......มอญ..พม่าไล่ฆ่าฟันจับบั่นหัว ...หวีดระรัวร้าว..บ่ม....จากคมศร ...ระงมทั่วเวียงสามหานคร ...ราญรอนภิณท์ราบลงทาบดิน ......เพลิงปะทุช่วงโชติ...โหด.....ร้อน ...ดัสกรหลากหลั่งดั่งกระสินธุ ...รุกโจมโถมถั่งทั้งแผ่นดิน ...โอ้หนอสิ้น..แล้ว...วิสุทธิ์......อยุธยา ......หนีตายแรงอ่อนล้าเข้าหาวัด ...ต่างซ่านซัดซวนเซจากเคหา ...พิงหลังสู้จน..วอดวาย...ใต้เสมา ...เหลือคณาจักนับคะเน......มเหยงคณ์ ......เจดีย์แก้วช้างล้อมย้อมจำหลัก ...ภาพหน่วงหนัก......เลือด.......ท่วมปรี่ธรณีสงฆ์ ...จารึก..รอย.....พ่ายพินาศฉกาจลง ...ฝังที่ตรงกลาง..หัวใจ.....ไท..ทุกดวง ..........................( สงวนสิทธิ์ )...........................................
19 กรกฎาคม 2549 18:17 น. - comment id 591279
สวัสดีค่ะ *มเหยงคณ์* คือใคร? และ อย่างไร? โปรดเฉลย ไขข้อข้องใจ...
19 กรกฎาคม 2549 19:45 น. - comment id 591294
มเหยงคณ์ เป็นชื่อวัด เป็นศาสนสถาน อยู่ใกล้บ้าน สุกรวดีฯ เป็นสำนักชีที่โด่งดัง....
19 กรกฎาคม 2549 21:31 น. - comment id 591305
สวัสดีค่ะ อยุธยาเมืองเก่าน่าไปเที่ยวตามรอยประวัตฺศาสตร์เนาะ..
19 กรกฎาคม 2549 22:32 น. - comment id 591370
พุดมาชื่นชมงานงามนะคะ วัดนี้พุดเคยไปถือศีลค่ะ คิดถึงนะคะคุณค่ะ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem64557.html .............. และ นิทราที่ฝันเห็นนั้น คือ... ภาพฝันภาพนิมิตแสนงาม ยามที่ตัวเองห่มสไบนวลสไบแพร นั่งอยู่ในโบสถ์คร่ำ หน้าพระพักตร์พระพุทธองค์โตงามปลั่ง ที่กำลังนั่งเคียงข้างเคียงไหล่กันกับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ดูแสนตรึงเศร้ากร้าวแกร่งราวทหารหาญ ในเสี้ยวหน้ารำไรรับไรแสงเทียนทองสุกปลั่ง ให้พลังอันอบอุ่นอ่อนโยนเป็นยิ่งนักแล้ว และ วะแว่วแผ่วเสียงสวดมนต์ภาวนา คล้ายภาษาบาลีโบราณที่แสนขลังวังเวงใจ จากปากบุรุษและสตรีนางนั้น ที่ปริมคิดว่าคือเธอเองใช่ใคร สองเสียงก้องสะท้อนทบทาบ อาบงามไปกับแสงสงฆ์พร่างแห่งจีวรพระประธาน ที่ช่างงามพร่างงามพรายงามไหวเรืองรอง งามผ่องผุดพิสุทธิ์พิลาสในท่ามแสงเทียนอันทอดทอทอง หาก.. แล้วเสียงนั้น ก็พลันค่อยๆแผ่วเบาแผ่วเบาลง... พร้อม.. กับหยาดน้ำตาราวหยาดน้ำค้าง ที่พร่างพรูสู่เรียวแก้มนวลหมอง ชายในฝันหันมาโอบประคอง พร้อมกับที่เขาหันหน้ามาซับหยาดน้ำตานวล โลมไล้อย่าแสนรักใคร่แสนอาลัย และ ชวนกันน้อมกราบกรานพระพุทธา อย่างช้าๆพร้อมกัน.. เขาค่อยๆประคองไหล่งามล้ำ ที่พันพาดห่มรัด ด้วยสไบแพร ให้เห็นเพียงไรเนินเนื้อหนั่นแน่นเนียนแดด ให้ออกมาไกลจากวัด แวะนั่งพักใต้ลานจันทร์ลานฝันในร่มลั่นทม พลาง ค่อยๆก้มลงดอมดมพรมจูบริมไรผมเรียวแก้ม แล้วค่อยๆเก็บดวงดอกงามมาทัดแซมผมให้อย่างเบามือ แกมโอบตระกองกอดปลอบประโลม ให้ร่างน้อยๆราวลูกนกสั่นสะท้านค่อยๆซุกอกใจรับไออุ่น และราว กับภาพลาพรากที่เขาคนดี กำลังจะจากไกลไปไหนสักแห่งในผืนแผ่นดินนี้ ที่ไร้สรรพเสียง มีเพียงเงียบงันราวดวงตาสวรรค์กำลังร่ำไห้รับรู้ อยู่นะเบื้องบนเพียงนั้น! ....................... ........ กลับมา..... ให้ปริมเห็นภาพตัวเอง อีกภาพและอีกภาพ..... กำลังพายเรือในลำคลองสายงามออกแรงโถมอย่างรีบเร่ง ที่สองฟากฝั่งนั้นมีเรือนไทยโบราณตะคุ่มซุ่ม ซ่อนซุกตัวอยู่ในแมกไม้อย่างเงียบงัน อย่างขวัญเสีย ราวตรึงโศกวิโยคสะเทือน ไปทั่วถิ่นทุ่งคุ้งโค้งทุกลำประโดงท้องน้ำ ภาพปริมหาได้ห่มสไบไม่ หากตัดผมเกรียนและซ่อนร่างเนียนงาม ภายใต้ภาพผู้ชายชาตินักรบ และ กับอีกภาพในนิมิต เธอ..กำลังไล่ล่าฟาดฟันทหารพม่า ราวกับบุรุษอาชาไนยด้วยดวงจิตเกินร้อย ราววิญญาณบรรพบุรุษร่วมรัดร้อยพร้อมพลีรบ และ อีกทีอีกภาพ ที่หลังเธอชนหลังกับใครบางคน เคียงไหล่เคียงบ่าประจัญ ในพรายพร่าแห่งแสงตะวันกล้า อันดุเดือดเลือดพล่าน ตราบจนเกือบสิ้นแสงตะวันลาตะวันรอน กับภาพทหารนอนก่ายกองมากมาย เหม็นคาวเลือดคละคลุ้งในทุ่งนาไร้ร้าง..อ้างว้างเงียบงัน!!!!! กับภาพไฟ... ไฟ... ไฟ..!!!!! ไฟไหม้โหมไปทุกที่... ที่แสนสยองขวัญสลดใจนัก ภาพซากปรักหักพัง... พระพุทธรูปถูกบั่นเศียร.. ภาพเจดีย์งาม ที่กำลังลามไหม้ลุกโพลงล้มระเนนระนาด โอ้..แสนจะน่าอเนจอนาถใจ.. ว่าแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง อันแสนร่มเย็นจะสิ้นแล้วหรือไร..โอ้อยุธยา.. ไยฟ้าดิน..เมินหน้าหนีมิปรานีปล่อยให้อัปราชัยไฉนหนอ!* ........... และ ในพรายแสงแห่งตะวันโศกนั้น ปริมหันเห็น เขาคนนั้น คือลูกผู้ชายในโบสถ์คร่ำ ที่เธอร่ำรินหยาดน้ำตาซุกอกอุ่นนั่นเอง เธอกับเขาเคียงบ่าเคียงไหล่เคียงจิตวิญญาณ อย่างหาญกล้า พร้อมด้วยประกายตาลุกโชนช่วง ด้วยดวงแสงจำรัสอันมิพรั่น อันคือพลังแสนยิ่งใหญ่ ที่จิตภายในตรงกัน รวมหลอมละลายทูนเทิดไว้เหนือเกล้าเหนือดวงใจ ด้วยแรงแห่งหวัง แห่งรักษ์จักพลีชีพสิ้นขอยอมด่าวดิ้นแดดับ เพื่อปกปักบ้านป้องเมือง รักษาผืนดินไว้ตราบสิ้นเลือดหยาดสุดท้ายรดพลี ตาสบตา..คลี่ยิ้มเย้ยชะตา..พร้อมกัน พร้อมทายท้าข้าศึก *เข้ามาสิ! มารับคมดาบข้า..* เข้ามาเลย..มา..เข้ามาสังเวยเลือด ให้หยาดริน..รดเท้าข้า..! ที่หวังฟ้าแลดินอินทร์พรหมยมพญา จะมาเป็นสักขีโปรยพร..! ให้แด่ดวงวิญญาณแห่งสองเรานะเจ้ายอดดวงใจอย่าพลั่นตาย หากหมายมาดให้ผืนดินยังอยู่ให้ลูกหลานไทได้หยัดยืนยง* และ ราวมีพลังแห่งปาฎิหารย์รักมาร่วมรับรู้ ทุกครา.. ที่ฟาดฟันบั่นคอศัตรู จะเกิดแสงพร่างฉายฉานวาบวับรับกับทุกคมดาบ กระจายรายรอบเป็นรัศมีออกไป..,มิสิ้นสุด .!!! ก่อน ที่ทุกสิ่งจะค่อยๆหยุดลง..และ พลันพร่าลางเลือน..ลางเลือน...ๆๆ...... เหลือ.. ให้เห็นเพียงสีแดงสีแดงและสีแดง ท่วมท่ามบนผืนหญ้าผืนพสุธา และ บนตักงาม ที่พลันนะบัดนี้มีร่างเขาซุกซบ ในอ้อมตักอ้อมใจ พร้อมกับอกอุ่นๆ ที่หยาดเลือดรักยังระรินไหลมิหยุดยั้ง ราวสายธารโศกให้โลกหยุดหมุนชั่วครู่ ดาวรุบหรู่มืดมิด ... ลมหยุดพัดนิ่งงัน.. สวรรค์แลฟ้าดิน กำลังครวญคร่ำร่ำไห้ ราว กำลังพร่างน้ำตาสรรเสริญรักนิรันดร์อันแสนยิ่งใหญ่นี้ ที่ฝากพลีเทิดผืนปฐพี ชะโลมหล้าชะโลมดิน ให้ไทยยังคงเป็นไท..มิรู้สิ้นยังคงภาคภูมินาม และ ก่อนที่ ดวงใจที่เหลือเพียงน้อยนิด ระริกๆริบหรี่ไหว ของงามใจแห่งนางแก้วจะพรากลา เธอคนดี ค่อยๆจูบแก้มที่เริ่มชืดชาเฉียบเย็นในอ้อมตัก เพียรพยายามโลมไล้ลูบใบหน้าอย่างละมุน พร้อมปิดเปลือกตาให้ยอดรักยอดดวงใจ ผู้อันเป็นที่รัก ที่ราวกับยังแย้มยิ้มยินดี กับชีพนี้ที่ได้พลีเลือกแล้ว และ ราวกับปลอบประโลมเธอ ด้วยดวงตาหนักแน่นคงมั่นแทนคำมั่นสัญญา แทนคำลาตราบชั่วนิจนิรันดร.... เธอ.. ปวดร้าวนักทั้งร่างใจ หากหัวใจแสนปิติอิ่มเอม ที่ได้ทำหน้าที่สุดท้ายอย่างสมภาคภูมิ เธอค่อยๆทอดร่างลงเคียงข้างเขาอย่างช้าๆ มือกุมมือมั่นกันแนบแน่น แล้ว..แย้มยิ้ม..อิ่มเอม..รอ..และรอ..เวลา... ใบไม้ไพร...ในราวป่า พลันร่วงควงพลิ้วปลิดปลิวโปรย....ลงมาอย่างช้าๆช้าๆ.. ไปกับอวลอบอันแสนหวานเศร้ารานร้าวระทม ของดวงดอกลั่นทม กับสายลมเย็นในยามค่ำ...ราวร่ำไห้ ........... .............. ในยามนั้น ที่มีเพียงดวงตาสวรรค์เบื้องบนพลันรับรู้ เห็นร่างคู่คลี่คลุมด้วยสไบแพรผืนเดียวกัน ที่นะบัดนี้นั้นหยาดเลือดรักภักดิ์พลีได้หลั่งรินหมดสิ้นสายลงแล้ว *ในเวิ้งฝันพสุธารักอันแสนเงียบงันเงียบงามไปตราบชั่วนิจนิรันดร...*
19 กรกฎาคม 2549 22:36 น. - comment id 591373
ฝากให้อ่านอีกเรื่องนะคะ จากแรงบันดาลใจตอนพุดไปบวชค่ะ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem81097.html เพดานดาว แล้วลบออกก็ได้นะคะ เพราะยานย้วยค่ะอิอิ
20 กรกฎาคม 2549 12:53 น. - comment id 591505
......เป็นเกร็ดเล็กๆในประวัติศาสตร์น่ะค่ะว่า...ครั้งเสียกรุงคนไทส่วนหนึ่งได้หนีมารวมตัวกันที่วัด มเหยงคณ์ ...สู้...จนวาระสุดท้าย....โอกาสหน้าจะนำประวัติคร่าวๆของวัดนี้มาเล่าสู่กันค่ะ...ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ...
20 กรกฎาคม 2549 13:04 น. - comment id 591509
......นิ้วเรียวไล้ปลาย..ดาบ...อาบโลหิต ...พม่าประชิดเบื้องหลังหวัง..สังหาร ...ขอหลังอิงแนวเสมาเช่นปราการ ...แล้วพล่าผลาญ..ชีพตน...พ้นไพรี
20 กรกฎาคม 2549 22:27 น. - comment id 591623
งามมากค่ะ
22 กรกฎาคม 2549 12:51 น. - comment id 592106
...............................................วัดมเหยงคณ์...... .....................................................อยุธยา........ .........วัดมเหยงค์....สร้างขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒..(เจ้าสามพระยา))......เมื่อ...พ.ศ.๑๙๘๑ หลักฐานสำคัญที่สอดคล้องกับสมัยการสร้างคือลักษณะทางศิลปกรรมของเจดีย์ทรงระฆังมีรูปช้างรอบฐาน....ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับแบบอย่างเจดีย์ช้างล้อมในศิลปะสุโขทัย แผ่นดิพระเจ้าท้ายสระ....ใน...พ.ศ.๒๒๕๒....มีการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ที่วัดนี้......พระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรการนั้นเนืองๆ.....รวมทั้งโปรดมาประทับสำราญพระราชหฤทัย....เช่น...ทรงเบ็ดในหน้าน้ำ......เข้าใจกันว่าซากตำหนักตึกสองชั้นซึ่งอยู่ทางด้านใต้นอกกำแพงวัด.....อาจสร้างขึ้นสำหรับเป็นที่ประทับ...... ......มีเกร็ดเล็กน้อยที่เล่ากันว่าครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่๒ คนไทยส่วนใหญ่หนีตายจากพม่ามาชุมนุมกันที่วัดแห่งนี้และที่นี่ก็ได้เป็นเสมือนเรือนตายของบรรพชนเหล่านั้นในนาม...คนกรุงศรีฯ
23 สิงหาคม 2549 22:36 น. - comment id 600920
ไพเราะตรึงใจมากครับ เหมือนพี่กลั่นออกมาจากใจเลย อยากอ่านอีกจังเเละอยากรู้ประวัติศาสตร์ตอนนี้ด้วย
2 กันยายน 2549 12:19 น. - comment id 602984
......แต้มผงจันทร์เจิมจะเริ่มศึก ...ร่ายรำลึกโอมเดชะพระคาถา ...เสด็จลงเบื้ององค์หระปฏิมา ...จุดเทียนชวาลาเสี่ยงทาย ......กราบลงหน้าพระพุทธเหนือบุษบก ...ยอยกโคมเทียนขึ้นเวียนฉาย ...หากศึกครั้งนี้จะมีชัย ...จุ่งไสวโชติช่วงดังดวงเมือง .......หากเทียนล่วงวิรุธสดุดดับ ...แสงพยับลับหรู่มิฟูเฟื่อง ...ดังลางบอกวิบัติขัดเคื่อง ...สืบเนื่องจะแพ้พ่ายแก่ไพรี ......เป็นจารีตประสิทธิ์ไว้ให้กษัตริย์ ...ก่อนจัดทัพใหญ่ไกรศรี ...มา.เสี่ยงเทียน.น้อมพร้อมมนตรี ...ณ ที่วัดใหญ่ชัยมงคล ......ด้วยความรู้สึกแปลกใจน่ะค่ะที่ยังมีคนสนใจเข้ามาอ่านอีกทั้งที่กระทู้ตกไปนานแล้ว...อย่างไรก็ขอบคุณและยินดีค่ะที่สนใจเรื่องราวเล็กๆน้อยๆของบรรพบุรุษเลยเอากลอนเก่าเกี่ยวกับวัดใหญ่ชัยมงคลมาให้อ่านอีกครั้งค่ะ...
17 ธันวาคม 2550 19:32 น. - comment id 801161
รออ่านงานเขียนของพี่อยู่นะคะ
4 ตุลาคม 2552 15:30 น. - comment id 1047134
ยังเก่งไม่เคยเปลี่ยนเลยนะนาย (kantber@hotmail.com) G16 3/5