ตราบ..ยังมิสิ้น..แสงอุษา...!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3176.html
เธอคนเดียว
พุดพัดชา
ขอน้อมดวงใจแทนผองชนคนไทยทั้งแผ่นดิน
หยาดพลีบทกวีจากดวงใจแสนรักแสนโศกซึ้งอาวรณ์ถวิล
คารวะ...
แด่..
ดวงวิญญาณอันแสนงดงามพร่างพราว
ราว..*อัญมณีเพชรรุ้ง*
ของ..คุณครู จูหลิง มาณ..ที่นี้นะคะ
ด้วยรักศรัทธาอย่างล้นใจ...ค่ะ
และ...นาทีนี้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในผืนแผ่นดินไท ไทยนี้
รวมสิ้นทั้งฟ้าดินอินทร์พรหม..
คง..ทอดทางทองทางธรรม  
นำพา.
ดวงจิตอันแสนใสว่างกระจ่างสว่างไสว
ของคุณครูไปสถิตสู่แดนขวัญสวรรค์นิรพาน
อย่าง..
หมดสิ้นห่วงใยใดใดแล้วนะคะ..
ด้วยซึ้งโศกสะเทือนใจ....
พุดพัดชา..สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3337.html
แล้ว..
ยอดดวงหฤทัยก็กลับมายามฟ้าสาง
หยาดน้ำค้าง ระรินในอุษา
ดอกไม้ไหวรายรอบเรือนมลิลา
ดอกจำปาหอมหอมโมกค้อมดวง
สายน้ำผึ้งริมชานบานรับขวัญ
กระแจะจันทร์เจิมจิตด้วยห่วงหวง
กอราตรีพ้อหวานเศร้าจันทร์ลอยดวง
หยาดน้ำผึ้งรวงพร่างพรมห่มเรือนใจ
แสงเทียนทอทอดจับรับเสี้ยวหน้า
อิ่มปรารถนาในอ้อมตักเงาวูบไหว
ไล้รอยจูบแผ่วเบาจากดวงใจ
วันพรากไกลสิ้นแล้วเจ้าแก้วตา
หลับสบายวางใจในอ้อมภักดิ์
นะที่รักกับเดือนดาวสิ้นเหว่ว้า
ดุเหว่าร้องพร้องเสียงโกกิลา
ตราบจนกว่าอรุณรุ่งจักมาเยือน....!!!!
....................

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3176.html
เธอคนเดียว 
ฮืมดาวทั้งฟ้า
ริบหรี่และมืดลงไป
และเธอรู้ไหมหัวใจฉันมันจะขาด
เมื่อเธอและฉัน
ต้องจากต้องพรากกันไป
ต้องทรมาน ต้องห่างกันไกล
จากวันนี้จนสิ้นใจ
จะให้ฉันทำใจยังไง
จะให้ฉันทนได้ยังไง
ขาดเธอไปซักคน ก็ไม่มีไม่เหลือใคร
หากวันนี้ยังมีเวลา
หากวันนี้ยังพอมีหวัง
ฉันจะทำทำทุกอย่างเพื่อเธอ
เพื่อเธอคนเดียว
เธอรู้ไหม
ฉันอยากให้ย้อนเวลา
ให้เดินช้าช้า
ให้อยู่ด้วยกันนานนาน
อยากมีเวลา ทำสิ่งที่ต้องการ
ไม่มีอะไรที่ทรมาน
เท่ากับการจากพรากกัน
จะให้ฉันทำใจยังไง
จะให้ฉันทนได้ยังไง
ขาดเธอไปซักคน ก็ไม่มีไม่เหลือใคร
หากวันนี้ยังมีเธออยู่
และไม่สายไปสำหรับฉัน
ฉันจะทำทำทุกอย่างเพื่อเธอ
เพื่อเธอคนเดียว
ไม่มีอะไรที่ทรมาน
เท่ากับการจากพรากกัน
จะให้ฉันทำใจยังไง
จะให้ฉันทนได้ยังไง
ขาดเธอไปซักคน ก็ไม่มีไม่เหลือใคร
หากวันนี้ยังมีเธออยู่
และไม่สายไปสำหรับฉัน
ฉันจะทำทำทุกอย่างเพื่อเธอ
เพื่อเธอคนเดียว ฮืม... 
.....................
 
  

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3337.html
(คู่ทาษ)
...................
คืนนี้....
ไร้จันทร์เพ็ญเด่นดวง...ในท่ามกลางฟ้ามืด
แม้นจะเป็นคืนข้างขึ้นสิบห้าค่ำก็ตามที


ฝนหลงฤดูยังคงรินร่ำร่ายมนตราลีลาวสันต์
มิสร่างซามิขาดสาย
ราวนางฟ้ากำลังร่ำไห้ครางครวญ
กับนวลเมฆเทาทึมทอดทาบไปทั่วทิศทาง
ทั้งราวไพรราวเมือง
สไบนวล...
นอนนิ่งนิ่งในเตียงโบราณ
แสงเทียนในโคมแก้วพร่างระยิบ...
ระบัดไปตามแรงลม
ลีลาวดี ไหวดวงดอกระทมพวงพราว
เฝ้าออดอ้อนหยอกล้อพ้อสายฝนริมหน้าต่าง
ให้อวลระคนหวานเศร้า
มาสัมผัสพร่างมาให้หอมกับร่างงามในท่ามสายลมยามค่ำ


ม่านลูกไม้ รายรอบเตียงพลิกพลิ้ว
เผยให้เห็นร่างอรชร
นอนเหน็บหนาว...
ราวหัวใจจะปลิดปลิวลิ่วลอย..
สายฝนยังคงพร่างไอเย็นพราว
ราวมาลูบไล้ร่างซูบซีดบอบบางนั้นให้ชื่นฉ่ำอ่อนโยน


เงาในกระจกโค้งมน..ตรงข้าม
สะท้อนร่างราน
ที่นอนนิ่งขวางกลางเตียงเพียงลำพัง


ผมดกดำล้อมรอบกรอบเสี้ยวเรียวหน้ารูปไข่
แผ่สยายราวสายไหมกระจายบนหมอนนุ่มนวลขาวสะอ้อน
วงหน้าซีดเซียว
ถูกไล้ด้วยแสงเทียนทอ...ให้ยิ่งงามละออราวรูปสลัก
หากทว่าวงพักตร์ไยมิแจ่ม 
แต้มด้วยคราบน้ำตาซึมซึ้ง


ที่กำลังสะท้อนพราววะวาววับ
จับแสงเทียนที่ทอทอด
ราวหยาดเพชรเม็ดใส
ประดุจหยาดน้ำค้างไพรบนใบบัว
ที่กำลังกลอกลิ้งทิ้งแสงพราย
ขับวงหน้าให้ยิ่งงามแอร่มหวานเศร้ารานร้าวจับใจ


ในภวังค์อันดื่มด่ำ ปิติเกษมล้ำลึก 
เสมือนตกอยู่ในเงื้อมเงา
นิทราฝันอันแสนดี...
ฉับพลัน..!!!
มีร่างหนึ่งปรากฎพร่าง
มากับแสงพรายพราวรายรอบ


เขา....
ทรุดตัวลงนั่งริมขอบเตียง
ค่อยๆยกประคองใบหน้านวลละมุนมาวางไว้แนบตัก
ด้วยแสนรักเอยแสนรักในกมลละไมละเมอ 
บุรุษผิวสีทองแดง....
มิได้เอ่ยปาก
หากทว่า...ทำไม..!
น้ำตา...สไบนวลไหลพราก..มิขาดสาย
ทันที่เห็น
ราวจิตสัมผัสจิตได้ 
ที่...ทั้งชีวีชีวิตสไบนวลมิมีวันเลือนลืม


เขา..คนดี..
ประคอง..ไล้ลูบจูบใบหน้า*สไบนวล.*..
อย่างนุ่มนวลอ่อนหวานอ่อนโยน
อย่างรักใคร่ 
ด้วยจิตวิญญาณรักภักดี
ที่ชายชาตรีพึงพลีสยบยอมมอบให้เพียงสตรีเดียว
มิเหลียวแลใคร
อย่างแสนซาบซึ้งใจ..ในฤดีในปฐพี..นี้..ที่มีค่าคู่ควรรัก..


ใบหน้าคร้ามแดด ดวงตาสีสนิมเหล็ก..รานร้าว
ฝากซึ้งเศร้าหวานโศก
ราวโลกจะลาล่วงดับดวงไปตรงหน้ามินาทีใดก็นาทีหนึ่ง
มี..แววออดอ้อนอาวรณ์อาลัยในน้ำเสียงนวลนุ่มทุ้มซึ้ง..


สไบ..ได้ยินเสียงเขา..
ราวเพ้อพร่ำคะนึง
กระซิบอยู่ริมหู..เรียวแก้ม
อย่างหนักแน่นอบอุ่นที่สุด
ราวอยากหยุดโลกให้เลิกวิโยคครวญตาม
ให้รู้หักห้ามใจ


*ไหนเจ้า เคยให้คำมั่นสัญญาต่อข้าไว้มิใช่ละหรือไร
เจ้า...สไบนวล...แม่ยอดรัก..
ว่า..
เจ้าจักไม่โศกราน
ให้ม่านน้ำตาพร่างหลั่งรินโหยไห้ ยามข้าสิ้นลมหายใจ*


*เจ้า..เคยสัญญาใจไว้กับข้า..ไว้มิใช่ดอกละหรือไร
ว่า....เจ้า...จักดำรงจิตใสหนักแน่นอดทน 
รู้อยู่...อย่างเมียนักรบ..คนกล้าหัวใจแกร่ง..หัวใจไทยังไงล่ะ


แล้วไฉนเจ้า..จำมิได้แล้วล่ะหรือไร 
ไยมามัวหมองตรม
ให้วิญญาณทรนงของข้า...ระทมเสียยิ่งกว่าเจ้า..เสียอีกเล่าแม่สไบยอดรัก*


*เจ้า..สัญญากับข้า*
*เจ้าจักไปวัด ทำใจมิไหวครวญมิหวนไห้..มิเหว่ว้า*
เจ้า..จักอยู่อย่างภูมิใจในทุกคราที่คิดถึง


ว่า....
เลือดรักยิ่งชีวิตของข้า
ได้หลั่งกล้า..รินทาฝากไว้จนหยาดหยดสุดท้าย
ฝากไว้ให้อาบหล้า
ไว้ปกปักพื้นพสุธาไทพสุธาทอง
แผ่นดินแม่มาตุภูมิ
ให้เจ้ารู้ภูมิใจในเกียรติศักดิ์รักยิ่งใหญ่ *


ที่....
ตราบจนลมหายใจสุดท้าย
ก่อนพรายพลัดพรากเจ้านั้น
ข้าเฝ้าฝันเห็นเพียงร่างข้า
ทรุดตัวลงถวายคำสัตย์ปฎิญาณ
สาบานต่อหน้าฟ้าดินวิญญาณบรรพชน
ว่า...
จักถวายจิตถวายชีวิต
พลีภักดิ์เพียงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์


และ
สำหรับเจ้า
*ยอดดวงใจ*ที่ข้าแสนรักเอยแสนรักในกมลนั้น
เจ้าได้อ้อมแขนแห่งขวัญรักข้าไปครอง
ที่ข้ายินดีพลีปองมอบให้เมียขวัญและแม่
ส่วน
เกียรติศักดิ์รักแท้ของข้านั้นข้าขอมอบไว้แก่ตัว


 เจ้าก็รู้..ดี
แล้ว...
ทำไม..!
วันนี้...นาทีนี้...ชั่วเดือนปีในรำลึกสัญญา


*เจ้า...ได้แต่เก็บตัวเก็บร่างในห้องหับ
ไม่ยอมรับรู้โลกและกาลเวลาภายนอก
ให้ใครใครเขากระซิบบอก
ปากต่อปากกันไป..


ว่า..
เจ้า...นั้นคือสาวโบราณกลับชาติมาเกิด
เจ้า..
ราวมารอเพียงฤกษ์คืนเพ็ญมารอข้า
มาทวงสัญญา
ราวรอเวลาในโลกทวิภพ
ไม่รู้จบรู้เลิก 


จนร่างเจ้าแสนบอบบางผ่ายผอมราวลมจะพัดปลิว
เจ้า..นวลสไบเอย 
ข้ากลับมาเผยจิตเผยใจ
เพราะทนไม่ได้ที่จะให้เจ้าใช้ชีวิต
ในท่ามกลาง
ความดายเดียวเหว่ว้าอีกต่อไปแล้วนะ
แม่ดวงแก้วดวงขวัญเจ้าจอมใจ


ข้า..จึงจัก
จะมาพบเจ้าในฝัน
ค่ำคืนเพ็ญนี้ครั้งสุดท้าย
และ...
หมายให้เจ้ารำลึกจำคำมั่นสัญญานี้อีกที
ที่ข้า...จะพลีพูดเพียรบอกเป็นครั้งสุดท้าย
นะเจ้าสไบ..นวล*


*เจ้ารู้ไหม
ตั้งแต่นาที
ที่เจ้า...ค้นพบศพข้า
ท่ามกลางควันไฟไหม้โหมเวียงวังและหยาดน้ำตา
และ
เห็นเลือดข้าท่วมไหลนองพื้นปฐพี
มีเพียงสไบชุ่มเลือดเคลียร่างวางไว้แนบอกข้า...
ยามลาไกลเจ้า...!


เจ้า...
ก็เฝ้าได้แต่ซุกซบในอ้อมอกอ้อมใจข้า
หากทว่า
ไยเล่าเจ้าจึงมิร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
น้ำตาเจ้าคงไหลลง
ราวธารเลือดมิเหือดแห้งหาย
หากทว่ามันแสนร้าย
ที่คืนกลับไปฝากไว้ในสี่ห้องหัวใจเจ้าให้ยิ่งแสนโศกราน
ที่คนภายนอกพากันมองผ่านพากันกล่าวขาน


ว่า...
เจ้า..นั้นช่างเกิดมาสมศักดิ์ศรี
เป็นเมียชายชาตรีชายชาติทหารชาตินักรบ
ผู้เข้มแข็ง แกร่งกล้า มิไหวครวญ หวนไห้ราวรู้หน้าที่ดี
หาก..มีเพียง
ข้าและฟ้าดินอินทร์พรหมเท่านั้น
ที่เฝ้ารับรู้ว่าเจ้าแทบทนเทวษมิได้
หากแทบอยากพลีร่างตายตามข้าไป...ในบัดนั้น


หาก..
จะเช่นใดเล่าเจ้าสไบเอย
เจ้า...ก็เคยซึ้งคำข้าฝากไว้มิใช่ดอกละหรือ
*วิญญาณนักรบไท หัวใจทองอย่างข้า*
จะอยู่อย่างอัปราไร้บ้านขาดเมืองได้อย่างไรกันเล่า..!!
..

ข้าถึงยอมตายหมายแลกอิสรา 
และ
มาตรแม้นโชคร้าย
ข้า..
ก็ยังดียังได้
หมายฝากความหาญกล้าไว้ในทุกธุลีหล้า..
ให้ลูกหลานไทได้ยลยินได้ภาคภูมิใจ
ยามเทวษถวิลถึง


ให้พวกเขามิเขลาสิ้น
ได้รู้ซึ้งถึงคุณแผ่นดิน
รู้พิทักษ์รู้รักษามรดก
ที่ปกป้องมาด้วยหยาดเลือดหยดน้ำตา
และยอมพลีชีวาชีวิต
ให้สถิตสถาวร 
อย่างไม่อาวรณ์อาลัยร่างเลย 
ไม่ยอมเฉยให้ไอ้ข้าศึกมันเหยียบย่ำบีฑา
ให้มันซึ้งว่าพวกข้าคนไทย!
มิได้ขลาดกลัวหวาดกลัว !!
 

สไบเอย..!
หัวใจข้าระทม..ระบมนักที่จำพลัดจำพรากจากเจ้า
หากทุกคราคราว ...
หัวใจข้าพราวด้วยความปิติภาคภูมิ
ที่ได้รักษาเกียรติภูมิแห่งผืนดิน
ไว้ให้เจ้าและลูกหลานไทได้รู้รักถวิลหยัดยืน
นะแม่สไบ...แม่ยอดดวงใจ
ผู้มีหัวใจดวงทองผ่องผุดพิสุทธิ์งาม
ของข้าสุภาพบุรุษชาตินักรบ


และ
*เจ้า...ยังตายไม่ได้ 
 แม้นหัวใจเจ้าจะรานโศกราวโลกกำลังจะแตกดับก็ตามที
เจ้า...คนดีผู้ยอมผ่ายผอมตรอมตรมใจ


เจ้า...มิเจรจาพาทีเล่นหัวกับผู้ใด มาแสนนาน
มีเพียงใจนิ่งงันราวฝันร้ายไหม้โหมห้องใจเสมอมา
ที่ข้ารู้..ดี
ดวงใจเจ้าเย็นเยียบเหน็บหนาวเจ็บร้าวลึก
ให้เจ้านอนซม จนเป็นไข้


*สไบเอ๋ย 
ข้า..ทนเห็นเจ้าอยู่อย่างทุกข์ระทมแบบนี้ไม่ได้
เพราะเจ้ายังตายมิได้ 
ยังไม่ถึงเวลาของเจ้านะแม่สไบนวล...
แม้นเจ้าจะหวนหาข้าสักปานใด


เจ้า..ยังต้องอยู่...
ครองร่างจิตครองชีวิตสร้างกุศลเพื่อข้า
เพราะ
เจ้ารู้ไหมว่า...สวรรค์ไม่มีที่ว่าง
รอรับร่างสุภาพบุรุษอาชาไนยหัวใจชายชาตินักรบอย่างข้า
เพราะ
ทุก*คมดาบของข้าที่ได้บั่นคอศัตรูได้ลิ้มชิมเลือด
ผู้มารานรุกบุกประชิด


หากทว่า
เจ้า...รู้ไหมทุกชีวิตไอ้ศัตรู
ที่มันมาหลั่งเลือดสังเวยคมดาบข้า
มันเองก็คือผู้มีหยาดเลือดบริสุทธิ์ไม่รู้ว่าพ่อลูกผัวใคร
มันเอง
ก็คงมีสำนึกในความจงรักภักดีต่อชาติมัน
ต่อแผ่นดินถิ่นเกิดของมัน
เช่นเฉกเดียวกันกับข้า
ผู้ยอมเสียวิญญาญ์ทำทุกสิ่งเพื่อผืนดินเช่นกัน


หากเพียง
จิตวิญญาณเรานั้น
ต่างพลีฝาก..*ความฝันอันสูงสุด*คนละฝั่งคนละด้าน
ที่...
เราต่างก็จำต้องมาหลั่งเลือดรดหยดพลีชดใช้กรรม
มาละหลั่งเลือดชะโลมหล้า
เพื่อปกปักรักษาแผ่นดินต่างถิ่นต่างที่รัก


*สไบเจ้าเอย... 
ข้าจึงยังมิพ้นพงกรรมคำพิพากษาจากฟ้าดิน
ทางช้างเผือก
ที่จะรอทอดรับร่างข้าสู่สรวงสวรรค์ยังอีกยาวไกล
สไบเอย 
จงอย่านิ่งเฉยนะแม่นวลสไบ*


*เจ้าจงฟังให้ดีดี
น้ำตาอุ่นๆ
ที่ข้าพลีรดบนอกใจเจ้านี้
คือคำร้องขอจาก
*ลูกผู้ชาย..คู่ทาษคู่พิสวาทพลี*
ที่จงรักภักดีต่อเจ้ายิ่งกว่าหญิงใดในปฐพีนี้
รอเวลา...
ให้เจ้าคนดีได้พลีเพียรสร้างกุศลทานบารมี
ภาวนารักษาศีลให้บริสุทธิ์


ให้จิตวิญญาณข้าได้หลุดพ้น 
ได้พบพานเจ้า
*ดั่งที่สองเราได้เฝ้าอธิษฐานฝากคำมั่นสัญญา
ที่ทั้งฟ้าดินอินทร์พรหมสิ้นยมโลกต่างรับรู้
รอเอาใจช่วยเราสอง
ให้ได้ครองรักมั่นตราบชั่วนิจนิรันดร


เจ้า....
จงอย่ามัวแต่อาวรณ์อาดูรพูนเทวษถวิลถึงข้า
*ชายในดวงใจในฝันอยู่เลย*


เจ้าจงพาร่างและจิตใส
ถวายกายใจในร่มธรรม 
ให้นวลใจงามล้ำได้ตั้งมั่นสัตยาพิษฐาน
กรานกราบเพียรภาวนา


พาให้จิตวิญญาณข้า
ที่รักรอเจ้า
ได้หลุดพ้นวงวนวิบากกรรม
ให้เราได้พานพบกันในแดนธรรม แดนทอง แดนไทย
แดนพระรัตนตรัย
ให้สว่างไสวเสียทีนะยอดรักเจ้าสไบนวล


หากเราสอง
มีบุญญาบารมีพอ
ขออีกคราครั้ง
เจ้าจงตั้งจิตตั้งใจ


และ
เจ้าจักรำลึกรู้
เมื่อวันหนึ่งเราได้กลับมาพบกัน
เจ้า....
จักจำข้าได้ตามรำลึกสัญญา
นะแม่สไบนวล สไบนาง
ที่มิเคยห่างอกห่างใจข้า
มิว่าชาติไหนภพไหน นะแม่สไบ สไบ ที่ข้าแสนรัก รักเอย....
และ
ก่อนข้าลาไกล ข้าจะจูบซับหยาดน้ำตาพลีรักภักดีบูชาแด่เจ้านะ
ขอเจ้าจงอย่าได้เศร้ารานโศกอีกเลยนะ
แม่ยอดดวงหฤทัยของข้า .... 
..............
...........
..........


เสียงแว่วแผ่วหวานละมุน
อบอุ่นหนักแน่นมั่นคงค่อยๆจางหาย.....หาย..หาย...ไป.....


ในขณะที่ร่างสไบหนาวเหน็บราวจับไข้
เสียงสายฝน
ยังร่ำรินราวร้องถวิลกระซิบเตือนอะไรบางสิ่ง
บางอย่างให้สไบนิ่งฟังเสียงในความฝัน


ให้สไบผู้รักดายเดียวเหว่ว้า
ได้ลืมตาอย่างอ่อนล้า
ขึ้นมาอย่างช้าช้าแล้วพลันพาทบทวน*นิมิตฝัน*


อันพลันกระจ่าง
ราวเรื่องจริงกับสิ่งที่เพิ่งผ่านมา
*คำสัญญา คำมั่นสัญญา *
*คำว่าคู่ทาษ *
ที่สไบนวล..
แสนพิศวง...งงงัน..ฝันคว้าง...
ค่าที่มักมาผุดในฝันแสนกระชั้นถี่เข้าถี่ขึ้น


ราวจักเตือนให้ไหวรำลึกนึกรู้รำลึกถึงบางสิ่ง
ที่รอฝันเป็นจริง
ในไม่นานช้า
อย่างที่สไบยากที่จะบอกกล่าวเล่าให้ใครและผู้ใด
ได้รับรู้เรื่องราวราวเรื่องรักปาฎิหารย์นี้


กลิ่นกาย
หอมราวดอกไม้ไทย
ยังระคนในกมลนวลใจสไบ
ที่หัวใจช่างหวิวไหวหวิวหวั่นหนาวเหน็บเหน็บหนาวเสียไม่มี
..............


และ
ด้วย...
ดวงใจสลัวมัวหม่น 
ที่อธิบายให้ใครสักคนรับรู้มิได้
นอกจาก...
มีเพียงเสียงเพรียก
ให้พาร่างมาถึงนี่
แดนดินเมืองเก่าของเราแต่ก่อน
ที่จิตใจยังอาวรณ์อาลัยอย่างยากจะหาใครมารับฟัง


นอกเสียจากให้ซากศิลาทุกก้อนแห่งอดีตหนหลัง
ลั่นทมพราวกิ่งไกวไหวสะท้านสะเทือนได้รับรู้


สไบนวล ...
จึงมานั่งนิ่งพิงต้นลั่นทมอีกครากับฟ้าชิงพลบ
กับงดงามสงบแห่งพระพักตร์พระพุทธ
ที่ผุดสร้างขึ้นมาเพียงเศียรที่วัดมหาธาตุ
อันแสนพิลาสพิไล
มองดูแสนสุขสงบงามใจในทุกครา
ยามเฝ้าจ้องมองดูอย่างเงียบๆ


และ
สไบนวล...
แสนไหวหวั่นดวงใจ
ราวกับมีพลังลี้ลับกับบางสิ่งแฝงฝังรอเวลาแห่งพลังใจ
รอกาลเวลา....


ในท่ามกลางความเหว่ว้า
ใน..
สายแสงสนธยาสีทองอันอ่อนอ่อน
ที่ทอทอดยอดปรางค์ปราาสาทวิหารเก่า
ที่เคยงามอะคร้าวมลังเมลืองมาอย่างรำไรๆ


สไบนวล....
ก็เห็นใครบางคน
ค่อยๆก้าวออกมาจากเบื้องหลัง
พระพักตร์พระพุทธรูปปูนปั้นอย่างช้าช้า
ราวภาพฝัน 


ร่างในชุดทหารหาญสีเขียวเข้ม
ขับใบหน้าคร้ามให้ดูขรึมขลังปลั่งสุกราวสีทองแดง
แสงเงาเน้นให้ร่างนั้นดูทรนงคงมั่นบึกบึน
หาก


ทำไมเล่า
ยามที่สไบนวลสบตาถึงกับสะดุ้ง
เขา...
คือคนคนเดียวคนดีกับที่สไบเคยเห็น
ที่ลานลั่นทมมานานแสนนาน

คนเดียวกับ
ผู้ชายที่ละม้ายแม้นในความฝัน
ที่ขยันมาปรากฎตัวบ่อยๆทุกวันพระ
แม้นกระมั่งยามนี้...ที่สไบแสนสับสน


ที่..
ทำให้หัวอกหัวใจสไบนวล
พลันระรัวด้วยทั้งตื่นเต้นแสนตกใจ..ไม่แน่ใจเอาเสียเลย!!!!
และ
ไม่อยากคิดไกลไปว่า
ว่าเขาคือ*ผู้ชายในฝัน*คนเดียวกันนั่นเอง


*เขา*...ส่งยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนมาทายทัก
และแสนแปลกดีนัก
ที่สไบเห็นแสงน้ำพราวราวเพชรพร่างใส
ราวหยาดรุ้งในเรียวตางาม
สไบ...เพียงตามคิด..*ไย..!ผู้ชายชาติทหาร
ถึงมีนัยน์ตารานโศก
ราวจะหยุดโลก
ให้เหลียวมองด้วยสงสารได้ถึงปานประมาณนี้ด้วยเล่า
........


*เขา....เอง..ก็งง..
ราวหลงในดงฝันสวรรค์รอเช่นเฉกเดียวกัน
ที่...
พลันพามาพบ*ผู้หญิงร่างบอบบาง*
ที่ดูงามสงบอย่างแปลกประหลาดในยามพลบค่ำ


ใน..
สถานที่ราววิมานเมืองวิมานแมนเมืองเก่าของเราแต่ก่อน
ในเงื้อมเงางามสถิตราวเมืองโบราณให้นิรมิตฝันพร่าง
ไสวกระจ่างราว...
กลับหวนทวนคืนอดีตอันเรืองรุ่ง
ด้วยมโหรีระทึกมาเยือนให้ประทับใจในอีกหนอีกครา


ที่ทำให้เขาจำต้องหลั่งน้ำตาระรินทุกครา
ยาม...ราวได้ยลยินด้วยจิตวิญญาณ
ทันที่ที่ร่างใจ
ได้มาสัมผัสเมืองนี้


ที่มี...
พลังลึกลับดึงดูดให้เขาหวนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ราวรอคอยบางสิ่งแสนหวานแสนดี
ที่เขารอพลีพบมาตราบจนชั่วชีวิต
ทั้งๆที่เขาไปมาครบร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมาแล้ว


เขา...มองเธออย่างไม่วางตา
เห็นความงามแผกพิศ
ร่างในชุดกางเกงผ้าปักชาวเขาสีเหลืองทอง
กับเสื้อแพรไหมบางเบาสีพยับหมอกไหล่ล้ำ
เผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งรวงเนียนละออ


ที่บัดนี้เธอทัดดวงดอกลั่นทมริมแก้มงามสามสี
ขับให้ผิวแก้มระเรื่อด้วยดวงดอกและแดดดวง
ในยามตะวันลาฟ้าโพล้เพล้สีไพลแสนงามพราวราวรุ้งเยือน


เขา...
เห็นเธอใส่สร้อยร้อยเรียงด้วยหินสีสลับอย่างงามแปลก
และ...
เน้นให้วงหน้านั้น
ราวสาวพันธุ์โบราณย้อนยุค
ผุดมานั่งเคียงกับอลังการ
กับงามเงาเหงางามในอดีต
ที่แสนกรีดใจเขาในยามนี้


ยามที่ราวได้ยินเสียงเสภาขับกล่อมมาห้อมห่ม
ให้กมลเขาตกอยู่ในท่ามภวังค์ฝันอัศจรรย์รักเสียเป็นยิ่งนักแล้ว


เขา..ตกในพะวงฝันสวรรค์หวานตระการจิตนานมาก
ก่อนที่..จะค่อยๆกระชากใจถอยกลับมาสู่ปัจจุบัน
และ...
กล่าวคำทักทายเธออย่างสุภาพชนพึงกระทำ


*ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณตกใจ
ไม่ให้ซุ่มให้เสียง..ด้วยคิดว่าตัวเองอยู่ลำพังครับ*
เพราะเย็นมากแล้ว
ผม...เพิ่งกลับมาจากราชการ
เลยมาแวะกราบพระนะครับ
แล้วคุณละครับ
เป็นผู้หญิงทำไมมานั่งนิ่งๆในยามเย็นๆอย่างนี้*


เธอ..
หันมายิ้มน้อยๆคลี่คลายบรรยากาศ 
ยิ่งทำให้เขาแสนงงงันแกมประหลาดใจ
ในความคิด
*ผู้หญิงอะไรยามแย้มยิ้มราวโลกไสวพร่างราวดวงตายิ้มได้
ราวโลกพลอยแย้มแต้มหอมหวาน
ตระการพราวไปด้วยดวงดอกไม้
ก็แปลกดีแฮะ...


แต่...
สิ่งที่ได้ยินจากเธอ 
ยิ่งทำให้เขาอึ้งอั้นงันงงเข้าไปใหญ่
*ฉันมาที่นี่บ่อยค่ะ มาตามฝัน คุณอย่าขำนะคะ
จะตลกกันไปใหญ่


เขา..ตกใจมากกว่าจะขำ
เพราะ
ทำไม..และทำไม..!
จึงเกิดมหัศจรรย์ใจ
ที่เธอคิดตรงกัน
กับความรู้สึกนะเบื้องลึกของเขาเสมอมา


ที่มีเพียงฟ้าดินรับรู้ลำพัง
เขานิ่งงัน
 และพลัน...!!!!
ราวมีเสียงกระซิบจากเบื้องลึกแห่งจิตใสบ้านภายในของเขาเอง


เจ้า...อย่ามัวรอช้า..นี่ไงล่ะผู้หญิงในฝัน
ที่เจ้าถูกสวรรค์ส่ง
ให้ตรงลงมาคอยท่าเธอ
และรอพบเธอ
เพื่อมอบรักภักดีให้


 ก็เจ้าเห็นเธอครั้งแรก
ก็สะท้านไหว
ราวหัวใจจะเต้นออกมานอกอกมิใช่ดอกละหรือ
เจ้าก็รู้ดี 
อย่างที่หลวงปู่เคยบอกเจ้า 
หากเจ้าไม่มีอาการทางใจอาการทางจิต
ทุกครั้งทุกครา 
ที่มีผู้หญิงมากหน้าหลายตา
ที่พากันวนเวียนผ่านเข้ามาอยากทายทักรู้จักรู้ใจเจ้า
หากทว่าหาใช่ไม่...ด้วยเพราะหัวใจเจ้าแสนว่างเปล่า


แต่
หากหญิงใดในหล้าก็ตาม
ยามเจ้าพบเกิดอาการสะท้านไหว
วูบวับราวชีวีเจ้าจะดับดวงด้วยจิตรำลึกรู้
จากจิตใสเพียร
ฝึกมาอย่างหนักแน่นดั่งแผ่นผา
มิให้หวั่นไหว
ให้ทายท้ากิเลสของร่างจิตเจ้าเองแล้วไซร้
 

และบอกให้เจ้ารำลึกรู้ด้วยตัวของตัวเองว่า
นั่น...คือคู่บุญคู่อธิษฐานคู่บารมี
ที่เจ้าจักพบ
จบด้วยเกิดอาการสะท้านใจ
และ
จักได้ใช้ชีวิตครองคู่กันไปในร่มธรรมร่มทอง
ได้พากันลอยล่องไปสู่ดินแดนแห่งฝันนิรันดร์รัก
อันแสนสุขว่างสว่างกระจ่างพราวงามสงบเสียที


เพราะ
เจ้าและเธอคนดีกำลังจะหมดวิบากกรรม...แล้วในชาติสุดท้าย
แล้ว
เจ้า...
จึงจะยังหันหน้าหนีไปไหนอีกเล่า
อ้าว...แล้วจะมัวช้าอยู่ไย
เดินหน้าต่อไป...สิ
เมื่อเจ้าได้พบคนดีเจ้าดวงใจจอมใจในฝัน
ของเจ้าแล้ว
และ
ที่ได้รอกัน


*ราว..คู่ทาษคู่จิตคู่ชีวิต..มานานแสนนาน*
หากมิเคยสิ้นเสน่หาพิสวาท
เนื่องจากความรักภักดียังธำรงคงมั่น
หนักแน่นดั่งแผ่นผา
ดั่งคำสัญญา
ที่เจ้าทั้งคู่ได้เพียรสร้างสมบุญญาสร้างบุพเพกันมา


ข้าขออวยพรให้เจ้าทั้งสองโชคดี..มีสุข..ในรักนี้
ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์นะ.....
และ
หวังเจ้าจักมิกลับมาถามข้าแบบที่ผ่านมาอีก
ว่าดวงใจในฝันของเจ้า
จะพลันปรากฎเมื่อไรและจะมีไหมเล่านะ..
 

แล้ว..
นั่นเจ้าได้กลิ่นอะไรไหม
*ดวงดอกไม้แห่งสัญญาใจแห่งเจ้าทั้งสองอย่างไรละ*
ดวงดอกลั่นทม ในยามนี้
ที่พร้อมพลีบานรอรับรัก
เลิกระทมทับดวงใจเจ้าทั้งสองเสียที..ตั้งแต่วันนี้ไปตราบชั่วกาล!
............................


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3337.html
ขอครวญคำ
ข้ามฟ้าลอยมาแด่เธอ
น้ำคำวอน คลั่งเพ้อละเมอจากใจ
รักเราสอง สัมพันธ์
แต่รักนั้นอยู่ไกล
เฝ้าหลงอาลัย ร้องครวญไป
ฝากหัวใจลอยล่อง
ขอปรานี พี่หวัง จงฟังพี่ครวญ
เสียงในใจ ไห้หวล รัญจวนหม่นหมอง
รักเราเอ๋ย แม้ไกล แต่หัวใจประคอง
พี่หวัง ใจปอง
เนื้อนวลทอง ใฝ่รักปองบูชา
เป็นกะลาให้ถือ
แม้เธอคือขอทาน
เป็นบัลลังก์ตระการ
แม้เธอเป็นนาง พญา
เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา
เป็นวิมานผ่านฟ้า
แด่เทพธิดา นงคราญ
รัก เราเป็น
เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา
แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน
แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ
ให้สองวิญญาณ
สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน
เป็นกะลาให้ถือ
แม้เธอคือขอทาน
เป็นบัลลังก์ตระการ
แม้เธอเป็นนาง พญา
เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา
เป็นวิมานผ่านฟ้า
แด่เทพธิดา นงคราญ
รัก เราเป็น
เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา
แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน
แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ
ให้สองวิญญาณ
สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน...
 
				
comments powered by Disqus
  • เพียงพลิ้ว

    9 มกราคม 2550 14:11 น. - comment id 644659

    ทำยังไงต่อไปดีคะพี่พุด
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • พรระวี

    9 มกราคม 2550 16:35 น. - comment id 644738

    ลีลาหวามไหว กัดเซาะอารมณ์ ใครฤาจักรจนาได้เช่นพี่พุด น้องชายคนบ้านดอนคิดถึงพี่นัก!!
    พี่เอย.....ณ ที่ลุ่มลึกแห่งปอยฟ้าเกาะพงัน ภาพไหวๆเลือนลางของอิถสตรีผู้พิลาศพิไล ปรากฎขึ้นในจินตนาการ.....พี่ใช่ไหม???
    พี่เอย....ยังอยู่ดีหรือไฉน.
    
    พรระวี
    มิได้ล้อกอิน
  • ดอกบัว

    9 มกราคม 2550 19:08 น. - comment id 644829

    ไม่ว่าจะชาตินี้ชาติไหนๆ
    ก็จะรออยู่เช่นนี้ตลอดไป
    
    คิดถึงพี่พุดค่ะ
    
    
    16.gif57.gif36.gif36.gif
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    10 มกราคม 2550 03:54 น. - comment id 644919

    สวัสดีปีใหม่ครับคุณพูด
    
    ผมตื่นมาทำงานตั้งแต่เที่ยงคืน
    ตอนนี้ตี3 เศษ ๆ
    จะไปนอนแล้วครับ
    
    ผมยังไม่ได้ทักทายคุณพุด
    เลยเขียนบทนี้ให้อ่านเล่นๆนะครับ
    
    เป็นกลอนหัวเดียว ลงท้าย ไอ
    
    ราตรีสวีสดิ์ครับผม
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    10 มกราคม 2550 03:56 น. - comment id 644920

    
    ๏	ไก่แจ้ ขันเจื้อยแจ้วนี่จะแจ้งแล้ว หรือโฉมฉาย
    
    	ตาวัน นอนขี้เซา..ก็แล้วนี่ตัวเรา ตื่นทำไม
    
    	หลับต่อ เถิดหลับต่อผวยอุ่น ก็ยังพอ ช่วยอุ่นได้
    
    	อ้อมกอด ยากจะหา.กี่หนาว นึกเห็นหน้า ของหวานใจ
    
    	ไม่เห็น ไม่เคยเห็นและความรัก ก็ไม่รู้ ว่าเป็นยังไง
    
    	เอาเถอะ จะทึกทัก..ว่าความเอย ความรัก เหมือนผวยใหม่
    
    	ทั้งอุ่นและทั้งหอม..ใช่แค่อุ่น คือดมดอม ก็ย่อมได้
    
    	ไก่แจ้ ขันเจื้อยแจ้วลมเช้าพัดอีกแล้ว แหม..เยียบใน
    
     
  • ภาวิดา

    10 มกราคม 2550 10:05 น. - comment id 644944

    ชอบผลงานพี่พุดแปลเพลงค่ะ
    
    และหัวชื่อกลอน ให้ความรู้สึกสวยงามมาก
    
    " ตราบยังมิสิ้น แสงอุษา"
    
    แต่มีเครื่องหมาย อัศเจรีย์ เหมือนกับว่า
    ประชดประชันอะไรอยู่สักอย่าง
    หรือย้ำเตือนจิตใจผู้อ่านอย่างไร
    ผลงานพี่พุดก็ยังยาวน่าอ่านด้วยกันทั้งสิ้น

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน