อุ่นใดไม่เท่ารัก ที่สลักฝังใจนี้ อบอุ่นกรุ่นฤดี มิมีใครจะมาแทน พี่โอบตระกรองกอด แล้วหอมฟอดที่ต้นแขน บอกว่าน้องคือแฟน ที่หวงแหนกว่าดวงใจ รอยยิ้มที่ส่งให้ นั้นพิมพ์ใจเป็นหนักหนา อบอุ่นกว่าจันทรา ที่ส่องฟ้า ณ ราตรี น้องยิ้มตอบกลับไป ภายในใจเป็นสุขขี แม้ไม่เอ่ยวจี ก็รู้ดีเรารักกัน เวลาล่วงเลยผ่าน ใจคนนั้นย่อมแปรผัน จากเคยยิ้มให้กัน วันนี้มันเริ่มเฉยชา น้องยิ้มส่งไปให้ พี่กลับมองว่าไร้ค่า ทำเป็นมองตรงมา แล้วสายตาเลยผ่านไป ใยจึงเป็นเช่นนี้ โปรดคนดีแถลงไข ฤ พี่นั้นหมดใจ คิดร้างไกล..ไปจากกัน ปล่อยน้องให้หม่นเศร้า อยู่เหงา-เหงากับความฝัน สับสนกับคืนวัน น้ำตาพลันจะหยดริน ภาพเราตระกรองกอด วันนี้มอดไหม้หมดสิ้น ก้มหน้ามองเพียงดิน ด้วยอับอายจะหมายจันทร์
7 มีนาคม 2550 18:23 น. - comment id 667269
แต่งได้ดีแล้วค่ะ.. ความรักก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ..มีรักก็มีร้าง..เฮ้ออ...
7 มีนาคม 2550 18:48 น. - comment id 667287
อับอายจะหมายจันทร์ ไกลเกินฝันฤาไฉน มานะและตั้งใจ ก็จักได้สมอุรา หากไม่ไปเอื้อมสอย จันทร์เด่นลอยบนเวหา ยากจะโน้มกิ่งมา คงคู่ฟ้าตลอดไป
7 มีนาคม 2550 19:19 น. - comment id 667327
คุณกุหลาบขาว ขอบคุณมากค่ะที่ชม ทั้งๆที่จริงแล้วผู้ แต่งด้อยประสบการณ์มากๆเลยค่ะ เห็นด้วยจริงๆ ไม่มีรักไหนยั่งยืนเท่า ที่พ่อกับแม่รักเราหรอกค่ะ
8 มีนาคม 2550 05:08 น. - comment id 667483
8 มีนาคม 2550 06:52 น. - comment id 667500
เขียนดี... ดีกว่าคนเก่าๆ...จำนวนมาก ...แก้วตาพี่... ๐ มองไปบนท้องฟ้า..เหมือนฟ้าเศร้า ร้างรูปเงาอำไพที่ใฝ่ฝัน คืนนี้ฟ้ามืดมิด..ไม่ผิดกัน กับทรวงหนึ่งมืดครัน..จากหวั่นคอย ๐ มองที่ขอบฟ้าไกล..จิตไหลล่อง ที่หล่นฟ่องฟ้าแล้ว..คงแผ่วค่อย เกล็ดขาวคงคว้างปลิว..เป็นริ้วปอย เคว้งคว้างเอยใจละห้อยดั่งปอยนั้น ๐ ฟ้าให้มาพบเจอ..จนเพ้อหา เมื่อสบหน้าห้วงใจถึงไหวสั่น ทรวงที่เคยร้าวรานมานานวัน ก็ฉับพลันชื่นฉ่ำดั่งน้ำพรม ๐ เมื่อฟ้าสั่ง..ฟ้าสาป..ต้องสาปฟ้า จึงเวหาหม่นทะมื่นรับขื่นขม ใต้โอบอ้อม..อุ่นอายแห่งสายลม ราวโบกบ่มทรวงร้าว...จากหนาวพู้น ๐ ฟ้าเอยฟ้า..สาปถึงใจหนึ่งเถิด ปรากฎเกิดรูปกาย..อย่าหายสูญ เติมอาวรณ์อาลัยจนไพบูลย์ ตราบจำรูญยิ่งดาวกลางหาวนั้น ๐ ฟ้าเอยฟ้า...สาปซ้ำแล้วกำหนด บรรจบจดบอกใจอย่าไหวหวั่น ว่ายิ่งหมางยิ่งปลูกความผูกพัน ยิ่งดึงดันแรงถวิลยิ่งดิ้นรน ๐ ฟ้าเอยฟ้า..ฝากคิดถึงจิตนั่น ที่ขีดคั่นขอบเขตของเหตุผล คือสำนึกเปิดกว้างในร่างตน คือปลิดป่น..ใคร่ครวญเพียงส่วนเดียว. ๐ หยิบรุ้งจากขอบฟ้า...ฝากศรี ยอกรุ่นหอมมาลี...........รื่นล้อม อ่อนโยนอ่อนหวานมี......มอบสู่ แม่นา คำพจน์กวีแต่งพร้อม......ฝากฟ้าถนอมขวัญ ฯ
8 มีนาคม 2550 12:30 น. - comment id 667639
พี่โอบตระกรองกอด. แล้วหอมฟอดที่ต้นแขน บอกว่าน้องคือแฟน ที่หวงแหนกว่าดวง...ใจ รอยยิ้มที่ส่งให้ นั้นพิมพ์ใจเป็นหนัก....หนา อบอุ่นกว่าจันทรา ที่ส่องฟ้า ณ ราตรี สองบทที่ยกมา....หลุดสัมผัส ส่งด้วย...ใจ กลับมารับด้วย....หนา +++++++++++++++++++++ ๐ สายใย ๐ ๐ มาลย์ชื่นหอมรื่นฉ่ำ พลิ้วผ่านพรำก่อรำพึง ห้อมถิ่นประทิ่นถึง แปรรื่นตรึงเป็นซึ้งตรา ๐ หวานนักในรักหนึ่ง ไม่ลบตรึงคำนึงตรา กอปรห่วงไม่ล่วงหา ยังทรงค่ายังว่าควร ๐ หมายส่งบรรจงสาส์น ผูกตำนานคล้องผ่านนวล เรียงถ้อยมาร้อยทวน เฉกชลผวนเริ่มป่วนผืน ๐ ปลายฝนน้ำล้นฝั่ง ไหลหลากคลั่งพะพลั่งครืน อกคนก็ข้นขืน จะกลบฝืนเหมือนกลืนฝัน ๐ อาลัยรุมใจแหล่ง บรรเจิดแจ้งเหมือนแรงจันทร์ คราวเพ็ญไม่เร้นผัน ยอแสงพรำจนอำไพ ๐ แจ่มแจ้งที่แหล่งจิต รูปที่คิดนั้นคือใคร โจ่งแจ้งที่แหล่งใจ เผยรูปไรจนเรืองรอง ๐ หนึ่งเส้นของสายใย รอสองใจมาจับจอง สองปลายมีหมายปอง รอครอบครองด้วยสองคน