รำลึกพฤษภาทมิฬ

ตราชู

เพื่อนๆที่รักทุกท่านครับ ณ บัดนี้ผมขอพาท่านย้อนอดีตไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ สิบสี่ปีที่ผ่านมา ขณะนั้น ชูพงค์ อายุ ๑๔ ขวบกำลังติดสาว (รักครั้งแรกครับ และก๊อกหักไปแล้วตั้งนาน) อยู่ ณ จังหวัดอุดรธานี เที่ยวสนุกระเริงจนไม่สนใจเรื่องอะไรทั้งสิ้น แม้เมื่อดูโทรทัศน์ จะได้ยินประกาศของทางรัฐบาล และรู้ข่าวการประท้วงชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ชูพงค์ก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว เอาแต่รักสาวอย่างเดียว
	จำได้เลาๆว่า กลับมากรุงเทพ วันที่ ๑๖ พฤษภา ดูเหมือนจะวันอาทิตย์เพื่อเตรียมรับเปิดเทอมซึ่งจะมาถึงในวันพรุ่ง พอตอนเช้าวันจันทร์ รู้ว่าโรงเรียนหยุด ตามประสาคนขี้เกียจก็เฮลั่นบ้านเลย แล้วก็เล่นทั้งวัน ถึงจะรู้ข่าวว่า เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างประชาชนกับทหาร ก็ยังสนุกสนานตามประสาเด็ก เสียดาย เสียดาย ผมน่าจะโตกว่านี้นะครับ จิตสำนึกจะได้มีขึ้นบ้าง
	สักประมาณวันที่ ๑๙ พฤษภากระมัง คุณยายท่านอพยพพวกเราไปอยู่บ้านบางกะปิ (ซึ่งก็คือบ้านถาวรในปัจจุบันของเราครับ เมื่อก่อน เราอยู่ซอยระนอง ๒ อันเป็นซอยเดียวกับบ้านพลเอกสุจินดา คราประยูร) เพราะมีนักศึกษามาออกันที่หน้าบ้านท่านสุฯ เพื่อทวงถามว่า เหตุใดจึงต้องใช้กำลังกับประชาชนด้วยทหารรักษาการเต็มไปหมด เราเลยลี้ภัยชั่วคราว 	
 ในบรรดาภาพอันพร่าเลือนหลายภาพ มีภาพหนึ่งแจ่มชัดมากในมโนคติของผม นั่นคือ เมื่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการ ตรัสเรียกพลเอกสุจินดา คราประยูร กับพลตรีจำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ หลังจากนั้นไม่นาน เสียงพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ก็ดังกระหึ่ม
	เมื่อเรื่องราวสงบ โรงเรียนเปิดเทอมตามปกติ ผมก็ดูจะลืมๆไปแล้วว่า ณ ถนนราชดำเนินเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเวลาผันผ่าน ประสบการณ์ค่อยหล่อหลอม จนในที่สุด ผมค้นพบตัวตนที่แท้จริง จึงเจ็บใจตัวเองอยู่ไม่หาย ผมก็อายุเกือบจะเป็นหนุ่มแล้วในช่วงนั้น ทำไม ทำไม ต้องปล่อยให้ประวัติศาสตร์หน้าสำคัญอีกหน้าหนึ่งของประชาธิปไตยไทยผ่านไปด้วย ถ้าเพียงแต่ผมสนใจมากสักหน่อย ผมก็ถือว่าเป็นคนร่วมสมัย แน่นอน ต้องได้ข้อมูล ความรู้มากมายอย่างไม่ต้องสงสัย	มาถึงวันนี้สิบสี่ปีพอดี ผมอดรำพึงถึงเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้จริงๆ เราไม่มีโอกาสรู้ว่าใครถูกใครผิดอย่างแจ้งชัด เราไม่รู้ว่าระเบิดมือลูกแรก หรือกระสุนตูมแรกกัมปนาทจากมือใคร แต่ที่เรารู้ก็คือ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ (ถึงบางท่านจะว่า ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ทว่าในเจตนาของทุกคนผู้เข้าร่วมชุมนุมคนนั้นใสสะอาด การไม่รู้ว่ากำลังตกเป็นเครื่องมือ มิใช่ความผิด) ต้องปลดเปลืองลงด้วย น่าอนาถนะครับ ต้นประชาธิปไตยของบ้านเมืองเรา ต้องใช้น้ำเลือดเป็นน้ำรด ใช้อินทรีย์ซากของมนุษย์เป็นปุ๋ย หาก ต้นไม้ดังกล่าวกลับเจริญเติบโตได้แค่บอนไซแคระเท่านั้นเอง
	อย่างไรก็ดี การชุมนุมหลายระลอกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน มีข้อน่าชมอยู่ประการหนึ่งว่า เรามิได้สูญเสียชีวิตผู้คนแม้แต่น้อย ภาวะตึงเครียดทั้งหมด คลี่คลายด้วยพระบารมีพระผ่านเกล้าเจ้าชีวิตของพวกเราแท้ๆ ผมขอยืนยันครับว่า ประชาธิปไตย กับ ประชาชน คือสิ่งเดียวกัน การต่อสู้เพื่อได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพ (โดยไม่รุกล้ำสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น) คือครรลองอันชอบธรรม เรา ในฐานะประชาชน แม้จะรู้ว่าเรากำลังปลูกบอนไซแคระ แต่ในเมื่อนี่คือต้นไม้ของบ้านเรา ของเราทุกคน เราก็ต้องดูแลเอาใจใส่มิใช่หรือ? 
	ร้อยกรองบทต่อไปนี้ ผมขอไถ่โทษจากท่านวีรชนทุกท่าน ในฐานที่มิได้ใส่ใจวีรกรรมของท่านเท่าที่ควร และขอย้ำเตือนพวกเรา ให้รำลึกถึงวันอันพึงจดจำนี้ร่วมกันครับ
รำลึก พฤษภาทมิฬ
สัทธราฉันท์ ๒๑
	คือตำนานชี้พิรีย์ชน					นิกรนรประจญ
ราญกะพาลรณ						   ตะลุยโรม
	คือตำนานจู่ริปูโจม					 มุปะทะพลวโถม
หาญรบาญโหม						  ฤเหือดแรง
	คือตำนานเดือดเลอะเลือดแดง			ยุคสมยแถลง
จารประวัติแจง						ประจักษ์จินตน์
	คือตำนานผู้จะสู้ภินทน์				เพราะระดะคณะทมิฬ
ดื่น ณ ผืนดิน						ทะมื่นดำ
	จงจารึกแจ้งแสดงจำ				พฤษภขณะฉนำ
ก่อพิโยคกรรม						กลีกูณฑ์
	สองห้าสามห้ามิราสูญ				พิปริตทวิคูณ
โอ้อุราดูร							ระดมแด
	ธารโลหิตหลั่งถะถั่งแล				กลอุทกกระแส
ปราณก็พลันแปร						ประลัยลง
	ปรายปราบปืนปลิดชิวิตปลง				ทุรอสุรประสงค์
ครองประภาพคง						ณ นาคร
	มือเปล่ามากมายมลายมรณ์				กิรติยศขจร
กอปรคุณากร						กระเดื่องคาม
	นานเนาเนืองนิตย์สถิตนาม				ระบุวจนนิยาม
คนมิย่นขาม						กะคนเลว
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
	เพลิงวาบปละปลาบแวบ
กระอุแปลบกระจายเปลว
เดินหนผิว์ดลเหว
ก็จะหาญทะยานฮือ
	ถึงแม้นปะแสนม่าห์
ปะทะมากะสองมือ
ฤทธิ์ร้ายอบายหรือ
บมิรานประหารเรา
	แล้วทรามก็ลามซ้ำ
ภยะงำชะเงื้อมเงา
เมฆทึมคละครึ้มเทา
วิถิทั่วสลัวทาง
	นายทุนสทุลแท้
ตะกระแกล่จะกลืนกลาง
มิ่งเมืองมิเปลื้องหมาง
กลิมนตะหม่นมัว
	ภัยพิษบผิดผัน
พละกลั่นสะพรึงกลัว
เปลี่ยนแต่ก็แค่ตัว
นรเต้นละเล่นตาม
	ฤาตัดมหัตตา
เลอะเทอะหล้าละเลงลาม
จึงเลือดจะเดือดหลาม
ก็ละลายสลายเลือน
	สื่อซ้ำฉนำศก
ชิวตกกระจายเตือน
ทุกข์ยังกระทั่งเยือน
ก็ยะเยียบฉะเฉียบเย็น
	กาลโหดพิโรธเหี้ยม
กุธเปี่ยมฉะนี้เป็น-
คราวขัดสหัสเข็ญ
คติคิดพินิจควร
	สำนึกผนึกแน่
กระจะแท้ผิว์ทบทวน
พึงหมั่นสมรรถ์มวล
มละถ่อยผละถอยเทอญ	
หมายเหตุ
ร้อยกรองบทนี้ ผมนำลงใน 
 
http://chu21.exteen.com
ซึ่งผมเป็นสมาชิกบลอกของเขาอยู่ก่อนแล้ว นำมาลงที่นี่อีกครั้ง เพื่อทุกท่านโปรดพิจารณาติชมครับ
ขอฝากสมาชิกคนใหม่ ไว้ในอุปการะของทุกท่านด้วยครับ				
comments powered by Disqus
  • MomMamSan

    17 พฤษภาคม 2549 14:57 น. - comment id 577807

    ตามมาชมของับ น่าจะเอา สยามมณีฉันท์ที่กระทู้มาโพสต์ที่นี่ถึงจาถูกน้างับ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆจาได้อ่านกันงับ ยินดีต้อนรับซามาชิกใหม่ของับ 36.gif36.gif ชอบฉันท์แด่ กกต.นั้นจังง่ะ 41.gif
  • อัสสุ

    17 พฤษภาคม 2549 17:17 น. - comment id 577844

    เพราะมากครับ
    
    ฝีมือยอกมากจอร์ต
    
    จอติดตามนะครับ
  • :]

    5 กรกฎาคม 2549 22:57 น. - comment id 588849

    36.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน