3 เมษายน 2551 19:07 น.

บันทึกจากพ่อ

POOLUM

ถึง ลูกรัก
	ช่วงนี้มีข่าวในบ้านเมืองที่เป็นข่าวดังอยู่เรื่องหนึ่งคือ เด็กผู้หญิงชื่อ น้องน้ำ อายุประมาณ 20 กว่าปี ได้เสียชีวิตลงด้วยโลกมะเร็งในเม็ดเลือด การตายครั้งนี้นำมาซึ่งความเศร้าเสียใจให้กับคนทั่วไปเป็นอย่างมากทั้งที่เป็นแฟนเพลงที่ตามเชียร์เธอตลอดทุกสัปดาห์ หรืออย่างพ่อเองที่ไม่เคยดูแต่เมื่อเป็นข่าวแทบทุกหน้าหนังสือพิมพ์ก็ทำให้พ่อรู้สึกว่าต้องเอามาเล่าให้ลูกฟังด้วย 
เนื่องจากเด็กคนนี้กำลังพยายามเป็นนักร้องประกวดเวทีเดอะสตาร์ ซึ่งเป็นการประกวดร้องเพลงอีกรูปแบบหนึ่งในสังคมทุกวันนี้ที่พ่อเองก็ไม่ได้เห็นด้วยเสียทั้งหมด เนื่องจากบางครั้งเป้าหมายที่คนเข้าประกวดส่วนหนึ่งซึ่งพ่อเชื่อว่าเป็นส่วนใหญ่ จะพยายามเข้าไปร้องเพลง เพราะหวังว่าตนเองจะได้เป็นคนมีเงินมีชื่อเสียงด้วยระยะเวลาอันรวดเร็วเหมือนที่หลายคนมักให้สัมภาษณ์ว่า เผื่อจะได้เปลี่ยนชีวิตใหม่ โดยใช้ความพยายามเพียงไม่กี่วันกี่สัปดาห์ ขอเพียงเข้ารอบและได้ออกทีวี ก็จะทำให้ตนเองมีชีวิตที่ดีขึ้นในความหมายของตัณหาแบบเปลือกๆนะ ซึ่งนั้นอาจเป็นจริงในรูปธรรม แต่ปัญหาของการทำอะไรด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย พ่อยังเชื่อว่าจะนำมาซึ่งชีวิตที่มักง่ายไปด้วย และนั้นคงไม่ใช้วิถีที่พ่อกับลูกเห็นว่าควรเดิน แต่แน่นอนพ่อไม่ได้ปฎิเสธเสียที่เดียวถ้าเรากำลังทำมันไปด้วยจิตใจที่มั่นคงและไม่เอาแต่มักง่าย อีกประการที่พ่อไม่ค่อยเห็นด้วยกับการประกวดในลักษณะนี้ก็เพราะพ่อเชื่อว่าการร้องเพลงมันเป็นเรื่องที่ทำให้มนุษย์มีความสนุกมากกว่าการนั่งคิดวิธีแก้ปัญหาในการทำงานแต่ละวันเป็นแน่ ปัญหาที่แก้อาจมีในอาชีพนักร้องนักแสดง แต่เราก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า การร้องเพลงและการละครก็เป็นเพียงการผ่อนคลายความอ่อนล้าในชีวิตประจำวันเช่นกัน และถ้ามันเป็นเหตุแห่งความรื่นรมย์ เมื่อมันเป็นอาชีพขึ้นในสังคม พ่อจึงถือว่าการร้องเพลงหรือเล่นละครเป็นเพียงอาชีพที่ให้ความสนุกสนานทั้งผู้แสดงและผู้ชมการแสดงมากกว่าการสร้างสรรค์สาระในชีวิตจริงๆให้เกิดขึ้นในหมู่ของมนุษย์ หรือถ้ามีก็คงเป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับการทำงานสร้างสรรค์เพื่อหาเลี้ยงปากท้องของมนุษย์ด้วยตนเอง อธิบายก็คือการมีอาชีพที่หาเลี้ยงตนเอง โดยตนเอง และเพื่อตนเองได้ ย้อมมีสาระมากกว่าการดูหนัง ดูละครหรือฟังเพลงที่แสนจะไพเราะสักปานไหน เพราะการทำอาชีพเพื่อพึ่งตนเองได้ยอมให้สาระมากกว่าวัตถุสัมผัสใดๆทั้งสิ้น แต่แน่นอนพ่อยังยืนยันว่าไม่ปฎิเสธการแสดงใดๆ เพราะพ่อเองก็มักหาเวลาดูหนังดีๆ สักเรื่องอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ถ้ามันจะทำให้เราใช้ปัญญามองเรื่องราวต่าวๆบ้าง ยามเสร็จจากงานที่ทำประจำ
	แต่ประเด็นที่พ่อจะเล่าให้ฟังไม่ใช่เรื่องรากฐานแห่งอาชีพการแสดงของใคร แต่เป็นประเด็นเรื่องการต่อสู้ของคนสองคนที่ดำเนินชีวิตในอาชีพเดียวกัน คนแรกคือเด็กผู้หญิงที่เสียชีวิตในขณะที่ตัวเองพยายามต่อสู้เพื่อไปสู่สิ่งที่ตั้งใจและตนเองก็ปรารถนาที่จะทำมันด้วยหัวใจ เนื่องจากก่อนเสียชีวิต ตามข่าวที่พ่อดู เธอบอกกับทุกคนว่าเธอต้องการแข่งขันต่อ ไม่อยากออกไปรักษาตัว ถึงแม้ต้องตายในระหว่างที่ต้องสู้อยู่นั้น เธออย่าสู้.....
	อีกข่าวหนึ่งที่ออกมาในช่วงเดียวกันคือ นักร้องลูกทุ่งที่อยู่ในบ้านเมืองเรามานาน ชื่อคุณยอดรัก สลักใจ พ่อเคยเห็นเขาร้องเพลงมาตั้งแต่เป็นเด็กเท่าลูก เรื่องก็คือช่วงนี้คุณยอดรักเอง ก็มีข่าวว่าเป็นมะเร็งเช่นเดียวกัน แต่เป็นที่ไหนอย่างไร พ่อไม่ทราบ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีข่าวสับสนเป็นระยะๆเรื่องการเป็นมะเร็งของแก แต่เอาเป็นว่ามาถึงวันนี้ แกเป็นมะเร็งจริง แต่ยังไม่ตายเหมือนเด็กผู้หญิงที่กำลังพยายามจะเป็นนักร้องหน้าใหม่ในบ้านเรา
	ประเด็นคือเรื่องราวของคุณยอดรัก ทำให้พ่อมาคิดทบทวนผู้คนที่บางครั้งความเป็นมนุษย์ ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่เว้นแม้จะใกล้เวลาจากโลกนี้ไป
	นักร้องชื่อดังในอดีตของเราพยายามทุกวิถีทางที่จะขอความช่วยเหลือจากทุกทิศโดยเฉพาะกับเศรษฐีในประเทศเราคนหนึ่งชื่อทักษิณ ชินวัตร พ่อไม่ต้องการอธิบายบุคคลผู้นี้ให้ยืดยาวออกไปอีก เอาเป็นว่า คุณยอดรัก จะมีข่าวออกมาทุกวัน บางครั้งก็ว่า อยากให้เศรษฐีผู้นี้มาช่วยซื้อบ้านจากตน บ้างก็ว่า เขาจะมาช่วยเอาไปรักษาที่เมืองนอก แล้วจะออกเงินหลายล้านบาทช่วยเหลือ และอีกมากมายที่พ่อแทบไม่ได้เอามาใส่ใจ 
	แต่ประเด็นคือ ผู้คนที่เกิดมา จำเป็นขนาดไหนที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา ในขณะที่ตนเองยังมีชีวิต และโลกยังให้ลมหายใจเป็นโอกาสอันแสนวิเศษที่จะพิสูจน์คุณค่าของตน ตราบจนวาระสุดท้ายของการดำเนินตน 
มนุษย์เรากลัวการตายมากกว่าการอยู่โดยไร้ศักดิ์ศรีแห่งตัวตนอย่างนั้นหรือ?
แม้ว่าในวันนี้มีน้ำตา จะข่มมันให้ไหลอยู่ข้างใน ความฝันนั้นจบไป แต่ยังเหลือตัวฉัน...........
	เสียงเพลงจากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อยากเป็นนักร้อง เธอเอาเพลงของใครสักคนมาร้องเมื่อครั้งขึ้นเวทีประกวด เธอเพียงต้องการสร้างคุณค่าให้ตนเอง และทำความสุขให้ผู้อื่น ต้องต่อสู้กับโรคร้ายด้วยสติที่ตั้งมั่น ไม่มีใครเคยเห็นแม้ความหวาดกลัวในดวงตา แม้ร่างกายกำลังจากหลับไปตลอดกาล ก่อนเธอจากไปไม่กี่วัน เธอยังเล่นกีต้าร้องเพลงอยู่ข้างเตียงคนไข้ เสียงยังคงใสกังวานแม้ถ่ายมาจากคลิปวิดีโอมือถือ ไม่แสดงแม้ความเจ็บปวด และทุกข์ทรมาน ตลอดลมหายใจเข้าออกของการขับขาน
						แด่ศักดิ์ศรีของความเป็นคนที่พ่อมอบให้...รักลูก				
22 มีนาคม 2551 13:47 น.

บันทึกจากพ่อ

POOLUM

วันนี้พ่อตื่นขึ้นมาอ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ทำให้พ่อต้องมานั่งเขียนบันทึกถึงลูก เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง การศึกษาปริญญาโท จากจุฬาฯ เธอเรียนจบด้วยเกรดนิยมอันดับ 1 หลังจากเรียนจบ เธอประกอบอาชีพเป็นอาจารณ์สอนนักเรียนที่มหาวิทยาลัยเอแบค สาขาเศรษฐศาสตร์ที่เธอเรียนมาโดยตรง ในด้านของครอบครัวเธอเป็นลูกคนเดียวซึ่งก็เหมือนกับพ่อที่มีลูกเพียงคนเดียว ต่างกันที่พ่อของเธอคงมีฐานะทางการเงินและวัตถุมากกว่าพ่อหลายเท่า เป็นผู้นำเข้าสินค้ายี่ห้อดังจากเมืองนอกเข้ามาขายในเมืองไทย ซึ่งนั้นไม่ใช้ปัญหาทั้งของพ่อและของเรื่องที่พ่อกำลังจะเล่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อวานเธอผู้นี้ขับรถยนต์เบนต์สปอนต์คันหรู ขึ้นไปบนตึกเอ็มไพร์ชั้น 10 ถนนสาธร เธอสูบบุหรี่ยี่ห้อดังหนึ่งมวน แล้วตัดสินใจโดดตึกลงมายังชั้นล่าง ข้างกายมีสมุดบันทึกเขียนตัดพ้อคนที่เธอรัก เนื้อความอธิบายความรู้สึกประมาณว่าแฟนหนุ่มของเธอไปมีแฟนใหม่ เธอรักเขามากที่สุดในโลก ขาดเขาไม่ได้ ถ้าตื่นขึ้นมาไม่มีเขาอยู่ข้างกาย ก็ไม่อยากอยู่ ต่อไป 
	เรื่องราวทั้งหมดก็มีประมาณนี้ ส่วนตัวพ่อไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นและขอแสดงความเสียใจกับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น เสียใจกับผู้ให้กำเนิด เสียใจกับสถาบันการศึกษา เสียใจกับลูกศิษย์ที่เธอเคยให้ความรู้ และเสียใจกับโลกใบนี้ที่สูญเสียมนุษย์ที่ไม่ควรจะเสียในรูปแบบที่เกิดขึ้นไปอีกท่านหนึ่ง
	เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้พ่อนึกไปถึงเมื่อสัปดาห์ก่อนมีข่าวอยู่สองสามชิ้นที่ย้อนกลับมาให้ห่วงคำนึง ข่าวแรกเป็นเรื่องเด็กนักเรียนมัธยมต้น ร่วมตัวกันไปขโมยน๊อตรางรถไฟและสายไฟฟ้าสาธาณะ เพื่อนำไปขาย มูลค่าของการขายไม่ต้องนับว่ามีค่ากี่บาทเพราะผลกระทบที่มีตามมามีมูลค่าเทียบความเสียหายกันไม่ได้ถ้ารถไฟเกิดตกราง เมื่อตำราจจับเด็กกลุ่มนี้ได้ พวกเขาให้การยอมรับว่าขโมยจริงเพียงเพื่อต้องการนำเงินไปซื้อของเล่น ข่าวที่สองเป็นเรื่องคลายๆกัน แต่ใกล้ตัว มากกว่ากรณีที่มีคนแถวที่ทำงานพ่อมาขโมยมิเตอร์น้ำไปในตอนกลางคืน พ่อมาทำงานตอนเช้า ไม่มีน้ำจะใช้เดินไปเห็น หัวมิเตอร์หายไปแล้ว พ่อถามคนแถวนั้นเขาว่า คนที่มาขโมยเอาไปขายก็ไม่ได้เงินเท่าไหร่หรอก เอาไปใช้ตามห้องแถวที่ไม่ยอมเสียค่ามิเตอร์ตามกฎหมายของการประปาเท่านั้น ส่วนเรื่องสุดท้ายที่เข้ามาในหัวโดยที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นเรื่องที่น่าจะมาคิดรวมกัน แต่มันปฎิเสธยากว่าไม่ได้เกิดจากสันดานเดียวกัน ก็คือมีดาราชายหญิงคู่หนึ่งผู้ชายฐานะทางสังคมดีผู้หญิงก็สูงส่งไม่แพ้กัน รูปร่างหน้าตาไม่ต้องอ้างย้อมดูโดดเด่นกว่า ปุถุชนทั่วไป ทั้งคู่มีลูกชายหน้าตาน่ารัก ดูน่าจะมีชีวิตที่เพียบพร้อมไม่แพ้กันกับหญิงสาวเจ้าของรถเบนต์ แต่ข่าวของชายหญิงทั้งคู่ตลอดเดือนที่ผ่านมา มีแต่เรื่องการทะเลาะเพื่อนำไปสู่การหย่าร้าง โดยมีลูกชายอายุ 5 ขวบ ข้างกาย ไม่สนแม้แต่ความคิดถึงสถาบันครอบครัวและมนุษย์ตัวน้อยๆ ที่เฝ้ามอง
	แน่นอนเรื่องที่เกิดขึ้นถ้าคิดให้ดี ล้วนป็นภาพสะท้อนการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันไม่มากก็น้อย ถ้าเราลองมาพิจารณากัน หญิงสาวที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายท่ามกลางความพรั่งพร้อมทางวัตถุทั้งเงินทอง วุฒิการศึกษา ฐานะทางสังคม ล้วนสามารถตอบสนองความต้องการชนิดที่เด็กขโมยน๊อตปรารถนา แต่เธอก็เลือกทางที่จะปลิดชีพ เพื่อแก้ปัญหาของตน โดยไม่สนใจความเป็นไปของคนใกล้ตัวที่ให้กำเนิดทั้งชีวิต และการศึกษา ความไม่สนใจในผู้คนอื่น ที่แวดล้อมตนล้วนเป็นผลต่อเนื่องถึงเด็กนักเรียนที่ต้องการแก้ปัญหาความอยากได้ของเล่น โดยเลือกทางที่ตนจะเป็นขโมย โดยไม่สนใจว่ารถไฟขบวนไหนจะตกราง หรือขโมยสายไฟ โดยไม่สนใจว่าหมู่บ้านไหนจะไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือแม้แต่มิเตอร์ที่ทำให้ออฟฟิศเราต้องขาดน้ำไปเกือบครึ่งวัน
	กรณีดาราชายหญิงที่ต้องการหย่าร้างเพื่อจะมีคนรักใหม่ โดยไม่สนใจสายตาของลูกที่ตนทั้งคู่ให้กำเนิด พ่อนึกไม่ออกว่าถ้าวันหนึ่ง เราสามารถจับเด็กที่ขโมยน๊อตของรางรถไฟได้ แล้วเด็กพวกนั้นไม่ได้ไปขายเพื่อซื้อของเล่น แต่ตอบว่า  ผมไม่เห็นว่ารถไฟตกรางมันจะเดือดร้อนตรงไหน ในเมื่อตอนเด็กๆ พ่อกับแม่ผม แยกทางกันยังไม่สนใจเลยว่าผมจะเดือดร้อนยังไง				
17 พฤษภาคม 2550 11:24 น.

เหยื่อ

POOLUM

เสียงเพลงที่ดังกระหึ้มปลุกความรู้สึกของเธอให้คึกคักขึ้นมาอีกหลายเท่าหลังจากที่ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอร์ผ่านลงคอเธอไปแล้วหลายแก้ว สายตาที่หวานหยาดเยิ้ม ส่งสอดส่ายไปตามผู้คนที่แออัดยัดเยียดและมีอาการไม่ต่างไปจากเธอ  ถึงแม้สภาพภายในห้องจะถูกออกแบบมาให้กว้างขวางโอ่โถง  มีเพดานที่สูงเท่าตึก สองชั้น แต่ควันบุหรี่ที่หนาทึบก็ปกคลุม ไปทั่วบริเวณ บวกกับบรรยากาศที่มืดสลัว มีเพียงแสงไฟ กระพริบ อยู่ทั่วบริเวณ แต่เธอก็ยังพยามยาม  เพ่งสายตามองลอดผู้คนที่อัดแน่นล้อมรอบบริเวณที่เธอนั่งอยู่ ออกไปตามจุดต่างๆ ภายในห้องนั้น บางครั้งเธอรู้สึกท้อใจไปกับความหนาแน่นของผู้คนที่แออัดกันแทบจะไม่มีที่ให้เธอได้เต้นไปตามจังหวะดนตรีที่เธอชอบ แต่อย่าว่าแต่ให้เธอได้เต้นเลย แค่ให้เธอเดินไปตามทางเพื่อจะไปห้องน้ำ เธอก็ยังไม่สามารถเดินไปได้เลย เพราะยิ่งเสียงเพลงดังขึ้นเท่าไหร่ผู้คนก็เหมือนกับจะพยายามเข้ามากัน จากห้องกว้างๆ ที่เธอเข้ามาในตอนหัวค่ำ ที่มีเพียงไม่กี่คน ตอนนี้อย่าว่าแต่โต๊ะที่จะนั่งเลย ที่ยื่นสำหรับบางคนก็ยังไม่มี ต้องสั่งเครื่องดื่มแล้วเกาะกันตามโต๊ะ หรือมุมเคาร์เตอร์ต่างๆ เพื่อวาง แก้วเหล้ากัน
	เธอก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ จึงรู้ว่า เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ นี้เธอเข้ามาอยู่ในนี้ตั้งสามชั่วโมงแล้ว แต่มาคิดอีกทีก็คงไม่แปลกอะไรเพราะเธอเองก็รู้สึกมึนๆ ขึ้นมาพอสมควร หลังจากที่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ถูกผสมน้ำผลไม้เข้าไปหลายแก้วแล้ว 
เธอไอออกมาเหมือนกับจะสำลักสองสามครั้ง เธอรู้ว่ารอบๆบริเวณที่เธอนั่งอยู่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ เธอมองดูก็เห็นว่าเกือบทุกๆคนจะคาบมวนบุหร่ีที่จุดไฟแดงวาบอยู่รอบตัวเธอ  บางครั้งเธอยังรู้สึกดีในเรื่องที่เธอไม่สูบบุหรี่เข้าไปด้วย เธอเคยเห็นเพื่อนๆ เธอหลายคน เมื่อเวลาเข้ามาในสถานที่อย่างนี้ ดื่มเครื่องดื่มไปก็บุหรี่สูบไปด้วย เธอสังเกตุดูว่าพวกเพื่อนๆ เธอจะเมาและมึนมากว่าเธอเสียอีก และก็นั้นอาจจะเป็นสาเหตุที่เธอเองไม่ชอบที่จะสูบบุหรี่ไปด้วยเวลาที่มาสถานที่อย่างนี้ เพราะมันจะทำให้เธอมึนเหมือนคนอื่นๆ ที่มาเที่ยวกัน ซึ่งสำหรับเธอ เธอไม่ได้ต้องการสภาพจิตใจอย่างนั้น 
สายตาของเธอยังคงมองไปรอบบริเวณ ถึงแม้บรรยากาศภายในจะดูมืดสลัว แต่ถ้าเธอบีบตาลงอีกนิดก็จะทำให้เธอ เห็นภาพที่ชัดขึ้น 
หลังจากที่เธอพยายามมองหาอยู่นาน จนเธอเองเริ่มไม่แน่ใจว่า เขา คนนั้นจะมาจริงหรือเปล่า ความรู้สึกผิดหวังก็ก่อเกิดขึ้น เธอรู้สึกเหมือนกับมีก้อนอะไรบางอย่างขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ แต่ไม่หรอก เธอมั่นใจว่าเขาต้องมาตามสัญญาแน่นอน เธอล้วงมือลงไปในกระเป๋าสะพาย แล้วหยิบกระดาษ แผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งขึ้นมา กระดาษถูกพับ เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ เธอยังไม่เคยให้ใครได้เห็นหรือรับรู้เรื่องราวระหว่างเธอและเขาเลย มันผ่านมาได้ สองเดือนแล้วที่เธอกับเขา ได้รู้จักกัน และนั้นนับเป็นจุดเริ่มต้นของเธอ กับความรู้สึกใหม่ๆที่เธอได้รับจากเขา  เธอไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายมันว่าอย่างไร  เขา คือคนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอ นับตั้งแต่ที่ได้รู้จักกัน 
เสียงเพลง เสียงหัวเราะ อย่างมีความสุขของผู้คนที่อยู่รายล้อมเธอ บางครั้งมันทำให้เธอ สนุกสนานเพลิดเพลิน แต่ในบางครั้งมันก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวจับใจขึ้นมา เธอสังเกตุเห็นสายตาบางคู่ จ้องมองมาทางเธอ หลายครั้งที่มีคนเดินเข้ามายังโต๊ะที่เธอนั่งอยู่แล้วขออนุญาติเอาแก้วมาชนกับเธอ แล้วก็ขอนั่งอยู่ด้วย แต่เธอก็ต้องรีบปฏิเสธ อย่างรวดเร็ว เธอไม่ต้องการให้เขาเห็นว่าเธอมีคนอื่น นั่งอยู่ด้วย ในเวลาที่เขามา มันอาจจะทำให้เขาโกรธ และไม่ต้องการจะคุยกับเธออีกเลยก็ได้ แต่บางทีคืนนี้ถ้าเขาไม่มาหรือไม่เจอกับเธอ เธอยังคิดอยากจะหาใครสักคนที่มาอยู่กับเธอในเวลานี้ และอาจจะลงเอยกันแบบที่ เขาเลยเธอเคยผ่านมันมาแล้ว ในจุดเริ่มต้นจากสถานที่นี่ก็ได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เธอก็ ต้องหยุดคิด ไม่ เธอไม่มีวันทำอย่างนั้นเด็ดขาด เธอไม่ใช้คนประเภทนั้น มันแล้วรายเกินไป เธอไม่อยากให้เรื่องราว ทำนองอย่างว่า เกิดขึ้นกับเธออีก เมื่อคิดได้อย่างนี้เธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาในหัวใจทันที
เธอก้มลงดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เวลาผ่านไป อีกครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังพอมีเวลา เพราะถ้าถามว่าเธอกับเขาเจอกันครั้งแรก เมื่อ สองเดือนก่อน ก็น่าจะเป็นเวลาที่ดึกกว่านี้อีกสักเล็กน้อย แต่นั้นแหละ เหตุผลที่เธอรีบมาตั้งแต่ หัวค่ำในวันนี้ เพราะ กลัวว่าจะไม่ได้นั่งในที่นั่งเดิม ที่เธอกับ เขาเคยนั่งอยู่ด้วยกัน และนั้น อาจทำให้ นัดคืนนี้ เขาหาเธอไม่เจอก็ได้ เธอยกแก้วเครื่องดื่มที่เหลือเกือบก้นแก้ว กระดกจนหมด แล้วหันไปเรียก เด็กเสริฟ มาสั่ง เพิ่มอีกหนึ่งแก้ว เธอนับดู ก็เห็นว่าตอนนี้เธอดื่มไป เกือบ สี่แก้วแล้ว และเธอก็เริ่มรู้สึกมึนขึ้นเรื่อยๆ เธอก้มลงมองดูที่กระดาษสี่เหลี่ยมที่พับไว้  ทันใดนั้นน้ำตาหยดเล็กๆ ก็ไหลลงมาบนกระดาษที่วางอยู่บนโต็ะ
แก้วที่ห้าสำหรับเธอ มาตั้งแต่เมื่อไหร่เธอไม่รู้ แต่เธอรู้สึกว่ามันก็ได้หมดไป อย่างรวดเร็ว กว่าแก้วที่ผ่านๆมา เธอเองก็รู้สึกว่ามึนขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็พอจะสังเกตุเห็นว่า มีสายตาของผู้ชายโต็ะตรงข้ามเธอประมาณสามสี่คน มองมาทางเธอบ่อยมากขึ้นอย่างไม่ยอมคลาดสายตา จากความรู้สึกกลัวที่มีในตอนแรก กลับกลายเป็นความรู้สึก เฉยๆ และบางครั้งก็รู้สึกสนุกกับเสียงดนตรี และโยกย้ายไปตามจังหวะดนตรี กับ การเคลื่อนไหวพร้อมๆ กับคนที่อยู่ในสภาพเดียวกัน	
ถึงเวลานี้เธอเลิกใส่ใจที่จะมองหาเขาแล้ว เธอเริ่มมั่นใจว่าเขาคงลืมที่จะมาตามที่นัดกันในจดหมายที่เขาเขียนให้เธอ ในวันแรกที่เจอกันแล้ว แต่ลึกๆ บางช่วงเวลาเธอเองก็รู้สึกอย่างเจอ และอยากคุยกับเขา หรือบางทีอาจจะมีอะไรๆ กันเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ระหว่างเธอกับเขา ในวันนั้น.อีกสักครั้งก็ได้
กลุ่มชายหนุ่มที่นั่งจ้องมองเธอโต๊ะตรงข้าม เดินเขามาหาเธอคนแรก เขาพูดบางอย่างที่เธอไม่ได้สนใจจะฟัง เพราะเธอเองก็รู้สึกมึนๆ แต่สักพัก พวกเขาทั้งสี่คนก็เดินมานั่งข้างๆ เธอ ทั้งหมดพร้อมกัน เสียงหัวเราะ เสียงแก้วที่ดังชนกัน เหมือนกับ ฉลองความสำเร็จ ดังผสมกับเสียงเพลงและกลิ่นควันบุหรี่ยังคงคละคลุ้ง ไปทั่วบริเวณ ที่เธอนั่งอยู่..
เธอไม่รู้ว่าเธอออกมาจากสถานที่นั้นได้อย่างไร แต่เธอจำได้ว่าเธอพูดประโยชน์เดียวหลายๆ ครั้งว่า เธอ กำลัง รอ  เขา  อยู่ เธอไม่รู้เหมือนกันว่า ชายสี่คนที่พาเธอออกมาจากร้านเหล้า จะพาเธอไปไหนต่อ แต่เวลานี้เธอไม่รู้สึกกลัวอะไรอีกแล้ว เธอรู้อยู่อย่างเดียวว่า พรุ่งนี้ก็จะเช้า และเธอเองก็ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธออาจจะไปทำงานต่อหรือ อาจนอนอยู่ที่บ้านเพื่อพักผ่อนจากการดื่มมามากในคืนนี้  แต่เมื่อเธอรู้สึกตัวอีกครั้ง เธอก็พบว่า เธอมาอยู่ในห้องๆ หนึ่งที่ เธอไม่คุ้นมาหลายเดือนแล้ว มีร่างของคนที่ทับบนร่างของเธออยู่ เธอแทบจะไม่มีแรงแม้แต่จะบอกกับใครสักคนว่า อย่า  และเธอก็ไม่รู้ว่าเธอได้พูดไปหรือเปล่า ร่างของคนแล้วคนเล่าที่ทาบลงบนตัวของเธอ บางครั้งทำให้เธอรู้สึกอึดอัด จนหายใจไม่ออก แต่บางครั้งเธอก็รู้สึกผ่อนคลายที่อีกคนผ่านไป แต่เมื่อมีคนใหม่เข้ามาอีก ความรู้สึกเดิมๆ ก็ กลับมาอีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าเธอผ่านเวลาที่อึดอัดนี้ไปนานเท่าไหร่แล้ว เธอได้ยินเสียงผู้ชายคุยกัน อยู่ที่ปลายเตียงที่เธอนอนอยู่ แล้วก็มีเสียงคนๆ หนึ่งเดินมาพูดข้างๆหูของเธอว่า พวกเราไปก่อนนะ เสียงหัวเราะในลำคอ ของผู้พูดและ จากปลายเตียงทำให้เธอพยายามที่จะยันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ความเจ็บปวดก็แปลบขึ้นมาแทนที่ รู้สึกระบมไปทั่วทั้งร่างกาย เธอพยายามจะตระโกนจนสุดเสียงแต่ก็ไม่รู้ว่าเสียงที่เธอจะพูดออกมานั้นมันหายไปไหนหมด มันเหมือนจุกอยู่แค่ลำคอ แล้วเสียงประตูห้องก็ปิดเงียบ เธอพยายามจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้งแต่มันดูเป็นเรื่องที่ยากเกินกำลังที่มีอยู่ เธอหันไปมองที่หัวเตียงเห็นกระเป๋าถือของเธอวางอยู่ เธอยังนึกขอบใจพวกนั้นที่ไม่เอากระเป๋าของเธอไปด้วย แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน ถ้าพวกเขาเอากระเป๋าของเธอไป พวกเขาอาจจะนึกเสียใจกับการกระทำที่ทำกับเธอในวันนี้ก็ได้ เธอค่อยๆ เอื้อม ไปดึก หูกระเป๋าถือ ลากมาไว้ข้างๆ ตัว ล้วงลงไป หยิบ กระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมแผ่นเดิมที่ยังคงมีคราบน้ำตาที่แห้งของเธอให้เห็นอยู่ มันคือจดหมายของเขาที่ให้กับเธอในวันแรกที่เจอกัน เธอใส่ไว้ในกระเป๋าหลังจากที่ผู้ชายทั้งสี่คนเข้ามานั่งกับเธอ เธอคลี่ออกมาดูอีกครั้ง แล้วก็ถอนใจ เธอไม่น่าทำอย่างนี้เธอเมื่อคืนเธอไม่น่าดื่มมากจนขาดสติแบบนี้ เธอสัญญากับตัวเองว่า ต่อไป เธอจะไม่ดื่มจนเมาอย่างครั้งนี้อีก
เธออ่านจดหมายที่  เขา เขียนอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็เผลอหลับไปพร้อมกับจดหมาย ซึ่งมีใจความที่ เขาเขียนเป็นลายมือของเขาเองว่า
 หลังจากที่คุณไปตรวจเลือดกับหมอที่โรงพยาบาลแล้ว อีกสองเดือนถ้าคุณต้องการผม ผมจะมาพบคุณอีก ที่ผับเดิม..โต๊ะที่เราเจอกัน				
16 พฤษภาคม 2550 12:03 น.

ผู้(ถูก)ทำลาย

POOLUM

ผู้(ถูก)ทำลาย
	ดวงอาทิตย์ลับลงเหลี่ยมเขานานแล้ว  แสงตะเกียงน้ำมันตามบ้านเริ่มส่องประกายเป็นจุดเล็กๆ เมื่อมองจากระยะไกล  เหมือนดวงดาวสวยที่ส่องแสงอยู่ตามพื้นดิน  บุญทานชายชรานั่งมวนยาอยู่บนระเบียงไม้เก่าๆหน้าบ้าน  ใบจากจวนจะหมดอยู่แล้ว  พรุ่งนี้แกคิดว่าจะใช้ให้ลูกชายไปซื้อมาเพิ่ม  ไฟแช๊คน้ำมันเบนซินถูกจุดอยู่ปลายมวนยา  แกอัดควันเขาไปเต็มแรง  แล้วปล่อยออกมาอย่างผ่อนคลาย
	 พ่อ  ข้าวสุกแล้วจะกินก่อนเลยไหม   เสียงเรียกดังมาจากข้างในครัว
	 เดี๋ยวรอไอ้บุญนำมันก่อนจะได้กินพร้อมกัน  แกตอบกลับไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองลูกสาวที่กำลังจัดเตรียมถ้วยกับข้าวอยู่ที่พื้นกลางบ้าน 
	แกนึกถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาแล้วท้อใจ  ถ้าแกยังหนุ่มแน่นมีเรี่ยวแรงเหมือนแต่ก่อน แกก็คงไปนั่งอบรมกับบุญนำลูกชายของแกด้วยหรอก นึกแล้วก็อยากแต่จะโทษตังเอง  สมัยก่อนแกทำลายป่าไม้ไว้เยอะ  โดยไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย  จนเจ้าหน้าที่จากอำเภอเข้ามาอบรมปลูกฝัง  โครงการอะไรสักอย่างที่ชื่อเรียกยากเอาการ  แกพยายามนึก  อ๋อโครงการอนุรักษ์ป่าไม้แกไม่ค่อยจะคุ้นกับคำว่าอนุรักษ์  อนุเร็ก  อะไรนี่เท่าไหร่  แกรู้แต่ว่า  ทุกวันนี้ป่าหมดไปมากแล้ว  เจ้าหน้าที่บอกกับชาวบ้านที่เรียกประชุมกันวันก่อนว่า  ต้นเหตุมาจากคนอย่างแก  พวกที่เข้าไปหาของป่ามาขาย  ครั้งแรกที่ฟังแกแทบไม่อยากเชื่อ  ก็แกเคยได้ยินจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่สั่งสอนว่าให้รักป่า เพราะป่าเป็นเหมือนบ้านของเรา  ต้นตระกูลแกก็เกิดในป่า  เป็นชาวป่า  ทำมาหาเลี้ยงชีวิตกับป่ามานานแสนนาน  แกมีลูกก็ไม่เคยสอนให้ทำลายป่า  แต่ทำไมปู่ย่าตายายของแกก็หาของป่า  ล่าสัตย์ มาเนิ่นนาน  แต่ดันมาหมดเอารุ่นแก  และกลายเป็นว่ารุ่นแกนี่เองที่เป็นคนทำให้ป่าหมด  ต้นไม้แกก็เอามาสร้างเป็นบ้านคุ้มหัวนอนเท่านั้น  เก้งกวางแกก็ออกไปหาสัปดาห์ละครั้งสองครั้งเอง  ได้ทีก็ไม่เคยเอาเกินตัวสองตัว  แต่คิดไปคิดมาในมี่สุด  แกก็ว่าเจ้าหน้าที่ที่มาอบรมพวกชาวบ้านพูดถูก  ถูกตรงไหนหรือแกก็ไม่รู้  แกรู้แต่ว่าผู้ใหญ่บ้านของแกก็เห็นด้วย  ต้นตระกูลของแกผู้ใหญ่บ้านคนนี้ก็เป็นผู้ใหญ่บ้านมาตั้งแต่แกยังไม่เกิด  พ่อแม่ก็บอกให้เชื่อผู้ใหญ่บ้าน  ท่านจะว่ายังไงก็ต้องว่าตาม  นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้าหน้าที่ข้าราชการ  ถ้าท่านว่าอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น  ในที่สุดแกก็ต้องเห็นด้วยและก็ต้องเป็นหน้าที่ของแกที่จะต้องบอกให้ไอ้บุญนำเห็นด้วยตามที่แกว่า
	บุญนำไปเข้าอบรมอาสาสมัครพิทักษ์ป่าที่บ้านผู้ใหญ่ตั้งแต่สายๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับ  ยังไม่ทันที่แกจะคิดอะไรต่อ  แสงตะเกียงน้ำมันส่องตรงมาจากในความมืด  เงาที่แสงตะเกียงส่องกระทบเผยให้เห็นร่างของชายหนุ่ม
	 บุญนำเหรอลูก  แกตระโกนฝ่าความมืด  ชายหนุ่มตอบรับแล้วรีบก้าวเดินผ่านรั้วกระถินหน้าบ้านเข้ามา
	 มากินข้าวพร้อมกันพอดีน้องเอ็ง ทำกับข้าวเตรียมไว้แล้ว  ชายชราลุกขึ้นช้าๆ ด้วยอาการปวดหลังที่นั่งมานาน
	 เป็นอย่างไรบ้างพี่  วันนี้เขาสอนอะไรบ้าง  ฉันละอยากไปเรียนกับเขาบ้างจังเลย  เด็กสาวสนใจจนออกหน้า
	 อีนางคนนี้  เขาไม่ได้เรียกว่าเรียนโว้ย  เขาเรียกว่าอบรม  แค่นี้ยังเรียกไม่ถูกยังอยากจะไปกับเขาอีก  ชายหนุ่มตะคอกใส่น้องสาวจนเธอหน้าเจื่อนลง ไม่กล้าจะถามอะไรต่อ
	ชายชรายิ้ม  แล้วตัดบทการทะเลอะเบาะแว้งระหว่างลูกทั้งสองลง  เอากินข้าวกันได้แล้ว  เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน

	เสียงรถขับเคลื่อนสี่ล้อ  ที่เคยเข้าออกภายในหมู่บ้านเป็นประจำ  ดังลากเสียงตรงใกล้มาเรื่อยๆ ผิดแต่วันนี้เข้ามาในหมู่บ้านเช้ากว่าปกติ
	 สวัสดีครับคุณธาร วันนี้มาแต่เช้าเลยนะครับ  ผู้ใหญ่บ้านรีบวิ่งออกมารับ  ผมเผ้ายังไม่ได้หวี  เมื่อเห็นหัวหน้าหน่วยอบรมลงมาจากรถ
	 วันนี้มีธุระอะไรเร่งด่วนหรือเปล่าครับ 
ชายหนุ่มยืนมองไปรอบบริเวณเหมือนจะค้นหาอะไร  จนเขามั่นใจ
	 ไม่มีอะไรด่วนหรอกผู้ใหญ่วันนี้ช่วยบอกลูกบ้านที่มาอบรมด้วยแล้วกันว่า  งดหนึ่งวัน  พอดีวันนี้มีธุระในจังหวัดหน่อย 
	ผู้ใหญ่บ้านเปลี่ยนสีหน้าจากเดิมเป็นกระปี้กระเปร่าขึ้น
	 ต้องให้ผมไปด้วยหรือเปล่าครับ  ผู้สูงวัยกว่ารีบเสนอตัว
	 ครั้งนี้เห็นจะไม่ต้องหรอก  ผมจะไปกับพวกไม่กี่คน  ผู้ใหญ่คอยดูพวกลูกบ้านแล้วกัน  บอกพวกเขาว่าไว้วันพรุ่งนี้ผมจะรีบกลับมาอบรม  ชายหนุ่มพูดแล้วจ้องตามาทางผู้สูงอายุกว่าเหมือนจะขอความเห็น
	 อ๋อเรื่องนั้นไม่เป็นไรครับ  นี้ก็อบรมกันมาได้ตั้งหลายวันแล้ว  ถือว่าให้หยุดสักวัน  พักผ่อนกันก็ได้ครับ   ผู้ใหญ่พูดเหมือนจะให้ถูกใจคนที่รอฟังคำตอบ
	 แล้วอย่าลืมบอกด้วยล่ะว่าวันนี้ทางอำเภอเขาจะเข้ามากวาดล้างพวกลักลอบตัดไม้  ห้ามให้ใครในหมู่บ้านเข้าไปในป่าเด็ดขาด เดี๋ยวจะโดนลูกหลงเอา  ชายหนุ่มพูดจบ สีหน้าผู้ใหญ่บ้านยิ่งกว่าการรับรู้  ครับผมจะจัดการให้เรียบร้อยครับ

	 อ้าววันนี้ไม่ได้ไปอบรมกับเขาหรอกหรือ   บุญทานถามลูกชายที่เพิ่งเดินขึ้นบันได  นั่งลงตรงหน้าพ่อ
	 ก็วันนี้เห็นลุงผู้ใหญ่แกบอกว่า  งดหนึ่งวัน  คุณธารน่ะพ่อ  แกมีธุระในตัวจังหวัด  ก็เลยไม่มีคณะของแกเข้ามาอบรม  แหมกำลังสนุกทีเดียว  ชายหนุ่มอดเสียดายไม่ได้
	 เออดีแล้ว วันนี้เห็นน้องเอ็งมันว่าจะแกงหน่อไม้ไก่ให้กิน  วันนี้ว่างๆ เอ็งเข้าไปตัดหน่อไม่ในป่ามาให้หน่อย  บุญทานบอกลูกชาย  ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะนั่งลงตรงระเบียงไม้เก่าๆ หน้าบ้าน
	ชายหนุ่มนิ่งเหมือนจะคิดอะไร  จนชายชราจับสีหน้าได้
	 เป็นอะไรล่ะคิดอะไรอยู่ 
	 คือ..วันนี้น่ะพ่อ  ผู้ใหญ่เขาว้าทางอำเภอจะเข้ามากวาดล้างพวกตัดไม้  เขาห้ามไม่ให้พวกชาวบ้านเข้าไป เดี๋ยวจะโดนลูกหลงเอา  ชายหนุ่มบอก  แล้วเหมือนจะคิดอะไรได้  จึงพูดต่อ  แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั่ง  ไม่ได้เข้าไปลึกสักหน่อย  เย็นๆ ก็กลับ 
	ชายชราพยักหน้าให้ลูกชายเป็นเชิงเห็นด้วย
	 ยังไงถ้าเข้าไป ก็เอาปืนของพ่อไปด้วย  เผื่อเจอไอ้พวกมาลักลอบ  จะได้ป้องกันตัวได้  ชายชราเตือนก่อนที่จะลุกเข้าไปหยิบปืนภายในบ้าน

	ชายหนุ่มเดินลงจากบ้าน  มีมีดพร้าเหน็บอยู่ด้านหลัง  ย่ามใบเก่าที่เขาใช้มันมานานตั้งแต่เริ่มเป็นหนุ่ม  ถูกเขาสะพายกระชับอยู่ที่ไหล  มือข้างหนึ่งถือปืนลูกซองยาว  มันเป็นของพ่อตั้งแต่พ่อของเขาเริ่มเข้าป่าเป็นพรานใหม่ๆ สนิมเริ่มจับอยู่ตามกระบอกยาวเพราะระยะหลังไม่ได้ถูกใช้งาน  พ่อแกจึงไม่ได้ดูแล  แกยังเคยบอกว่าจะเอาไปให้เขาซะ  จะได้เป็นการทำบุญ  แต่ในที่สุดหลังจากคิดอยู่นาน  พ่อแกก็ไม่เอาไปให้ แกว่าเก็บไว้ที่บ้านก็ไม่เห็นเสียหายอะไร  เผื่อบางทีจะได้เอาไว้ป้องกันตัวด้วย  ชายหนุ่มมองตั้งแต่ด้ามปืนจนถึงปลายกระบอก  เขาไม่เคยใช้มันมานานเหมือนกัน  พักหลังเวลาเข้าไปในป่าก็จะมีแต่มีดเล่มเดียว  ส่วนใหญ่ก็จะเข้าไปเอาแต่สมุนไพร  แต่ครั้งนี้ข่าวที่จะมีคนมาลักลอบตัดไม้ ทำให้ความไว้วางใจในป่าของเขาน้อยลง
	ชายชรานั่งมองลูกชายที่กำลังเดินออกจากบ้านอยู่บนระเบียง  ในใจแกนึกถึงตอนเย็นที่จะได้กินแกงหน่อไม้ฝีมือของลูกสาว  อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

	ภาพกอไผ่ขึ้นครึ้มอยู่เบื้องหน้า บุญนำเห็นแต่ไกล ขณะที่เข้ากำลังเดินเข้าไป พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น มันมาจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มหันไปตามเสียงนั้น เขาเห็นช้างสามเชือก เดินตามกันเข้าไปในป่า สัญชาติญาณบอกให้รู้ว่า น่าจะเป็นพวกที่ผู้ใหญ่บอกไว้  พวกลักลอบ ห่วงความรู้สึกแรกเขาอยากจะเข้าไปด้วยตัวเอง แต่เขาคนเดียวจะไปสู้อะไรกับพวกมันตั้งหลายคนได้ ทันความคิด เขารีบวิ่งกลับสู่หมู่บ้าน เป้าหมายแรกคือบ้านผู้ใหญ่ 

	 ผู้ใหญ่ผู้ใหญ่อยู่หรือเปล่า   เสียงตะโกนจากข้างล่าง ทำให้คนที่อยู่บนบ้านต้องรีบโผล่หน้าออกมาดู 
	 มีอะไรว่ะไอ้บุญนำ ร้องตะโกนเอะอะ โวยวายไปได้   ชายร่างท้วมเดินลงมา ปากบ่นงุมงำอย่างอารมณ์เสีย 
	ชายหนุ่มหยุดหอบหายใจ รอจนตั้งสติได้
	 คือผมเดินเข้าไปในป่าเมื่อกี้   ชายหนุ่มหยุดพูดเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้
	 คือผมจะเข้าไปหาหน่อไม้มาแกงกินน่ะครับผู้ใหญ่   ชายหนุ่มมองสีหน้าผู้อาวุโสกว่าจนแน่ใจจึงพูดต่อ 
	 ผมเห็นพวกที่มาลับลอบตัดไม้ 
	ชายหนุ่มหยุดพูดเหมือนจะรอคำตอบแต่กลับนิ่งเฉย
	 มึงเข้าไปทำไมว่ะ  ผู้ใหญ่บ้านตะคอกใส่อย่างหัวเสีย  กูสั่งห้ามแล้วไม่ใช้หรือว่าวันนี้ห้ามไม่ให้เข้าไป เดี๋ยวเกินเป็นอะไรขึ้นมา กูเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ต้องโดนคนอื่นเขาด่าเอาอีกว่าไม่คอยเตือนลูกบ้าน ก็จะว่ากูไม่ดูแล 
	ชายหนุ่มมีสีหน้าเจื่อนลง ไม่กล้าแม้จะสบตากับผู้ที่ยืนคุยด้วย
	 ถ้ามันมากันจริง เดี๋ยวทางอำเภอเขาก็จัดการกันเองนั้นแหละ มึงไม่ต้องไปยุ่งกับเขาหรอก เดี๋ยวจะตายไปเปล่าๆ   สีหน้าผู้พูดยังคงขึงขัง จริงจัง
	 ผมก็เข้าอบรมเป็นอาสาฯ ของทางอำเภอแล้วนี้ครับ ผมคิดว่าผมน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง   ชายหนุ่มก้มหน้ารู้สึกเหมือนสิ่งที่พูดไปดังเบาๆ อยู่แค่ในลำคอ
	สายลมยามเย็นพัดผ่านมาวูบหนึ่ง ทั้งสองคนยังคงยืนนิ่งเหมือนจะค้นหาคำพูดที่ดีที่สุด แล้วผู้สูงวัยกว่าก็พูดขึ้นก่อน
	 บุญนำ กูพูดกูเตือนนี้ไม่รู้เรื่องหรือ - -  วันนี้มึงกลับบ้านก่อนนะ แล้วถ้ามีข่าวคราวคืบหน้าอย่างไร พรุ่งนี้ กูจะไปบอกตอยอบรมกัน   น้ำเสียงของผู้ใหญ่บ้านเริ่มอ่อนลง

บุญนำเดินออกมาจากบ้านผู้ใหญ่ ความคิดของเขายังไม่เห็นด้วยกับที่ผู้ใหญ่พูด ทำไมจะไม่ใช้หน้าที่ของเขา ก็ตอนอบรม ทางอำเภอยังบอกให้ท่องเลยว่า- - เราจะอุทิศตัวเพื่อปกป้องป่าไม้ของเรา - - เขายังจำได้ดี- แล้วตอนนี้ที่เขาได้เห็นกับตาว่ามีคนเข้ามา ลักตัดไม้ เข้ามาทำลายป่าของเขา ของบรรพบุรุษของเขา แล้วเขาทำไมถึงต้องปล่อยให้มันทำต่อหน้าต่อตา แล้วถ้าจะรอให้ทางอำเภอเข้ามาปราบปรามเอง เขาจะรู้หรือว่ามันตัดกันแถวไหน ป่าแถวนี้เขาเกิดและโตมาตั้งแต่เด็ก พวกทางอำเภอยังไงก็ไม่รู้จักพื้นที่ดีเท่าเขาแน่
ชายหนุ่มไม่ได้แวะเข้าบ้าน เขาเดินเข้าไปคนเดียว เขาตัดสินใจแล้ว พ่อของเขาก็สอยอยู่ทุกวันว่าให้กลับเนื้อกลับตัว ถ้าเขาเข้าไปจับพวกที่มาลักลอบได้พ่อเขาคงจะภูมิใจ และจะไม่ต้องมีใครมาหาว่าบรรพบุรุษของเรา เป็นคนทำลายป่าของชาติ

เสียงเครื่องยนต์ดังมาจากแถวโน้น เขารู้จักมันดี เขาเคยเข้าไป ป่าแถบนั้นมีต้นไม้ใหญ่ที่เขาเคยประมาณว่าสามสี่คนโอบก็ยังไม่รอบ เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น พร้อมกระชับปืนในมือให้พร้อมต่อการจู่โจม

ดวงอาทิตย์ใกล้ลับจากขอบฟ้า แสงสีแดงเข้มเหมือนม่านกั้นอยู่หลังเขา บรรยากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เสียงเครื่องยนต์ดังสลับกับเสียงล้มลงของต้นไม้ใหญ่ บุญนำก้าวเท้าเข้าไปอย่างช้าๆ เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
 มีคนอีกสามคนกับช้างอีกสองเชือก  ชายหนุ่มคิด เขาคิดว่าสามารถจัดการได้ แค่ยิงขู่ ขี้คร้านไอ้พวกนั้นจะเปิดหนีไปหมด มันคงไม่ต่างจากพวกขโมยที่แอบขึ้นบ้านหรอก เขาเคยร่วมกับผู้ใหญ่ ตามจับโจรที่เข้ามาขโมยควายในหมู่บ้าน เขามั่นใจ 
ขณะที่เขาก้าวเท้าเข้าไปใกล้เรื่อยๆ จนสามารถเห็นชายทั้งสามได้อย่างถนัด พลันสีหน้าของเขาต้องถอดสี หัวใจชาไปทั้งความรู้สึก ไม่อย่างเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
ชายสามคนที่เขาคุ้นเคย คนที่ยืนอยู่ข้างไม้ท่อนใหญ่ - - คุณธาร - - เขาจำได้ พยายามขยี้ตาตัวเอง แต่ภาพชายคนนั้นไม่ผิดแน่ คุณธารคนที่ผู้ใหญ่บอกว่าแกเป็นคนรักป่า ให้ทุกคนดูตัวอย่างเอาไว้ อีกสองคนเขาก็จำได้เป็นพวกที่เคยเข้ามาอบรมกับเขาเหมือนกัน ผิดแต่ครั้งนี้พวกเขาแต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้ใส่ชุดข้าราชการ ที่น่าเกรงขามเหมือนเคย บุญนำไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น  ส้นเท้าที่เขาระวังตอนย่างกรายเข้ามา
กลับอ่อนยวบลง เสียงกิ่งไม้ดังแทรกเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเลื่อยยนต์ดับลง ชายทั้งสามคนหันมามองในทิศทางเดียวกัน
	ทันที่สติกลับคืน บุญนำรีบโกยออกจากมุมที่ตัวเองอยู่ ปืนในมือของเขาหลุดลงหล่นอยู่ตรงกองไม้นั้น ปืนยาวของชายทั้งสามถูกเตรียมประทับอยู่ตรงบ่า แทนที่ เป้าหมายของทั้งสามกระบอกเล็งไปที่จุดๆเดียว กล้องอินฟาเรท ส่องตรงกลางแผ่นหลัง เมื่อมันมั่นใจในเป้าหมายเสียงปืนก็ดังขึ้นแทนร่างอีกร่างที่กำลังทรุดฮวบลง
	
	 พ่อพ่อ หญิงสาววิ่งหน้าตื่นขึ้นมาบนบ้าน  วันนี้ในหมู่บ้าน เขามีข่าวใหม่  เธอหยุดหอบหายใจ แต่ยังคงความตื่นเต้นเอาไว้กับข่าวที่จะบอก  คุณธารที่มาเป็นหัวหน้าหน่วยอบรมของเราน่ะพ่อ เขาว่าวันนี้แกจะได้ออกทีวีด้วย  หญิงสาวพยายามเก็บความตื่นเต้น 
	 เขาว่าที่เมื่อวานพอแกกลับจากตัวจังหวัด ก็เข้าไปตามจับกุมพวกที่แอบมาลักตัดไม้ในป่าเรากับทางอำเภอ ผู้ใหญ่แกก็ชื่นชมของแกจังว่า หัวหน้าคนนี้เป็นคนขยัน รักป่าไม้ของเราจริงๆ  น้ำเสียงของเธอยังคงตื่นเต้นกับข่าวที่ได้รับ
	 ที่สำคัญนะพ่อ เมื่อคืนคุณธารกับพวกเขาจับคนที่เข้ามาลักตัดไม้ได้ด้วย เขาว่ายิงกันตายไปคน เย็นๆนี้เห็นว่าจะออกทีวี เดี๋ยววันนี้ ฉันขอพ่อเข้าไปดูทีวีบ้านผู้ใหญ่หน่อยนะ 
	ชายชราไม่ตอบ มองดูลูกสาวที่เพิ่งพูดเสร็จ แล้วเดินกลับเข้าไปในครัว
	 ไม่รู้ว่าพี่เรามัวไปทำอะไรอยู่ ถึงไม่ได้ไปช่วยเขา สงสัยหนีไปเที่ยวแหงๆ ดูซิเนี้ยแกงหน่อมงหน่อไม้เลยไม่ได้ทำกัน 
	ชายชรานั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ยินที่ลูกสาวพูด สายตาแกเหม่อลอยออกไปในป่าติดภูเขาที่แกเคยเข้าไป ใบยาที่ลูกชายเพิ่งไปซื้อมาใหม่ แกเพิ่งมวนเป็นตัวแรก กลิ่นมันหอมมากกว่าปกติที่เคยสูบ
	 ถ้าพรุ่งนี้มันยังไม่กลับมา แกจะออกไปตามในป่าเอง  ชายชรานึกแล้วอัดควันเข้าไปเข้าไปเต็มแรง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPOOLUM
Lovings  POOLUM เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPOOLUM
Lovings  POOLUM เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟPOOLUM
Lovings  POOLUM เลิฟ 0 คน
  POOLUM
ไม่มีข้อความส่งถึงPOOLUM