http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1444.html (วอนลมเกี่ยวใจ) ใกล้ค่ำ..วันนี้ วันที่..สาวนาแสนดายเดียว เดียวดายเสียเหลือทน สาวนา.. ไปอาบน้ำในบึงบัวแล้วพาตัวมานอนนิ่งนิ่งริมคันนา ทิ้งตาดูม่านฟ้าสลัวๆ ด้วยดวงใจหมองหม่นมัวราวเมฆฝนบนฟ้านั่น เพราะ.. อ้ายมาพรากขวัญพรากลาสาวนาไปหลายวันแล้ว หลังกลับมาให้คำมั่นสัญญา ว่า.. *จะรักภักดีต่อสาวนาตราบชั่วดินฟ้า* ให้อินทร์พรหมยมพญามารับรู้เป็นพยาน เมื่อวันวิสาขะที่ผ่านมา ด้วยการประคองพากันไปเวียนเทียนรอบโบสถ์คร่ำ ก่อนที่.. จะมานอนร้องเพลงรักเพลงฝันตรงนอกชานเรือน ที่มี.. ดาวเดือนเป็นเพื่อนพลอยกระพริบระยิบระยับรับฟัง ที่ทำเอาสาวนาถึงกับแทบอยากจะระรินหลั่งน้ำตา ................. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5459.html วอนลมเกี่ยวใจ วอน ลมพัดพา สัญญาเคยฝากใจน้อง วาน บอกทุ่งทอง สองใจลู่ลมรัญจวน หวนรักรำพึง เฝ้าคิดถึง เสน่หา จำเสียงคำสัญญา ฝากลมพาสู่ใจของนาง คิดถึงข้าวรวงอุ่นทรวงไม่ห่าง คิดถึงแก้มนางกรุ่นกลางสายลม ใจ ได้รักเธอ ขอเจอเพียงเจ้าเท่านั้น เคย กระซิบกัน ฝังรอยร่วมเรียวเคียวคม หวนครวญรำพึง เฝ้าคิดถึงกรุ่นเรือนผม ยามใดพอสายลม กล่อมเอวกลมฝากลมเว้าวอน มองแสงเดือนนวล ป่วนใจไหวอ่อน มองแสงเดือนรอน อ่อนใจให้ครวญ ขอดวงฤทัย ฝากปันใจเนื้อนวล ขอรอยรัญจวน คร่ำครวญสายใจอาทร วอน ฝากสายลม พริ้วพรมเนียนแก้มนางนั้น คอย คืนสัมพันธ์ ฝังรอยรักนางกลางใจ หวน รักรำพัน ผ่านผิวลมข่มใจไว้ นางเอ๋ยเคยอุ่นไอ กู่สุดไกลให้หวนคืนมา วานข้าวเรียวรวง เกี่ยวทวงสัญญา วานสายลมพา เกี่ยวใจเจ้าคืน วานสายลมพา เกี่ยวใจเจ้าคืน... ............. แล้ว วันเวลาก็มาพรากอ้ายไปอีกคราอีกครั้ง ไปทำหน้าที่ลูกผู้ชายชาติทหารคนดี ไปพลีร่างยอม..ถวายจิตวิญญาณเป็นทหารอาสา เพื่อ.. ปกบ้านป้องเมือง ให้พบกับคำว่า*รู้รักสมานฉันท์สามัคคี* โดยใช้คุณธรรมความดี พร้อมพลีพิสูจน์ ให้พี่น้องผองเพื่อนในแผ่นดินเดียวกัน อย่าได้มาเสียเวลาฆ่าฟันห้ำหั่นทำร้าย คิด จะปันแบ่งผืนดินอันแสนสุขสงบร่มเย็นกันอยู่เลย ให้ทุกดวงใจรู้รักษาความสงบงามยิ่งใหญ่ ที่บรรพชนไทยได้พลีชีพหลั่งเลือดประโลมรักษา มาเพื่อให้เราได้พบคำว่าไท ไทย ในสุวรรณภูมิทอง ...................... ราตรีนั้น กับโมกกอ พ้อพร่าง กับลั่นทม แทบปลิดร้างไร้ดอก อ้ายเวียนกระซิบรักพร่ำบอกริมหู แล้วพรายพรมโลมลูบจูบไล้สาวนาจนฟ้าใกล้สาง แม้นดุเหว่ายังครางแว่วแผ่วครวญ พลอยหวนไห้อาลัยรัก ... ............... และ...กับวันนี้ ในยามเย็น ยามตะวันรอนๆอ่อนแสงสวย เคลียทิวตาลดงไผ่ วันที่หัวใจดวงซื่อใสแสนภักดิ์รักคิดถึงอ้าย หลังจูงลูกควายสายน้ำ มานอนแช่น้ำในหนองแล้ว สาวนาได้ยินเสียงพี่ทอง มากู่ก้องร้องตะโกน บอกให้สาวนาไปดูรายการแสนโปรด *ชิงช้าสวรรค์* ดูโรงเรียนชื่อดังแสนหวาน*สายน้ำผึ้ง* ที่หยาดสายราวสายธารธาราสวรรค์ ประชันเพลง.. ชิงตำแหน่งแชมป์ฤดูร้อนกับ.. โรงเรียนบัวใหญ่..จากนครราชสีมา ผู้เคยครองตำแหน่งปีที่แล้ว สาวนาชื่นฉ่ำใจ เพราะ.. ดวงใจสาวนาคนยากนั้นแสนรักและหลงใหล ในทุกมนต์เพลงลูกทุ่ง ที่.. แสนให้อารมณ์ละมุนละเมียดมากเหลือเกิน จนใครๆแถวนี้ให้สมญาสาวนาว่า เจ้าแม่เพลง*ดั่งจินตหราน้อย* ไม่รู้สินะ ว่าจริงๆแล้ว.. ทำไมสาวนาจึงได้เลือกจะรักเฉพาะ เพลงลูกทุ่ง คงเป็นเพราะคงโดนใจเนื้อนวลใจสาวนาเต็มๆ ทั้งทำนองลีลา ที่แสนให้ชีวิตชีวาสาวนาพรายพร่างด้วยไฟฝัน พบพลังแสนวาบหวามไหว ดื่มด่ำ เงียบงามยามได้รับฟัง..กระมังนะ สาวนา... จึงน้ำตาคลอ กับเนื้อเพลงชื่อ*เขียนฝันไว้ข้างฝา* ของคุณครูสลา คุณวุฒิ ที่ท่านได้ประพันธ์เอาไว้ อย่างกระเทาะเข้าไปถึงแก่นกระพี้ ของชีวิตชีวา สาวบ้านนา บ้านทุ่ง ผู้หวังมุ่งจะเข้าเมืองมาเพื่อสานฝันให้พลันจริง และ สาวนาก็แสนตื้นตันกับบทเพลงบทนี้ ที่คุณครูสลา ใจดีได้รจนาอย่างแสนงดงาม จนมิอาจหานิยามใด มายกย่องชมเชยไปได้เสียทั้งหมดทั้งสิ้น สาวนาเลยค้นหาบทเพลงงามๆ ที่มีอยู่ณร่มรักเรือนใจเรือนไทย กระท่อมไพร ณที่แห่งนี้ ที่เป็นฝืมือของคุณครู มาเชิดชู ยกย่องชื่นชมด้วยศรัทธาคารวะ และ.. สาวนา..อยากกราบมอบ *มาลัยใบข้าว*จากพราวเพชรในรวงเรียวเกี่ยวใจ มานานปีของสาวนา เพื่อ พลีเทิดเกียรติพระคุณครูผู้แสนยิ่งใหญ่ ผู้มีดวงใจดวงสวยใสสะอาด.. รู้รักษ์วิถีชาติ วิถีไทย วิถีทอง เพียร.. จรรโลงครรลองบทเพลงแห่งชีวิต อันดิบเดิมติดดิน อันยังมิสิ้นกลิ่นอายแห่งท้องทุ่ง รุ้งเรียว..เคียวคมแลความรัก อันคือ.. สายธารธารารักที่แสนเรียบง่ายและงดงาม ดั่งนิยามรู้สมถะพอดีพอเพียง... และนี่ คือชื่อบทเพลงที่สาวนาพอจดจำได้ จดหมายเปื้อนชอล์ค สัญญาเมื่อสายันณ์ ปลาร้าสัญจร คิดถึงแม่ สาวตีข้าว วอนลมเกี่ยวใจ บัวตองต่างเมือง ริมฝั่งมูล บัวลา เพลงรักเพลงคิดถึง ผู้หญิงสีขาว ............. สาวนาจึงนอนน้ำตาไหล เมื่อได้ยินเสียงหวูดรถไฟแว่วมา คำสัญญาของอ้ายยังดังก้อง.. ยามที่.. อ้ายบอกว่าสักวันจะกลับมา พร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ ให้สาวนาได้สวมสวยไสว ราวข้าวสุกกอรอเคียวคม ที่จะพลีโน้มลงขอเพียงได้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ให้อ้ายคนดีได้นอนฝันในอ้อมตัก พร้อมกับ.. รอบรรเลงบทเพลงรักอันแสนหวานหอม หลอมพลีร่างไปด้วยกัน...เป็นหนึ่งเดียว เป็น..นิรันดร์รัก.. ...................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1729.html เพลงรักเพลงคิดถึง รัก ฝากฝังตรึง สื่อบทเพลง คิดถึงเธอ ใจ ใฝ่ละเมอ อยากเจอะเจอ สองดวงตา ฟ้า โปรดเห็นใจ อยู่สุดไกล ให้นำพา เธอ อยู่หนใด สุดป่าไพร โพ้นพนา ขอ เถิดรักมา อุ่นอุรา ซบดวงใจ หมาย มั่นรักคืน ส่งใจยืน มองฟ้าไกล ลมยังคงรำเพย พัดเปรยปลิวยอดไม้ ลมยังคงเป็นใจ ล่องพา ใจยังคงรำพึง คิดถึงไม่สร่างซา ปรารถนา นั้นเพียงเธอ ใจ ให้เหลียวดู โปรดจงรู้ รักล้นเอ่อ เธอ อยู่หนใด โปรดนำใจ ร้อยฤดี รู้ ไหมเพลงนี้ ส่งใจพลี ให้คิดถึงเธอ...
3 มิถุนายน 2549 21:34 น. - comment id 581724
http://www.isangate.com/entertain/sala.html ............. ..................... บางคน อาจไม่รู้ว่า กว่าจะถึงวันนี้ของครูสลา ต้องใช้ความมานะอดทนแค่ไหน \"เพราะเห็นพี่ชาย นำทำนองเพลงลูกทุ่ง มาดัดแปลงเนื้อร้อง แล้วคนชอบ ก็เลยคิดอยากจะทำบ้าง ได้ซุ่มเขียนเพลงไว้ หลายเพลงนำไปเสนอค่ายเพลงต่างๆ แต่ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง บุกถึงหลังเวทีการแสดง ของวงดนตรีรุ่งเพชร แหลมสิงห์ พร้อมทั้งอ้อนวอนให้พิจารณาเพลง ที่นำไปให้ หลังจากนั้นอีกประมาณ 6 เดือน เพลง สาวชาวหอ ก็ถูกบันทึกแผ่นเสียง โดย รุ่งเพชร แหลมสิงห์ ขับร้อง เริ่มได้ใจ จึงเริ่มจากการส่งเพลงที่แต่งออกขายตามค่ายเพลง แต่ก็ไม่มีใครตอบรับ ถึงงานจะเงียบหายนาน 11 ปี แต่ผม ก็ยังส่งเพลงเสนอ ให้ค่ายเพลงต่อไป ไม่เคยย่อท้อ เพลงไหน ที่เค้าไม่เอา ก็นำไปให้เด็กนักเรียนร้อง เป็นเพลงเชียร์กีฬา จนวันนึง ได้มีโอกาสได้แต่งกลอนลำ ให้ศิริพร อำไพพงษ์ คนในวงการจึงเริ่มสนใจ ชื่อของสลา คุณวุฒิ เพราะเพลงของผม จะมีเอกลักษณ์ตรงที่ แค่ขึ้นต้นก็โดนคนฟังแล้ว\" สุดท้าย ครูสลา ยังได้เผยที่มาการแต่งเพลงฮิต ให้นักร้องแต่ละคน ว่ามีแรงบันดาลใจ จากไหนบ้าง เช่น เพลง ยาใจคนจน ได้ความคิดจากการ มองเห็นความรักของหนุ่ม สาวที่มารับแฟน ด้วยรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ท่ามกลางสายฝน เลยคิดประโยคสะกิดใจขึ้นว่า \"เป็นแฟนคนจนต้องทนหน่อยน้อง \" เพลง เด็ดดอกฟ้า ของ ไมค์ ภิรมย์พร อีกเพลง ก็ได้ไอเดีย มาจากการขึ้นลิฟท์กับคริสติน่า อากีล่า นักร้องสาวสวยสุดเซ็กซี่คนนั้น ด้วยประโยคทอง \"มองแค่รองเท้า ก็รู้ว่าเราต่างกัน\" .......................
3 มิถุนายน 2549 21:44 น. - comment id 581725
ผู้แต่งเนื้อร้องยอดเยี่ยมมาลัยทอง 2545 ศิลปินนักร้องครูประชาบาล ที่เป็นที่รู้จักกันในนาม \"เทียนก้อม\" ในอดีตที่สร้างสรรค์เพลง สะท้อนชีวิตครูและนักเรียนในถิ่นทุรกันดาร ชนบทภาคอีสาน ปัจจุบันเป็นผู้สร้างสรรค์บทเพลง และกลอนลำ ที่แสนประทับใจหลาย ๆ กลอน ให้กับนักร้องลูกทุ่งดังหลาย ๆ คน เช่น มนต์สิทธิ์ คำสร้อย ศิริพร อำไพพงษ์ ไมค์ ภิรมย์พร และคนอื่น ๆ อีกมากมาย กราบขอแสดงความยินดีกับครูสลา ในปี 2545 กับ การสร้างสรรค์ผลงาน ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม จากเนื้อร้องเพลง *ด้วยแรงแห่งรัก*
4 มิถุนายน 2549 00:04 น. - comment id 581738
ยังอยู่นะคนดี อยู่ที่ที่เคยอยู่ อยู่เพื่อสานต่ออุดมการณ์ อยู่เพื่อมุ่งมาดต่อปวงชน ขอให้รอ รอเพื่อสานต่อนะคนดี จากนี้จากเพื่อกลับมายั่งยืน...ต่อไป
4 มิถุนายน 2549 06:55 น. - comment id 581747
เทพีรติมณี กำลังแย้มดวงทองหวานผ่องผุดพิสุทธิ์งาม ท่ามกลางฟากฟ้าสีกำมะหยี่... ที่กำลังคลี่ทอสาดสายแสงทองมลังเมลืองแจ่มจรัสรัศมีเพ็ญบุญ เหนือโบสถ์คร่ำ... แสงเทียนจากเทียนพรรษาสีทอง พร่างพราวจับพระพักตร์พระพุทธมหามณี ที่สถิตเป็นดั่งมิ่งขวัญมิ่งมงคลผ่านกาลสมัยย้อนยุคถึงอยุธยานับมาหลายร้อยปี.. ให้ใจไทไทยทุกดวงถวิลเทวษยามรำลึกนึกถึง ความงามงดอันเคยวิจิตรตระการ ด้วยพลังแห่งจิตปิติเกษมศรัทธา ยามน้อมศิระกรานกราบคารวะ ด้วยดวงใจใสงามพราวราวอัญมณีแก้ว..ดวงงาม แสงเทียนเสียงสงฆ์ และ บทสวดมนต์จากแม่ชีที่ห่มสไบขาว..หลายร่างสะอาดสว่างท่ามกลางแสงเทียนทอง ที่ส่องทาบทา ขับให้ฟ้าดินอินทร์พรหมหยุดเฝ้าฟัง เสียงสะท้อนก้องกังวานแสนไพเราะอ่อนหวาน หากแฝงพลังแห่งความงามจิตงามใจ คงมั่นในรอยบุญรอยธรรมนำมาน้อมนำใจ ในราตรีนี้ที่แสนงามเย็น งามเพ็ญ.. กับเพดานโบสถ์ ที่ดาระดาษไปด้วยดวงดาวพราวพร่างสุกใสระยิบวะวิบวับราวรัศมีแห่งดาวประกายพรึกสว่างไสว ดั่งแสงแห่งงามจิตใสใจดวงงามพระอรหันต์เจ้าผู้เหนือกิเลสโลกย์ลาล่วงสู่เมืองแก้วแพร้วเพริศพรรณราย มิหมายคืน..มาวนทุกข์พบสุขแห่งความงามว่างไปตราบชั่วนิจนิรันดร.... ................. แค่เสี้ยวศรัทธานิรมิตที่ยังมิจบค่ะ พุดไพรใจสาวนารอท่าสมาธิ ทวีรจนาเรื่องราวย้อนยุคค่ะ......
4 มิถุนายน 2549 07:10 น. - comment id 581748
คุณไพร จ๊ะ สาวนา..ว่ารักคือทุกข์ค่ะ นอกเสียจากว่า เราต้องรักเพื่อนมนุษย์แบบ ไม่มีเพศ..สีผิวเผ่าพันธุ์ แบ่งชนชั้น เพียง.. รู้ปันแบ่ง อ้อมโอบ เอื้ออุ่น เมตตาปรารถนาดี มีเพียงหยาดน้ำใจไมตรีจะพลีรินรดให้ อย่างเข้าถึงธรรม ..ธรรมดาเช่นนั้นเอง อัน คือความไม่จีรัง ไม่ว่ารักฤาชังใด เพราะ... คือวิบากกรรม เป็นดั่งสร้อยโซ่พันธนา นอกเสียจากว่า... เรา..รักได้อย่างปล่อยวาง รักได้อย่างว่างเปล่า... รัก..ได้อย่างขอเป็นเพียงเงางาม ในท่ามโลกแล้งไร้ นิยาม*ให้... ชิดใกล้..เข้าใจ* เพื่อ..ให้เขาได้เททุ่มทำในสิ่งที่เขารัก อันคือ *ปณิธานความฝันอันสูงสุด* แสนยิ่งใหญ่นัก เพื่อคืนกลับพลีกลับ แด่แผ่นดินแม่แลผองชน...ค่ะ ด้วยดวงใจ
4 มิถุนายน 2549 09:57 น. - comment id 581771
..เรนชอบนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันนะคะ.. เรนกำลังรอฟัง..คุณไพร กลางดง.. มาตอบพี่สาวเรน.. ..
4 มิถุนายน 2549 10:40 น. - comment id 581784
คึดฮอดเด้ คึดฮอดก้ำฝ่ายบ้าน เฮือนซานที่เคยอยู่...แท้น้อ จักผู้ได๋สิฮ่ำฮู้...ว่าโตฮ้ายหากเปลี่ยวดาย...คำเอย ย้อนความจนต้องไกลบ้าน เฮือนซานบ้านเคยอยู่...เด้น้อ หวังสิมาพบพ้อ โอกาสให้จั่งได้มา พอแต่มาเถิงแล้ว บ่คือแนวที่คึดฮ่ำ...คำเอย แนวบ่เคยได้เฮ็ด แนวบ่เคยได้สร้าง กะยังได้ฮ่ำเพิง...หล่าเอย หวังสิมาสรรค์สร้าง ปูทางไว้สาก่อน ย้อนบ้านเฮาสู่มื้อนี้ บ่มีแล้วแถวทุ่งนา เลยอดสาดั้นด้น ประสาคนมันจนยาก...นี่แหล่ว อเมริกาใหญ่กว้าง...มาเห็นแล้ว ให้ฮ่ำฮอน อยากสิกลับเมือบ้านไทยอีสานบ้านเคยอยู่...คำเอย แต่เมื่อมาฮอดแล้ว ขอให้น้องอดใจถ่า ขอให้อดสาก้มหน้าสู้ทน...สาก่อนเด้อ จั่งแหม่นมายากเอาพาโล ขอโสสู้เบิ่งจักหว่างจักคราวก่อนเด้อ คันบ่คือความว่า กะจั่งสิกลับเมือบ้านไทยอีสานก้ำของเก่าดอกคำเอย คึดฮอดคำผู้เฒ่าเผิ่นกล่าวไว้...\"คันสิไปทางหน้า ให้เหลียวหลังก้ำของเก่า (เด้อหล่าเด้อ) คันมะลูดทูดเท่า เซาถ่อนสาสิไป...(เด้อคำเด้อ)\"
4 มิถุนายน 2549 16:44 น. - comment id 581829
ซาตามาอยู่กรุง จากทุ่งนาเมืองคอน คิดฮอดเด้ใจฮ่ำฮอน ถิ่นเคยนอนซาตาเกิด ยามนี้กำลังดำนา แม่เล่าให้ฟัง ฝนไม่ค่อยดี แต่ยังมีน้ำจากเขื่อนพอทำได้
5 มิถุนายน 2549 07:12 น. - comment id 581904
... ฮี่ ฉางน้อย ก็แอบมาฟังผู้ใหญ่เค้าคุยกันคะ จุ๊ๆๆ อย่าเอ็ดไปซิคะ กะลังจะแอบฟังต่อค่ะ
5 มิถุนายน 2549 13:37 น. - comment id 581982
กระท่อมน้อยร้อยหัวใจใสพิสุทธิ์ เดือนดาวสุดส่งแสงแข่งฉวี เรือนน้อยคอยก่อนหนานะคนดี วาสนามีคงเผชิญเดินเข้าครอง. แก้วประเสริฐ.
8 มิถุนายน 2549 14:04 น. - comment id 582697
พบพุทธบุญเพรงสยาม ๑) อยุธยายศล่มแล้ว..............ลอยสวรรค์ ลงฤา* โคลงสะอื้นรำพัน..........................ศึกแพ้ แรมนิราศจาบัลย์.........................บุณย์รักษ์ เวียงแล อินนรินทร์ธิเบศร์แล้.....................ร่ำร้าวโคลงหวนฯ (*นิราศนรินทร์) (๒) เศวตฉัตรช่อฟ้า...............วงศ์สวรรค์ เก้ารัชกาลบรร-...........................จบแล้ว รัตนวงศ์วรรณ.............................วัฏแผ่น ดินแฮ สันตติวงศ์แพร้ว..........................ร่วงรุ้งเรืองสยามฯ (๓) แดง...ฤกษ์ไทฤกษ์ด้าว......ดำเกิง สุรีย์แล แดง...เลือดหลั่งเลือดเชิง...............ศึกเชื้อ แดง...มารมอดมารเพลิง...............พ่ายพุทธ แดง...ชาดหรคุณชาดเกื้อ..............เลือดแก้วละเลงสยามฯ (๔) น้ำเงินงามรามร่มเกล้า.......เครือกษัตริย์ กษัตริย์เกษมวิวรรธน์.....................วรทล้ำ ล้ำแผ่นสุพรรณบัฏ.........................บรมราช- วงศ์แล ราชธรรมเพียบพร้ำ.......................พุทธพร้อมพรสยามฯ (๕) เขียว..กระทงตองท่องท้อง....ธารทอง เขียว...ทุ่งข้าวรวงรอง.....................ระบัดกล้า เขียว...ผักคละครองคลอง................เครียวยอด เขียว...พระมรกตหลักหล้า..............เหล่านี้มณีสยามฯ (๖) ขาว...กลีบแก้วพุดซ้อน.........แซมทรวง ขาว...หยดน้ำค้างยวง.....................หยาดน้ำ ขาว...ข้าวดอกมะลิรวง....................หุงใหม่ ขาว...ดอกบัวไป่ช้ำ.........................ผ่องแผ้วพุทธถวายฯ (๗) เหลือง...รวงพวงพุ่มข้าว.........โพสพสรม เหลือง...พัสตร์สงฆ์รงค์ลม.................รุ่งคุ้ง เหลือง...อรุณแรกขานขรม................ขมิ้นเพรียก เหลือง...บุปผาร่วงรุ้ง.........................เรื่อแล้วลานสยามฯ (๘) แว่วตะโพนแผ่วพ้น...............เพลบุญ โพ้นวรรษาราพิกุล............................เกี่ยวข้าว ปรางค์สางรุ่งอรุณ...........................ระดะยอด อวดแฮ บุญสยามค่ำเช้า...............................ชาติฟื้นเกษตรศานต์ฯ (๙) ขึ้นสิบห้าค่ำไหว้.....................วิสาขา เทียนรุ่งร่ำเรียมตา............................ตาดเคื้อ นวลเดือนอาบปฏิมา...........................มณฑป อาบโบสถ์เทียนอาบเนื้อ.....................นุชหน้าพัสตร์สงฆ์ฯ (๑๐) ไขประทีปประดับต้น..............รัตติธรรม สงฆ์แว่วแจ้วลำนำ..............................นพน้อม เพลาพร่าจันทรารำ-...........................ไรยอด โพธิ์แล โบสถ์ค่ำพัสตร์ภายพร้อม.....................พร่างพื้นแขไขฯ (๑๑) ข้าวออกรวงดกแล้ว...............ละลานตา ไหวว่ายตะเพียนปลา...........................ผุดปลื้ม พลบค่ำเพรียกวิหคนา.........................นางเพรียก ละเมอฤา แรมล่าอริราชครึ้ม..............................ศกคล้อยเรือนหายฯ (๑๒) ทองหยิบเคยหยิบป้อน............เพลา เสมอนอ เรียมหยาดหวานหยาดตา....................ขยิบซึ้ง เรียมหยอดรักหยอดยา........................หยดพิษ แรมรักร้าวรักทึ้ง.................................หยิบแย้มแซมขมฯ (๑๓) รอนตะวันลับเศร้า..................บึงอุบล จันทร์แจ่มแย้มนวลยล........................เยี่ยมฟ้า ขิมครวญดั่งครางคน............................ครวญพี่ นะแม่ นิราศเรียมห่างหน้า............................ห่อนได้แลเห็นฯ (๑๔) ปรารถนาภาพลึกล้ำ...............ละเลงบุญ เกล็ดทิพย์ลิบละมุน.............................ม่านน้ำ อารยธรรมค้ำจุน.................................จวบค่ำ เจ้าพระยาพาข้าม...............................ล่องฟ้าสวรรค์สยามฯ (๑๕) ทอดสะพานล่องข้าม..............แขนงชล ระยับหมอกดอกอุบล...........................เบ่งใต้ บัวเรียมระเมียรยล.............................หยั่งย่าน ชเลแล บัวสี่เหล่าเนาไซร้................................สร่างสิ้นธรรมสรรค์ฯ (๑๖) พรพรหมธรรมแต่เบื้อง.........บุราณกาล สืบแผ่นดินระรินมาลย์.........................อะคร้าว ข้าวจวักตักถวายทาน..........................ทรวงบาตร อรุณแล พบพุทธบุญเพรงข้าว...........................กนกเนื้อนาถสยามฯ (๑๗) พุทธคุณไตรรัตน์ล้ำ................รวีอรุณ พุทธุปบาทกาลบุญ...............................เบิกฟ้า พุทธศาสนิกละมุน................................พุทธชาด สยามนอ พุทธบุตรโชติชวาลหล้า.........................สว่างเพี้ยงพันแสงฯ (๑๘) เพชรพิกุลเกล็ดแก้วร่วง........พะไลทราย พันพร่างธรรมทองพราย.....................พิจิตรฟ้า มะลิหล่นร่วงโรยวาย...........................วัฏจักร เบิกรุ่งบุญระบายหล้า..........................โบสถ์เบื้องระเบียงวิหารฯ (๑๙) บัวบังใบตะไคร่ครึ้ม.............บัญจรงค์ บังอุบลจตุวงศ์..................................เวี่ยน้ำ เบญจภูตโพชฌงค์............................ฌาปนกิจ บังฤา เบญจขันธ์กิเลสล้ำ............................ยากยั้งบังไฉนฯ (๒๐) เบญจขันธ์กิเลสรั้ง................ยามโยค ญาณเอย ทุกข์สร่างหมางเศร้าโศก....................สร่างสิ้น วิปัสสนาวิโมกข์.................................วิมุตติ เบี่ยงบ่วงอบายหวิ้น............................วิวัฏโพ้นพรหมสวรรค์ฯ (๒๑) ปราชญ์ใดในโลกร้าง.............ธรรมา แสวงสว่างศาสนา...............................เสน่ห์น้อม ฤาประลาตพันธนา..............................เนืองยศ กิเลสรัดมายาย้อม..............................ขุ่นข้นใจถลำฯ (๒๒) ปวงปราชญ์ปรัชญ์ก่อเคื้อ.......กวีนิพนธ์ เพาะบ่มอักษรมนตร์............................มิ่งแก้ว ค่าคำรดเหล่าอุบล...............................บริพัตร ทวีปนา สงฆ์สะแบงกลดแล้ว............................เกียรติคล้อยครืนหลังฯ (๒๓) เงาเมรุเงาวัดเวิ้ง..................ไพหาร พุทธะหลั่งวิญญาณ..............................หยาดไว้ ชะรอยพุทธเพรงกาล..........................มาล่ม ลงแล ธารพระธรรมผากไร้...........................ร่อยร้างมลายขวัญฯ (๒๔) พรายน้ำวาววับน้ำ.................นองพระยา เงาโบสถ์คร่ำลำนาวา...........................ลิ่วลื้น ไหลลอยล่องชีวิตมา.............................มาดมุ่ง เมืองแล จมคลื่นกระแสไป่ฟื้น...........................ฝากน้ำซากสลายฯ (๒๕) ปณิธานไพร่ฟ้า.....................กวีไพร พลีหลั่งเลือดละไม...............................มุ่งฟื้น ปลุกสำนึกดื่มดวงใจ............................ชนชาติ กวีนอ กราบแผ่นดินน้ำตารื้น..........................รักษ์ร้อยชาติสยามฯ .............................. อรุณเบิกฟ้าสยามอีกครั้งกับวสันตฤดูที่ข้าพเจ้าหลงใหล บทเพลงแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยายังบรรเลงอยู่นิรันดร์ ชีวิตผู้คนเริ่มต้นที่ริมสายน้ำนี้ และดำรงอยู่ในห้วงเอกภพ และฝังความทรงจำไว้ริมฝั่งแม่น้ำสายโบราณสายนี้ ทุ่งนาข้าวกล้ากำลังระบัดใบเขียวไสวรับสายวสันต์ ไหวว่ายตะเพียนปลา คือความอุดมสมบูรณ์แห่งแผ่นดิน กับอารยธรรมที่สืบต่อหล่อหลอมมาจากอดีตกาล จนกลายเป็นเอกลักษณ์แห่งสยาม บุญเพรงอยุธยาจวบรัตนโกสินทร์ได้พบพุทธศาสนา อันหล่อหลอมจิตใจดวงดีของผู้คนมาหลายทศวรรษแล้ว ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว จะหาแผ่นดินไหนเทียมเทียบได้อีก กาลเวลาเดินทางอย่างเงียบๆ สรรพสิ่งกำลังรอการแตกดับ แตกดับไปพร้อมๆ กับจิตสำนึกผู้คนท่ามกลางกระแสวัฒนา ข้าพเจ้าได้แต่หลั่งน้ำตาเงียบๆ เมื่อประหวัดถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ และฉากภาพอันเกรียงไกรแห่งอยุธยา..... จักงดงามอะไรในโลกนี้ เมื่อสายธารนทีไม่รี่ใหล สรรพสิ่งรอแตกดับอับครรไล แม้นเวียงชัยช่อฟ้าวัดอาราม ตะวันรอนลับปรางค์อย่างเงียบเหงา สิ่งใดเล่าจักเชิดชูชาวสยาม เมื่อวันพรุ่งรุ่งฟ้ามาอีกยาม ฤาปล่อยข้ามเปลี่ยวคืนล้มครืนไป ใบไม้ร่วงชีวิตร้างอย่างบรรพบุรุษ แห่เผ่าพันธุ์มนุษย์ผุดเกิดใหม่ มาอับจนหนทางระวางวัย ถมความโลภเอาไว้พูนแผ่นดิน หลงกระแสอันใดในโลกเล่า เมื่อต้องเฝ้าวิญญาณสุสานหิน ใยมิหว่านแก่นมนุษย์พุทธชีวิน ตราบสุดสิ้นยุคศรีอาริยเมตไตรยฯ ----------------------------------------------------- ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์ พลีปณิธานบูชาบรรพบุรุษแห่งสยามและผองผู้กล้า ชาติเชื้อหน่อนักสู้ ด้วยน้ำตาและจิตวิญญาณ เยี่ยงทาสฟ้าข้าแผ่นดินแห่งเศวตฉัตรจักรี จากต้นธาตุอยุธยาสู่รัตนโกสินทร์ไว้ดังนี้แล้ว เพลงรัตนโกสินทร์ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3685.html