อาจดูเป็นคำสัญญาจากปากเปล่า แต่ฉันถือเอาคำนี้เป็นคำมั่น เพียงหนึ่งคำที่เธอบอกว่า"รัก"กัน ฉันจึงไม่เคยไหวหวั่นเพราะทางไกล ฉันยึดถือคำนี้เป็นพลัง ยามท้อแท้สิ้นหวังหรือร้องไห้ ก็จะนึกถึงใบหน้าของคนไกล กับคำพูดที่บอกไว้"ไม่ทิ้งกัน" เพียงคำเดียวที่เธอบอกกับฉัน ฉันจะยึดถือมันได้ใช่ไหม สัญญานะว่าจะไม่เปลี่ยนใจ เพราะห่างไกลอาจทำให้ใจหวั่นกลัว ฉันเชื่อเธอได้หรือเปล่านะที่รัก ไหล่ที่เคยพิงพักอยู่เสมอ มันจะเอนไหวไปบ้างไหมเธอ เมื่อต้องเจอะต้องเจอคนมากมาย เธอยังทำหน้าที่อยู่ที่นั่น ส่วนตัวฉันก็ยังอยู่ที่นี่ วันเวลาผ่านผันนานนับปี และบางทีเธอก็อาจจะมีใคร กลัวว่าเธอจะลืมคำสัญญา กลัวเหลือเกินความเหว่ว้าและเงียบเหงา กลัวสิ่งที่จะเกิดกับรักเรา เพราะไม่อาจคาดเดาสิ่งใด-ใด แค่วันนี้เธอนั้นโทรมาถามข่าว ใจที่เคยรวดร้าวกลับสดใส รู้ไหมเธอสำคัญกว่าใคร-ใคร สิ่งอื่นใดในโลกนี้ไม่มีเทียม เธอคือที่พิงพักหลักสุดท้าย เธอคือเสี้ยวหัวใจ..ที่ตามหา เธอคือคนที่ฉันนั้นศรัทธา รู้ไว้นะว่าเธอคือ ลมหายใจ เมื่อเธอคือทุกสิ่งในโลกนี้ ฉันจะเชื่อคำคนดีไม่หวั่นไหว ได้โปรดเถิดช่วยดูแลรักษาใจ รีบกลับมาหน่อยได้ไหม..ฉันจะรอ
7 มีนาคม 2550 16:49 น. - comment id 667223
สัญญาปากเปล่า บางทีก็เชื่อสนิทใจและรอคอยให้เป็นจริงค่ะ
7 มีนาคม 2550 16:57 น. - comment id 667232
ค่ะ บางทีสัญญาปากเปล่าอาจจะเชื่อถือได้มากกว่าสัญญาที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษร หากคนที่ให้สัญญากับเราเป็นคนที่เรารักและไว้ใจได้ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นแรกในเว็บบอร์ดนี้ค่ะ
7 มีนาคม 2550 18:14 น. - comment id 667263
เดี๋ยวนี้คนเราเชื่อไม่ได้ค่ะ..อย่าว่าแต่สัญญาปากเปล่าเลย แม้แต่คำสาบานยัง..ยังผิดคำสาบานเลยค่ะ...
7 มีนาคม 2550 19:37 น. - comment id 667331
คุณกุหลาบขาว เหมือนเพลงสาบานส่งๆเลยค่ะ "คนสาบานก็ไม่เห็นจะตาย คนเสียใจมันก็มี แต่ฉัน เธอรู้บ้างไหมฉันต้องเจ็บทุกวัน เพราะเชื่อคำนั้น คำสาบานส่งๆ " เฮ้อ เหนื่อยใจจังค่ะ
8 มีนาคม 2550 05:17 น. - comment id 667488
สัญญาจะเชื่อมั่นได้ไหม..... ปัจจุบันแม้จะเป็นลายลักษณ์ หรือปากเปล่าก็ยากจะเชื่อได้ ยิ่งปากเปล่ายิ่งแล้ว...... คำสัญญาก็เพียงลมที่พูดพ่นให้ผ่านไปเพียงเท่านั้น
8 มีนาคม 2550 07:07 น. - comment id 667502
เธอคือที่พิงพักหลักสุด.....ท้าย เธอคือเสี้ยวหัว....ใจ..ที่ตามหา เธอคือคนที่ฉันนั้นศรัทธา รู้ไว้นะว่าเธอคือ ลมหายใจ ปกติ...เราไม่เอา...ท้าย..มาสัมผัสกับ...ใจ ในเพลงอาจจะมี..ใช้กัน..เพราะใช้การเอื้อนเสียงช่วย แต่ในกลอนถือเป็นข้อห้าม อาย...กับ..ไอ อาม...กับ...อำ อน....กับ...โอน อืน....กับ...อึน ฯ ....ลอยตะวัน... ๐ สะท้านแก้วน้ำค้างตอนสางรุ่ง หลังเฟื้อยฟุ้งสีสันตะวันฉาย สะท้อนเห็นวูบวับก่อนลับวาย เมื่อแสงฟ้าทอดสายกล้ำกรายดง ๐ อ่อนไหวถึงปานนี้..วารีหยาด เจ้าสะอาดบริสุทธิ์และสูงส่ง คราวพระลบบำราศค่อยหยาดลง ดั่งพะวงมืดมิด..จะปิดรอย ๐ ลมลูบตัวอ่อนพลิ้ว..โลมริ้วแก้ว อ่อนเอนไหวเจ้าแล้ว..เพียงแผ่วค่อย ดั่งใจหนึ่งทดท้อ..การรอคอย จักอ่อนเอนเงียบหงอย..ด้วยน้อยใจ ๐ สะท้านขั้วหัวใจ..อยู่ในรุ่ง แต่หมายมุ่งไมตรี..เขามีให้ สะท้อนนั้นร้อยบ่วง..ความห่วงใย ที่คล้องไว้ผูกมั่น..เป็นพันธนา ๐ ระเหยห่างหายไปน้ำใสหยาด บริสุทธิ์และสะอาดก็ปราศค่า ระอุเอ่อความหมายผ่านสายตา ปรารถนาก็มองเห็น..ว่าเช่นกัน ๐ เรื่อรุ่งของแสงแรก..เมื่อแทรกสู่ จึงรับรู้ความนัย..ความไหวหวั่น เมื่ออำไพโชติช่วง..ของดวงวัน พาดสีสัน..โชติช่วงที่ดวงใจ ๐ รอคอยมานับนาน..แต่ผ่านพลบ จึงบรรจบรอยระยับ..ที่ขับไข ดูเถิดตระการตา..ยิ่งกว่าใด ประชุมแสงส่งให้..ด้วยใจยอม ๐ แต่อกอาบซาบซับลำดับแสง อุ่นก็แฝงกำลังเข้าหลั่งหลอม ที่ว่าหวานมธุรส..ยาก อด ออม ก็พรั่งพร้อมมธุรส..เข้าบดเบียน ๐ ล่องลอยผ่านฟ้าคราม..สู่งามขวัญ ผลัก-วงจันทร์จางรอย..ให้ถอยเปลี่ยน กวาดหมู่ดาวสิ้นแสงไร้แรงเวียน ตราบกร่อนเกรียนเหลือช่วง..เพียงดวงเดียว.