22 มีนาคม 2551 13:47 น.
POOLUM
วันนี้พ่อตื่นขึ้นมาอ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ทำให้พ่อต้องมานั่งเขียนบันทึกถึงลูก เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง การศึกษาปริญญาโท จากจุฬาฯ เธอเรียนจบด้วยเกรดนิยมอันดับ 1 หลังจากเรียนจบ เธอประกอบอาชีพเป็นอาจารณ์สอนนักเรียนที่มหาวิทยาลัยเอแบค สาขาเศรษฐศาสตร์ที่เธอเรียนมาโดยตรง ในด้านของครอบครัวเธอเป็นลูกคนเดียวซึ่งก็เหมือนกับพ่อที่มีลูกเพียงคนเดียว ต่างกันที่พ่อของเธอคงมีฐานะทางการเงินและวัตถุมากกว่าพ่อหลายเท่า เป็นผู้นำเข้าสินค้ายี่ห้อดังจากเมืองนอกเข้ามาขายในเมืองไทย ซึ่งนั้นไม่ใช้ปัญหาทั้งของพ่อและของเรื่องที่พ่อกำลังจะเล่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อวานเธอผู้นี้ขับรถยนต์เบนต์สปอนต์คันหรู ขึ้นไปบนตึกเอ็มไพร์ชั้น 10 ถนนสาธร เธอสูบบุหรี่ยี่ห้อดังหนึ่งมวน แล้วตัดสินใจโดดตึกลงมายังชั้นล่าง ข้างกายมีสมุดบันทึกเขียนตัดพ้อคนที่เธอรัก เนื้อความอธิบายความรู้สึกประมาณว่าแฟนหนุ่มของเธอไปมีแฟนใหม่ เธอรักเขามากที่สุดในโลก ขาดเขาไม่ได้ ถ้าตื่นขึ้นมาไม่มีเขาอยู่ข้างกาย ก็ไม่อยากอยู่ ต่อไป
เรื่องราวทั้งหมดก็มีประมาณนี้ ส่วนตัวพ่อไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นและขอแสดงความเสียใจกับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น เสียใจกับผู้ให้กำเนิด เสียใจกับสถาบันการศึกษา เสียใจกับลูกศิษย์ที่เธอเคยให้ความรู้ และเสียใจกับโลกใบนี้ที่สูญเสียมนุษย์ที่ไม่ควรจะเสียในรูปแบบที่เกิดขึ้นไปอีกท่านหนึ่ง
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้พ่อนึกไปถึงเมื่อสัปดาห์ก่อนมีข่าวอยู่สองสามชิ้นที่ย้อนกลับมาให้ห่วงคำนึง ข่าวแรกเป็นเรื่องเด็กนักเรียนมัธยมต้น ร่วมตัวกันไปขโมยน๊อตรางรถไฟและสายไฟฟ้าสาธาณะ เพื่อนำไปขาย มูลค่าของการขายไม่ต้องนับว่ามีค่ากี่บาทเพราะผลกระทบที่มีตามมามีมูลค่าเทียบความเสียหายกันไม่ได้ถ้ารถไฟเกิดตกราง เมื่อตำราจจับเด็กกลุ่มนี้ได้ พวกเขาให้การยอมรับว่าขโมยจริงเพียงเพื่อต้องการนำเงินไปซื้อของเล่น ข่าวที่สองเป็นเรื่องคลายๆกัน แต่ใกล้ตัว มากกว่ากรณีที่มีคนแถวที่ทำงานพ่อมาขโมยมิเตอร์น้ำไปในตอนกลางคืน พ่อมาทำงานตอนเช้า ไม่มีน้ำจะใช้เดินไปเห็น หัวมิเตอร์หายไปแล้ว พ่อถามคนแถวนั้นเขาว่า คนที่มาขโมยเอาไปขายก็ไม่ได้เงินเท่าไหร่หรอก เอาไปใช้ตามห้องแถวที่ไม่ยอมเสียค่ามิเตอร์ตามกฎหมายของการประปาเท่านั้น ส่วนเรื่องสุดท้ายที่เข้ามาในหัวโดยที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นเรื่องที่น่าจะมาคิดรวมกัน แต่มันปฎิเสธยากว่าไม่ได้เกิดจากสันดานเดียวกัน ก็คือมีดาราชายหญิงคู่หนึ่งผู้ชายฐานะทางสังคมดีผู้หญิงก็สูงส่งไม่แพ้กัน รูปร่างหน้าตาไม่ต้องอ้างย้อมดูโดดเด่นกว่า ปุถุชนทั่วไป ทั้งคู่มีลูกชายหน้าตาน่ารัก ดูน่าจะมีชีวิตที่เพียบพร้อมไม่แพ้กันกับหญิงสาวเจ้าของรถเบนต์ แต่ข่าวของชายหญิงทั้งคู่ตลอดเดือนที่ผ่านมา มีแต่เรื่องการทะเลาะเพื่อนำไปสู่การหย่าร้าง โดยมีลูกชายอายุ 5 ขวบ ข้างกาย ไม่สนแม้แต่ความคิดถึงสถาบันครอบครัวและมนุษย์ตัวน้อยๆ ที่เฝ้ามอง
แน่นอนเรื่องที่เกิดขึ้นถ้าคิดให้ดี ล้วนป็นภาพสะท้อนการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันไม่มากก็น้อย ถ้าเราลองมาพิจารณากัน หญิงสาวที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายท่ามกลางความพรั่งพร้อมทางวัตถุทั้งเงินทอง วุฒิการศึกษา ฐานะทางสังคม ล้วนสามารถตอบสนองความต้องการชนิดที่เด็กขโมยน๊อตปรารถนา แต่เธอก็เลือกทางที่จะปลิดชีพ เพื่อแก้ปัญหาของตน โดยไม่สนใจความเป็นไปของคนใกล้ตัวที่ให้กำเนิดทั้งชีวิต และการศึกษา ความไม่สนใจในผู้คนอื่น ที่แวดล้อมตนล้วนเป็นผลต่อเนื่องถึงเด็กนักเรียนที่ต้องการแก้ปัญหาความอยากได้ของเล่น โดยเลือกทางที่ตนจะเป็นขโมย โดยไม่สนใจว่ารถไฟขบวนไหนจะตกราง หรือขโมยสายไฟ โดยไม่สนใจว่าหมู่บ้านไหนจะไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือแม้แต่มิเตอร์ที่ทำให้ออฟฟิศเราต้องขาดน้ำไปเกือบครึ่งวัน
กรณีดาราชายหญิงที่ต้องการหย่าร้างเพื่อจะมีคนรักใหม่ โดยไม่สนใจสายตาของลูกที่ตนทั้งคู่ให้กำเนิด พ่อนึกไม่ออกว่าถ้าวันหนึ่ง เราสามารถจับเด็กที่ขโมยน๊อตของรางรถไฟได้ แล้วเด็กพวกนั้นไม่ได้ไปขายเพื่อซื้อของเล่น แต่ตอบว่า ผมไม่เห็นว่ารถไฟตกรางมันจะเดือดร้อนตรงไหน ในเมื่อตอนเด็กๆ พ่อกับแม่ผม แยกทางกันยังไม่สนใจเลยว่าผมจะเดือดร้อนยังไง