http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1873.html โลกแห่งความฝัน ดึกดื่นดายเดียวบนทางฝัน เสี้ยวจันทร์แรมใจลอยคว้าง เงาเมฆเทาทึมทอดวาง อ้างว้างร้างไร้คล้ายมายา รักรอมานานชั่วกาลกัปป์ เนานับนานนึกห่วงหา เหลียวไปไหนเล่าเจ้าดวงตา เหว่ว้ามีเพียงเงียบสะท้อน ทอดทิ้งทุกข์ทนวนรัก ทายทักสัจจธรรมสอน ยึดใดใครได้เฝ้าอาวรณ์ แค่ฉากตอนละครโลกย์ชีวี ผ่านมาผ่านไปเท่านั้น กี่ฝันกี่โศกชีพนี้ กี่ลมหายใจสิ้นไปทบทวี ก็แค่นี้แค่นั้นมนุษย์..! ................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1873.html โลกแห่งความฝัน เมื่อชีวิต ยังรักที่จะฝัน และบอกกับใจ ทุกวันที่ผ่านมา ด้วยปีกแห่งฝัน จะโบยบินไปถึงฟ้า หวังจะไปให้ถึงในซักวัน กว่าชีวิต จะพ้นไปอีกวัน อีกกี่ความฝัน ที่ฉันจะไขว่คว้า อีกกี่คำถาม ที่รอคอย การค้นหา แล้วถึงรู้ว่ามัน ไม่มีจริง โลกแห่งความจริง ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด โลกแห่งความฝัน ฉันมองเห็นวันสดใส แต่ในวันนี้ โลกแห่งความฝัน ทอดทิ้งฉัน ไปไหน โลกไม่สดใส เหมือนวันก่อน กว่าจะรู้ ชีวิตคืออะไร กว่าจะรู้ หัวใจคงอ่อนล้า เฝ้ารอความฝัน ให้ตกตะกอนช้า ช้า เพื่อให้ฝันชัดเจน และเป็นจริง โลกแห่งความจริง ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด โลกแห่งความฝัน ฉันมองเห็นวันสดใส แต่ในวันนี้ โลกแห่งความฝัน ทอดทิ้งฉัน ไปไหน โลกไม่สดใส เหมือนวันก่อน กว่าจะรู้ ชีวิตคืออะไร กว่าจะรู้ หัวใจคงอ่อนล้า เฝ้ารอความฝัน ให้ตกตะกอนช้า ช้า เพื่อให้ฝันชัดเจน และเป็นจริง... เงียบสะท้อน.. จากหนังสือบ้านภายในเงาภายนอก. เขียนโดยคุณโกศล กลมกล่อม กวีร่วมสมัยเจ้าของรางวัลสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย พ.ศ2532 และ2542 รางวัลรวี โดมพระจันทร์ และรางวัลลมหายใจกวีพ.ศ2534 เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรท์พ.ศ2535 2538 และ2541 กวีที่พุดพัดชาชื่นชมศรัทธาในคำ ในความงามสมถะเรียบง่ายที่เป็นตัวตนอันแสนยิ่งใหญ่ค่ะ จึงพยายามนำมาถ่ายทอดเพื่อแบ่งฝันแบ่งสิ่งอันสวยสดงดงามนี้ที่ก่อเกิดงามพร่างสว่างกลางใจ..ดวงน้อยนิดนี้..นะคะและ ด้วยรักทุกดวงใจไทยโพเอม หวังเป็นแรงบันดาลใจค่ะ .......... ผมกลับมาสวนโมกข์ปลายเดือนพฤษภาคม 2540 ใบไม้แห้ง กระจัดกระจายบนทางเดินใต้ดงไม้ ผมเดินตามทางที่เคยผ่าน ต้นไม้น้อยเติบโตเป็นต้นใหญ่.. มีคนบอกว่าเสียงของต้นไม้สอนมนุษย์ให้เข้าใจชีวิต แดดอุ่นยามเย็นลอดช่องว่างของกิ่งใบ ลมอ่อนผ่านบางเบา แดดสีทองอยู่เบื้องหลังภูเขา ก้อนเมฆสงบวางที่ขอบฟ้า ผมหยุดยืนกลางลานกว้าง ก้อนหินและกรวดทรายนิ่งฟังคนเดินทาง ไม่เคยร้องสิ่งใด ผมกลับมาที่นี่เวลาเดิมทุกปี เดินรอบสวนโมกข์จนทั่วทุกครั้ง มีความเปลี่ยนแปลงรอบตัว ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ถาวร.. ต้นไม้ ท้องฟ้า แม้แต่กรวดทราย จนวันนี้ ผมเข้าใจสิ่งที่ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าว เดินดูเสียให้ทั่ว เมื่อผมได้เดินท่องไปในจิตวิญญาณของตน เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของชีวิต แต่ละขณะ ทั้งความทุกข์ และความสุข ผมยืนอยู่ ณ..สถานที่เผาสรีระของท่านพุทธทาสภิกขุ ต้นไม้ใหญ่รอบด้านน้อมลงเคารพ ความรักความศรัทธาแผ่ทั่วความรู้สึก ขณะที่ผมคุกเข่ากราบตรงพื้นทราย ภาพวัยเยาว์ปรากฏ ต้นมะขามหน้าบ้านเงาของบ้านทอดลงอบอุ่น รอยยิ้มของย่าที่มีต่อหลานคนเล็ก ผมเคยพูดว่า..ถ้าเรารวยเราคงมีความสุขมากกว่านี้ เสียงย่าตอบเบาๆ เราอยู่กันพร้อมหน้าอย่างนี้ หิวบ้าง อดบ้าง เราก็มีความสุข แล้วเคราสากของพ่อสัมผัสแก้ม แม่ถือไม้เรียวเรียกมากินข้าว ผมแอบออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน ภาพท้องนากว้างใหญ่ แว่วเสียงกระดึงของวัวควาย ผมเป็นเด็กน้อยวิ่งริมคันนา รอยผืนดินแตกระแหงเหมือนรอยย่นบนใบหน้าของตาและยาย เมฆฝนทะมึนเหนือเทือกเขา ต้นไม้ใหญ่น้อยทั่วขุนเขายืนอ่อนน้อมท่ามกลางพายุใหญ่จนสงบ สายน้ำคือความห่วงหาอาทร เฝ้าเดินทางจนถึงทะเล แสงตะเกียงจากเรือประมงติดขอบน้ำ เมื่อฟ้าสางเด็กน้อยวิ่งไปช่วยพ่อยกปลาลงจากเรือ ผมเดินทางมาสู่เกาะ พบกับ วรรณะ เพื่อนผู้รู้จักกันคราวที่เขาเดินทางมาส่งพระรูปหนึ่ง กลับสวนโมกข์ ผมอาศัยบ้านพ่อและแม่วรรณะบ้าง วัดร้างบ้าง ผมอาสาเป็นครูสอนหนังสือ ในโรงเรียนเล็กๆ ซึ่งอยู่ใกล้กัน เสียงร้องเพลงของเด็กเป็นเสียงเดียวกับคลื่น วันที่จากลาไม่รู้เหงื่อหรือน้ำตานองบนใบหน้า ความรักทำให้เรามีความสุข ความรักหล่อเลี้ยงหัวใจให้อยู่ในโลกอันเปล่าเปลี่ยว จนคราวเราจากกัน ความทุกข์สอนผมให้เข้าใจความรักที่แท้ ความรักที่สรรพสิ่งมีต่อชีวิต และชีวิตมีต่อสรรพสิ่ง ประดุจสายใยอันอบอุ่นคล้องวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว ชีวิตไม่เคยหยุดทำหน้าที่ และชีวิตไม่เคยมีวันหยุด ชีวิตหนึ่งสอนอีกชีวิตหนึ่งให้เข้าใจชีวิต ผมกราบพื้นทรายเป็นครั้งที่สอง ใบไม้ร่วงสู่พื้น ผมเงยหน้าขึ้นเห็นฝูงนกพากับบินกลับรัง ลูกนกบินทันฝูงแล้ว ผมเคยเป็นนกหลงฝูงกลางป่าเปลี่ยว เป็นนกแปลกหน้าในเมือง เวลานี้ผมรู้สึกเป็นเช่นเดียวกับท้องฟ้า อ้าแขนรับความเปลี่ยนแปลง โลกนี้ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ถาวร ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ ทั้งตัวเราและผู้อยู่รอบข้าง เมื่อวันที่ย่าจากไป ผมนั่งอยู่กับย่าจนลมหายใจสุดท้าย คืนวันที่พ่อจากไป ผมเห็นรอยยิ้มของพ่อจนตื่น และวันที่ท่าพุทธทาส ภิกขุ อาพาธ อยู่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ผมเดินทางมาทันขณะลูกศิษย์พาท่านกลับสวนโมกข์ แปลกใจที่เราจากกัน แต่คล้ายเรายังอยู่ใกล้กัน อยู่พร้อมหน้ากัน ความคิดเหมือนเดินทางมาในความเงียบ สะท้อนภาพแล้วภาพเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกวินาทีผ่านไป ทำให้เราเข้าใจภาพต่างๆมากขึ้น เข้าใจชีวิตชัดเจนขึ้น ฟ้าเริ่มมืด เสียงจักจั่นเรไรดังทั่วในความเงียบ เวลานี้ความเงียบและเสียงกลับไม่ขัดแย้งกัน กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน หน้าผากของผมสัมผัสพื้นทรายเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาอันมิอาจห้ามเอ่อขึ้นมาด้วยความรู้สึก ศรัทธาต่อทุกสิ่งมีค่าที่ผ่านมาและสอนผมให้เข้าใจชีวิตในวันนี้........... เงียบสะท้อน เคยอยู่เดียวท่องเที่ยวไหม มองไปทั่วทางช่างเงียบเหงา เพื่อนเพียงเสียงใจสั่นไหวเบา เป็นเงาติดข้ามความลำเค็ญ ค้นหาสาระไร้สาระ ราวจะคว้าได้กลับไม่เห็น ถอนใจ สายธารกลับผ่านเย็น ปลาเป็นว่ายทวนได้ปลาตายลอย แล้วเสียงเพียงแผ่วผ่านแว่วอยู่ เหลียวดูใบพลิ้วใบปลิวผล็อย บ้านเก่าเช้าใหม่ใจเคยคอย แง้มน้อยหน้าต่างอย่างรีบรน เงียบฟังความเงียบ เงียบสะท้อน โลกย้อนโลกแสดงทุกแห่งหน ใจย้อนยินใจเข้าใจตน ชัดจนเปิดกว้างกระจ่างชัด มอบให้..คนดีในดวงใจ.. ที่หวังเป็นพลังอันยิ่งใหญ่สร้างงามในดวงใจ.. ไปสู่ฝัน..สู่ดวงดาว..สู่สายรุ้งประดับราวใจไปชั่วกัปป์กาล.. และระหว่างเรา..เงียบสะท้อนงาม..ใจถึงใจ..ไม่มีคำว่ากาลเวลา... ให้... เชษฐภัทร ...ด้วยรักและอยากแบ่งปัน.. เพื่อสรรสร้างงานงามในโลกบรรณพิภพ พี่พุด..
20 พฤศจิกายน 2549 01:38 น. - comment id 628554
สิ่งสะท้อนมายาภาพที่ฉายฉวย สังคมด้วยเหมือนแสร้งสร้างในวิถึ จรดหมึกทับถมจมธรณี เลือกเดินในวิถี สัจธรรม.. ไฟจะดับอย่างไรเมื่อใจไม่หยุด โลกสมมุติไร้ตัวตนอธิฐานน้อมนำ ที่สุดของชีวิตผ่านแค่หมดทุกข์สุขล้ำ แสงธรรมกับเดินสวนทาง......... ตัดไม่ได้เลย........คนน่ารัก..อิอิ
19 พฤศจิกายน 2549 23:10 น. - comment id 628556
เป็นบทกวีที่เพราะมากครับ โดยเฉพาะท่อนที่ว่า ทอดทิ้งทุกข์ทนวนรัก ทายทักสัจจธรรมสอน ยึดใดใครได้เฝ้าอาวรณ์ แค่ฉากตอนละครโลกย์ชีวี ผ่านมาผ่านไปเท่านั้น กี่ฝันกี่โศกชีพนี้ กี่ลมหายใจสิ้นไปทบทวี ก็แค่นี้แค่นั้นมนุษย์..! ผมชอบมากครับ จะคอยอ่านงานของคุณพุดต่อไปเรื่อย ๆ ครับ
20 พฤศจิกายน 2549 01:51 น. - comment id 628564
หากหัวใจปลิดได้คล้ายดอกฝน พุดพัดชา หากหัวใจปลิดได้คล้ายดอกฝน คงปลิดหล่นปลิดหล่นคล้ายชีพนี้ เพราะหัวใจไม่ใช่ดอกฝนนะคนดี จึงวันนี้แหลกยับดับภายใน หากหัวใจปลิดกลีบได้คล้ายดอกไม้ คงปลิดร่ายพรายพรมลมพัดไหว เพราะหัวใจมิใช่ดอกไม้นะดวงใจ จึงหวั่นไหวเสียใจเพียงลำพัง.. หากหัวใจปล่อยได้คล้ายสายฝน คงปล่อยหล่นปล่อยหล่นหมดสิ้นหวัง แตกกระจายคล้ายแก้วแล้วกระมัง ไร้ฝั่งฝันฝั่งใจใครเฝ้ารอ... เพราะหัวใจปลิดไม่ได้ในวันนี้ จึงต้องมีหัวใจไหวเพ้อพ้อ จึงต้องทนคนไม่รักใจดำพอ จึงต้องขอกล่าวคำลาว่าเสียใจและเสียใจ...ไปจนตาย!
20 พฤศจิกายน 2549 01:58 น. - comment id 628565
เรียนรู้รัก เรียนรู้โลก ย่อมต้องผ่านประสบการณ์ สุขสม รื่นรมย์ หวานซึ้ง อบอุ่น อิ่มเอม แลอีกด้านหนึ่ง คือความโหยหา หึงหวง เจ็บปวด ร้าวราน ทุกข์แสนสาหัส แต่สิ่งเหล่านี้ กลับเป็นสัจธรรมชีวิตที่แท้จริง เพราะการก้าวข้ามสภาพธรรมสู่การบรรลุ ย่อมต้องกล้าหาญที่จะพบประสบการณ์จริงแห่งชีวิต ความรักก็ธรรม ความสุขก็ธรรม ทุกข์ก็ธรรม ความเงียบสะท้อนก็ธรรม อย่ากลัวไปเลย แลจักก้าวข้ามสู่การละวาง ยึดมั่นหึงหวง จักก้าวข้าม สู่ความสงบงาม ไม่เหงา เดียวดายอีกต่อไป อยู่ที่ไหนในโลก ก็จักอบอุ่นใจ เหมือนมีคนที่รักเราและเรารักเขา อยู่ในใจตลอดไป แด่หญิงงามแห่งรัตนโกสินทร์ ผู้เป็นที่สุดแห่ง เมตตา ทาน ความอ่อนโยน ความเสียสละ และ รักที่ยิ่งใหญ่ ขอคารวะ จากใจที่ลึกล้ำ
20 พฤศจิกายน 2549 00:30 น. - comment id 628567
อีกหนึ่งผลงาน *ว่างสะท้อน* ของบุรุษแห่งสายน้ำค่ะ ลำน้ำน่าน..ติดตามนะคะ .......... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem38814.html ว่างสะท้อน.... ลำน้ำน่าน กล่องหนังสือข้ามฟ้าส่งมาปลอบ นำมามอบให้ด้วยรักกับความหวัง ก่อนสำเนียงเสียงใดจะไหวดัง ทรุดลงนั่งน้ำตาพร่าไปแล้ว เห็นหนังสือเล่มงามมีความชัด สงบงัดแน่นิ่งดุจหิ้งแถว บ้านภายในเงาภายนอกตลอดแนว หยิบอ่านแล้วหลับตาฟ้าแคบลง ภาพดวงหน้าปรากฏบนปกหลัง กฎจีรังชัดแล้วแนวประสงค์ เงียบสะท้อนเงาความจริงยิ่งดำรง เห็นทางตรงทอดรับจับแววตา ค่อยค่อยจับค่อยค่อยวางอย่างรู้รัก เห็นประจักษ์ทางลัดตัดผ่านหน้า พลังเงียบคุกรุ่นอุ่นขึ้นมา เปิดดวงตาที่ปิดร้างมานานวัน เพียงอักษรจารไว้ให้ซาบซึ้ง แนวคำนึงถึงแล้วแนวทางฝัน เค้นสำเนียงเสียงใจไปทันควัน ไม่มีขวัญไม่มีคำสะท้อนมา เงียบสะท้านภาพเบื้องหน้าพร่าหัวใจ เกินข่มไหวจิตทะลายตายตรงหน้า หนึ่งหนังสือเก็บเข้าวางอย่างเคยมา แหงนมองฟ้าเงียบเชียบเปรียบไม่มี ลุกขึ้นยืนมองกล่องกองทิ้งไว้ คุมความนัยให้ทรุดหยุดกับที่ ภาพสะท้อนในความว่างทุกอย่างมี บ่ายหน้าหนีพบแล้วทางที่ว่างจริง
20 พฤศจิกายน 2549 00:34 น. - comment id 628568
ความในใจของบุรุษแห่งสายน้ำ จากงาน*ว่างสะท้อน*ค่ะ ความคิดเห็นที่ 9 : หมายเลข 167470 ***พี่ชัยชนะ จริงๆ แล้วบทกวีนี้เขียนขึ้นจากแรงบันดาลใจและความรู้สึกจริงเฉพาะตัว ณ เวลานั้น ผมได้รับกล่องพัสดุที่เป็นหนังสือมากมายจากแห่งหนึ่ง ที่เค้าส่งมาให้ด้วยรักและปรารถนาดีอย่างที่สุด ทันทีที่เห็นกล่องใบนี้ตั้งอยู่บนโต๊ะ ก็ตื้นตันใจอย่างมาก เห็นชื่อผู้ส่งมา ก่อนที่จะพูดอะไร ก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กล่อง น้ำตาซึม ด้วยตื้นตัน แกะกล่องหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ข้างในที่ผมรักมาก แม้นยังไม่เคยได้เห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อน แต่ด้วยรู้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมากับกล่องพัสดุใบนี้ เห็นหนังสือหลายเล่มวางสงบนิ่ง ในกล่อง เรียงเป็นแถวเหมือนกับวางอยู่บนหิ้งหนังสือเลยครับ ชื่อ หนังสือ บ้านภายในเงาภายนอก จึงหยิบขึ้นมาอ่าน แล้วหลับตาซาบซึ้ง ข้อความในหนังสือทำให้เรารู้สึกว่า ฟ้าแคบลง เห็นภาพของนักเขียนที่ปรากฎอยู่ตรงหลังปกหนังสือเล่มนั้น เงียบงันกับความรู้สึก ภาพนิ่ง หน้าตาสะอาด แต่ก็ต้องมาหยุดลงตรงที่ความเงียบงันอีก เมื่อมาคิดว่า นักเขียนคนนี้ในความเป็นจริงเค้าเสียชีวิตแล้ว นี่คือความจริง แต่ด้วยเนื้อหาของบทกวีที่เขียนไว้ในหนังสือ ย้ำเน้นเรื่องกฎธรรมชาติและสัจธรรม ทำให้ผมค้นพบเส้นทางลัด ที่จะนำเราข้ามฝ่าไปพบทางสว่างอย่างแท้จริง นั่นคือเข้าถึงธรรมะนั่นเอง ผมค่อยจับค่อยวางหนังสือเล่มนั้นลงอย่างรู้รักรู้ค่า เส้นทางลัดที่ได้พบนั้นเริ่มชัดเจนขึ้น พลันเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่แนบมากับหนังสือ เป็นข้อความที่แทนรัก และอยากให้ผมเขียนงานและพยายามเป็นนักเขียนที่ดีให้ได้ จากผู้ส่งกล่องหนังสือมา ทำให้ผมหวนคิดคะนึงถึงความใฝ่ฝันของตัวเองอีกครั้ง พลังความฝันอันนั้นพลันอุ่น เหมือนถูกปลุก ขึ้นมานั่นเอง เปรียบเหมือนดวงตาฝันที่ถูกปิดกั้นมานานวันนั้นได้ถูกเปิดขึ้นมา จึงตัดสินใจส่งความรู้สึกจากใจไป ด้วยโทรศัพท์ไปหาผู้ส่งหนังสือนั้น แต่ทว่า เค้ารับสายและปฏิเสธการพูดคุยใดใดในวินาทีนั้น ทำให้ผมเสียขวัญ โดยไม่มีคำใดใด สะท้อนกลับมาให้ชื่นใจนั่นเอง ทุกๆ อย่างเงียบงันหลังจากถูกปฏิเสธการคุย ความโศกเศร้าที่พร่าหัวใจในยามนั้นมีมากเกินข่มไหว เหมือนความรักที่ตายจากลงตรงนั้นนั้นเอง ตัดสินใจเก็บหนังสือเล่มนั้นวางเข้าไปในกล่องดังเดิม แล้วแหงนหน้ามองฟ้านอกหน้าต่าง ก็รู้สึกว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรให้เป็นของจริงแท้สักอย่างเดียว แม้แต่คนที่เค้าหวังดีกับเราส่งหนังสือมาให้ ก็ยังมาปฏิเสธ อย่างไม่มีเหตุผล ตัดสินใจลุกขึ้นยืน ทำใจยอมรับความจริงว่าทุกอย่างมันมีเปลี่ยนแปลงกันได้ ความหวังความดีใจที่เราได้รับหนังสือเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น เพราะความจริง ณ วินาทีนี้คือ ความว่างเปล่า เราไม่ได้รับอะไรเลย แต่ในความว่างเปล่านี้แหละ กลับสะท้อนให้เราเห็นความจริง เห็นสัจธรรม ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้ตามความปรารถนาของเราเสมอไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเรามีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ และนี่แหล่ะความจริงในความว่างที่ผมค้นพบและเจอ เป็นความจริงในความว่างเปล่า นั่นเองครับ บทกวีนี้อาจจะเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวนะครับพี่ชัยชนะ กวีหรือนักเขียนหลายๆ คนใช้ประสบการณ์เฉพาะตัวมาเขียน ดั่งเช่น คุณจิรนันท์ พิตรปรีชา และคุณเสกสรร ประเสริฐกุล จะมีใครสักกี่คนที่อ่านแล้วเข้าใจ ความหมายของบทกวีเหล่านี้ได้ดีเท่าคนเดือนตุลาคม แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อยากเกินที่จะตีความหมายโดยนัยที่ซ่อนไว้ จะมีใครซาบซึ้งกับบทหนึ่งที่ว่า ความเงียบยังเหยียบลึก ความรู้สึกยังล้นปรี่ พึมพำคำกวี เป็นข่าวฝากจากใคร บทนี้ถึงแม้ผู้อ่านไม่ได้มีประสบการณ์ดังผู้เขียนตอนนั้น แต่ก็สามารถจิตนาการถึงอารมณ์ เหงา เศร้า และความเงียบงันที่ผู้เขียนคือจิระนันท์ ประสบได้ ในครั้งนั้น ครับ หรือแม้แต่ บทที่ชื่อสะพานไผ่เหนือสายน้ำเชี่ยว ที่บอกว่า ผีฟ้าซ้ำผีน้ำซัดนัดกันมา หากแต่การอ่านบทกวีนั้นต้องใช้อารมณ์ร่วมและจิตนาการช่วย รวมไปถึงภูมิเดิมของผู้อ่านด้วยนั่นเองครับ ถึงจะซาบซึ้งและสามารถเข้าใจความหมายโดยนัยที่ผู้เขียนต้องการสื่อไม่มากก็น้อย ผมดีใจที่พี่เพียรพยายามจะหาความกระจ่างในบทนี้ อาจจะย้าวย้วย แต่ก็ด้วยรักในมิตรวงศ์วานบ้านเรือนไทยอย่างไม่แปรเปลี่ยนเสมอมาครับ ลำน้ำน่าน 11 ก.ย. 46 - 14:13 IP 202.28.169.165
20 พฤศจิกายน 2549 01:42 น. - comment id 628570
ด้วยดวงใจ แด่.. น้อง..*ทางแสงดาว* และ.. *ผู้สดับ*นะคะ พุดพัดชาซึ้งใจมากนะคะ ดับดวงใจ ด้วยดอกไม้สีดำ ราตรีฝันผันมาอีกคราแล้ว น้ำค้างแก้วยังหยาดรินทุกถิ่นที่ เกสรดอกไม้ยังพร่ายไหวในฤดี มนต์กวียังร้องเรียกเพรียกดวงใจ มายาดอกไม้หวานบานให้ชมมารายล้อม ยั่วให้หอมหยอกให้ล้อพ้อหวั่นไหว ให้หลงตมหลงตามหนามทิ่มใจ ให้หวามไหวในมายาน่าเศร้านัก เมื่อฤดูกาลหวานดอกไม้ได้ผ่านพ้น น้ำผึ้งขมก็พล่านพิษให้ประจักษ์ เสียเวลาเปล่าดายไร้ค่านัก พันธนารักแบกตรมตามตราบยามนี้ ดอกไม้สีดำบานกลางใจคอยสั่งสอน ให้มองย้อนอย่าซ้ำรอยให้ถอยหนี เสียเวลาภาพมายาซึ่งไม่ใช่นะคนดี เก็บใจนี้ไว้คว้าดาวอย่าร้าวรอ เลิกค้นหามายาลมมายาลวง มาติดบ่วงมาติดตมมาเพ้อพ้อ มาสร้างรอยระกำให้ดวงใจใครไหวรอ เลิกเล่นล้อเหลิงลมว่าวให้เศร้าราน เก็บจิตวิญญาณดวงงามดวงสงบ เพื่อค้นพบดาวเดือนดอกไม้หวาน อยู่ลำพังกับความเงียบสร้างสรรงาน พลีกลอนกานท์เพื่อผองชนกุศลใจ...
20 พฤศจิกายน 2549 07:33 น. - comment id 628577
รักทราบซึ้งใจในวัยหวาน แสนแผ่ซ่านหยุดโลกที่โศรกสรรค์ ใจลอยล่องไปคล้องจันทร์ เกษมสรรค์สุขสว่างที่กลาง...ใจ ให้หวนใหอาวรณ์ครั้งก่อนเก่า แรกรักเรารักเขาหวานกว่าหวาน เมือ่เวลาพาพรากกระชากซึ่งวิณญาน คล้ายแตกซ่านลาลับไปกลับเธอ เข้ามาหาพี่พุพที่ไรใจก้อเหงา ทำให้หวลเรื่องราวเหมือนใจเผลอ อีกหนึ่งคำเก็บงำไว้ไม่บอกเธอ รักนะเกลอ อย่าลืมนัดที่ขอบฟ้า
20 พฤศจิกายน 2549 08:11 น. - comment id 628586
มายาสะท้อน..... ในโลกแห่งความฝัน ยังหาเพลงนี้ฟังไม่ได้เลยค่ะพี่พุด
20 พฤศจิกายน 2549 09:00 น. - comment id 628624
บางครั้งก็เหงาๆนะคะ กับการอยู่คนเดียว ทำให้เกิดมายาสะท้อน บางครั้งเหมือนจะน่ากลัวเนาะ แวะมาทักทายค่ะ
20 พฤศจิกายน 2549 16:32 น. - comment id 628854
สวัสดีค่ะพี่พุด งานของพี่พุด ของพี่ลำน้ำน่าน และผลงานเงียบสะท้อน ทำให้บัวคิดว่าเราควรจะเก็บสิ่งดีๆไว้ และลืมสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ใจลงไปบ้าง สะท้อนสิ่งที่สร้างพลังใจเราเอง ให้ผ่านพ้น พี่พุดรักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ ถ้าพี่ยังอยู่ตรงนี้บัวก็จะเข้ามาหาพี่ทุกครั้งค่ะ ทุกคำทุกน้ำใจของพี่พุดบัวเก็บไว้ค่ะ