http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song223.html(ขวัญเรียม) http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song78.html (หนาวตัก) ดรรชนีนาง..ลืมตาอย่างช้าช้า หากทว่า.. ต้องค่อยๆหลับตาลงไปใหม่ เพราะพรายสายแสงแรกสีทอง ที่สาดส่องแยงนัยน์ตาตรงหน้าต่าง ที่พรายพร่าทอทอดลอดลงมารำไรรำไรจาก ริมชายคาเรือนลั่นทมริมทะเล ทำให้ต้องหลับตาลงไปอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆหันหลังพลิกตัวหนี ไปซุกหน้ากับหมอนสีขาวนวลนุ่ม ที่ยังได้กลิ่นหอมกรุ่นของดวงดอกแดด และ..ด้วยดวงดอกมะลิลามาลัยดอกพุด ที่วางชิดใกล้เตียงเคียงหัวนอนตั้งแต่ยามค่ำ ให้ยังคงฝากระร่ำรินรสมาถึงยามนี้ เธอ..คนดี..ได้ยินเสียงคลื่นคลอทราย ซัดชายฝั่งเบาๆราวเพลงทะเลเห่กล่อม ทั้งก่อนนอน และตราบจนถึงยามตื่นนิทราอุษาสาง จนถึงยามนี้ ที่เคยมีใครบางคน ที่กมลไม่ชอบเสียงทุกชนิดในยามนอน จะทนฟังไม่ได้..คล้ายหนวกหูแม้นเพียงเสียงธรรมชาติ รับได้เพียงความสงบเงียบเพียงอย่างเดียว หากสำหรับดรรชนีนาง นี่คือบทเพลงราวดนตรีประทานมาจากดวงใจสวรรค์ ที่หวังมาครวญครางคร่ำพร่ำระรินร่ายมนตราด้วยรัก ฝากพลีภักดิ์โอบเอื้อให้ทุกพรานทะเล และ.. ทุกผู้รักเหว่ว้า ยามที่จำต้องฝากร่างลอยลำห่างไกล ไปกลางผืนน้ำสีครามมรกต แลละลิบลิ่วจนแทบมองไม่เห็นผืนฝั่ง ที่เห็นเพียงน้ำจรดฟ้า ยามร่อนเร่เร่ร่อนว่อนเวิ้งสมุทรสุดกว้างเวิ้งว่างท่ามสายชล ของคนหาปลามาต่อเติมร่างใจจิตวิญญาญ์แด่มวลมนุษยโลกดับโศกหิว และ สำหรับดวงใจเด็กหญิงชอบเหงาเงียบงามเงียบ แบบดรรชนีนางเสียงครางครวญของทะเล กลับฟังแแผกแปลกไปมิเคยเหมือนกันสักฤดูกาล มาตั้งแต่ยามเยาว์วัย ที่เธอเฝ้าคอยสังเกตมิให้เหงาใจ ราวคลื่นและทุกเม็ดทรายที่บ้านเกิดนี้ คือเพื่อนคนดีที่พร้อมพลีจะปลอบประโลม และ หวังคงมิรับบทโถมถา มาสั่งสอนด้วยความพิโรธอย่างสึนามิ ที่.. ขอหวังมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตอย่าได้หวนกลับมาอีกเลยแล้ว ที่ทุกสรรพสิ่งรายรอบ คือความรู้สึกแสนงดงามพิเศษภายในใจ เป็นความพิเศษของผู้ที่รักทุกเม็ดทรายของบ้านเกิด ของผู้ที่รู้จักสายลมเพียงมิใช่แค่สายลมที่พัดผ่าน แต่รู้ว่าในแต่ละฤดูกาลของสายลมแห่งเกาะพะงัน เราจะเรียกชื่อต่างๆกัน ลมว่าว.... ซึ่งจะมาพร้อมกับคลื่นถาโถม...กระแทก กระทั้น ราวกับกำลังบรรเลงเพลงเฮฟวี่ ลมตะวันออก........ มากับฝนชุก และคลื่นที่แตกฟองขาว เหมือนข้าวตอกแตก เราเรียกคลื่นแตกตอก ลมอุตรา....... ฝนน้อย พัดจากตะวันออกเฉียงเหนือ ไป ตะวันตกเฉียงใต้ ลมตะเภา......ลมเดือน 3...4..5...6 และ ยังมีลมเดือน...6...7...8...9...10...11....... ลมพัทธยา ..... ลมนี้จะทำให้ใบมะพร้าวพัดแกว่งไกว เอนพลิ้วไสว และลำต้นจะโก่งดั่งคันธนู กลางวันน้ำทะเลแห้งเหือด.....ราวกับทะเลเปลือย อยากดูก็ต้องไปเกาะพะงันยามลมพัทธยาพัดผ่าน ลมตะวันตก.....เป็นลมคู่ขากับลมพัทธยา คลื่นจะแตกฟองแถวแนวปะการัง ลมพัดหลวง......จะทำให้ในทะเลไม่มีปลา ลมสลาตัน .....มักมากับฟ้าแลบแปลบปลาบเหมือนฝนจะตก แต่พอพัดกลับไม่มีฝนราวหลอกล่อ สิ่งเหล่านี้ยังน้อยนักที่เป็นรายละเอียดภายในใจ ที่ดรรชนีนางยังจำได้ ...... ........... และ กับความสุขของดรรชนีนางในยามเยาว์นั้น ถึงแม้น จะเกิดมากับใจดวงเหงารักความงามเงียบ หากทว่า ราวฟ้าประทานพร ให้.. หัวใจและร่างอรชร ได้มาเกิดกลางเกาะที่ดั่งไข่มุกน้ำงามกลางอ่าวไทย ที่ไกลแสนหากงามพราวราวมรกตเนื้อดีในแดนหล้า ที่มีชายหาดขาวยาวเหยียดสุดตาเป็นดั่งสนาม มีทะเลกว้าง.........เป็นสระว่ายน้ำ มีท้องฟ้ายามเย็น..ให้เรามองดูเมฆสวยใส พร้อมกับใจดวงน้อยจินตนาการ และ ให้ดรรชนีนางนอนนับดวงดาวสกาวสุกใส ใกล้ราวกับจะเอื้อมมือคว้าได้ในยามค่ำคืน มีพระอาทิตย์ดวงโตเท่ากับจานใบใหญ่ ที่จะค่อยค่อยจมหายลงไปในท้องทะเล ให้นับถอยหลัง ยามอัสดง และ เห็นประกายสีทองระยิบระยับบนผืนน้ำ ให้มีทุกสิ่งที่เป็นความงามพิเศษ..พิสุทธิ์ ที่ธรรมชาติหยิบยื่นให้ ที่พี่ชายคนดีคนกวี ที่ดรรชนีนางแสนรัก ได้นำมา เป็นแรงฝันบันดาลใจ ทายทักรจนางาน เกี่ยวกับตำนานบ้านเกาะเพื่อนเก่าของเราเอาไว้อย่างงดงามมาก และ เป็นหนังสือนำเที่ยว พร้อมตำนานประวัติที่มา ของอดีตอันแสนตราตรึงยามเยาว์วัย ที่จะพร่างไสวในใจเราทุกดวง โดยเฉพาะดวงใจของดรรชนีนางคนนี้ ที่มีชื่อที่ใครๆชมว่างามแผก เพราะ เป็นนามนางเอกของคุณอิงอร นักเขียนนามก้องฟ้าเมืองไทย ผู้มี.. สมญานามยิ่งใหญ่ว่า *นักเขียนผู้ที่ใช้ *ปลายปากกาจุ่มน้ำผึ้ง* ที่รจนาเรื่องรักได้หวานซึ้งงดงามจับใจผู้อ่านเป็นที่ยิ่งนัก ที่เขียน *เรื่องดรรชนีนาง**ดรรชนีไฉไล * จนมีผู้นำมาสร้างเป็นภาพยนต์ไทย และละครพร้อมมี บทเพลงประกอบ..ชื่อ *หนาวตัก* ยามพระเอกอ้อนนางเอกแสนไพเราะมากเลย.. ....... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song78.html ทะเล งาม ยามดึกดื่น ฮึมเหมือนคลื่น หลับ แสงเดือน จับ เจิดนภา เวหา หาว นั่งเรือ น้อย เคลื่อนคล้อย ใต้แสงดาว พร่าง น้ำพราว ผ่องเพชรเกล็ด นที ดู ซิดู ใคร สอน ให้นอนหนุน ตัก ซุก ซนนัก ไม่ กลัวน้อง จะหมองศรี หนาว ตัก หนัก จิต ดรร-ชนี หาก นาวี อรุโณทัย ไม่กลับคืน ดู ซิดู ใคร สอน ให้นอนหนุน ตัก ซุก ซนนัก ไม่ กลัวน้อง จะหมองศรี หนาว ตัก หนัก จิต ดรร-ชนี หาก นาวี อรุโณทัย ไม่กลับคืน... .......... และ หนังสือนำเที่ยว พร้อมตำนานประวัติที่มาแห่งบ้านเกาะ ที่พี่กวีคนดีได้รจนาฝากไว้ ที่ ณบัดนี้ พี่เขาได้จบปริญญาโทจากจุฬาแล้ว ไปรับราชการเป็นศึกษาธิการจังหวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ได้เล่ากล่าวถึง*คุณพ่อของดรรชนีนาง ที่เป็นคนเก่าคนแก่ และ ได้รับการศึกษาจบจากโรงเรียนสวนกุหลาบ ซึ่งสมัยก่อนมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงมาก ในด้านเคี่ยวกรำลูกศิษย์ จนกระทั่ง.. เกิดมหาสงครามเอเชียบูรพาสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ญี่ปุ่นได้ก้าวมา ใช้ไทยเป็นเส้นทางฐานทัพเพื่อเดินทางไปยังพม่า คุณพ่อดรรชนีนาง จึงต้องกลับบ้านเกาะมา และมาสร้าง เรือโดยสารลำแรกพร้อมกับทำธุรกิจเหมืองแร่ และ อีกมากมายจนเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนบนเกาะ ที่เราอาศัยอยู่กันราวพี่น้อง และ มีแต่วงศาคณาญาติมากมาย รวมทั้งที่ดรรชนีนางแสนภาคภูมิใจ ว่าหนึ่งในเกียรติยศ แห่งใจแห่งครอบครัวเรา คือ คุณแม่ได้รับเลือกให้ *เป็นคนดีศรีบ้านเกิด* หลังจากอุทิศทำตัวเป็นประโยชน์แด่สังคมมาอย่างยาวนาน ดรรชนีนางเกิดมาในท่ามกลางความอบอุ่นเป็นสุข คุณย่าเป็นคนไทยโบราณ ที่งามจิตงามใจเหลือจะกล่าว และ ดรรชนีนาง คือหลานรักที่คอยเฝ้าติดตามในทุกยาม ไม่ว่าคุณย่าจะไปไหน แม้แต่ไปนั่งวิปัสนากรรมฐานแถวป่าช้า หรือในโบสถ์คร่ำที่ไหนที่แสนเงียบสงบจนน่าวังเวงใจ ที่สำหรับเด็กบางคนจะน่ากลัวมาก หากทว่าดรรชนีนาง กลับรู้สึกดื่มด่ำและแสนชอบบรรยากาศ ที่ร่มครึ้มด้วยพรรณพฤกษาน้อยใหญ่ ที่เคียงชิดใกล้ร่ายมนต์ไหว โบกใบระริกๆสะท้อนพรายแสงแดดพร่าง จนเกิดเป็นประกายพริบพรับวะวิบวับแสนงามจับใจ ยามดรรชนีนางนอนมองนั่งมอง ติดกับชายชล ที่จำได้แม่นยำว่ายังจะมีต้นโพธิ์ทะเล ที่จะออกดอกย้อยห้อยสวยด้วยเหลืองดอกงามละมุนมาก และ จำพวกต้นหว้าต้นจิก ที่จะพาปลิดโปรยโรยร่วงควงพลิ้ว ปลิวช่อดอกนิดนิดน้อยน้อยหวานๆ ตระการพรั่งชมพูลงพร่างพรายพรม ห่มหอมลงในลำคลองเล็กๆ ที่เลื้อยเลาะลัดตรงมาจากเทือกภู และ กลายมาเป็น ร่องน้ำลำธารหวานใสสวยแสนฉ่ำเย็น พากันไหลลงๆสู่ทะเล ที่อากาศจะดีมีลมพัดรำเพยพร่างมาพาให้ดรรชนีนาง นอนหลับสบายอย่างแสนสุขใจ เพื่อเฝ้ารอคุณย่าอย่างมิอนาทรร้อนใจเลย... คุณปู่ของดรรชนีนาง มีเรือสำเภาลำใหญ่ลอยลำไปค้าขายถึงสิงคโปร์และเมืองจีน ที่ทุกวันนี้ยังมีเครื่องถ้วยโถโอชามสังคโลก เครื่องเงินทองเหลืองอันแสนหายากยิ่ง ฝากไว้ให้ย้อนทวนหวนรำลึกนึกถึงอดีตอันแสนงามงด ที่ดรรชนีนางเติบโตมากับภาพแห่งวัยฝันวันงาม มากับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่จำความได้ ไม่ว่าจะเป็นตู้โต๊ะตั่งเตียงแบบในฉากเรื่อง อยู่กับก๋ง หรือกำปั่นเหล็กหนักมาก ที่ต้องใช้รหัสลับหมุนเปิดเซบ และ ยังข้าวของ ที่สะท้อนงามสะท้อนเกี่ยวกับเรื่องโบราณๆ เช่นงามลายคราม ของโอ่งถ้วยชามรามไหเก่าแก่ และแม้แต่เครื่องมุก ที่แทบทุกบ้านมักจะมี ที่ดรรชนีนางย่างกรายไปบ้านไหน..ก็จักพานพบ จบด้วยมาดื่มด่ำ ในดวงจิตวิญญาณรักอย่างยากถอนใจ ที่จนวันนี้ยามที่ดรรชนีนาง ย้อนรอยอาลัยถอยหลังไป ยิ่งทำให้แสนซาบซึ้งใจมากยิ่งขึ้น.ในคะนึงนวล.. และ.. ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม..ใจดวงน้อยน้อย..ดวงนิดนิด..ดวงนี้ ถึงราวกับได้ถูกรัดร้อยร้อยรัก ด้วยสร้อยโซ่แห่งพิลาสพิไลในทุกเรื่องเรา ราว.. เงางามแห่งอดีต ตามมาย้อนเยือนมาเตือนจิต ให้ลมหายใจแห่งชีวิตนี้ ได้แสนรักสนใจในเรื่องราวย้อนยุค แอบสุขไปกับทุกเงางามใจ ยามได้ถอยหลังไปในรอยอดีตหนหลัง ที่ค่อยๆถาประดังกันมา ราวลายลูกไม้ที่แสนงดงามละมุน ถูกถักทอเป็นผืนผ้าค่อยๆเชื่อมโยงใย พาให้หัวใจได้พบความไสวละไมละมุน ราวได้กรุ่นกรายฉายวน มาอีกหน...อีกคราและอีกครา... เวียนวนมามิรู้สิ้นรู้จบ กับเงางาม แห่งห้วงหอมแห่งกาลเวลาที่หาช่างหายากยิ่งนักแล้ว และ จักทบทวีไปตามวัยวันให้ฝันดีฝันงาม..จนท่วมท่ามท้นใจ ไปกับกาลเวลาอันเร่งรีบ อันรีบร้อนบ่มีเวลาได้ผ่อนพัก อย่างกับวิถีชีวิตผู้คนทุกวันนี้ ที่ช่างหามีเรื่องราวอันใดไม่ ที่จะพาให้ประเทืองประทับใจฉายชัดได้เทียมเท่า จึ่ง ยิ่งพาให้หัวใจดวงรักหวานเศร้า ดวงนวล เกิดหวามไหวผูกพันฝังใจมิเลือนลามีลาแรม กับทุกพลังรักในหนหลัง หากมิได้หลงยึดมั่น มีเพียงหัวใจรักงามงานมือ ที่มาทุกจากภูมิปัญญาสมองสองมือ ที่กว่าจะถักร้อยสร้อยสานขึ้นเป็นงานได้นั้น ต้องใช้พลังจากดวงจิตงามใส ดวงใจ... ที่จะต้องรักความงามเงียบละไมละมุน และ ที่สำคัญต้องมาจากใจดวงหอมกรุ่นดวงประณีต ดวงรักวิถีที่ไม่เร่งรีบ ราวมีใจดวงทองดวงธรรมดวงสมาธิมีปัญญา ค่อยๆทำค่อยๆเกลาค่อยๆกลึง ใจดวงที่....รักความละเมียดละเอียดละออลึกซึ้ง ใช่สุกเอาเผากินฉาบฉวย อยากรวยรีบคว้าเพียงเงินงาม ต้องมี ใจดวงเพียรดวงดินดวงดีดวง ที่รู้นิ่งนิ่ง ถึงจะเฟ้นทำฝากค่าล้ำฝืมือ ให้หล้าลือโลกยอมรับได้ ว่านี่คือ *งามวัฒนธรรมของผู้คนที่ล้าหลังศิวิไลซ์ด้านวัตถุ*ก็จริง หากงามล้ำด้านจิตวิญญาณ *ดั่งอัญมณี* ที่เอาเงินมานับกองท่วมหล้า ก็ช่างหายากหาเย็นเฟ้นหามิได้ ที่ให้แลกด้วยเงินกองสูงสักท่วมฟ้า..สักเท่าไรก็หายอมไม่ เพราะ มันคือสมองไทยวิถีไทย จากความร่มเย็นแห่งงามไสวฟ้าพุทธภูมิ ที่รักชีวีเงียบงามท่ามนาไร่ และ หันมาใช้เวลาทำสิ่งแสนดี ที่มาแห่งวิถีไทยวิถีทองวิถีธรรม ที่เรายังมีทรัพยากรบุคคลอันมากล้นค่า ในผืนแผ่นดินแดนนาแดนไทยแดนทองนี้ ที่เรียกขานกันนานว่าแดนฟ้า*สุวรรณภูมิ* ที่ยังมากมี ขนบธรรมประเพณีวัฒนธรรมมากมาย ที่เพียรสร้างสานสรรฝันฝากงามไว้อย่างมิแล้งไร้ อย่างงดงามใจ อย่างหาประเทศไหนไหนเทียมเท่าได้แสนยาก แม้น.. กระทั่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ และ ความละไมในกิริยาแช่มช้อย อย่างสาวน้อยกุลสตรีไทยที่แสนอ่อนโยน ในท่วงท่าในลีลา น่าตามต่อติดตรึงให้คะนึงค้นหานวลในเสน่าหา ที่ช่างพาให้แสนตรึงตารัดรึงเร้าใจ เสียจนจะหาหญิงชาติใดไหนเล่า จะเทียมเท่าเทียมทันเท่าเจ้านะเจ้ายอดรัก *แม่ยอดหญิงไทยแห่งงามพักตร์งามพราว ราวบุหลันจันทร์เพ็ญประดับหล้า* ที่จะพาพร่างพรายฉายแสงเฉิดฉันท์พรรณราย งามพรายแพร้วราวแก้วเก้านพมณีสีรุ้ง ราวสาดสีรุ่งทรงกลดสดสีรัศมีแสนงามตา ให้ชายไขว่คว้าราวกระต่ายหมายจันทร์ ซึ่งหามีไม่แล้วในปฐพีใดที่จักงามได้เท่านี้ ที่ทุกอิสตรีไทยทุกดวงใจทุกคนดี ควรภาคภูมิใจควรอนุรักษ์ครองพักตร์ครองศักดิ์ศรี ครองดีงามทั้งนอกใน ให้งามร่างงามใจงามจิต *เป็นดั่งหลักชัยชีวิตไปตราบนิรันดร์* ใช่พาร่างไปเปลือยเปล่าปลนเปลอชายให้ไร้ค่าควร ดั่งบทเพลงนี้ ที่เปรียบมวลกุลสตรีไทย *ดั่งดอกไม้ไสวแสนงาม* ในท่ามโลกแล้งไร้ชายเร่าร้อนดั่งฟอนไฟจะมาพาไหม้มอดหมดงาม http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song532.html ดอก ไม้ แรก บาน รูปส-ราญ หอมยวนใจ กลิ่นจรุง ฟังไกล หอมอวน อบพื้นดิน กลิ่น หอม ปาน ใด ย่อมยั่วใจ ของภุมริน วนเวียน วก บิน อย่างยินดี ชมชิม ลิ้ม เลม จนอิ่มเอมน่าเปรมปรีด์ ชิมลอง ของดี พอเสื่อมศรีก็หนีเลย สิ้นรัก สิ้นชม สิ้นอารมณ์ สม ใจ เชย บินไป ลับ เลย เจ้าไม่เคยคิดอาลัย ห่างเหินเมินจากไกล ทอดทิ้งไปไม่กลับมา ดอก ไม้ แรก บานเปรียบก็ปาน สาวแรกรุ่น ผลิ นวล ละ มุน เนื้อนวลนุ่มโสภา แรก สาว แรก งาม แรกก่อความ เย้าอุรา เหล่ชาย หมายตา อยากจะลอง แมลง เหมือนชาย คอยกล้ำกลาย ใคร่ครอบครอง พอชม สมปอง ชายก็มองข้ามหัวไป สิ้น สาว ซูบ โซม ถูกลูบโลม สาวเศร้าใจ พรหมจรรย์ เสียไป ไม่มีใคร เขา นิ ยม สิ้น สาว ก็สิ้นชม สิ้นภิรมย์ ตรมอยู่เดียว... ....... ที่นะนาทีนี้ ดรรชนีนางพลันอยากฮัมบทเพลง หนึ่งที่ยังพอซึ้งใจจำได้รางๆว่า ..... อันกุลสตรีนั้นเหมือนมณีมีค่า หอมเอยหอมกว่า หวานเอยหวานกว่าดอกไม้ ฉันรักบุปผามาลี รักเหมือนสตรีรักคุณความดีของตน.. ......... และ สำหรับ...ชีวีชีวิตนิดน้อยหนึ่งนี้ ของดรรชนีนางนั้น จึงรักและแสนปลาบปลื้มในทุกงาม และ ทุกงานงามมือ... ที่มาจากใจ จากหยาดเลือดทองแห่งชีวิตผองชนคนไทยคนไพรคนนา ที่ฟ้าเบื้องบนมีตาได้หยิบยื่นพรสวรรค์ใส่ให้มา จากน้ำพระทัยมากล้นพระเมตตาดั่งหยาดฝนริน ให้.. ทุกไทยถิ่นทุกภูมิปัญญาไทยมิสิ้นไร้ ด้วยสายแสงแรงแห่งรักนี้ ที่จักคู่ชีวีคู่ผืนดินทองแผ่นดินไทยไปตราบชั่วกาล..นานเนานิรันดร์ ให้คนทั้งโลกหล้าลือลั่นในความมหัศจรรย์ สมค่าคนค่าคำ*ไทยทำไทยใช้ ไทยเจริญ ให้ส่งเพลินส่งออกไปบอกวิถีงามตะวันออก* อันคือสัจจธรรมจริงแท้ มิแพ้ระบบทุนนิยมใดในโลกหล้า..คู่ฟ้าเกษตรกรรม..นำเป็นหนึ่ง และเลี้ยงโลกให้พึงมีกินมิอดตาย... และหนึ่งในงามใจ ที่นำมาซึ้งสายใยและน้ำตาแห่งความผูกพัน คือเชี่ยนหมาก... ที่คุณย่าดรรชนี มีทั้งสองแบบคือแบบทองเหลืองเรื่อเรือง และแบบเงิน ล้นค่าที่ยังหลงมาเป็นมรดกสืบทอด เชี่ยนหมากทองเหลืองที่มีผอบมีฝาปิดทรงกรวยแหลมครอบ เชี่ยนหมากเงินแบบตลับลูกฟักทองลายดอกพิกุลแกะสลัก ที่คุณย่ามักเอาฝาตลับลายดอกไม้ มาทำเป็นพิมพ์เคาะขนมหลายชนิดไทยไทย รวมทั้ง*ข้าวตู*อบเทียนหอมมะลิ ที่ออกมาทั้งสวยและน่ารับประทานมาก ที่ณ..วันนี้.... กับยามเช้านี้..ที่ช่างให้อารมณ์แสนดีแสนงาม ในยามนอนย้อนหวนทวนรำลึกคิดถึงอดีตอันแสนตราตรึง ในท่ามที่นอนในกระท่อมเรือนไทย เรือนลั่นทม เรือนที่มีดวงดอกไม้ไทยไทย กำลังหอมพรายพรมพร่างอวลมากับลมทะเลมิให้เหว่าว้าหัวใจ กับดวงดอกลีลาวดีหรือลั่นทมดอกดกจนไร้ใบ ที่กำลัง.. พากันค่อยๆไกวกิ่ง พร่างพรมพรายพลิ้วปลิดปลิวร่วงพร้อย ลอยคว้างร่วงพร่างหอมโปรยห่มโรยหวาน..ให้หอมให้พื้นหน้า ค่อยๆพารวงดอกดวงแสนเศร้ามาประดับหล้า มาฝากประดับใจดรรชนีนางดรรชนีไฉไล ให้ไหวอ้างว้างดายเดียวในเรียวตางาม ที่นอนแอบอ้อนเอาซึ้ง ให้งามเศร้าหวานตรึงนัยน์ตายามหวนกลับมาบ้านเกาะ มาพานพบเพาะฝัน.. พลัน.. ไห้หวนอวลอาลัย ในเงื้อมเงางามแห่งรอยคำนึงในอดีตที่เคยมาเคียง มาปลอบประโลมร่างถึงเตียงนอนนวลนุ่ม และ ให้ใจดวงหอมกรุ่นดวงนี้ของดรรชนีนาง ได้วาง ว่างกระจ่างแจ่มมาแตะแต้มแย้มรอย ใจในหนหลังมานอนฝันลำพังมาฝากรำพึง จากใจดวงซึ้งๆเศร้าๆแสนหวาน ที่เพียงเพียรอยากเล่า และ ฝากงามถึงจากก้นบึ้งจากบึงใจสวยใสงาม ในท่ามโลกแล้งไร้ ให้สดับถึงที่มาแห่งรอยรำลึก แห่งความทรงจำที่แสนงดงาม ที่อยากให้ลูกหลานไทย ได้รับทราบว่าทุกสิ่งอย่างที่กว่าจะหล่อหลอมออกมาเป็น งามใจในวิถีไทยวิถีแห่งคนๆหนึ่งนั้น ที่ทำให้รู้ซึ้งค่างามนั้น ต้องใช้วันเวลา และสิ่งมหัศจรรย์รายรอบที่พระเจ้าประทานพรมา ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรมนุษย์หรือทรัพยากรธรรมชาติ ที่เราคนรุ่นหลังควรรู้ค่าพึงถนอมรักษาไว้ โดยเฉพาะ *คนกวีฤาศิลปินทุกแขนง* ที่มีมากมีความสามารถ มีพรสวรรค์พรแสวงไม่ว่าด้านใด อย่าเพียรดับไฟฝันให้เขาพลันมอดมืดดับ เพราะ...ทั้ง *เขา*และ..*เธอ**...คือคนของแผ่นดินที่แสนมีค่า ที่ฟ้าดินสวรรค์เบื้องบนมากมีพระเมตตา ได้ทรงบันดาลบันดลประทานพรประทานใจใส่จิตวิญญาณ ให้ลงมาทำงานพลีแด่ผองชน ฝากความฉ่ำใสในดวงกมล *ประดุจดั่งสายน้ำรักนิรันดร์* มาปันพลีดับโลกแล้งไร้ให้มิสิ้นฝันสิ้นงดงาม ให้ผืนดินยังได้ดำรงธำรงรักษ์ จงได้เกื้อกมลโอบเอื้อคืนกลับ ให้ความรักอบอุ่นใจ..ให้พลังใจ..กำลังใจ อย่างดั่งธารน้ำรักธารน้ำใจธารน้ำใสมิรู้สิ้นรู้จบ ให้จิตดวงงามดวงหมดจดราวน้องพี่ ที่ได้หยัดยืนมาเคียงกันในผืนดินเดียวกันนี้.. ได้อุทิศพลีทำเพียงคุณงามความดี สืบทอดวัฒนธรรมไทยที่แสนดีแสนงาม ให้จักได้ธำรงไปตราบนาน....แสนนาน ตราบชั่วกัลป์กัลปาวสานต์.. นะทุกดวงใจเจ้าคนดี..เจ้าจอมใจ.ทุกใครทุกคนกวี..!!!!!! ..............
25 มิถุนายน 2548 13:07 น. - comment id 484187
การกินหมาก เป็นวัฒนธรรม ที่แนบแน่นในชีวิตคนไทย มาแต่โบราณ แม้จนปัจจุบัน ก็ยังมีชาวบ้านสูงอายุในชนบท จำนวนไม่น้อยก็ยังคงกินหมาก เครื่องใช้เกี่ยวกับหมาก มีมากมายลายอย่าง เช่นโถพลู ขวด,โหล ไหปูน มีด กระโถน ผ้าเช็ดปากตะบัน หรือครก เชี่ยนหมาก เชี่ยนหมาก เป็นภาชนะ ที่ใช้สำหรับ วางตลับต่างหมาก ตลับยาเส้น กระปุกปูน และ ซองใส่พลู ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบสำคัญ ในนการกินหมากทั้งสิ้น ด้วยแต่เดิม คนไทยกินหมากกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะ สมัยก่อนนั้น ถือว่าการกินหมากเป็นสิ่งดีงาม อีกทั้งยังมีค่านิยมที่ว่า *คนสวย จะต้องกินหมาก จนปากแดง และ ฟันดำอีกด้วย* เชี่ยนหมาก จึงเป็นสิ่งที่แทบทุกครัวเรือน จะต้องมีติดบ้านไว้เสมอ เพราะ นอกจากสมาชิกในครอบครัว ได้เพลิดเพลิน กับการเคี้ยวหมากในยามว่างแล้ว เชี่ยนหมาก ยังใช้รับแขก ที่มาเยี่ยมเยียนถึงเรือนชาน ได้เป็นอย่างดี ตามปกเชี่ยนหมากทำขึ้น จากไม้ ทอง ทองเหลือง เงิน และเครื่องเขิน โดยมีลักษณ์ เป็นทรงกลมหรือหกเหลี่ยม บ้าง มีการตกแต่งรวดราย เพื่อเพิ่มคุณค่าความงาม ตามความนิยมท้องถิ่น ปัจจุบันวัฒนธรรม การกินหมากค่อยๆ เลื่อนหายไป ตามการเวลา มีเพียงคนสูงอายุเท่านั้น ที่ยังจีบหมากจีบพูลใส่เชี่ยนหมากไว้ ถวายพระในงานบุญงานกุศลต่างๆ เช่น งานบวช และพิธีแต่งงาน เป็นต้น ***************** และ เรื่องราว ที่เป็นศิลปหัตถกรรมที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าของที่ไหนจังหวัดใด ที่คนไทยได้ฝากรอยประณีตไว้ เช่นเครื่องถม ของนครศรีธรรมราช ที่ทำโดยใช้ผงยาถมผสมน้ำประสานทอง ถมลงบนลวดลายที่แกะสลักบนภาชนะ หรือเครื่องประดับ แล้วขัดผิวให้เงางาม ทำให้ทราบประวัติความเป็นมาว่า เครื่องถมนคร มีกำเนิดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา การทำเครื่องถมนคร มีสองแบบ คือ ลงยาถมเรียกว่า ถมเงิน แบบหนึ่ง เป็นแบบที่ทำสืบทอดมาแต่โบราณ และ ลงยาสีเรียกว่า ถมทอง หรือถมตะทอง อีกอย่างหนึ่งเป็นแบบ ที่มีขึ้นชั้นหลัง เครื่องถมนคร ได้ทำเป็นภาชนะเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น แหวน กำไล ปิด *เชี่ยนหมาก ขันน้ำพานรอง หีบทองลงยา ดาบฝักทอง ด้วยเหตุที่เครื่องถมนคร เป็นงานที่มีฝีมือดีมาก จึงได้ใช้เป็นเครื่องบรรณาการครั้งสำคัญ ทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายครั้ง กล่าวคือ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์ทรงมีรับสั่ง ให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ส่งช่างถมฝีมือดีไปยังกรุงศรีอยุธยา เพื่อทำไม้กางเขนถม ส่งไปพระราชทานสันตปาปา ที่กรุงวาติกัน ทำเครื่องถม ถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝั่งเศส ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) นำพระเสลี่ยงหรือพระราชยานถม และ พระแท่นถม น้อมเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ได้นำเรือพระที่นั่งกราบถม กับพระเก้าอี้ถม ซึ่งใช้เป็นพระที่นั่งภัทรบิฐ ถวายสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระองค์ได้ทรงรับสั่ง ให้เมืองนครศรีธรรมราช ทำเครื่องถมหลายชิ้นส่ง ไปถวายสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย แห่งประเทศอังกฤษ และ ส่งไปถวายพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ แห่งฝรั่งเศส ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรด ให้เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม) ทำพระแท่นพุดตานถม เพื่อตั้งในท้องพระโรงกลาง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงนำชุดน้ำชาถมทอง ไปพระราชทาน ประธานาธิบดีไอเซนฮาวน์ แห่งสหรัฐอเมริกา การสืบทอดวิธีทำเครื่องถม เดิมสืบทอดกันแบบพ่อสอนลูก ครูสอนศิษย์ ต่อมา ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระรัตนธัชมุนี (ม่วง) เจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราชในเวลานั้น ได้ตั้งโรงเรียนช่างถมขึ้น และ ได้พัฒนาต่อมา เป็นวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช ..... เชี่ยนหมาก เงินถมทอง และลงยาราชาวดี ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 24 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ประทาน เลขทะเบียน 17/2520 เชี่ยนหมาก ประกอบด้วย ถาดรองรูปกลมถมทอง และ ตลับทรงฝัดทอง 3 ตลับ จอกหมาก และซองพลูฉลุลายโปร่ง ประดับด้วย การลงยาราชาวดี จัดได้ว่าเป็นงานประณีตศิลป์ ที่มีความงดงามแสดงถึงฝีมือช่างชั้นสูงของไทย และของหยิบใช้เล็กๆ น้อยๆ ประจำตัว ต่อมาได้เลิกใช้แล้ว...
25 มิถุนายน 2548 13:08 น. - comment id 484188
......สวัสดีค่ะ มาอ่านนะคะ....ทำให้นึกถึงเพลง \" หนาวตัก \" ...ที่ขึ้นว่า...ทะเลงามยามดึกดื่น...น่ะค่ะ...
25 มิถุนายน 2548 15:21 น. - comment id 484219
ซึ้งใจค่ะคุณสียะตรา อย่าหายไปนานนะคะ พุด รักคิดถึงงานงามสั้นๆซึ้งๆแสนดีของคุณค่ะ มาฟังบทเพลงแห่งอมตะรักนี้ที่แสนโบราณ ให้งามรักนิรันดร กันดีกว่าว่าดีไหมค่ะคนดี ที่พุดอยากร้องพลี แด่ทุกดวงใจในร่มรัก ให้มาเอนอิงในอ้อมตักอ้อมใจอ้อมภักดิ์ ในชานเรือนแสนงามแห่ง แม่ดวงดอกพุดไพร ในวันหยุดนี้ค่ะ ให้หัวใจเย้นใสพบฉ่ำงาม ในท่ามโลกภายนอกที่แสนแล้งไร้นะคะ ในนาทีนี้ค่ะ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song223.html เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ ของเรียม หวนคิดผิดแล้วขมขื่น ฝืน ใจเจียม เคยโลมเรียม เลียบฝั่ง มาแต่หลัง ยังจำ คำ ที่ขวัญเคยพรอดเคยพร่ำ ถ้วนทุกคำยังเรียกยังร่ำเร่าร้องก้องอยู่ แว่ว แว่ว แจ้ว หู ว่าขวัญชู้ เจ้ายังคอย เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม
25 มิถุนายน 2548 15:27 น. - comment id 484225
.. แวะเยี่ยมงานพี่พุดนะครับ
25 มิถุนายน 2548 16:01 น. - comment id 484261
ฝากไว้ในงานน้องยังเยาว์ค่ะ ดอกเยาว์ พุดพัดชา หากเปรียบชีวิตนี้ดังดอกไม้ ก็คลับคล้าย คลับคลา ดวงดอกฝัน ดอกเยาว์วัย หวานแฉล้ม ต้นวัยวัน บริสุทธิ์สั้น แสนดี วันวัยเยาว์ แล้วดอกโศก เริ่มแย้มบาน เมื่อรู้รัก ซึ้งประจักษ์ เล่ห์กลกาม จนใจเขลา ดอกเสน่หา ผุดงอกงาม แทนดอกเยาว์ เมื่อสองเรา แลกรสรัก รู้รสกัน ดอกราโรย เริ่มบาน ไร้รักแท้ ผ่านเกมแก้ เกมกาม จนเลิกฝัน ดอกความจริง ผุดสอนใจ ทุกคืนวัน ดอกสวรรค์ ลอยลาลับ ลงลานดิน ดอกดวงใจ แม่พ่อ เพาะบานใหม่ วนเวียนไป เป็นดอกเยาว์ มิรู้สิ้น ดอกโศกบาน ดอกรักร่วง พราวสู่ดิน บานมิสิ้น ดวงดอกไม้ ชดใช้กรรม!
25 มิถุนายน 2548 17:21 น. - comment id 484283
ดรรชนีนางลูบไล้ ใฝ่ปอง จริงเฮย แหวนที่ฝากประคอง แนบเนื้อ นิ้วนางส่งหมายปอง ฝากพี่ แทนฤา รักที่เคยหนุนเกื้อ ซ่านฟุ้งหวนสนอง.ฯ แก้วประเสริฐ.
25 มิถุนายน 2548 18:09 น. - comment id 484297
มาชื่นชมผลงานค่ะ สวยมากค่ะ ปล. เรื่องภาพ ยินดีค่ะ
25 มิถุนายน 2548 18:21 น. - comment id 484303
หอมจำปีข้างหน้าต่างทางลมเพ ลมกล่อมเห่คลื่นริ้วผิวน้ำไหว เสียงนกร้องพร้องเพรียงเคียงดวงใจ ดังเพลงในฤดูผู้รู้วัน บทเพลงลมทะเลเห่เรือล่อง ไปเที่ยวท่องทำนองคลองความฝัน จากเช้าสู่หาดทรายใต้แสงจันทร์ เราอาจนั่งรำพันกาลเวลา หากคืนนี้ลมแรงแกล้งไม้ไหว ในเช้าใหม่จะกรองกอบบุปผา จำปีร่วงลั่นทมหล่นเราเก็บมา หอมยังมิสร่างซาเหมือนอาลัย..
25 มิถุนายน 2548 23:03 น. - comment id 484340
มาบอกอีกครั้งอยากไปเที่ยวบ้านพี่พุด ฟังเสียงคลื่นๆกล่อมก่อนนอน