4 พฤษภาคม 2549 00:56 น.
Poppy Poision
เขาตื่นขึ้นท่ามกลางเสียงเพรียกหาจากเกลี่ยวคลื่นที่ล่องลอยตามลมทะเลและแสงสุริยาที่แผดเผา ร่างไร้ชีวิตนับสิบเรียงรายอยู่บนผืนทรายสีขาวราวกับคลื่นซัดเหล่ามัจฉามาเกยตื้น หากแต่มัจฉาเหล่านั้นคือนักรบผู้อาจหาญแห่งมหานครครีเมนตัส สองมือค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งด้วยเรี่ยวแรงที่อ่อนล้า สองขาที่หมดกำลัง ผิวหนังที่ซีดเซียวจากสายธารแห่งมหาสมุทร ร่างกายอ่อนระโหยด้วยขาดอาหารมาหลายแรมคืน สายตาของเขาได้แต่กวาดไปมา ในใจก็ได้แต่ถามว่า
" ที่นี่ที่ไหน ? เพื่อนผู้ร่วมทางของข้าจากไปหมดแล้วหรือ? ข้ายังมีชีวิตอยู่? "
เมื่อสติของชายหนุ่มกลับมา เขาจึงเริ่มออกเดินสำรวจ " ต้องมีเหลือรอดสักคนบ้างล่ะน่า..." ความคิดในสมองเริ่มเรียกร้องยามอยู่เดียวดาย พุ่มไม้ประหลาดเริ่มสั่นไหว ปรากฎเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ เขาหันกลับไปมอง ด้วยหวังเต็มเปี่ยมว่าสิ่งที่เห็นคือเพื่อนผู้ร่วมทาง
ร่างๆ หนึ่งเริ่มปรากฏ แล้วหายลับไปในพุ่มไม้ทึบทะมึน เขาเร่งฝีเท้าไล่ตามร่างนั้นไป วิ่งผ่านสุมทุมพุ่มไม้และกระโจนโพนทะยานด้วยแรงเท่าที่มีอยู่ อะดรีนาลีนเริ่มหลั่ง เลือดสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง ในใจก็เต็มไปด้วยความหวังที่แฝงด้วยความกังขา ลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆ ทุกทีๆ เขาตามอย่างไม่ลดละ
เบื้องหน้าปรากฎเห็นเป็นปราสาทหิน สลักเสลางดงาม เพียงดูเหมือนว่ามีคนมาพังสิ่งก่อสร้างอันวิจิตรพิสดารเช่นนี้ ร่างนั้นหายเข้าไปในซากปรักนั้น เขายังชั่งใจว่าจะตามต่อดีหรือไม่ แต่ใจนั้นมันเรียกร้องจะให้เขาเข้าไปให้ได้
" เทพไทรทัสทรงคุ้มครองข้าด้วยเถิด ขอแสงสว่าง และ ความกล้าหาญแก่ข้า"
ทางเดินเข้าปราสาทนั้นลาดเอียง ตะไคร้สีเขียวขึ้นเต็ม เขาค่อยๆ ทรงตัวเดินด้วยเกรงว่าอาจจะล้ม กลิ่นสาบสางเริ่มลอยมาแตะจมูก เขาพยายามเร่งฝีเท้า แต่ก็ทำไม่ได้ ทันใดที่เขาเดินเข้าไปถึงข้างในของปราสาทผุพังแห่งนี้ ด้วยความประหลาดใจสุดขีด เบื้องหน้านั้นเป็นโถงรับแขกใหญ่ดูโอ่อ่าอลังการ ศิลปะตกแต่งก็ดูแปลกตา เบื้องบนเป็นเพดานประดับโคมไฟสีแดงหลายสิบดวง บนโคมมีตัวหนังสือสีทองเขียนหวัดๆ ซึ่งอ่านไม่ออก ผนังสลักเป็นลวดลายวิจิตรแลดูเหมือนเปลวไฟที่เกรี้ยวกราดและเถาไม้เลี้อยที่พลิ้วไหว เบื้องล้างที่เขาเหยียบอยู่เป็นภาพวาดปรากฎเป็นทิวทัศน์ ลายเส้นดูพลิ้วไหวงดงามยิ่งนัก แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นได้หายไปในพริบตาราวกับใช้เวทย์ ตอนนี้กลับเป็นซากปรักผุพังไม่ต่างจากข้างนอก เสียงหนึ่งดังกึกก้องมาสัมผัสโสตประสาทของเขา
" เซนนา มาซา กาคีล่า ! " เสียงพูดนั้นดังกึกก้อง
" คาเน นาโมเนซ เคตาร์ ! ? " เสียงนั้นกล่าวต่ออีก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจว่าเสียงนั้นพยายามสื่ออะไรกับเขา
" ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ตัวอะไร จงแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้ ! " เขาลืมตัวตะโกนออกไปด้วยความตื่นเต้น(ปนกลัว)
" เคร์นุส .." เสียงนั้นกล่าวต่อ เขาถึงกับตะลึง ในจิตก็คิดกังขา " มันรู้ชื่อข้า มันรู้ได้อย่างไร? "
สิ่งมีชีวิตรูปร่างแปลกประหลาดปรากฏเบื้องหน้าเขา มันมีสี่แขน ร่างกายซีกซ้ายนั้นขาวเผือก ซีกขวาเป็นสีดำขลับ หน้าตาเหมือนมนุษย์ ดวงตาสีเทาเข้ม ผมบนหัวมันยาวถึงพื้น เพียงแต่ท่อนล่างของร่างนั้นไม่ใช่ขามนุษย์ มันเลื้อยได้เหมือนงู! สะพายคันธนูไว้เบื้องหลัง มือซ้ายมือหนึ่งถือหนังสือเล่มโตปกโลหะสีหม่นๆ จารึกภาษาที่เขาไม่เข้าใจ ปากของมันเริ่มแสยะยิ้ม
เคร์นุส ผู้กล้า แห่งครีเมนตัส ชะตากำหนดให้เจ้ามา ณ อารามแห่งนี้... ตัวประหลาดกล่าวเป็นภาษามนุษย์
ข้าเป็นเพียงแค่กลาสีตัวจ้อยด้อยค่า มิใช่ผุ้กล้าแห่งครีเมนตัส!
หนึ่งฮูเมโนส์นามเคร์นุสแห่งครีเมนตัส หนึ่งฮูเมนีสซ์แห่งซีเนต์ หนึ่งครีเชียสแห่งไทรทานุส แลหนึ่งวิซไซบ์แห่งไมราจ หลอมรวมนามจตุภาคี ภาระแสนใหญ่ยิ่ง เสียสละยิ่งชีวา ฝ่ามหภยันตราย ตามหาสิ่งล้ำค่ากอบกู้โลกา.....
ข้าเป็นเพียงภูตส่งสารมาถึงเจ้า จงตามหาพันธมิตรทั้งสาม รวมเป็นพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ จงทำภารกิจให้ลุล่วง มิเช่นนั้นโลกาเจ้าจักวอดวาย หากสิ้นไร้หนทางจงเพ่งหานิลศิลาในสายธารา....
แสงสีขาวสว่างเจิดจ้า ทะลุทะลวงทุกซอกมุมซากปรัก เคร์นุสหลบแสงนั้นทันควัน เมื่อสิ้นแสง ภูตส่งสารได้เร้นตนไปแล้ว เบื้องหน้าเขามีก้อนหินมันวาวสีดำ และคันธนูวางไว้ เป็นนัยว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นของกลาสีหนุ่มโดยปริยาย
จงใช้มัน... ภูตกล่าวส่งท้ายให้เคร์นุส
To be Continue..
,