรือแปลว่า ความโง่เขลาก็ได้  อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ให้ความรู้แก่ผมไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๑๘...ยังทันสมัยเปี๊ยบ

(โปรดติดตาม อ่านตอนต่อไป บทที่ ๔) 
จากหนังสือ กระเทาะเปลือก ไฟใต้ ใครบงการ ?

หนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนไม่ได้สงวนสิขสิทธิ์ไว้ เข้าใจว่ามีประสงค์จะเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจให้แก่เรา พี่น้องขาวไทยทั้งหลายให้รู้เรื่องกันไว้ มันจะเป็นหนังสือประวัติศาตร์ของชาติไทยต่อไปถึงอนุชนรุ่นหลังๆ ถ้าท่านหาอ่านได้ก็จะดี ISBN 978-974-344-455-5 แต่กลัวว่าจะถูกเก็บเสียเพื่อปิดหูปิดตาคนไทยอย่างที่เรารู้ๆกัน เมื่อมีผู้กล้าหาญรักชาติยิ่งกว่าชีวิตความปลอดภัยของตัวท่านเอง เราควรจะยกย่องคนทำความดีมิใช่หรือ? ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นไปอย่างไรในอนาคต เราควรถือสุภาษิตที่สั้นแต่มีความหมายมาก นั่นคือ "ผิดเป็นครู"				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsangtien
Lovings  sangtien เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsangtien
Lovings  sangtien เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsangtien
Lovings  sangtien เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงsangtien