http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html(รังรักในจินตนาการ) http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song219.html(เดือนต่ำดาวตก) http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html(กลิ่นโคลนสาบควาย) น้ำค้าง น้ำค้างพราววาวแววรับเรียวแสง เรียวแดดแรงโลมใล้คล้ายปลุกฝัน มวลดอกไม้สยายกลีบรับตะวัน น้ำค้างขวัญพลันมลายหายวับไป ดอกไม้หวานบานกลางไพรรอฟ้าสาง หยาดน้ำค้างแตะแต้มแกล้มกลีบไหว ดอกไม้เอ๋ยเจ้าได้เชยชุ่มฉ่ำใจ อย่าเสียใจรอเวลาท้าอรุณ กลางสายฝนลมแรงแกล้งกลีบเจ้า ให้รานร้าวชอกช้ำขวัญว้าวุ่น แต่ไม่นานดอกหนาได้ละมุน หยาดพิรุณแพรวน้ำค้างพร่างพริบพรายใต้เงาจันทร์กับฝันดี.... วันที่ฟ้าเป็นสีฟ้าแจ่ม ถูกแตะแต้มด้วยเมฆนวลกระจาย ชายหนุ่มร่างเพรียว..คร้ามแดด หญิงสาวร่างงาม..อรชร พาร่างและหัวใจแสนสะออนแสนอ่อนหวาน ไปรับฟ้าสว่างกระจ่างใส อวลอากาศพรายไหวอิ่มอุ่นด้วยดวงดอกแดดสีทอง ด้วยดวงใจที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนพอกัน..พร้อมกัน เขาพากันขี่จักรยาน...เคียงคู่ขนานกันเข้าไป ในเส้นทางลูกรังสายเล็กๆ.. ที่ทอดยาวเข้าไปถึงเชิงเขาริมลำธาร ผ่านนาข้าว เขียวขจี ที่มีบึงบัว สะพรั่งดอกหลากสีชูช่อชันบานตระการ มีดงตาล นกระยาง คอยจดๆจ้องๆ ค่อยๆย่องเดินด้วยขายาวๆเก้งๆก้างๆ.. เฝ้ารอล่าเหยื่อ..หลังคืนฝนตก ที่กบเขียดเรไรร่ำ พากันเริงร่าร้องฮึมฮัม ไปกับสายฝนพรำกับสายฝนโปรย ที่หยาดโรยละอองหยาดน้ำแสนงาม ราวหยาดน้ำค้างเพชรน้ำค้างไพร ให้พราวใสค้าง ตกตรงกลางใบกลมกลิ้งวะวูบวับ จับตามยอดข้าว ใบหญ้า ใบบัวในบึงกว้าง รออุษาสว่าง รับพรายแสงพราว..รับแพรวแสงทิพย์อาทิตย์อุทัย...อรุโณทัย ที่ค่อยๆมาเยือนหล้าสะท้อนไพร สะท้อนพร่างลงนะกลางเรียวใบ และ ให้หยาดน้ำค้างใสน้ำฝนพราว ได้กลิ้งกระทบรับวะวับวาว.. *ราวอัญมณีสีรุ้ง*หลากสีมณีนางฟ้าดวงจรัส ก่อนจะค่อยๆกระจายพรายพัดแสงให้ระเหยหาย กลายเป็นมวลหมอกเมฆวัฎจักรวน ลมหลังฝน..เย็นชุ่มฉ่ำระร่ำริน พรายพรมห่มพัดร่างจนหนาวเยือก รับอรุณอุ่นอวลไอของหยาดละอองใสสายจากปรายฝน จนต้องละเมียดกมลหายใจ ให้... ไอเย็นค่อยๆซึมซึ้งเข้าไปถึงบึ้งใจบึงใจ ให้ยิ่งพร่างใสไสวหวานรับสายแสงสดชื่น ปลุกร่างให้ตื่นตาตื่นใจไปกับมวลธรรมชาติชนบท ที่ช่างแสนสงบงดงามเงียบงาม ณ..ยามนี้ ในยามนี้ ทั้งคู่หันมาสบตา.. แล้วพากันยิ้ม..รับเย็นเห็นงาม ด้วยความสุขใจสงบใจ เป็นระยะ และ... หากใครผ่านมาคนที่เฝ้าติดตามดูข่าว อาจจะสงสัยว่าเขาทั้งคู่...จะใช่ คู่หนุ่มสาวไทยคู่หนึ่งที่มีใจดวงงามใช่หรือไม่ละหนอ ที่ชื่อคุณฝ้ายกับคุณโอเล่ สามีภรรยาที่มีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้ว.. พากันสมัครใจลาออกจากงาน ในบริษัทออกแบบก่อสร้าง ที่ตำแหน่งหน้าที่และรายได้ไม่ธรรมดา ยอมมาเป็นคนว่างงาน เพื่อปั่นจักรยาน ขอรับเงินบริจาคจากคนไทยแค่คนละบาท ให้กับ*สถานที่รับเลี้ยงเด็กยากจน*บ้านครูน้อย..เป็นเวลาหนึ่งปี ด้วยจิตดวงดีดวงงาม มิได้หวังอยากดัง แค่เพียงปรารถนาได้แสดงให้เห็นความมุ่งหวัง มุ่งมั่นจะช่วยสร้างสรรจรรโลงสังคม ด้วยแรงกายของตนนั้น ที่ทุกคนบนผืนดินไทยนี้ ย่อมมีสิทธิที่จะร่วมด้วยช่วยกันทำได้ และ หากมีกุศลจิตคิดดีคิดให้ คืนกลับแด่สังคมไทยผืนดินแม่มาตุภูมิ ซึ่งณ..วันนี้ทั้งคู่ได้ปั่นไปทางภาคอิสาน ก่อนขึ้นเหนือไม่ลงใต้ และ ได้รับเงินที่ได้รับการร่วมมือประสานงาน จากหลายหน่วยงานในจังหวัด รวมทั้งชมรมจักรยานในพื้นที่ ที่แค่ภายในสามเดือนก็ได้เงินถึง130000บาทแล้ว และ เขาทั้งสองจะยังคงปั่นจักรยานเดินหน้าต่อไป ให้ครบจำนวนวันที่หวังไว้ว่าจะเป็นหนึ่งปี และ เงินจำนวนนี้ก็จะโอนเข้ามายังบัญชี บ้านครูน้อย ธนาคารกสิกรไทยสำนักราษฎร์บูรณะ เลขที่745-2-11433-4 ทันที และ หากมีผู้มิจิตศรัทธาก็สามรถร่วมบริจาคได้ หรือจะติดต่อตามข่าวได้ที่เวบไซต์ให้กำลังใจคนไทยตัวอย่างได้ที่นี่ www.moobankru.com/bankrunoi/menu1.html ................. ดงดอกข้าว...ยังคงพากันลู่ไหวเอนตามแรงลมล่องข้าวเบา ที่พัดพลิ้วทอยทอดเป็นระลอกลงมาจากริมเชิงเขา ใกล้เงี้อมเงาลำธารฝัน พัดผันพร่างพรายทายทัก ให้ยอดข้าวเขียวไพลราวพรมแพรแพรพรมแถมหอมงาม และ ราวกับเรียวรวงกำลังเริงร่ายซัดส่ายพลิกพริ้ว ริ้วใบระบัดระริกระริกไหวร่ายระบำ รับบทเพลงจากสายวสันต์ดนตรีไพร ที่ฝากฝันดีฝันงามในแดนดินแห่งอู่ข่าวอู่น้ำ ยังคงมีม่านมนต์มนตราให้น่าเสน่หา ยังฝากตราตรึงให้ลึกซึ้งดำดื่ม ปลาบปลื้มปิติใจไปกับวิถีไทย *ในแดนที่ราบลุ่มน้ำสุวรรณภูมิ พุทธภูมิ* หญิงสาว... หันมาคลี่ยิ้มหวานๆให้กับชายหนุ่ม เมื่อเห็นเด็กเลี้ยงควาย กำลังกรายร่างจูงแม่และฝูงลูกควายที่แสนน่ารักน่าชังนัก จนอยากร้องทายทักออกไปว่าจะพากันไปถึงไหนจ๊ะ... และ เมื่อหันไปเห็นดวงตาลูกควายที่ซื่อใสและดวงใจคงแสนซื่อสัตย์ คงรู้จักรู้สำนึกกตัญญู รู้บุญคุณคน พระคุณคนผู้ขุนข้าวให้หญ้าน้ำ และ ราวฝากตำนานดั่งบทเพลงคนกับควาย ให้ชีวิตหญิงชายชาวนาไทย ที่ได้เคียงชิดใกล้ราวมิ่งมิตร พลีหยาดเหงื่อและหยาดเลือดรักจากชีวิต อย่างแสนเททุ่มทอดถอดใจ หวังหล่อเลี้ยงท้องคนไทยให้มิอดตาย ให้สืบสานตำนาน*คนกับควาย* ที่ราวเพื่อนยากได้รินรดเหงื่อแห่งความบากบั่นอดทน ให้หลังทนทำ มิท้อ งอลงสู้ฟ้า..หน้าลงสู้ดินแล้ง มิแหนงหน่ายกรายหนีสิ้น..ผืนดินทอง ไปใช้ชีวิตในเมือง ครองเปลืองเปล่าเหงาหนักขึ้นในเมืองวัตถุศิวิไลซ์ ที่พลีหยาดเหงื่อสักเท่าใด เท่าไร ก็หา หาเงิน ตามทันไม่ ไปตามแรงอยาก บ้างต้องบากหน้าทบทวนหวนคืนถิ่น แดนดินแห่งรอยไถไม่แปร และ มาตรแม้นแม้ควายแท้..จักมีชีวิตพ่ายแพ้ควายเหล็กมาพักหนึ่ง จนถึงวันนี้ ที่น้ำมันกลับมาแพงแสน ราวกับแกล้งหมุนโลกให้ย้อนรอยถอยหลังกลับไป ให้รู้คิดใหม่ทำใหม่ หวังวาดรู้ฉลาด ค้นพบสัจจธรรม... ที่ฟ้าดินกำลังหมุนโลก มาสอนบทเรียนสัจจะธรรม ธรรมชาติแด่มวลมนุษยชาติ ที่หวังพิชิตโลก...ลืมดับโศกแล้งไร้ ให้รู้รักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไว้ ให้อยู่ดำรงคงมั่นพร้อมกันไปแบบพึ่งพาพึงพิง มิกลิ้งไปกับกระแสทำลาย ให้โลกาวินาศเลวร้ายด้วยความไม่รู้ค่ารักธรรมชาติ และ ให้เราคนไทยไหวทัน รู้ค่าคำตำนาน..*คนกับควาย*อย่างแยกกันมิออก บอกชาติศิวิไลซ์ก็ไม่เข้าใจ งามแห่งวิถี ในชาติไทยในแดนแหลมทองผ่องผุด ที่สร้างรอยรักพิสุทธิ์ใสระหว่างคนกับควาย สร้างรอยใจรอยไถมิแปร ให้มีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีไทยมากมาย ที่ได้อิงอาศัยวิถีไทยภูมิปัญญาไทย สู่เส้นทางไสว..เส้นทางรวงข้าว เส้นทางที่นำทางให้ชาวนาไทย ได้พบหยาดฝนหลวงจากน้ำพระทัย ที่ใสพราวราวรวงเพชร จากพระผู้เป็นดั่งร่มฟ้าแห่งผืนแผ่นดิน *พระพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย* ธ..ผู้ล้นพระเมตตตามากล้นนำพระทัย และรู้เห็นเข้าใจค่าในเส้นทางสายนี้ ที่คือ...*ทางแท้ทางทองทางแห่งผองชนคนไทยพึงทำ* เพื่อน้อมนำคืนกลับมารักวิถีไทยวิถีเกษตรกรรม ให้รู้การอยู่อย่างสงบสามัคคีธรรม รู้สมถะพอเพียงเพียงพอ มิบ่าโหมหลอมร่างจิตวิญญาณ ราวแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ไปยอมพ่ายพะวงหลงแสงสี อันคือไฟกิเลสโลก ที่แสนนำไปสู่เส้นทางสายโศกสายเศร้า..ที่ทอดรอรับมิช้านาน ให้ลูกหลานเหลนโหลนไทยในภายหน้า หันกลับมา...ถิ่นนา ทำนา ทิ้งมือถือหรือรถเก๋งมาขึ้นขี่ควายแทน แขวนเกียรติยศจอมปลอม ยอมมาแบกแอกไถใช้ชีวิตในท้องไร่ท้องนา อยู่กับข้าวกล้าอวลอากาศสะอาดใส ปราศจากพิษภัยมลพิษใดใด ไม่ต้องเหนื่อยล้าใจ... วิ่งไปเติมสุขจากโลกทุกข์วัตถุ ที่ออกใหม่ให้วิ่งไล่ไม่ทันเทรนด์ไม่ทันใจที่ไหวอยากมากมี ให้กลับมารู้ค่าควาย ที่มิหวังต้องง้อใช้น้ำมันแสนแพง ราวแกล้งให้ชีช้ำใจ ให้เจ้าสัตว์เพื่อนยากเพื่อนใจ ช่วยกันแบกแอกไถด้วยใจพลีเพียรเต็มร้อย ไม่ถอยแปรไปให้รอยไถไม่แปรไม่เปลี่ยนใจ ให้วิถีแห่งภูมิปัญญาไทย ยังคงอยู่คู่แดนดินแห่งลุ่มน้ำสุวรรณภูมินี้ ที่แสนอุดมสมบูรณ์ ที่คือความรู้รักสงบ จนค้นพบความเรียบง่าย รู้ค่าการใช้ชีวิต ที่มีวัดและร่มฉัตรพระรัตนตรัย เป็นดั่งที่พึ่งพิงทางจิตวิญญาณ ชีวิตชีวาได้พบวิมุตติธรรมมารินร่ำ บ่มเพียรภาวนาพบปัญญา พาพ้นน้ำดั่งดอกบัวทองผ่องผุดพิสุทธิ์ใสงามกว่างาม ให้มิหลงผิดทางไปให้หัวใจแสนอ้างว้างเหว่ว้า ดั่งลอยคอรอรับวิบากรรมนำร่างจิตลอยสถิตกลางทะเลโลกย์ พบโศกวนมิรู้สิ้นรู้จบ ให้มีที่มามากมายมากมี ที่ดั่งเป็นตำนานเรื่องงามเรื่องดี ที่มีคนกับควายได้เป็นพระเอกแห่งท้องเรื่อง ฝากตำนานให้คนรู้ค่าควายกับชาวนา ผู้ยอมพลีร่างเหนื่อยล้ารอท่า พระเมตตาจากพระพิรุณ เพื่อให้มีข้าวพันธุ์หอมกรุ่นนานาพันธุ์ พาให้เคี้ยวกันอย่างหอมกรุ่น ในทุกคราคำยามท้องร่ำร้องเพราะหิวโซ และ ควรเลิกด่าว่าควายโง่... นำมาเย้ยหยันเยาะชนชั้นรากหญ้ากันเสียที ที่ช่างมิเหมาะสมมิบังควรเลย กับสัตว์แสนดี ที่คือคู่ทุกข์คู่ยาก ที่ทุกคนไทยฝากท้องไว้มาอย่างยาวนาน ที่ร้อยวันพันปีมาแสนนาน ต้องเสียสละตื่นมาแต่ย่ำอรุณรุ่ง มุ่งลงนา พากันไปลากแอกแบกไถเทียมคราดรับแดดเปรี้ยง มีเพียงเถียงนามุงด้วยใบจากหรือใบตาล เฝ้าซมซานเหนื่อยยาก ฝากหยาดเหงื่อพร่างรินเป็นสาย ภาวนาไหว้ขอพร ให้มีเพียงฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาลยามหว่านไถ พอให้รวงเรียวได้ไสวช่อ รอออกดอกระย้าย้อย ห้อยพวงพราวลงมาเคลียเคล้าคลึงคลอขอขอบคุณดิน มิยอมทิ้งถิ่นทิ้งนา หวังฝากค่าคนค่าควาย พร้อมพลีจนหยาดเลือดหยาดเหงื่อหยดสุดท้าย ให้คนไทยได้มีกิน ได้แข็งแรง มีแรงดำรงชีพชอบ ประกอบเพียงกรรมดีสร้างกุศลจิต แม้นชีวีชีวิตราวปิดท้องหลังพระ ราวชั่วชีวามีแต่ยากไร้ ให้เพียงแค่อิ่มใจเกินบุญกุศลใดในหล้าโลกแล้ว ที่ทุกดวงใจคนไทย ควรสร้างจิตสำนึกตรึกตรองมองเห็นค่าคนค่าควาย.. อย่างมิให้ร้ายเหยียดหยามหมิ่น ผู้มีพระคุณต่อผืนดินและผองชน..เราคนไทย ไปตราบชั่วกาล ให้เป็นตำนานทองแห่งการยกย่องเชิดชูคู่ฟ้าดิน.. ......... หญิงสาว..ชายหนุ่ม จอดจักรยานไว้ใต้ตาลคู่ริมคันนาชายทุ่ง ก่อนที่จะคว้าเสื่อผืนน้อยในตะกร้าหน้ารถมาพร้อมปู และ เปิดข้าวห่อด้วยใบบัวที่แนมมาด้วยน้ำพริกมะขาม กับผักลวกริมรั้ว และแถมยังมีปลาทูทอดตัวอวบงามวางเคียงข้างให้น่าลองลิ้มชิมรส ให้เข้ากับบรรยากาศสดสดแสนงามในยามเช้า...รับอรุณ ให้ท้องหอมอุ่นอิ่มด้วยกรุ่นกลิ่นข้าวแก่นจันทร์ ที่หุงสุกใหม่ๆ ให้หอมเกินหอมใดในทุกคราคำ.. ย้ำกลืนหวานข้าวเคล้าต่อลมหายใจไปเป็นหยาดเลือดรัก และ... ก่อนที่จะหันมาคุยกันเบาเบา หลังเสร็จสิ้นการรับประทาน รับสายลมพรมพราย กับ.. ฟ้ายามเช้าที่แสนใสพร่างสว่างเย็น ด้วยลมโชยชื่นระรื่นระร่ำ สดฉ่ำรินมาจากริมชายเชิงเขา ผ่านเงาละหานห้วยหนองคลองบึง มารับเหงา หากให้งามเงียบแสนเฉียบเย็นใจ ให้กบเขียดในนาได้เริงร่า ไปกับนาหลังฝน ที่เพิ่งพรมพร่างมาในยามค่ำคืน ให้ตื่นมาว่ายวนเริงร่าพากัน ร้องประสานเสียงแข่งกันราวประชันขันแข่ง พร้อมโหมโรงด้วยดนตรีไพรวงใหญ่ ไหวระส่ำพร่ำดังไปทั้งคุ้งโค้งทุ่งท้องนา มากระโดดรับละอองน้ำใสไหลเย็น ไปกับพรายแดดอ่อนอุ่น ที่จะแทรกลงมาคลึงเคล้าสายน้ำในบึงกว้าง ให้ได้รับพลังอันโอบเอื้อ ราววงจรชีวาชีวิตแห่งมวลสรรพสิ่งสรรพสัตว์ไพร อันคือวัฎจักรโลก ที่พร้อมจะหมุนไปแบบไม่เบียดเบียนทำร้ายทำลาย และจากสายแสงสีเงินยวง จากรวงแสงพรายพระอาทิตย์ยามอรุโณทัย จากขวัญฟ้าประทาน ที่กำลัง.. มาฝากพร่างใสแสงสวยทอทอดลอดโลมไล้ทายทักทุกอณู แห่งยอดไม้ยอดข้าวใบหญ้าและมวลมนุษย์ในโลกหล้า ปลุกให้ตื่นฟื้นฝันมา...อย่าสิ้นพลังหวังหวาน เฝ้าต่อเติมตาม..เพียรลบรอยฝันอันคือความทุกข์ทนมิสมหวังดั่งใจ อันหากจำต้องสลายพ่ายชะตากรรม ชะตาฟ้า ชะตาพรหมลิขิต และที่สำคัญเราสร้างกรรมเอง คล้ายดั่ง.. เมฆหมอกร้ายให้พรายพัดผ่าน ให้มลายหายไปกับวันวาร ให้ผันผ่านไปทุกรอยอดีต ที่กรีดรอยจำย้ำรอยใจให้เศร้ารานให้นานเศร้าหมองหม่นทนทุกข์ใจ ให้อย่าได้ไปไหวครวญ แล้ว รอเพียงสร้างพลังใจลุกขึ้นมายืนใหม่หากล้มลง คงฝากหวังสร้างพลังใจด้วยตัวเอง อย่างมิเกรงกลัวผู้ใด ด้วยดวงใจ รู้วางว่าง สอนให้รับเพียงสว่างสะอาดสงบสยบโลกย์ร้อน เพื่อเริ่มปลอบขวัญรับวันใหม่..เริ่มใหม่.. อย่างมิท้อใจออย่างมิยอมทุกข์ทนทนทุกข์นาน แบบ..*คนหัวใจไม่ยอมแพ้..* ให้อย่าสิ้นหวังจงหยัดยืนร่างอย่าทรนงคงมั่น ที่จะฝ่าฟันไขว่คว้าเพียรสร้างสรรทำเพียงความดี และ ราวรอรับพลังสัจจธรรม จากสายแสงพระสุรีย์ ที่ยังมั่นคงตรงต่อฟ้าต่อหน้าที่ มิเคยหนีไปไหน ยังคงมาพร่างใสใส่ทุกผู้คนบนผืนโลก มาปลอบกมลให้คิดดีคิดเป็นคิดเห็นให้งามน้ำใจ อย่างไม่เลือกแบ่งปัน ไม่มีที่รักมากที่ชัง เพราะ คือเพื่อนพี่น้องร่วมโลกจำมาพบเพื่อลงเรือโศกลำเดียวกัน รอเพียงเพียรสมาธิภาวนาพบปัญญาดั่งหางเสือ พาร่างจิตไปพบฝั่งฝันอันคือแดนดินนิรันดร์แสนงาม ที่น่าจะชวนกันเพียรพบ จบด้วยให้น้ำใจอภัยเมตตาและรักกัน ดั่งมิ่งมิตรน้องพี่ ที่จะพลีพร้อมฝันปันใจ เพื่อฝากเพียงตำนานใจ จากดวงใจดวงทอง ดวงผ่องผุดพิสุทธิใสราวอัญมณี ที่รอจะฉายแสงใสเย็น จากหยาดน้ำรักหยาดน้ำใสน้ำใจน้ำอมฤตธรรม มา จรรโลง..ชะโลมหล้า ฝากฝันให้ชุ่มฉ่ำดับแล้งไร้ ก่อนวัน ที่จะทิ้งทอดฝากร่างไร้ไว้เป็นหนึ่งเดียวกับพื้นพสุธาเป็นนิรันดร์ ........ หญิงสาวเอ่ยถาม..ด้วยน้ำเสียงหวานเศร้าอย่างช้าๆชัดถ้อยชัดคำ คนดี..คุณชอบมั้ยคะ ที่ตรงนี้ที่ดินผืนทอง ในหอมห้วงใจในฝัน ที่ราวสวรรค์วนา วิมานนา ของเราไงคะ ที่คุณเคยบอกเล่าถึงฝันนี้ ให้ฉันรับทราบมานานวันนานปี จนมาถึงนาทีนี้ ที่เราเป็นเพื่อนกันจนครบรอบสิบปีเข้านี่แล้วนะคะ และ ที่นี่ไม่ไกลกรุงเทพไกลเมือง ที่เรายังต้องอาศัยชีวิตดำรงอยู่เพื่อปากท้อง และ จำต้องพร้อมพลีประกอบอาชีพชอบตอบแทนคืนกลับ แด่แด่สังคมเล็กๆที่เราราวเครื่องจักรฟันเฟือง หากมิมีทางเลือกจำต้องกระเสือกกระสนทนอยู่ไปสักระยะ ก่อนที่จะมีงานใหม่ที่ดีกว่า พาเลี้ยงตัวและครอบครัวเราสองรอดปลอดภัย ฉันเข้าใจว่าเราสองคงชอบในสิ่งเดียวกัน วันเกิดปีนี้ฉันเลยชวนคุณมาใช้วันหยุดพัก ที่โฮมสเตย์น่ารัก ให้เรามีเวลามาท่องนาท่องไพร มาเก็บไข่ไก่เหลืองนวลในเล้า มาเฝ้าดูผักบุ้งตำลึงริมรั้วกระท่อม ที่ทอดยอดสวยเลื้อยพันพร่าง ให้ชีวิตได้หนีห่างจากดงเมืองมาหลายวัน มาปันใจพลี ให้กับสายน้ำเจ้าพระยา... ที่ระรินไหลล่องอย่างช้าช้า มาพากันนั่งสงบงามเบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธในยามค่ำ เพื่อสมาธิสวดมนต์ภาวนา และ พากันเตรียมพวงมาลัยมะลิลาหอมงาม ด้วยความรู้สึกปิติดำดื่ม มากราบกรานถวายพลีเป็นพุทธบูชา อย่างที่จะพาให้จิตเรายิ่งใสฉ่ำ ได้นอนนิทราไปกับฝันดีในทุกคืนค่ำ ที่ได้พลีจิตภายในมาทำในสิ่งที่รักศรัทธาปสาทะนะคะ ชายหนุ่ม... หันมายิ้มให้อย่างอบอุ่นอ่อนโยนเอมอิ่ม เขาค่อยๆใช้มือแข็งแรงเขี่ยไรผมชื้นเหงื่อ ริมเรียวแก้มใสสุกปลั่ง ด้วยแดดแตะแต้มโลมไล้จนเนื้อนวลราวลูกตำลึงสุก เขาเด็ดดอกผักบุ้งสีม่วงใส ที่กำลังไหวดอกริมบึงดวงดอกโต มาค่อยๆทัดแก้มแซมเสียบผมให้เธอ ที่ณ..บัดนี้คลี่ยิ้มแสนหวานใส ด้วยความขอบคุณ อย่างคนลึกซึ้ง..สบตากันนิ่งนานอย่างรู้จักรู้ใจกันดี เขาใช้หมวกฟางสานละเอียด ค่อยๆพัดโบกวีให้เธอคนดีแสนงามใจได้คลายร้อน และ ทันใดราวแว่วหวาน ผ่านแมกไม้สายน้ำสายธารกว้างมิร้างแรมราลาเลือนรัก ได้ยินเสียงดั่งนกไพรดุเหว่าไพร ละเมอเผลอทายทักด้วยบทเพลงในฝันในรังรักจินตนาการ ในท่ามเงียบงามแห่งท้องทุ่งนาฟ้ากว้างชายชล ชนบท คนดีคะ..มาค่ะ ขี่จักรยานตามฉันมานะคะ และอย่าแปลกใจที่ฉันรู้เส้นทางนี้ดี เพราะ คุณก็รู้ดีฉันชอบแอบหนีคุณมาแถวนี้ลำพัง หากคุณมาไม่ได้ อย่างกับสวมวิญญาณนักสำรวจมาตรวจเส้นทางใจเส้นทางฝัน ไว้รอท่าวันที่จะพาคุณมาเซอร์ไพร์สอย่างไรเล่าคะ... เอาค่ะนะคะ ฉันจะพาคุณไปที่หนึ่ง พอใกล้ถึงแล้วจะให้คุณหลับตาสักห้านาทีนะคะ แล้ว ค่อยลืมตามาดูมหัศจรรย์ตรงหน้า ที่ฉันพร้อมพลีจะนำเสนอ มอบเป็นของขวัญวันเกิดในวันหยุดให้คุณค่ะ..นะคะ และอย่ารีบคิด รีบเดาล่วงหน้านะคะ จะพาให้ไม่น่าสนุกตื่นเต้นค่ะ เอาว่าไม่นานนาทีเองค่ะ ในหนทางข้างหน้า คุณจะได้สัมผัสเองค่ะ พร้อมนะไปเลยค่ะ .. พร้อมกับที่เธอ นำทางเขา ผ่านเข้าไปในดงดอกข้าวกล้าที่กำลังสะพรั่ง เข้าไปในเส้นทางเส้นลูกรัง ที่แคบแสนแคบเข้ากว่าเดิม อย่างราวกับว่า ไม่เคยมีใคร.. ได้เดินผ่านประตูไพรประตูดอกข้าวเข้ามาก่อนหน้านี้เลย เส้นทางเล็กๆ... ที่แหวกดงข้าวไพรเขียวไสวพร่างท่วมศรีษะ จนแทบบังมิดศรีษะทั้งสองร่าง ที่กำลังขับเคลื่อนจักรยานอย่างช้าๆ..ฝ่าเข้าไป มีเสียงหอบหายใจ กับเสียงโซ่จักรยาน...เอี๊ยดๆอ๊าดๆ.. ที่ค่อยๆหมุนไปๆ..ตามแรงถีบ..เป็นระยะๆ จนใกล้จะมาสิ้นสุดหยุดลงณ..ลานกว้าง ก่อนที่ร่างเขาจะพ้นไป เธอได้หันมาใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ผูกตาเขาไว้ และ กำชับให้อย่าแอบดู แล้ว เธอค่อยๆกุมมือแข็งแรง เดินจูงให้เขาเดินตามมาอย่างช้าช้า ราวกับว่า... เขาคือเด็กน้อยหลงทาง ที่ค่อยๆก้าวย่างไปข้างหน้า อย่างมิอ้างว้างกลางป่าเปลี่ยวไพรกว้างทางรก เพราะ เขามีมือนวลนุ่มนุ่มนวลมีพลัง มาเกาะกุมเกี่ยวไว้อย่างให้ความมั่นคงใจ และถึงมาตรแม้น ณ..นาทีนี้ ราวกับดวงตาเขามืดบอด หากหัวใจเขากลับหอมงาม ด้วยความไหวหวาน ยามได้รับกลิ่นจากร่างและเรียวรวงแห่งหอมข้าวใหม่ในนา ที่อวลมาคละเคล้า เร้ารึงรัดร้อยใจเขาอย่างที่สุดในเวลาเดียวกันในดวงใจ ให้หอมหวานหอมห่มบ่มรักราวกับจะหลอมละลายละลนใจ นาทีในโลกมืด ช่างแสนช้าทว่าแสนงาม เมื่อมีมือเธอนวลนุ่มคอยจับจูง เขาไว้ ราวสายแสงแรกแห่งตะวันสว่างนะกลางใจกลางไพร แล้วนาทีนี้ คนดี..ดวงใจของเขา ก็คอยส่งเสียงสัญญาณหวานแว่วแผ่วมา เอาละค่ะ... ฉันจะเปิดตาคุณนะคะ ค่อยๆปรับสายตาพาสายใจให้ชินนะคะ ไม่ต้องรีบร้อนนะคะ เขาค่อยๆกระพริบตาขับไล่ความมืด และ ปรับนัยน์ตาให้ชินกับแสงสว่างรำไรๆรายรอบ ที่กำลังทอทอดลอดโลมไล้ มาพร่างพราวรายรอบร่างอรชรในยามอาทิตย์เริ่มสาย เหนือปลายไม้ และ จับที่ร่างสล้างของเธอ ราวนางไม้ถูกล้อมรอบกรอบด้วยสายแสงทาบอาบทอ ละออโอบร่างนวลจนละมุนราวทองทาทาบอาบไล้ อย่างเรียวรุ้งพร่างแพรวพรายพรรณราย งามจนเกินบรรยายได้ และนั่น ถัดไปในกรอบตาเบื้องหลังเธอ ที่มีโรงนาเก่า ในท่ามเงาไม้วูบไหว ไม้ใหญ่ร่มครึ้มแผ่คลุมสานใบโอบล้อมจนเป็นวงโค้ง ราวกระท่อมเล็กในป่าใหญ่ ในเรื่องของลอร่าอิงกัส์ล ไวเดอร์ที่เขาชอบอ่านมานานปี ที่ทำให้ลมหายใจเขา ราวกับจะขาดห้วง ด้วยความมหัศจรรย์ใจ....ในสิ่งแสนงามยิ่งใหญ่!!!! หากทว่าให้ความสงบงามแบบดิบเดิมตรงหน้า เพราะ...!!!!! เยื้องโรงนาไปทางซ้ายคือบึงกว้าง ที่บัดนี้มีดอกบัว... ดอกไม้..ที่ทั้งเขาและเธอ แสนรักผูกพันพันผูกร่วมกันมานานปี ที่ ณ..บัดนี้กำลังบานพราวนับพันๆดอกสะพรั่ง จนให้กลิ่นเกสรแสนจรัสจรุงใจไหวกรายพรายพร่าง มากับสายลมอ่อนอุ่นละมุนใจเสียเป็นยิ่งนักแล้ว และ อีกด้านคือ นาข้าวที่ทอดยาวราวพรมแพรผืนใหญ่ไปจนสุดเชิงเขา และ กับหลังบ้านหากตาเขาไม่หลอก คือสายน้ำเจ้าพระยา ที่กำลังไหลระริกระรินช้าๆ เลื้อยผ่านอ้อมโค้งคุ้งเลี้ยวลัดไปตามแนวไม้น้อยใหญ่ ที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงอย่างไม่อยากเชื่อสายตาเลยว่า ณ..นาทีนี้ วิมานวนา วิมานในฝัน กำลังพลันมาปรากฎตรงหน้าเขาในหล้าโลก อย่างมิได้หลับตาฝันไป อย่างที่ดวงใจเขาเรียกร้องต้องการมาตั้งแต่ยามเยาว์ ที่จะมีเพียงกระท่อมทับหับห้องเล็กๆสักหลัง ไว้สร้างฝันสร้างหวังหวานราวรังรักในจินตนาการ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html พี่ฝันจะสร้าง รังรัก สักหนึ่งหลัง ณ ริมฝั่ง เจ้าพระยา อยู่อาศัย แม้ฝันของพี่ ไม่เกิดมี อันเป็นไป สองชีวี เราคงได้ ร่วมเสน่หา รังรักในจินตนาการ วิ มาน รักอันบรรเจิดจ้า ริม หน้าต่างปลูกซุ้มลัดดา ห้องนอนสีฟ้า ติดม่านชมพู ความ รัก เป็นมนต์ดลใจ ฝัน ไป พลังใจ ต่อสู้ คอย พี่หน่อยเถิดนะโฉมตรู มินาน จะรู้ รังรักอยู่แห่งใด รังรักริมฝั่งน้ำเจ้าพระยา สุขตราฝังตรึงซึ้งอยู่ในใจ แม้ความฝันพี่เป็นจริงได้ พี่จะให้ชื่อว่า รังรักอนุสรณ์ ความ ฝันเป็นจริงวันใด หัวใจพี่จะบินว่อน คอย พี่ก่อนไม่ช้าบังอร แม้ใจไม่ร้อน แน่นอนเราได้สุขสันต์... เขาเดินเสมือนคนละเมอเพ้อ ไปที่บึงบัวที่มวลหมู่ภมรภู่ผึ้ง กำลังคลึงเคล้ากลางกลีบเกสรเพื่อดูดดื่มลืมตนกันน้ำหวาน และ นั่นตระการสีจากปีกผีเสื้อพรายพร้อยพร่างนับร้อยนับพัน ที่กำลังร่ายฟ้อนอ้อนอวดลวดลาย ราวแข่งขันประชันกันเองมิเกรงผู้ใดเกรงใครแอบมอง เขา..งงงันงุนงง ราวหลงมาในป่าสีผีเสื้อสวยกลางทุ่งนา.. ที่หอมระรวยด้วยรวงเรียวสีทอง ขนาบข้างไปกับท้องร่องบึงกว้าง และ ราวกับว่าเจ้าพระยาคือสายน้ำเนรัญชรา หรือ สายน้ำจากแดนดินแห่งฝันสวรรค์สรวงจากป่าหิมพานต์ในยามนี้ ที่พาให้น้ำตาจากปิติใจอิ่มใสดวงงาม ที่หวังรอมาพบพานวิมานวนามาแสนนานได้กลายเป็นจริง ที่เขาเฝ้าฉงนใจ เพราะเธอคนใกล้ร่างใจ ได้บอกใบ้ว่าจะทำเรื่องตื่นเต้นให้ในวันเกิด ที่เขาแค่คิดว่าเลิศสุดแล้ว แค่ได้มาใช้ชีวิในท่ามทุ่งนาดูฟ้าแสนสวย และขี่จักรยานไปด้วยกัน มาปันพลีความเงียบงาม อย่างคนรู้ใจกันที่ฝันเคียงคู่มานานปี ที่เขาเคยเผยใจกับเธอเพียงคนเดียว ที่อยากมีชีวิตใช้ชีวิตในบั้นปลายเช่นไร ให้หัวใจดวงใสงามรักความสมถะพอเพียง ได้เกี่ยวเก็บเพียงความงามแบบธรรมชาติ ได้มีนากว้างมิร้างรัก ให้เขาได้ถอยหลังกลับไปสู่อดีตยามวัยเยาว์ ยามลงนาไปกับแม่พ่อพี่น้องพร้อมหน้ากัน และ ในยามสายัณห์หลังเสร็จงานนา ก็จะพากันมานั่งหลบแดดใกล้ลอมฟาง มานั่งเคลียกลิ่นหอมหญ้ากลิ่นฟางใหม่ กลิ่นเหงื่อไคลแม่พ่อที่เขากลับไม่เคยคิดรังเกียจ หากมาจากหยาดเหงื่อ ที่แสนให้ความรู้สึกแสนดีแสนอบอุ่นอ่อนโยน เมื่อย้อนรอยถอยหลังรำลึกไปในวัยวันนั้น แม่..พ่อ ผู้มิท้อต่อความยากไร้ ทุกข์ทนแบบคนรักนาคนทำนา ขอแค่.. ได้ล้อมวงกินข้าวกันพร้อมหน้าครอบครัว อย่างเอร็ดอร่อย แม้นจะห่อใบตอง รองมามีเพียงกับข้าวผักปลาพื้นบ้าน หากคือใช่ฝืมืออื่นใคร เป็นฝืมือที่ใช้ดวงใจแห่งรักหุงหามา ด้วยน้ำพักน้ำแรงจากเทพีไพรในดวงใจของเขาเอง นาทีนี้... แม้นดวงใจ เขายังสับสน กับที่มาที่ไป หากเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า เงินทองที่เธอและเขาร่วมกันเก็บหอมรอมริบ เพื่อรอเวลารอท่าทำฝันให้พลันเป็นจริงนั้น เพื่อได้มามีวิมานดินวิมานนาเคียงธรรมชาติไพร และ ขอฝากเพียงบทกวีรจนาจากดวงใจที่แสนสวยใสแสนงาม พลีดับร้อนโลกและผืนดิน และ หวังมีชีวิตติดดินเคียงนา ได้อุทิศลมหายใจจนกว่าจะสิ้น เป็นเพียงครูบ้านนอกในสังคมเล็กๆ ที่เขาหวังจะเพียรถ่ายทอดต่อยอดทางความคิด ผลิผลิตเด็กไทยในวันนี้ที่วัยยังเยาว์ ให้มิเขลา...มิลา..มิถอดใจ..ทอดทิ้งวิถีเกษตรกรรมไทย ที่คืออารยะธรรมแห่งแผ่นดิน คือรอยทางธรรมทางทองทางแห่งธรรมชาติ แห่ง... *แดนดินด้ามขวานทองแดนไทย*ให้เรามีนวลใจดวงใจ แสนภาคภูมิ รู้รักความสงบงาม ในท่ามเชี่ยวเกลียวกระแสโลกร้อนระอุ ที่กำลังคุโชนด้วยไฟสงคราม สยบนิยามลมลม...มิงมตามประเทศอื่น เพียงสำนึกรู้ฟื้นพัฒนาสังคม ให้เรียนรู้รักษ์รู้คุณค่าธรรมชาติ ดินน้ำลมไฟ มวลธรรชาติรายรอบ อย่างชาญฉลาด มิให้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน สิ้นวิถีเกษตรกรรมมานานนับพันปี ที่จักดำรงธำรงไทย ให้มีกินปลอดภัยไปรอด ยิ่งกว่าไปพึ่งพิงพึ่งพาสิ่งใด..ที่กินเข้าไปไม่ได้ ที่ยามไร้น้ำมัน.. ทุกโรงงานผลิต..ก็สิ้นท่าไร้ค่า ราวเศษเหล็กขยะมาวางกองสุม ให้เรารู้ให้เกียรติชาวนารู้ค่าควายไทย.. ไปตราบกาลนานที่ควรคู่บ้านคู่เมืองเรา เขา..เบือนหน้าแหงนเงยมองดูฟ้า เพื่อซ่อนหยาดน้ำตา ที่กำลังรอเวลาพร่างริน น้ำตาลูกผู้ชาย แห่งความปิติ ที่กำลังอยากเททอดถอดใจ อยากทรุดร่างลงไปวางแทบเท้านางใจ แล้วซุกซบกับอ้อมตักอ้อมใจร่ำไห้..อย่างมิอายฟ้าดินมิอายใคร เพราะเธอคือ สาวชาวดินชาวป่า ที่เข้าใจเขายิ่งกว่าใคร...ราวมีหัวใจหลอมมาจากดวงเดียวกัน เธอคนดี ที่รู้ค่าคนค่าเขา จากจิตดวงใสใจดวงให้ดวงอัญมณีไพร ใจดวงงามดวงดีของเธอ ที่ราวมีเกราะใส คอยกางกั้น มีสายธารธาราขวัญ สายน้ำนิรันดร์คอยพร่ำบ่มห่มหอมให้ห้องหัวใจ เธอ..คงรู้ใจเขาดี...นาทีนั้น เธอจึงพลันผันร่าง มาชิดเคียงข้างตรงหน้า...พร้อมตาสบตานิ่งนาน จนเขาเห็นหยาดสายหวานปานน้ำผึ้งรวง ด้วยแรงรักภักดีพร้อมพลีจะรินร่วง เขาอ้าแขนโอบกอดแม่ยอดรักมิ่งมิตรแนบแน่น แทนใจสวามิภักดิ์ทั้งดวง พร้อมกับที่น้ำตาลูกผู้ชายเริ่มรินร่วงหยาดริน ไปกับริมเรียวแก้มหอมงาม ในท่ามอ้อมแขนแห่งรักยิ่งกว่ารัก เธอ...กระชับโอบกอดเขาตอบ พร้อมคำกระซิบ ดีใจมั้ยคะ วันนี้ฝันคุณได้เป็นจริงเสียที ฉันจะได้หมดหน้าที่ห่วงใยห่วงใจคุณ หากวันไหนฉันตายไปก่อนคุณ ฉันคงนอนตายตาหลับ มิพักเกรงว่าคุณจะบ่นทดท้อ รอเวลารอท่าทำความฝันให้เป็นจริงทิ้งไว้นานไปนานเช้า ให้ยิ่งเหน็บหนาวในดวงใจจนอ่อนล้า ให้ไฟฝันสลายลามลายหายไปมิมีวันสิ้นสุด ขอให้คุณรับรู้นะคนดี ที่ชั่วชีวาชีวีนิดหนึ่งน้อยนี้ ฉันยินดีพลีใจได้ทำสิ่งแสนดีร่วมกันได้สานฝันร่วมใจ จนถึงนาทีนี้ ที่มิอยากให้..อยากเห็นหัวใจ ลูกผู้ชายชาติไพรชายชาวนา ที่เติบโตมากับวัยเยาว์แสนงาม ในท่ามทุ่งเขียวเรียวรุ้ง ได้แตกยับดับไฟผันพลันพร่าง เพื่อรอวันให้คุณแผ้วถางหนทางแห่งศรัทธา ฝากไว้คืนโลกหล้าก่อนที่เราสองจะลาพรากไป มิยอมพ่ายโลกศิวิไลซ์วัตถุ เพียงเพียร ให้ผองชนได้รำลึกรู้ตระหนักชัดถึงธรรมชาติ ที่โลกกำลังจะหมุนกลับ ให้ทุกดวงใจไหวรับให้ทัน อย่าให้ฟ้าดินพลันหวน มาลงโทษพิโรธลงฑัณฑ์ครั้งแล้วครั้งเล่า จนหนาวเหน็บในดวงใจเลย มาคนดี ไปดูภายในกัน ที่ฉันเพียรทิ้งฝาผนังให้แสงทอทอดลอดร่องไม้ราวกระท่อมเก่า ใกล้ผุพังบังตาไว้ให้แปลกใจเล่น ทั้งๆที่ภายในได้ออกแบบซ้อนทับ ด้วยกระจกใสไว้แทบทุกจุด คุณเห็นมั้ยคะเหมือนโรงนาโบราณ ที่ให้งามเงียบสมถะ เพดานยังมีคร่าวโคลงขื่อไม้ และ รายรอบราวมีพันธุ์ไม้ใหญ่ไกวกิ่งวิ่งเลื้อยเข้ามาเปลือยเขียว ให้เลี้ยวลอดทอดลายงามบนพื้นผนัง ยามแสงเงาพร่างมากระทบ ให้วะวิบวับงามจับตาจับใจจังเลยค่ะ คนดี เห็นเตาผิงเล็กๆมั้ยคะ ที่ฉันให้ช่างก่ออิฐเปลือยเอาไว้ เพื่อจะได้จุดไฟหอมฟืนในยามหน้าหนาว ยามจะนอนทอดตา ดูเดือนนับดาวเกลื่อนฟ้าจากณ..ที่ตรงนี้ ฉันรู้ดี คุณชอบลอมฟางคอกควาย ฉันจึงจัดผังวางไว้ ณ.ภายนอก..ตรงตำแหน่งสายตาคุณ ให้หัวใจคุณได้หอมกรุ่นยามฝนพรำ ได้ฟังเสียงลูกควายร้อง ได้นอนราวเคียงลอมฟาง ท่ามคอกควายได้ชิดใกล้วิถีแห่งวัยวัน อันแสนใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่สุดแล้วนะ และ ยามคุณทอดร่างเอนหลังจากที่ตรงนี้ คุณก็จะเห็นแสงเดือนรำไรและ ฉันกำลังหวังว่า นานี้นั้นเราจะฟังเพลงเดือนต่ำดาวตกด้วยกันนะคะ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song219.html เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ เผลอร้องกลางดึก ดวงจิตระทึก พี่นึกว่าเป็น เสียงเธอ ผวา มองจ้องตามเพียงครู่ รู้ตัวว่าเก้อ ต้องกลับมาเพ้อ รำพึง เงาไผ่หรุบหรู่แหงนดูเดือนต่ำ น้ำค้างร่วงกราว ใจยิ่งปวดร้าว ยามไร้เธอเคียง คนึง ความรักที่เคยชื่นทรวงใจซ่าน หวานดังน้ำผึ้ง แปรเปลี่ยนบึ้งตึงเหมือนเดือนเลือนลา แม้ท้องฟ้าไร้ ทั้งดาวและเดือนก็เหมือนพี่นี้ ไร้คู่ชีวี นอนแนบนิทรา เหมือนคนไม่มีหัวใจ ได้แต่ผวา เสียงลมพริ้วมานึกว่าเสียงนาง เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ เผลอร้องครั้งใด พี่แทบคลั่งไคล้คิดถึงทรามวัย มิวาง ผวากายหมายโลมเนื้อเกลี้ยง พบเพียงหมอนข้าง แทนที่แม่นางน้องเจ้าเคยนอน แม้ท้องฟ้าไร้ ทั้งดาวและเดือนก็เหมือนพี่นี้ ไร้คู่ชีวีนอนแนบนิทรา เหมือนคนไม่มีหัวใจ ได้แต่ผวา เสียงลมพริ้วมานึกว่าเสียงนาง เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ เผลอร้องครั้งใด พี่แทบคลั่งไคล้คิดถึงทรามวัย มิวาง ผวากายหมายโลมเนื้อเกลี้ยง พบเพียงหมอนข้าง แทนที่แม่นางน้องเจ้าเคยนอน... .............. ในยามอุษาฟ้าสาง ที่ดาวประกายพฤกษ์ยังพร่างแสงทอฟ้าสุกสกาวพราวใส ให้หัวใจได้ไหวหวาน รับทิวาหวามหยาดน้ำค้างไพร ได้ยินเสียงนกไพรละเมอ ได้เดินเผลอออกไปย่ำหยาดน้ำค้าง ในท่ามทุ่งกว้าง... ยามฟ้าเริ่มอรุณเรื่อราง ดุเหว่าแว่วแผ่วหวาน ผ่านดงกอไผ่ไกวเซาะละเมาะแมกไม้ไทยนานา มากับสายธารลำประโดง โค้งคดเคี้ยวเลี้ยวลอดเอื่อยเฉื่อยระเรื่อยระรินไหล ให้คุณได้กระชับเสื้อหนาวไปสุมไฟตามคอกยามเดือนเพ็ญ ให้แม่แลลูกควายสองตัวแทนรักแทนใจเราราวแฝดได้อุ่นไอ ก่อนจะได้อวลกลิ่นหอมกรุ่นของดวงดอกไม้ไทย ที่จะผลิกลีบกรายรอรับหยาดสายน้ำค้าง ดั่งน้ำผึ้งพระจันทร์ให้สดฉ่ำนะกลางเกสรแห่งใจ ให้คุณได้แบ่งเด็ดทนุถนอมอย่างเบามือ เพื่อนำกอบกำกลับมาเสียบไว้ในแจกันดินเผา บนโต๊ะไม้นั่น ที่ฉันสั่งทำจากไม้บานประตูเก่า มิให้เหงาหากแสนงามท่ามดวงดอกไม้รายรอบวิมานดินวิมานนา ณ..ที่แห่งนี้ ที่จะออกดอกทั้งปี ให้คุณได้สับเปลี่ยนเวียนชม มาระคนอวลแกล้ม ยามคุณรจนางานงามบทกวีงามๆ และนั่นตะเกียงทองเหลือง ที่ใช้แสงเทียนทองแทนจะวางแทนโป๊ะไฟ ที่คงให้อารมณ์ไสวไฉไลกว่ากันเยอะเลยค่ะ มาสิคะ ลองมานั่งตรงนี้ ที่โต๊ะตัวนี้เห็นมั้ยค่ะ ที่ฉันแขวนโคมเทียนทำเอง แทนโคมแชนเดอร์เลียแพงแสน ตามแบบอย่างคฤหาสน์มหาเศรษฐีมีเงิน ที่ให้งามพอกันหากเราพอใจ ที่ฉันใช้เพียงเชือกมนิลา มาถักร้อยห้อยแก้วเอาไว้ และ มีชามอ่างใสไว้ใส่พันธุ์ไม้ดอกไม้เลื้อยให้ หอมระย้าระยับอย่างเล็บมือนาง ลีลาวดี ลำดวนดง ฤาแม้นกระทั่งปีบ ที่มีช่อกลีบกรีดกรายสยายย้อยห้อยพันพร่าง เลื้อยพันพรายสยายลงมาอย่างสวยด่วยเคล้าแสงเงา พร้อมด้วยหอมจับใจเลยทีเดียวเชียว คนดี แล้วนั่นคอกควายน้อยแสนรัก ที่จะให้คุณได้พักตาพักใจ แล้ว ทำให้นวลใจคุณแสนอ่อนโยนยามแลเห็น ที่จะพาให้สายตาสายใจของคุณ ยิ่งเย็นใสด้วยน้ำใจมากล้นเมตตา ที่คุณแสนรู้ค่ารักเขา ราวมิ่งมิตรมาชิดใกล้มาเคียงใกล้ ซึ่งดีกว่าคนที่หากร้ายก็น่ากลัวเสียยิ่งกว่าสัตว์ป่าเสียอีก คนดี..ฉันจะพาคุณไต่บรรไดแขวนขึ้นมา ที่ออกแบบแสนธรรมดาเรียบง่าย เพียงสนองใช้ประโยชน์ยามต้องการความสงบลำพัง ณ..ห้องพระใต้หลังคา ยามคุณอยากฝึกสมาธิภาวนา ให้แสนสงบงามในท่ามพระพุทธรูปปางสุโขทัย องค์โต เพียงองค์เดียว เห็นมั้ยคะมีมาลัยเกลียวมงคล วางพลีถวายเป็นพุทธบูชาค่ะ ก่อนหน้าที่คุณจะพาคุณมาฉันเตรียมไว้ค่ะ และ หวังทุกคืนค่ำ หลังนอนฟังเสียงสายน้ำนิรันดร์ระรินริมฝั่ง ดูดาวเดือนจนหนำใจ คุณคงมานั่งสวดมนต์ภาวนา ณ..ห้องพระแห่งนี้ ที่มีเพดานใสสกาวพราวพร่าง ไปด้วยดารารายพรายแสงจรัสจรุง ราวมีมือนางฟ้ามาหว่านโปรยไว้ในท่ามผืนฟ้าสีกำมะหยี่ ที่จะขับราตรีให้แสนสวยยิ่งกว่าวิมานแมนแดนฝันสวรรค์สรวงเสียอีก ด้วยรวงดาวนับพัน จะพากันกระพริบตาล้อพ้อพร่าง ราวรอเวลาจะร่วงลงมาประดับใจก็มิปาน ให้เห็นเวิ้งงามแห่งอนันตกาล อย่างบทกวีบันดาลใจ จากท่านอังคาร ที่รจนาฝากพลีไว้กำนัลแด่โลกหล้าฟ้าสยามนามแสนสวยนี้เอาไว้ คนดี.. และ นั่นคือที่นอนคุณฟูกสีขาวธรรมดา ที่มีตั่งเตี้ยไว้วางหนังสือธรรมะดีมีค่า..ยามคุณจะอ่าน โดยใช้แสงดาวพราวพร่างกระจ่างแจ่ม แกล้มไปกับแสงเทียนทองส่องนำทางใจไปตามหาเส้นทางทอง และ ดูสิคะ มีกระจกเงารายรอบห้อง ให้คุณถูกจ้องมอง ด้วยเดือนดารา และ ดวงดอกไม้ไพรที่จะพากันไหวกิ่งฝัน มาเคลียเคล้ามาเคลียใกล้มาทายทัก ยามร่างคุณเอนอิงหมอนขวาน นอนพักตาพักใจราวอยู่ในไพรพงดงพนา มีแมกไม้ทุกพันธุ์หอม ที่จะหลอมละลายใจ โดยเฉพาะลีลาวดี ที่ฉันนี้เลือกให้มาฝากใจอ้อนกล่อมคุณ ให้หลับฝันดีในทุกราตรีถึงริมที่นอนเลยค่ะ คุณดูให้ดีสิคะ มีพันธุ์ไม้ที่คละสีสันดอกดวงนานาพันธุ์ ทั้งสะพรั่งแดงแรงร้อนของหางนกยูง ทั้งราชพฤกษ์หรือคูนเหลืองพราวราวสายฝนสีทอง แล้ว ไหนจะชมพูพันทิพย์ดอกชมพูพราวหวานตระการช่ออมม่วง รวงดอกแสนบอบบาง และปีบหอมพร่างจนบีบใจให้แสนไหวหวั่นวาบหวาม ในงามง่าย และ ทั้งหมดนั้นี่คือม่านฝันหลากสีสันจากหวานดวงพวงดวงดอกไม้ ที่จะพากันประชันขันแข่งแย่งกันเอาใจคุณค่ะคนดีที่รัก เป็นดั่งม่านมนต์ขลังฝากฝังเสน่หา ให้ชิดใกล้นัยน์ตาพางามใจให้เราทุกนาที ราวมีมือนางไม้นางไพรที่ไหนมาค่อยจัดแต่งไกวไหวรอ ให้เราได้พ้อชมภิรมย์รื่น...ชื่นใจเสียไม่มี และ เพื่อพลีทุกนาทีแห่งลมหายใจนี้ที่แสนดีแสนงาม สร้างสรรงานฝันปันพลีแด่ผองชน ก่อนตะวันแห่งดวงใจเราสอง จะถึงเวลาหรี่แสงลับดับไปอย่างไม่เหลือร่องรอยใดฝากไว้ นอกจากความดีค่ะ คนดี ค่ะดวงใจ...!!!! *************** http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html กลิ่นโคลนสาบควาย อย่าดูหมิ่น ชาวนาเหมือนดั่งตาสี เอาผืนนาเป็นที่ พำนักพักพิงร่างกาย ชี วิตเอย ไม่เคยสบาย ฝ่าเปลวแดดแผดร้อนแทบตาย ไล่ควายไถนาป่าดอน เหงื่อรินหยด หลั่งลงรดแผ่นดินไทย จนผิวดำเกรียมไหม้ แดดเผามิได้อุธรณ์ เพิง พักกายมีควายเคียงนอน กลิ่นโคลนสาบ ควายเคล้าโชยอ่อน ยามนอน หลับแล้วใฝ่ฝัน กลิ่นโคลนสาบควายเคล้ากายหนุ่มสาว แห่งชาวบ้านนา ไม่ลอยเลิศฟ้าเหมือนชาวสวรรค์ หอมกลิ่นน้ำปรุงฟุ้งอยู่ทุกวัน กลิ่น กระแจะจันทร์ หอมเอยผิวพรรณนั้นต่างชาวนา อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา มือถือเคียวชันเข่า เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา มือถือเคียวชันเข่า เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย...
21 มิถุนายน 2548 23:16 น. - comment id 482685
พี่พุดค่ะ เมื่อกี้หนูอ่านยาวมาก แล้วเนื้อหาเรื่องที่ลงหายไปไหนหมดเลยหละค่ะ หรือว่าหนูมึน งงจัง แต่ยังไงก็คิดถึงพี่นะค่ะ
21 มิถุนายน 2548 23:20 น. - comment id 482686
มารอบสองค่ะ มาบอกว่าเห็นตอนโพสต์อีกทีแล้ว ฉะนั้นได้อ่านแล้วนะค่ะกับเนื้อหาดังกล่าว เขียนได้ดีค่ะ
22 มิถุนายน 2548 02:23 น. - comment id 482717
เข้ามาอ่านอย่างรวดเร็ว แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า คนมีข้าวกินก็เพราะควายครับ ..
22 มิถุนายน 2548 03:06 น. - comment id 482720
เป็นงานเขียนที่ค่อนข้างยาว.. ปกติผมอ่านนิยายออนไลน์เรื่องหนึ่งเหมือนกัน แม้ว่ายาวเท่าไรก็อ่านอย่างละเอียดละออ และเฝ้าใจจดใจจ่อว่าเมื่อไร คนเขียนจะลงตอนต่อไปเสียที เหตุเพราะว่าเป็นงานงาม เช่นเดียวกับงานของพี่พุดนะครับ งดงามเหลือเกิน งามในอักขราจารึกเป็นพิกเซล ทั้งงามเนื้อหาพาอิ่มใจ - - - - - - - ครั้งหนึ่งเคยถามว่า ผู้รจนานิยายเรื่องดังกล่าวนั้น เธอชื่อสาลิกา ว่า รู้จักคุณพุดหรือเปล่า เธอตอบว่าไม่รู้จัก แล้วถามกลับว่าทำไมเหรอ ผมก็ตอบไปว่า รู้สึกเหมือนเป็นเสี้ยวหนึ่งของคุณสาลิกาจุติมาเขียนงานชนิดนั้นเลยนะ - - - - - - - ทั้งที่ความจริงผมก็รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นงานที่ต่างกัน และมิคิดจะเอามาเปรียบเทียบกัน - - - - - - - ผมบอกเธอว่า คุณพุดเนี่ยะเธอชอบธรรมชาติ ดอกไม้ ธรรมะ อ่านแล้วเย็นลง เธอก็กล่าวกลับมาว่า เอ๊ะ! อย่างนั้นงานของเราคงเป็นนรกแล้วหล่ะค่ะ ซึ่งผมก็เกือบจะเออออกับเธอไปด้วยเหมือนกัน เธอถามกลับอีกว่า แล้วทำไมถึงคิดว่าเป็นเสี้ยวหนึ่งของเราจุติมา ผมก็ตอบกลับไปว่า ความงามมั้ง \"ต่างกันแต่งามไม่ต่างกัน\" - - - - - - - อย่างที่ผมบอกไปหน่ะครับว่า ไม่ได้เอามาเปรียบกัน แต่ผมเป็นคนเลือกชอบงานมากกว่า ทั้งที่ผมออกจะขวางโลกสักหน่อย(มีคนบอกมาหน่ะครับ) เรื่องธรรมมะเอย บาปบุญคุณโทษเอย จึงไม่ค่อยอยุ่ในความสำเหนียกสำนึกสนใจเท่าไร กระนั้นก็ยังรู้สึกรักงานของพี่พุดนะครับ เท่านี้หละครับที่อยากจะเกริ่นนำ - - - - - - - - มองกระบือบดเหงือกเงื้อหงับหงับ ขย้อนกลับคำหญ้ามาเคี้ยวขุน ธัญญาหารบานท้องรองเป็นทุน ให้ใจอุ่นตุนไว้ยามไถนา เห็นควายเคี้ยวเอี้ยวอ่อยค่อยค่อยเอื้อง ยุรยาตรเยื้องย่ำย่างทั้งสี่ขา เดินช้า..เดินเร็วเร่งกายา ตายเร็วตายช้า..ไม่ต่างกัน ยะย่ำเท้าสาวเหยียดเลียบระแนง เดินตามแปลงตามรุ่นไม่หุนหัน โคลนแสยะเหยียบย่ำดำนานั้น ควายรังสรรค์รวงข้าวไปขาวจาน - - - - - - - - - - - - มอบกลอนบทนี้..ตรงนี้ ไว้ให้แก่พี่พุดด้วยนะครับ ด้วยว่าเป็นสื่อถึงเจ้ากระบือทั้งหลายในขวานทองไทย ทั้งที่เห็นในรายการเรื่องจริงผ่านจอ ทั้งที่เห็นนา หรือเจ้าควายใต้ต้นมะขามระแวกบ้าน ผ่านสายตาอันใสสื่อบริสุทธิ์นั้น ถึงกระบือบรรพชนผู้กรำงานไถ ให้บรรพชนของเราได้สืบรุ่นมาถึง ณ บัดนี้ ครับ - - - - - - - - - - รักษ์รัก..ลักจ๊วบ
22 มิถุนายน 2548 07:08 น. - comment id 482728
น้องผู้หญิงไร้เงาคะ คิดถึงน้องมากมายเช่นกันค่ะ เรียนหนักมั้ยค่ะ พี่พุดอบอุ่นใจมากค่ะ ที่กลับมาตรงนี้ยังมีน้องให้กำลังใจอย่างไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับพี่พุด เป็นความซึ้งใจอย่างมากมายค่ะ สำหรับคนรักรจนาอย่างพี่พุด พี่พุดสวดมนต์นะคะให้น้องมีแต่ความสุขสมหวังให้มีใจดวงใสงามตลอดไปค่ะ รักมานานและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
22 มิถุนายน 2548 07:15 น. - comment id 482731
คุณลัก.ษะ มะ ณะ ซึ้งใจค่ะ ที่ยังเข้ามาอ่านยาวมากค่ะ ชื่นใจมากจริงๆเลยค่ะ ขอบคุณค่ะอย่างที่สุด
22 มิถุนายน 2548 07:32 น. - comment id 482735
คุณรักษ์ เช้านี้อ่านคำน้องแล้วอยากร้องไห้จังค่ะ สำหรับหัวใจพุดแล้ววันเวลาช่างพิสูจน์ ทุกสิ่งเสมอค่ะไม่ว่าความจริงหรือดีร้ายใด พี่พุด..อาศัยร่มเงาเรือนไทยโพเอม มาวันนี้ หลายปีแล้ว และ ยังมีชีวีเหมือนเดิม ทั้งนอกจอและในจอ นอกจอไม่เคยออกจากบ้านไปไหนโดยเฉพาะเที่ยวโลกราตรีไม่เคยรู้จักค่ะ มาจะ20ปีแล้ว กลางวันก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะชีวิตมีบ้านเป็นออฟฟิตค่ะ ทิ้งไม่ได้ เพื่งมาสองปีนี้ที่งานน้อยลงค่ะ สรุบคือชีวิตมีสองที่คือ บ้านกับวัดค่ะ ไม่ไปบวชก็คือชอบอยู่กับต้นไม้ เพื่อนๆพี่น้องผู้หญิงจะมารับไปทานข้าว และทุกวันอาทิตย์ครอบครัวเราระรวมญาติกันไปทำบุญและกลับมาปาฐกถาธรรมที่บ้านค่ะ ซึ่งต่างอาศัยละแวกใกล้กัน เวลาชีวิตพี่พุดมีใครไม่เข้าใจ วงศาคณาญาติที่รักพี่พุดมากจะสอนให้เรามีเมตตาค่ะอภัยต่อคนที่ไม่เคยรู้ใจรู้จักชีวิตเราดีในโลกจริง พี่สาวพี่พุดเป็นอาจารย์ และพี่เขยที่เป็นถึงท่านนายพล หันมาปฎิบัติธรรมกันอย่างจริงจังมากค่ะ เราจะเคียงข้างกันในเส้นทางสีขาวสายงามค่ะ และเราจะสอนจิตวิญญาณเราเองให้มีน้ำใจเมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์เสมอ ไม่เพ่งโทษผู้อื่น เพราะเขาอาจมีความไม่รู้จริงค่ะ ชีวิตพี่พุดจึงทนนิ่งเงียบงาม และทำงานที่รักพร้อมเพียรหนักทางจิตค่ะ ที่จะมีเป้าหมายว่าจะพาชีวิตอันแสนสั้นไปทางใด พี่พุดชอบใช้ชีวิตสงบๆและไปเฉพาะกับญาติ บ้านชายทะเลที่รวมรักอบอุ่นของเราค่ะ พี่พุด ซึ้งใจมาก ที่คุณรักษ์ให้คำกำลังใจพี่พุดยาวมากและ สำหรับดวงใจนักรักรจนาช่างมีค่าเสียเหลือเกินจะกล่าวค่ะ พี่พุด รักงานแนวนี้ค่ะ เพราะคือส่วนหนึ่งที่เป็นตัวตนพี่พุด และ พี่พุด ไม่เคยพบใครสักคนในไทยโพมค่ะ ยังรอว่าสักวัน พี่พุดไปสร้างรีสอร์ทแล้วค่อยเชิญทีเดียวพร้อมกัน วันนั้นหากใครให้เกียรติพี่พุดจะเปิดใจหลั่งน้ำตาต้อนรับ รักพี่พุด อย่าทิ้งนะคะ จงให้พลังใจพี่พุดทำงาน และ ทุกเรื่องราวทุกดวงใจน้องพี่ใครมีอะไรถามพี่พุดทางเมล์ได้ยินดิเสมอค่ะ รักและอยากหลังน้ำตานาทีนี้ค่ะ
22 มิถุนายน 2548 08:43 น. - comment id 482749
บอกสั้นๆนู๋ชอบความค่ะ มันหน้าซื่อน่ารักดี
22 มิถุนายน 2548 11:39 น. - comment id 482861
ดาไม่ผิดหวังเลยที่ได้เข้ามาอ่านงานของพี่พุด... งามนักเจ้า..งามทั้งกาย..งามทั้งใจ... คิดถึงพี่พุดนะค่ะ..
22 มิถุนายน 2548 21:48 น. - comment id 483053
23 มิถุนายน 2548 00:22 น. - comment id 483105
....พี่พุด ครับ เอารูปนี้มาลง...เดี๋ยวเด็กงง หมดล่ะครับ...มันตัวอะไรหว่า... สวัสดีครับ
23 มิถุนายน 2548 14:40 น. - comment id 483286
พี่พุดที่เคารพ วันนี้มัดหมี่มีเวลาเข้าไทโพมตอนบ่ายสองโมงกว่า ๆ เข้าไปอ่านงานของเพื่อนได้ 2 คน และเลยมาถึงพี่พุดเป็นคนที่ 3 บอกพี่ตรง ๆ มัทยังอ่านได้ไม่ถึงครึ่ง แต่ความที่อยากจะบอก อยากจะฝากข้อความหา ว่า มัทได้เข้ามาอ่านงานพี่พุดแล้วนะ อยากบอกแบบนี้ จึงได้ฝากข้อความไว้ตรงนี้ก่อน เพราะมีเรื่องจะต้องออกไปทำงานข้างนอก ใคร่ขอเรียนให้พี่พุดทราบไว้ ณ ที่ตรงนี้ มัทสงสารเจ้าทุยอะ ไม่รู้ตอนจบจะเป็นอย่างไร ไว้จะกลับมาอ่านต่อตอนที่มีเวลานะคะ คิดถึงพี่พุดเสมอมามิแปรเปลี่ยน
11 สิงหาคม 2548 03:23 น. - comment id 502459
มาติดตามอ่านงานของคุณพุด งดงาม...เป็นธรรมชาติ... อยากเข้าร่วมเส้นทางธรรม... คงมีสักวัน.....