30 เมษายน 2550 16:54 น.
sangtien
ความแตกต่าง ที่รู้สึกและคิดที่ไม่เหมือนกัน โปรดพิจารณาข้อความดังต่อไปนี้
๑. บางท่านอยากรู้ว่า ใครคือตัวการป่วนใต้
๒. บางท่านไม่อยากรู้ ไม่อยากสนใจ ไม่อยากวุ่นวายด้วย
๓. บางท่านอยากรู้เรื่องราวของโจรปัตตานี
๔. บางท่านไม่อยากรู้ ไม่อยากสนใจ ไม่อยากวุ่นวายด้วย
๕ บางท่านเข้าข้างร้ฐบาลทุกอย่าง ทำงานผิดพลาดก็ไม่อยากตำหนิ
๖. บางท่านเกลียดรัฐบาลทุกอย่าง ทั้งเกลียด ทั้งชัง
๗. หลายท่านคิดอย่าง ทำอย่าง
๘ บางท่านคิดว่าปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ แก้ไม่ได้
๙. บางท่านมีความเชื่อมั่นอยู่ว่า จะแก้ได้
๑๐. บางท่านอ่านพบข้อความใน๑๐ ข้อนี้ อาจเกิดความรู้สึกแปลกใจตัวเอง
ถ้อยคำน้อยๆเช่นนี้...จะตรวจสอบจิตใจตัวเราเองได้ในระดับหนึ่ง
ตรวจให้รู้ว่า จิตใจของเรารักและหวงแหนแผ่นดินของเราเองหรือไม่ ?
คำนำ
ไฟใต้จะกลายเป็นไฟสุมอกไปอีกนาน
ยากนักที่จะดับไฟใต้ให้มอดสนิทลงได้ง่าย
เราไม่รู้ว่า ไฟใต้ ใครเป็นคนบงการ
หนังสือเล่มนี้ จะกระเทาะเปลือกอย่างไม่ปิดบังอำพรางในบทต้นๆ ท่านจะงงและไม่อยากเชื่อ แต่ในที่สุด...ท่านจะเห็นโฉมหน้าผู้บงการใหญ่ว่าเป็นใคร
ผมขอมอบหนังสือน้อยๆ เล่มนี้ให้ท่านผู้อยากรู้ได้ถือเอาไว้เป็นข้อมูล ท่านมีหนังสือเล่มนี้เล่มเดียว ท่านจะเห็นปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดปํญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือยะลา ปัตตานีและนราธิวาส และจะเห็นปัญหาของไทยทั้งประเทศ
หนังสือเล่มนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกให้พี่น้องไทยเข้าใจปัญหาที่แท้จริง เป็นหนังสือเชิงเปิดหน้ากาก เปิดปูมหลังของปัตตานี ทั้งในรูปแบบ "นอกตำรา" และรูปแบบ "ในตำรา" ซึ่งรับรองได้ว่า เป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยาย เมื่อท่านได้อ่านแล้ว ท่านจะเห็นตัวการ "ป่วนใต้" หลังจากนั้นท่านจะเห็น "ข้อเสนอแนะ" แนวทางแก้ปัญหาว่า จะแก้อย่างไร จึงจะสามารถทำให้ความสงบกลับคืนมาได้ ในขณะนี้ ใต้...ฆ่ารายวันไม่มีวันจบได้ง่ายๆ สมานฉันท์ก็ไม่อาจทำให้ใต้สวบได้
ยิ่งสมานฉันท์ ยิ่งจะตกเป็นเหยื่อของโจร
ถามว่าเพราะอะไร สมานฉันท์จึงทำให้สงบไม่ได้ คำตอบก็คือ " ปัตตานี สู้มายาวนาน ล้มตายมามาก ก่อนจะสมานฉันท์เขาต้องได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ถ้ายังไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ แม้มีคนไปกราบเขาจนถึงบันไดบ้าน....เขาจะไม่ยอมสงบด้วย " มีความตายเท่านั้นที่รออยู่ใต้...ไฟสุมอก ท่านเข้าใจในความหมายนี้
ตายรายวัน....จะทำให้เรานับศพไม่ถ้วน....จนนับศพไม่ทัน
หนังสือเล่มนี้ จะเปิดโฉมหน้าจอมบงการ รับรองไม่เป็นของปลอม
ด้วยความรักและปรารถนาดี
สอาด จันทร์ดี
องค์กรไทยรู้รักสามัคคี
องค์กรเครือข่ายขมรมผู้สูงอายุสี่ภาค
ประกาศข่มขู่กลางเมือง ถามใคร...ไม่มีใครรู้เห็น
โจรปัตตานี มีความ เหิมเกรียมผิดมนุษย์ ข่มขู่คุกคามไปทุกแห่งหน
ดูตัวอย่างจากภาพที่ถ่ายเอามาให้ดูแผ่นนี้ โจรเขียนประกาศตัวหนังสือเท่ายักษ์ ติดไว้ที่กำแพงโรงเรียนแห่งหนึ่ง ประกาศว่า ใครยุ่งเกี่ยวกับทางราชการ ไม่รับผิดชอบชีวิตของท่าน ใครมาเห็นไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่อ่าน เมื่อฝ่านราชการไปสอบถาม ใครเขียนประกาศแบบนี้ ไม่มีใครรู้เรื่องเลย
ถามว่าตอนที่มีคนมาเขียนข้อความนี้ มีคนเห็นผู้กระทำไหม
ฝ่ายราชการ ได้รับคำตอบเหมือนเดิม...ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย
โจรอหังการขนาดนี้....นี่แหละโจรปัตตานีถาม "อุสคาส" (ครูสอนศาสนา) ท่านก็บอกว่า ตอนนั้นสอนหนังสือ...ไม่ได้ดู !เด็กและผู้หญิง กองกำลังหมู่บ้าน
ฝ่ายราชการ ทหาร ตำรวจ นอกจากจะเผชิญหน้ากับความยากลำบาก กับการรบกับเงา หรือไม่ก็รบกับผี ที่มองไม่เห็นตัว ยังจะต้องมาเผชิญหน้ากับ " เด็กและผู้หญิง " เข้าให้อีก พวกโจรปัตตานีมีการ " จัดตั้ง " กองกำลังหมู่บ้าน กระจัดกระจายไปทั่วทั้ว ๓ จังหวัด วิธีการของโจร ทำประหนึ่งว่า กองกำลังเหล่านั้นเป็นคนบริสุทธิ์ ทนการกดขี่ข่มเหงไม่ไหว ก็เลยยกพวกออกมาต่อต้าน
เมื่อก่อเรื่องขึ้นแล้ว จะเรียกหาทีวีมาเลเซีย หรือไม่ก็ต้องการให้นักข่าวมาเลเซียมาดูไม่ยอมรับผู้สื่อข่าวจากประเทศไทยของตนเอง
กองกำลังพวกนี้เป็นผู้หญิงวัยแตกต่างกัน รวมทั้งเด็กเล็กด้วย
เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมา จะมีคนยืนจังก้าคอยคุม ห้ามใครผ่านเด็ดขาด ข้างในเข้าไป ที่เป็นจุดประท้วง จะมีเสียงด่าทออย่างเจ็บแสบ พร้อมกับได้มีการอภิปรายโจมตีเจ็บปวดมาก
ผู้หญิงที่เป็นหัวหน้า ประกาศด้วยเสียงอันดัง....พวกตำรวจ.....ออกไปจากหมู่บ้านของเรา ไปให้พ้น อย่าอยู่ให้เห็นหน้า พวกตำรวจ ทหาร ทำร้ายประชาชน เข่นฆ่ามประชาชน ตำรวจและทหารที่มาระงับเหตุ จนปัญญา เซ่อไปเลย....เพราะคู่ต่อสู้มีแต่เด็กและผู้หญิง โปรดดูภาพประกอบ จำนวน ๓ ภาพ
โจรปัตตานีได้ใช้เด็กและสตรี เป็นทั้งกำลังรบและใช้เป็น " โล่มมุษย์ " กันไม่ให้ตำรวจเข้าถีง เมื่อตำรวจและทหารทำอะไรไม่ได้ โจรจะเริ่มลงมือ " ฆ่าคน " ใครก็ห้ามไม่อยู่ ตำรวจไปช่วยก็ไม่ได้ เพราะมี " ขอนไม้ " ขวางถนน แถมมีการโรยเรือใบเอาไว้เจาะยางอีกด้วย
ยุทธวิธีของโจรปัตตานีน่ากลัวมาก !!
ประกาศ " ปลุกระดม "
การปลุกระดมระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง แผ่นผ้าที่เขียนด้วยหมึกแดง และหมึกดำ จะถูกนำเอาไปแขวนไว้ทั่วไปหมด " ผมแปลไม่ออก " เดาเอาเองว่า น่าจะกล่าวหาสยามเอาปัตตานีมาเป็นเมืองขึ้น ผมได้ถ่ายภาพเอาไว้ด้วยมือ ๒ รูปด้วยกัน แผ่นหนึ่งเป็นหมึกแดง อีกแผ่น เป็นหมึกดำ ข้อความคล้ายกัน วิธีการปิดประกาศปลุกระดมไม่เหมือนกัน
แผ่นที่ ๑ หมึกแดง PATANI TETAP MEROIKA
SIAM MUSOHKITA
แผ่นที่ ๒ หมึกดำ PATANI MEROIKA
SEDARIAH SIAM MUSOHKITA
30 เมษายน 2550 16:45 น.
sangtien
โรงแยกแก๊สในขณะนั้น เต็มไปด้วยปัญหารอบด้าน ม็อบตั้งประจันหน้าทำท่าจะปะทะกันไม่เว้นแต่ละวัน ทหารที่มาตั้งบังเกอร์อารักขา ตัวทหารเองก็เอาตัวแทบไม่รอด พวกเราเป็นคนทำงานต้องระวังตัวแจ เพื่อนร่วมงานในโครงการนี้มีหลายพันคน กระจายอยู่ในบริษัทผู้รับช่วง มีทั้งฝรั่ง เกาหลี มาเลเซีย พากันระวังตัวโดยไม่ต้องอธิบาย
บังเกอร์ทหารอยู่ใกล้ประตูเข้าออก พวกผมต้องเดินผ่านบังเกอร์ทั้งขาเข้า และขาออก
หน่วยงานของผมเป็นงานรับเหมาวางท่อในส่วน พี-๒ โดยมีช่างฝีมือจากเหนือและอีสาน เข้ามาเป็นลูกจ้างหลัก ส่วนลูกมือ จ้างแรงงานหญิงชายจากพี่น้องชาวบ้านในท้องถิ่น โดยเฉพาะได้แก่ชาวจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส
ระเบียบการทำงานประจำวัน ช่างและคนงานทุกคนจะต้องไปถึงหน้างานก่อนเวลา ๐๖.๓๐ น.ทำงานจนถึง ๑๗.๐๐ น. หรือมืดจึงจะเลิก
ผมจะเรียกแถวทุกเช้า บอกกล่าวเล่าเรื่องของโครงการ ตลอดทั้งความเป็นมาที่น่ารู้ให้แก่เพื่อนร่วมงานฟัง จะพูดอย่างนี้ทุกวันอย่างน้อยวันละ ๑๐ นาที เพื่อให้ทุกคนตระหนักในความปลอดภัย และสุดท้ายผมได้ฝากความปรารถนาดีเอาไว้ให้หนุ่มสาวได้คิด
ผมบอกว่า แผ่นดินนี้เป็นของคนไทยทุกคน โรงแยกแก๊สที่เราก่อสร้างเสร็จ จะกลายเป็นสมบัติของชาวใต้ตลอดกาล แล้วผมก็เล่าต่อไปว่า นี้เป็นโอกาสสำคัญทำให้หนุ่มสาวชาวใต้ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมชาติที่มาจากหลายจังหวัด ทั้งเหนือและอีสาน แล้วเราจะกอดคอกันทำงาน จนกว่าจะได้โรงแยกแก๊สทั้งโรง เอามาให้ชาวใต้
การเรียกแถวในลักษณะเช่นนี้ เป็นประเพณีของผู้รับเหมางานขนาดใหญ่ การเรียกแถวที่สำคัญที่สุด คือการปฐมนิเทศเกี่ยวกับความปลอดภัย บริษัทที่รับเหมาในโรงแยกแก๊สมีหลายบริษัท แต่ละบริษัทจะเรียกแถวทุกเช้า เหมือนกันหมด ต่างคนต่างนำวิธีการอบรมมาพูด แตกต่างกันออกไป บริษัทเหล่านั้น ประกอบด้วย อิตาเลี่ยนไทย บริษัทบางกอก เป-โตร บริษัท แพม บริษัท บล้าสติ้ง กรุ๊ฟ บริษัทพวกนี้เป็นของคนไทย นอกจากนี้ก็มีบริษัทลูกของเกาหลี เช่น บริษัท โซโย บริษัท ชิเอเซีย บริษัท เร็ด-ซี เป็นต้น ตัวผมทำงานอยู่ บริษัท สยาม ซิตี้
โรงแยกแก๊สเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยกับมาเลเซีย เรียกว่า ทราน ไทย-มาเลเซีย (Trans Thai-Malaysia) หรือ TTM โดยมีบริษัท ซัมซุง จากเกาหลีใต้ เป็นผู้รับเหมาใหญ่ (Main Contractor) บริษัท ซัมซุง ขนวิศวกรเกาหลีมาคุมงาน ด้วยการปล่อยให้บริษัทรับเหมาช่วง (Subcontractor) ซอยงานเอาออกไปทำ
โดยปกติ ชีวิตการทำงานในโครงการขนาดใหญ่ หนุ่มสาวชาวแรงงานจะมีชีวิตชีวาท่าทางกระฉับกระเฉง แต่ที่โรงงานแยกแก๊สจะนะคราวนี้ มันหงอยเหงาเศร้าสร้อยแตกต่างจากอดีต เราแก้ความหงอยเหงาด้วยการอาศัย การเรียกแถวทุกเช้า เป็นเวลาของการปลุกใจ ปลุกประสาทให้ตื่น
หัวหน้าเซฟตี้ (ฝ่ายรักษาความปลอดภัย) จะเป่านกหวีดเรียกแถว ผมออกมายืนคอย คนงานหนุ่มสาววิ่งพรึบมาจัดแถวโดยไม่ยาก
หนุ่มสาวชาวใต้ไม่เคยได้พบกันมาก่อน ตอนแรกๆก็ไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่หลายวันเข้า เรามีเรื่องเร้าใจมาพูดให้ฟังเสมอ หัวหน้าระดับแกนนำหลายคน ก็ได้ออกมาพูด เราช่วยกันคนละไม้ละมือ ในที่สุดความแจ่มใสก็ค่อยๆเกิดขึ้นในหน่วยงาน
ลึกเข้าไปในความรู้สึก ไม่มีใครคิดว่าผมคิดอะไร และได้วางแผนอะไรหรือไม่ แต่ในฐานะผมเป็นคนมีอายุคนเดียวของโครงการนี้ มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการโครงการ หรือเรียกกันในชื่อเป็นภาษานักก่อสร้างว่า โปรเจ็คท์ มาเนเยอร์ (Project Manager) ผมพอจะมีสิทธิพูดคุยอะไรได้เยอะแยะ อีกประการหนึ่ง เมื่อนายช่างระดับทีมงาน ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถึงจะมีขึ้อิจฉาปะปนอยู่บ้าง ก็ไม่สำคัญอะไร ทำให้ฐานะการเป็นผู้นำกลุ่มของผม มีอำนาจต่อรองกับคนงานได้มากขึ้น
อำนาจที่ผมมี อย่างแรกได้แก่การจ้างงาน ให้คุณให้โทษได้
อำนาจต่อมา ผมมีฐานะเป็นผู้จัดการโครงการตามกฎหมาย ไม่ใช่ตั้งตัวเอง ลูกจ้างของบริษัทจำนวนมากจึงให้การยอมรับผม และนั่น.....คือโอกาสทอง ทำให้ผมได้รู้จักมักคุ้นกับหนุ่มสาวชาวยะลา ปัตตานี นราธิวาส บางคนเป็นเครือข่ายโจร บางคนเป็นเพียงเครือญาติ และผมเชื่อเหลือเกินว่า บางคนเป็นโจรก่อการร้ายเสียเอง แต่จะทำอย่างไรได้ในสถานการณ์เช่นนั้น ไม่มีทางอื่นใดที่จะเฟ้นหาคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง อีกอย่างหนึ่ง ไม่รู้จะเฟ้นหาทำไม ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด สงขลา นายสมพร ใช้บางยาง (ผมไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว) ได้ขอร้องให้ทุกหน่วยงาน ว่าจ้างคนท้องถิ่นให้มากที่สุด เพื่อจะได้สร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น
หัวหน้างานของผมหลายคนเห็นดีเห็นงามด้วย ให้จ้างคนจาก ๓ จังหวัด บอกไม่ให้เกรงกลัวอะไร อย่ากีดกันใคร แม้จะเป็นพวกก่อการร้ายก็ตาม จ้างเอาไว้ก่อน เพื่อความเป็นมิตร อีกประการหนึ่ง เราต้องแสดงออกก่อนว่า เราไม่มีการกีดกัน
ผมอยากเอ่ยชื่อไว้ ๓ - ๔ คน เช่น นายประกอบจงคณารักษ์ นายช่างฝ่ายติดตั้งเครื่องจักร นายชูศิษย์ (หรือช้าง) เลาวนากิจกุล ผู้จัดการฝ่ายติดตั้งท่อ นายประภัทร ทิพย์โอสถ วิศวกรประจำโครงการ (Project Engineer) นายเกียรติเฉลิมรัฐ ไชยยาสิงห์ ตัวแทนบริษัทสยาม ซิตี้ คอร์ปปอร์เรชั่น แต่มีอีกไม่น้อยกว่า ๒๐ คน ที่เป็นคนในท้องถิ่น ผมไม่อาจเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามได้ ถ้าผมเอ่ยชื่อออกไป อาจจะเป็นอันตรายแก่ครอบครัวและชีวิตส่วนตัวของเขา
ขณะเดี่ยวกันคนเหล่านั้น ไม่รู้ดอกว่าขณะผมทำงานอยู่ในหน้างาน ผมได้แสวงหาความลี้ลับควบคู่ไปด้วย ผมทำตัวเสมือนสายลับคนหาความจริง ค้นไปค้นมาทำให้ได้รู้ได้เห็นความลี้ลัลดำมืด จากคำบอกเล่าของคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง นอกจากนี้ ผมโชคดีได้มีความสนิทสนมกับคนงานอีสานคนหนึ่ง พื้นเพเดิมเป็นหนุ่มอุบล ไปเป็นเขยปัตตานี สมัยยังไม่เข้มงวดเมื่อสิบปีก่อน แม้เขาจะเปลี่ยนศาสนาแล้ว แต่ใจของเขายังไม่ลืม หนุ่มอุบลคนนี้ เป็นกุญแจดอกสำคัญให้ผม ได้รับฟังเรื่องต่างๆที่น่าระทึกใจ เขามีชื่อเสียงเรียงนามอย่างไร ก็ต้องใช้ชื่อสมมติ
ขอสมมติชื่อหนุ่มผู้นั้นว่า " คีย์แมนโทน " แล้วผมก็เรียกเขาจนติดปากว่า คีย์แมนโทน ตัวเขาเองก็แปลกใจว่า ทำไมจึงตั้งชื่อเขาว่า คีย์แมนโทน ผมบอกเขาว่า " คีย์แมน" หมายถึงลูกกุญแจ และคำว่าโทน หมายถึง " ลูกโทน " ยังไงล่ะ
คีย์แมนโทน นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับผมในร้านอาหาร คลาดนาทวี ผมเลี้ยงดูเขาด้วยความเป็นกันเอง ด้วยความรู้สึกเป็นเชื้อสายอีสานโดยแท้ ผมยกย่องเขาด้วยความจริงใจ ผมบอกเขาว่าใจของเราบริสุทธิ์ทุกอย่าง เกิดเป็นคนไทยไม่แบ่งเชื้อชาติศาสนา เมื่อได้เป็นเขยก็ดีแล้ว แล้วคุณละหมาดเป็นไหม
เขาบอกว่าเขาละหมาดเป็น ละหมาดด้วยความศรัทธาแต่ไม่ดูดดื่ม พ่อตาเป็นคนดีมาก เคร่งศาสนา แต่เสียอยู่อย่างเดียว เขาไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนไทย พ่อตารักและหวงแหนเชื้อสายเดิมมาก ท่านรักมาเลเซียสุดหัวใจ
ผมรู้ว่าพ่อตาเกลียดคนไทย แต่ท่านก็ดีกับผม ท่านบอกให้ไปตามพี่น้องให้มาเปลี่ยนศาสนา ผมได้มาคนหนึ่งเป็นลูกสาวของลุง ตอนนี้แต่งงานกับแขกกลันตันไปแล้ว
เรื่องราวเหล่านี้ คือเนื้อหาสาระในการพูดคุย โดยผมยังไม่ได้สอบถามอะไรที่ลึกกว่านี้
ออกจากร้านอาหาร ผมกลับห้องพัก เขาขับรถไปนอนบ้านเพื่อนเป็นการชั่วคราว เพราะบ้านเขาอยู่ไกลโข เดินทางไปมาหลายชั่วโมง ทรางข่าวว่าเขกำลังจะรับภรรยาและลูกมาอยู่ด้วยในเร็ววัน แต่ผมได้บอกกับเขาว่า ก่อนจะรับลูกเมียมาอยู่ด้วย ผมขอไปเยี่ยมพ่อตาของเขาได้ไหม เขารับปากบอกว่าจะต้องขออนุญาตกับพ่อตาก่อน เขาขออนุญาตอยู่หลายวัน จึงได้โอกาส
มันเป็นโอกาสที่หาไม่ได้เลย เพราะว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีสายของโจรก่อการร้ายหลายคน ตัวของคีย์แมนโทนบอกกับผมว่า รู้กันทั้งหมู่บ้านว่าใครเป็นใคร ไม่มีความลับ เพราะได้มีการประชุมอภิปรายที่หน้าบ้านบ้าง ในมัสยิดบ้าง สุดแต่สายของโจรจะกำหนด
ตัวของเขาเอง เชาไม่ได้ร่วมด้วย แต่ด้วยความที่เป็นเขย ก็ได้มีโอกาสรู้ ถ้าไม่รู้ก็จะถามเอากับภรรยา เธอก็จะเล่าให้ฟัง ภรรยารักเขามาก เธอบอกว่าถ้าไม่มีเขา เธอจะฆ่าตัวตาย เขาบอกว่าเขาทำงานหนัก ช่วยเหลือครอบครัวอย่างเต็มที่ อีกอย่างหนึ่ง เขาทำตัวดูแลเอาใจใส่ภรรยาเป็นอย่างดี เขามีเธอเพียงคนเดียว ทำให้เธอเกิดความเชือมั่นมาก และถือเขาเป็นสรณะ
โทนบอกต่อไปว่า " เธอรำพันกับผมว่าพระเจ้าส่งผมมาให้เธอ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอิสลามมาก่อนเลย..." สาวใต้นี้นะ เป็นคนน่ารักมาก เขาว่า
นี้คือจุดเริ่มต้นในการแลกเปลี่ยนสอบถามแบบมโนสาเร่ สื่อเข้าไปหาครอบครัวจนได้ไปเห็นบ้านเรือน ทำให้เกิดความเป็นกันเอง ทำให้พ่อตาของเขาที่เกลียดคนไทย แต่ก็เต็มใจต้อนรับ เพราะว่าบ้านเรือนตั้งอยู่ในประเทศไทย ลูกเขยก็เป็นไทยแท้ เขาจะปฎิเสธไม่ยอมให้คนไทยเข้าบ้าน จึงเป็นไปไม่ได้
แต่ผมก็ต้องระวังยิ่งยวดไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา ผมเล่าให้พ่อตาของโทนฟังว่า ผมเคยไปทำงานในมาเลเซีย ๓ - ๔ ปี ผมเล่าไปเรื่อยเปื่อย และบอกเอาไว้ว่า ถ้าจะมีใครอยากทำงานกับผมอีกสองคน ส่งไปได้เลย ผมจะเอาเข้าไปทำงานทันที ว่าแล้วก็เอ่ยปากลา ผมขอบคุณคีย์แมนโทนที่นำพาผมไปเยี่ยมครอบครัวของเขา
อยู่มาอีก ๑๐ วัน มีข่าวไม่ดี มันเป็นข่าวลือว่า โจรจะฆ่าพวกผมในไซท์งานอย่างน้อย ๕ คน พวกที่ถูกขึ้นบัญชีตาย เป็นพวกที่ใสหมวกขาว ระดับนายช่างและผู้จัดการ ผมจึงรีบถามคีย์แมนโทนด่วยจี๋ เขาบอกว่าไม่ใช่ข่าวลือ ขอให้นายหัวรีบย้ายจากนาทวีไปอยู่นาหม่อม ใกล้กับหาดใหญ่ดีกว่า หรือไม่ก็เข้าไปอยู่ในหาดใหญ่เลย จะได้นอนหลับตาสบายตลอดทั้งคืน คีย์แมนโทนมีอาการเป็นห่วงผมอย่างยิ่ง
ผมกล่าวขอบคุณเขาที่ยืนยันข่าว ซึ่งข่าวนี้ไม่ได้ลือ รู้กันเฉพาะผม พวกนายช่างหมวกขาวทั้งหลาย พากันรับรู้ไปจนทั่ว บางคนทนฟังไม่ไหว รีบไปลาออก นายช่างใหญ่ของผมอีกคนหนึ่งชื่อ พงษ์ ธนกาญจน์ เดินทางไปถึงคืนเดียว รุ่งเช้าหิ้วกระเป๋าไปขึ้นเครื่องที่หาดใหญ่กลับกรุงเทพฯ
ผมบอกกับนายประกอบ จงคณารักษ์ และนายช่างประภัทร ทิพย์โอสถ ให้รีบหาที่ใหม่ด่วนจี๋ แล้วเราก็ย้ายออกจากนาทวีทันที เพื่อนร่วมงานบางคนบอกว่าหนีทันหวุดหวิด ถ้าออกช้าไปวันหนึ่ง รังรองได้เป็นผีเฝ้านาทวี หลังจากเราย้ายออกจากนาทวี อยู่มาอีก ๓ วัน ก็มีการวางระเบิดฆ่าทหารบนถนนสายนาทวี-จะนะ ทหารที่ตั้งบังเกอร์อยู่ที่โรงแยกแก๊ส คงจะทราบข่าวการตายของทหารจำนวนั้น แต่ไม่มีการวิพากย์วิจารณ์ ไม่มีใครพูดกับใครเลย
ผมเดินเข้าไปในร้านลุงที่ขายกาแฟอยู่หน้าโรงงานแต่เช้าตรู่ ตัวลุงเองก็ไม่ถามหาเรื่องราวว่าทหารถูกยิงตาย พวกคนงานเองไม่ว่าจะมาจากเหนือหรืออีสาน หรือแม้แต่คนงานที่มาจาก ๓ จังหวัด ก็พากันเก็บปากเงียบ
บรรยากาศรอบตัวในจำนวนคนนับพัน เงียบสงบ ทำประหนึ่งไม่รู้ไม่ชี้ แต่ในหัวใจลึกๆ ทุกคนทราบดีว่า บริเวณแถบนี้ไม่มีความปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง ผมเคยทำงานร่วมกับคนงานแคมป์ใหญที่ระยอง มาบตพุด และแม้แต่ต่างประเทศ ปกติเมื่องานเลิกแล้ว คนงานจะพากันสนุกสนานเฮฮา ร้องรำทำเพลงดื่มกิน หรือไม่ก็ตั้งวงไฮโล แต่ที่จะนะแห่งนี้ ไม่เป็นเช่นนั้น ทุกคนมีสัญชาตญาณให้กับตัวเองโดยไม่ต้องป่าวประกาศ
เมื่อเลิกงานแล้ว ก็รีบเข้าที่พัก หุงหาอาหารกินในบ้าน ไม่มีใครออกมาเที่ยวตลาด
ตื่นแต่เช้ารีบเข้าสู่หน้างาน
หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัย ได้เตรียมลานกว้างเอาไว้ตรงกลางสนามก่อสร้าง และนัดแนะกันว่า ถ้าได้ยินหวอ....ให้ทุกคนทิ้งเครื่องไม้เครื่องมือ ดิ่งไปที่จุดนัดพบ พวกเกาหลีซัมซุง พวกฝรั่ง และทหารรักษาความปลอดภัย ถูกแนะนำให้รู้จักจุดนัดพบ
ผมมองดูบรรยากาศด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ผมตั้งคำถามกับตนเองว่า บ้านเมืองของเราแท้ๆ แต่ไม่แตกต่างจากสนามรบ อยู่ในสนามรบยังไม่ต้องพะวงร้ายแรงขนาดนี้ เช่นในสมัยหนึ่ง ผมทำงานในท่ามกลางกระสุนที่อีรัคตอนรบกับอิหร่าน ตอนทำงานก็สนุก เลิกงานแล้วก็สนุก
แม้ในสมันอีรัคบุกคูเวต เผาเมืองวายวอด คนงานยังพากันอยู่อย่างปลอดภัย ไม่ต้องตกใจกับทหารอีรัคที่แห่เข้าเมือง แต่ที่จะนะ....แผ่นดินของไทยแท้ๆ กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่แสนจะอึมครึมและน่ากลัวไปหมด
ความจริงแล้ว จะนะ อยู่ไกลจากยะลาไม่ใช่น้อย แต่สถานการณ์ที่จะนะ ไม่แตกต่างจากยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ยังโชคดีที่โจรป่า ยังไม่ประกาศขึ้นบัญชี พวกโจรป่าได้ใช้ดินแดนในจะนะแถบนี้ให้เป็นประโยชน์ คล้ายกับเป็นสถานที่ซ่องสุมกำลังพล รวมไปถึงบางจุดในสงขลา สระทิ้งพระ และอื่นๆ
คีย์แมนโทนบอกกับผมว่า โจรเน้น ๓ จังหวัดก่อน มันแน่น...และเข้มข้นดี
คีย์แมนโทนบอกอีกว่า โจรตั้งเป๋าเอาไว้ไม่เกิน ๓ ปี จะสามารถสร้างอำนาจต่อรองได้อย่างกว้างขวาง โจรจะยึดหมู่บ้านก่อน...แต่เป็นการยึดโดยไม่ประกาศ โลกภายนอกจะไม่รู้ว่าโจรได้ยึดแล้ว แต่ภายในหมู่บ้านจะรับรู้ร่วมกันอย่างกว้างขวาง ว่าอำนาจรัฐหมดความศักดิ์สิทธิ์ไปจากแผ่นดินแถบนี้ชาวบ้านจะอยู่กันอย่างอิสระ ไม่ต้องเคารพกฎเกณฑ์ของประเทศอีกต่อไป วิธีการที่จะอยู่อย่างอิสระได้ จะต้องขับไล่ชาวพุทธ ถ้าไม่ยอมหนี จะฆ่าทิ้ง ทำร้ายพระ ฆ่าพระ....ขัดขวางพระทุกรูปแบบ
คีย์แมนโทน เผยให้ฟังว่า พวกโจรวางแผนแนบเนียนมาก จะใช้วิธีปลดปล่อยชาวบ้านให้พ้นอำนาจรัฐดูแลกันเองไปพลางๆก่อน เป็นการหลอกพวกอำนาจรัฐไทยว่า ไม่ได้คิดแบ่งแยกดินแดน แต่พอถึงจุดชึ้ขาด จะใช้พลังชาวบ้าน ๒ ล้านคนรวมตัวกันประกาศปกครองตนเอง จัดตั้งรัฐปัตตานีขึ้น....ผมเชื่อคีย์แมนโทน....เขารู้จริง พูดแต่เรื่องจริงให้ฟัง
คำปรารถ - โจรได้เข้าไปจัดระบบการปกครองแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ เกือบทุกอำเภอใน ๓ จังหวัด บันได ๗ ขั้นที่โจรวางเอาไว้นั้น ก่อนจถึงขั้นสุดท้าย โจรจะได้รับโบนัสในการต่อสู้ ที่อาศัยการฆ่ารายวัน จะกดดันให้รัฐบาลจำเป็นต้องประกาศจัดตั้ง " เขตพัฒนาพิเศษ" ขึ้นใน ๓ จังหวัด เมื่อใคที่ฝ่ายโจรสามารถบังคับให้รัฐบาลตกเป็นเบี้ยล่าง ตัดสินใจให้ ๓ จังหวัดได้คำว่า " เขตพัฒนาพิเศษ " มิใช่จะทำให้กิจการหลายประเภทใน ๓ จังหวัด ตกอยู่ใต้อิทธิพลโจรเท่านั้น ยังจะมีอิทธิพลให้เกิดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญใหม่ด้วย
30 เมษายน 2550 16:38 น.
sangtien
แรงบันดาลใจ บทที่ ๑
ผมมีแรงบันดาลใจอย่างมากว่า จะต้องค้นหาความจริงว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริงใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้
ผมอยากรู้ว่ามันเป็นเรื่องโจรแบ่งแยกดินแดนรัฐปัตตานี หรือ ว่ามันเป็นเรื่องของกลุ่มผลประโยชน์แย่งกันเป็นใหญ่ หรือว่ามันเป็นเรื่องขัดแย้งทางศาสนา
บังเอิญ ในขณะจิดเกิดคำถามเช่นนั้นขึ้น ผมโชคดีได้เข้าสู่พื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างคาดไม่ถึง เรื่องของเรื่อง ผมติดต่องานรับเหมาช่วงได้ ในโรงแยกแก๊ส จะนะ จังหวัดสงขลา เมื่อได้งาน ผมก็ต้องเข้าไปควบคุมงานด้วยตนเอง ผมจึงได้โอกาสฝังตัวเงียบๆอยู่ในพื้นที่
ตั้งแต่วินาทีนั้น ทุกสิ่งอย่างที่ผมอยากรู้ ผมค้นหาโดยไม่รอช้า ระหว่างที่ผมกำลังทำงานควบคุมรับเหมาวางท่อก่อสร้างโรงงานแยกแก๊ส เป็นช่วงสถานการณ์ใต้ เพิ่งจะเริ่มมีปัญหาใหม่ๆ ต่อมาไม่นาน ความเลวร้ายทีวความรุนแรงยิ่งขึ้น มีการลอบฆ่า ลอบยิง เผาวัด ฆ่าตัดคอ !
ผมแอบเดินทางไปมาตามพื้นที่อันตราย หวังจะได้รู้ได้เห็นความเป็นจริงด้วยตัวเอง เพื่อจะเอาไปเป็นวัตถุดิบเขียนให้กับหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ที่ผมเขียนประจำอยู่ที่หน้า ๕ คอลัมน์การเมือง ชื่อคอลัมน์ "มองโลกในแงดี" ซึ่งครั้งแรกผมใช้นามปากกา "เกียรติก้อง มองไกล" โดยส่งต้นฉบับให้ทุกวันที่หัวหน้ากอง บ.ก. คุณวิเชียร อินจนา ต่อมาจึงใช้ชื่อจริง สอาด จันทร์ดี เอาออกมาเขียน เพราะหวังว่า ถ้าใช้ชื่อจริงเขียน จะช่วยให้ฝ่ายรัฐบาล ได้เกิดความเชื่อถือ
แต่เอาเข้าจริง มีคนเขาว่า เขียนไปไมผิดกับเป่าสากยังไงยังงั้น เมื่อคนเขาว่า เป่าสากยังไงยังงั้น ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร จะเขียนเป็นเล่ม ฝากให้ลูกหลานเอาไว้อ่านในวันข้างหน้า ผมจึงตั้งใจลำดับเรื่องราว เล่าความจริงเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้
ผมมีแรงบันดาลใจมากมาย ที่จะทำหนังสือเล่มนี้ให้มีค่าอย่างพอเพียง ท่านผู้อ่านอ่านไปเถิด ผมรับรองว่าท่านจะไม่เสียเวลาเปล่า เพราะเรื่องราวที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ เกี่ยวข้องกับด้ามขวานแหลมทอง ทางตอนใต้สุดของประเทศ
ท่านก็อยากรู้มิใช่หรือว่า เราจะรักษาด้ามขวานเอาไว้ได้หรือไม่ ?
โรงแยกแก๊ส จะนะ จังหวัดสงขลา
ภาพที่ ๑ เป็นที่ตัวโรงแยกแก๊ส จะนะ ที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมทำงาน ในตำแหน่งผู้จัดการโครงการ (Project Manager) ทำให้ผมได้มีโอกาส
ได้รับวัตถุดิบเอามาเขียนหนังสือเล่มนี้
โรงแยกแก๊สแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ปัตตานีและยะลา
ภาพที่ ๒ เป็นภาพ "คนงาน" และช่างฝีมือ กำลังเดินเข้าสู่หน้างาน ในขณะตะวันกำลังจะโผล่ของฟ้า คนงานทั้งหลายรู้ตัวดีว่า ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีปัญหาร้ายแรง แต่ไม่มีใครอยากรู้เรื่องราว แต่ละคนจะพากันสงบปากสงบคำ ไม่นำเอามาวิพากย์วิจารณ์ เลิกงานแล้วกลับห้องนอน ตื่นก็เข้าสู่งานเลย หมดสัญญาการจ้าง เดินทางกลับภูมิลำเนาคืนนั้นเลย
ดังนั้น การที่ผมได้โอกาสทำงานในดินแดนอันตราย อยู่ในพื้นที่ด้วยตัวเอง ผมจะต้องแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่นั่งเทียนเขียน ไม่ต้องรอสอบถามจากใคร ผมตระเวนไปเงียบๆ เอาตัวเข้าไปนั่งในร้านอาหาร เอาตัวไปหาข่าวในที่ต่างๆ ผมได้รู้ความจริงโดยไม่ยาก เพราะว่าในหมู่บบ้านทั้งหลาย เขาพูดกันอย่างไม่ปิดบัง พวกโจรกับชาวบ้านเขาอยู่ด้วยกัน ปะปนรู้จักหน้าตา รู้ว่าเป็นลูกหลานของใคร ไปเรียนวิชากองโจรมาจากประเทศไหน มีการส่งข่าวประสานงานกันอย่างทั่วถึง และ รวดเร็วมาก ผมรู้ความจริงทุกคนพร้อมรบ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย
หูผมได้ยินเขาพูดกันว่า เขาฆ่าตัดคอยังน้อยไป
แท้ที่จริงจะต้องฆ่าล้างโคตร.......!!
ผมตกใจที่ได้ยิน นึกไม่ถึงเลยว่า ประเทศไทยจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่มันก็เป็นไปแล้ว ชาวบ้านถูกฆ่าทิ้งอย่างป่าเถื่อน โจรวางระเบิดสังหารไปทั่ว ทหารไม่มีวันรู้ดอกว่าใครเป็นโจร แต่โจรสามารถที่จะฆ่าตำรวจ ทหาร ได้ตลอดเวลา
ผมได้รวบรวมความกล้า ถามเอากับคนที่ควรถาม
ถามว่า "เพราะอะไร...?"
ได้รับคำตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ เขาบอกว่าเขาไม่ใช่คนไทย เขาเกลียดคนไทย เขาจะทำอะไรก็ได้ เพื่อจะกวาดล้างคนไทยออกไป แล้วประกาศว่า เขาคือนักรบ พวกเขาไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย คำว่าก่อการร้าย เป็นความชั่วร้ายของ อเมริกา ไทยเป็นกะจ๊อกของอเมริกา เลยว่าตามอเมริกา
นับแต่บัดนั้น ผมคิดอยู่ทุกลมหายใจว่า ก่อนจะตายจากโลกนี้ไป จะขอเขียนหนังสือฝากไว้ในโลกา ผมบอกกับตนเองว่า แรงบันดาลใจมีมากเกินกว่าจะอธิบายเป็นถ้อยคำ
นี่เป็นบทแรก ในยี่สิบสี่บท ในการเขียนของ คุณสอาด จันทร์ดี ผู้เป็นคอลัมนิส ของหนังสือพิมพ์ไทย หลายฉบับ ทั้งเคยศีกษาวิชาการเมือง จาก " ฮุก บาราฮับ " ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นักทำงาน ตระเวนอยู่ในประเทศตะวันออกกลาง และ อัฟริกา ล่าสุด ทำงานควบคุมการก่อสร้างอยู่โรงแยกแก๊ส จะนะ จ.สงขลา จึงได้วัตถุดิบเอามาเขียน กระเทาะเปลือกไฟใต้ ใครบงการ ? ผู้ใดอยากอ่านบทต่อไปช่วยให้เสียงตอบด้วย