ฝนสุดท้ายของฤดูกาล............โปรยลงมาเมื่อเช้านี้ ดวงตะวันไม่ส่องแสงทักข้าเช่นเคย....... ยินแต่เสียงหยดน้ำเปาะแปะหัวเราะเยาะมาจากหลังคา....สังกะสี ......................ลมหนาววูบเข้ามา......คิดถึงท้องทุ่งนา......คิดถึงรวงข้าวที่อ่อนน้อม.............คิดถึงเคียวเคยกวัดแกว่ง..ฝากรอยรักต้นข้าว...เป็นปลายแหลม.. อยากเขียนบทกวีสักบท......แทนถ้อยคำรำพัน....บทกวีสัมผัสที่สละสลวย......แต่ยามนี้กลับกลั่นออกมาไม่ได้.....ดูเหมือนหัวใจโลดทะยานไปคอยอยู่ที่ทุ่งโน่นแล้ว.....ปากกายังไม่อาจตามไปทัน.......หยุดรำพัน......แล้วร่ายภาษาเป็นเส้นทางไปหาหัวใจ......ไม่คำนึงถึงแม้สัมผัสนอกใน........แต่ก็ตามมาทันในบรรทัดสุดท้าย.........นี่นับเป็นบทกวีได้หรือเปล่า......รำพึงถามตัวเอง......ไม่เป็นไรหรอก....บทกวีเป็นความงาม....ดูเม็ดฝนนั่นก็งาม....แสงแดดเมื่อวานนี้ก็งาม.........แม่น้ำนั้นก็นับเป็นบทกวีที่อ่านมิรู้จบและไม่รู้เบื่อ......ทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นบทกวี...เพราะมันมีความงาม..... ..........อย่าใส่ใจกับถ้อยคำเพียงเล็กน้อยเลย.....ถ้อยคำบนหน้ากระดาษ .........มันก็คือบทกวีเหมือนกันนั่นแหละ
24 กันยายน 2548 07:49 น. - comment id 517941
แม้ว่าจะเป็นกวีที่ไม่มีสัมผัสใดๆ แต่ก็งามที่ใจที่สื่อลงไปในงานเขียน ^^ เขียนได้ดีค่ะ คำสวยดี
24 กันยายน 2548 10:01 น. - comment id 518483
บทกวีที่ไม่สัมผัสกับอักษร แต่สะท้อนให้เห็นเป็นภาพชัดเจน แนวคิดกรอบขอบข่ายวางได้เป็น เฉกเช่นจิตวิญญาณงานกวี. แวะทักทายยามเช้าคับป๋ม
24 กันยายน 2548 13:22 น. - comment id 518541
บทกวีสำหรับสื่อสาร งานสำหรับสือใจ ศิลปะสื่อโลกภายใน สื่ออย่างไรให้ถึงสาร ถึงใจ ถึงโลกใน ... แล้วแต่กวี : ) เครื่องมือสื่อสารให้ถึงผู้รับ เพียงสดับทางจิตที่คิดฝัน โลกเธอ .. โลกฉัน ผสานกันเป็น \"โลกของเรา\" สวัสดีค่ะ เข้ามาทักทายแล้วนะคะ
24 กันยายน 2548 15:49 น. - comment id 518602
บทกวีไม่จำเป็นต้องสัมผัส ใช่หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ.....แต่ช่องทางการสื่อสาร ไม่ได้จำกัดรูปแบบ........เพียงแต่สามารถอธิบายความสวยงาม....และความไม่สวยงามของโลกออกมาได้.....เท่านั้นก็ถือว่าเป็นกวี ขอบคุณ maimo พี่ไรไก่ พี่แดดเช้าที่มาแวะเยี่ยมเยียน
24 กันยายน 2548 22:47 น. - comment id 518712
คำว่าบทกวี ไม่ได้ถูกบังคับ หรือ ถูกกำหนดให้มีแบบฉบับตายตัว วางอักษรสักตัว แล้วบอกว่า นี่คือ กวี ก็ย่อมได้ ไม่มีผิด ไม่มีถูก เพราะ บทกวี คือ อิสระภาพ
25 กันยายน 2548 00:10 น. - comment id 518765
กวีหวานซ่านซาบให้วาบหวิบ ทั้งดอกทิวปลิวรวงเป็นริ้วหวาน- หวานในอกอกอุไรกรุ่นไองาม ขาวเขียวครามเขียวคอยรอยรอเคียว กวีใต้ร่มทอมกระท่อมบด เอ่ยเปรยอกวาดขีดสายเส้นเสี้ยว ร้อยกวีเรียบกะกลอนดั่งรอนเคียว เป็นคมเดียวเคียวเกี่ยวเรียวสัญญา ถึงไม่ใช่ต่างสัมผัสหากไม่ต่าง เพราะความงามยังไม่กล้ำเกินภาษา เราต่างร้อยเรียบอักษรในแผ่นฟ้า เพราะก้าวมาใต้ดาวล้วนเดียวกัน ตอบคำเพื่อนเกลอมิตรสนิทรรัก อย่าได้หักอกจิตมิตรเคยฝัน เราต่างเฝ้าเว้าวอนไม่ต่างจันทร์ ฟ้าบ่กั้นเพราะคำเราสัญญา เราจะสาดสานสร้างทางเสริมแต่ง ระบัดแปรงป้ายปาดประหนึ่งว่า วาดโลกสวยด้วยรักร้อยวนา ทุกไพรป่าดอกไม้ให้ได้ยิน เสียงของเราเสียงหนึ่งจะสร้างสรรค์ ทุกร้อยฝันฟ้าเพี้ยงเรียงวศิลป์ สร้างสืบสานสรรค์สังคมเสริมสิรินทร์ ให้โลกยิ้มปริ่มเปรมเกษมกาล เจ้านกน้อยเลื่อนลอยไล่ไร่ส้ม เราก็สมชมเจ้าจับขับขาน เพราะเสียงเจ้าเราจึงยิลถึงถิ่นงาม เจ้าแจร่มทรามขับขานไว้ใต้ตาวัน. จบซะเลย
25 กันยายน 2548 02:05 น. - comment id 518784
ดีใจมากที่คุณอัลมิตรา เข้ามาคอมเม้นท์ รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ที่บุคคลที่ผมรู้สึกชื่นชมในการเขียนบทกลอนและเรื่องสั้นเข้ามาอ่านกวีอันมิใช่กวีของผมบ้าง... ........อ่านไปได้ซักพักรู้สึกทึ่งว่าใครเขียนกวีได้ไพเราะ..(ย้ำว่าไพเราะ)..อย่างยิ่ง เพียงแค่ปรับแต่งบางบทบางตอนนิดหน่อย...ถือว่าเยี่ยมเลย.....ไปมากลายเป็นเพื่อนกูนี่เอง...เจ๋งมากแอ๊บ..ไม่ได้เจอกันนานเขียนกวีดีขึ้นนะ ( เพลงวอนลมเกี่ยวใจ....ครูสลาไม่ได้แต่งโว้ย..เพื่อนแกแต่งให้แกร้อง..นี่คือข้อถกเถียงในการเจอกันครั้งสุดท้ายที่หมู่บ้านเด็ก....และวันนี้กูก็ยืนยันคำเดิม)
25 กันยายน 2548 12:31 น. - comment id 518873
แวะมาอ่านบทกวีที่ไม่อยากเรียกว่าบทกวี แหมม ชื่อย๊าวยาว ฮ่าๆๆ แต่อ่านแล้วก็พลอยได้รับรู้อารมณ์ ความรู้สึกคนเขียนไปด้วย พี่ชอบฟังนะ เสียงเปาะแปะบนหลังคาสังกะสี คิดถึงตอนเป็นเด็กๆทุกที สมัยเด็กๆ ก็ชอบลัดทุ่ง งมหอยงมปู รื้อข่ายหาปลา อ่านบทกวีของน้องลุ่มน้ำวันนี้ ภาพวันนั้นย้อนมาฉายชัดให้อมยิ้มไม่หาย และขอชื่นชมงานของคุณธรรมาภิวัฎด้วยเลย