http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html (บัวกลางบึง) ศรีตรัง..ชื่อศรีตรังค่ะ และเวลาศรีตรังถูกขานชื่อ ไม่ว่าอยู่ณ..สถานที่แห่งหนตำบลไหน ทุกคนก็มักจะหันมามอง ศรีตรังเป็นตาเดียวกัน ด้วย เหตุแห่ง*ชื่อนั่นสำคัญฉะนี้* ที่แสนเแผกพิเศษพิสุทธิ์ ที่ศรีตรังแสนภาคภูมิใจ ศรีตรัง.. เคยสงสัยถึงที่มาที่ไปของชื่อตัวเองเฉกเช่นกัน และแอบแอบถามแม่ ที่แม่จะคลี่ยิ้มสวยสวยอย่างอารมณ์ดี และ เอามือชี้ๆไปที่ต้นไม้รายรอบเรือน ที่สูงสักประมาณสิบเมตรได้.. และ ให้ช่อดอกม่วงละมุน.. กลีบบอบบางอรชรแสนอ่อนหวานนุ่มนวล ด้วยรูปดอกราวแตร และ จะมีเพียงกลีบดอกหนึ่งที่จะพับลงมาคล้ายปาก และ มีขนหนานุ่มปกคลุม จะคลี่สยายกรายกลิ่น.. หอมหวานละมุนมากในยามอากาศเย็น ทั้งยังเป็นไม้ดอกสลัดใบร่วงกราวยามพบแล้งไร้ ที่จะพลีผลิฝากดอกไว้ ตั้งแต่หน้าหนาวปลายปีธันวาคม พร่างพรายพรมหอมไปจนถึงเดือนเมษายน ซึ่งยาวนานมาก ต่อมาศรีตรัง ก็ทราบว่า ต้นไม้ชนิดนี้ที่ราวคู่บุญบารมีคู่ชีวีชีวิตศรีตรัง ที่ศรีตรังรักแสนรักราวมิ่งมิตร ทั้งยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดตรัง กับทั้งยัง เป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อีกด้วย ตอนเด็กๆ ศรีตรังเคยเบื่อชื่อตัวเองอยู่พักหนึ่ง เมื่อเพื่อนๆที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ มิได้หวังเจตนาเบียดเบียน ว่าร้ายกรายกล้ำศรีตรังให้เจ็บช้ำน้ำใจ เพียงแค่แกล้งๆหยอก แกล้งออกเสียงชื่อศรีตรังให้เพี้ยนๆไปเป็น*ขี้มูกกรัง* ซึ่งมาวันนี้ ยามย้อนรำลึก นึกไปถึงทุกเรื่องราวแห่งความทรงจำ ใน วัยวันไร้เดียงสา แสนพาให้นวลเนื้อใจศรีตรัง แสนอบอุ่นอ่อนโยน กับเพื่อนๆไกลปีนเที่ยงเสียเป็นยิ่งนักแล้ว ที่ได้เกี่ยวก้อยร้อยรัดรัก รู้จักผูกพันกันมาอย่างยาวนาน ผ่านรุ่นปู่ย่าตายายลูกหลาน และ รู้แม้กระทั่งแม่พ่อ บ้านอยู่ที่ไหน แบบแทบเข้านอกออกในไปขอข้าวกินได้แทบทุกบ้าน และ ยังคงสายสัมพันธ์แบบพื้นบ้านวิถีไทย ที่ยังแสนโอบเอื้ออารีมากมีมีน้ำใจแบ่งปัน มิหันหลัง ต่างตัวใครตัวมัน แบบสังคมเมืองเรืองรุ่งริ่งแบบทุกวันนี้ ที่.. บางแห่งห่างตากันแค่รั้วกั้นกลาง แต่หาได้มีเวลาหันหน้ามามองกันก็หาไม่ ในยามนั้น ...... ยามที่ถูกเพื่อนล้อ ด้วยดวงใจอ่อนเยาว์ที่ยังแสนเขลา จะร้องไห้ไหวหวั่นหวั่นไหวไป*ตามคำเขาว่า* ต้องหันกลับไปพ้อแม่..ว่า.. ทำไมถึงตั้งชื่อให้แสนพิศดารพันลึกแปลกประหลาดอย่างนี้ และ แม่คนดี..ก็จะเพียรเฝ้าปลอบประโลม อย่างใจดีอย่างอารมณ์เย็นว่า อย่าให้ถือสาคำพูดใคร จงให้อภัยเมตตา คิดเสียว่าคำพูดคน*ก็คือลมลม ไม่ว่าลมชมชื่นหรือลมให้ร้าย ก็จงอย่าหมาย ไปยึดมั่นถือมั่น จงให้ผันพัดผ่านไป อย่านำมากักเก็บไว้ในใจให้โศกรานให้เศร้านาน และ จงเพียรเพียง *รักษาใจดวงใสดวงงามของเราให้งามที่สุด ให้รู้หยุดโกรธ และทำใจให้มิไหวหวั่นหวั่นไหว เพราะในโลกกว้างทางไกลนั้น ยังอาจจะพบสิ่งดีร้ายมากมายนัก ที่จักต้องกล้าหาญเข้มแข็งอดทน และเป็นดั่งพลัง ทดสอบให้เราเรียนรู้ในการเข้าใจกมลคน ที่มักหมุนวนคอยจับผิดผู้อื่น มิหยิบยื่นเมตตามากน้ำใจ และ เราเอง จงอย่าไปคิดตัดสินเพื่อนมนุษย์ผู้ใด อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผู้ที่คงมีงามพราวหวานคนละด้านคนละดี *ผู้ที่คือดั่งมิ่งมิตรน้องพี่* ร่วมโลกเดียวกันทั้งสิ้นทั้งนั้น อย่าไปคิดพิพากษาใคร หากยังไม่รู้ที่มาที่ไป เพราะ ตัวเราเองนั้นไซร้ก็ใช่สัพพัญญู ผู้ที่จะหยั่งรู้ฟ้าดินรู้ใจใคร ใครไปเสียสิ้นเสียหมด มิใช่ดั่งกระจกหกด้าน นอกเสียจาก เพียรเพ่งพินิจเพียงมองจิตวิญญาณภายในตัวเอง เพื่อพัฒนาตัวเอง ให้คิดดี พูดดี ทำความดี คบคนดี ไปในสถานที่ดี ก็จะมีแต่สิริมงคลคอยคุ้มเกล้าคุ้มกมล อย่างที่หลวงตาเทศน์...ในโบสถ์คร่ำในทุกยามวันพระ ที่คุณยายและเพื่อนๆชมรมวรรณคดีสัญจร จะพากันไปรักษาศีลอุโบสถ ในยามนั้นที่. *ศรีตรัง* จะเดินทูนกระเฌอใบน้อยน้อย ร้อยสานถักสวยด้วยหวายละเอียด จากภูมิปัญญาของน้ากอบแก้วเพื่อนบ้าน ที่ณ.บัดนี้ ช่างหาคนสืบสานงานฝืมือแบบนี้ได้อย่างยากเย็น ศรีตรัง...ดอกนิด จะติดสอยห้อยตามคุณยายไปวัดมิเคยขาด มิประมาทกับการหลงทางห่างวัดมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ราวมีรอยบุญมาหนุนน้อมนำ ได้มาพลีสร้างสมาธิภาวนาพาพบปัญญา ที่จะค้นหาความสงบงามความสว่างสะอาด ที่จะอยู่ในโลกแล้งไร้น้ำใจ ให้พาพบปัญญาแสนสว่างพร่างใส รู้ฝึกใจให้มีปัญญาเหนือดีร้าย.. ไม่คิดทำร้ายให้ร้ายไม่เบียดเบียนใคร นอกจาก เพียรมอบน้ำใจรักอย่างใสงาม ให้อย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง.. อย่างมิสิ้นหวังหวาน อย่างมิยอมท้อแท้แพ้พ่ายไปตามคำคน คำใคร ที่อาจจะไม่รู้จักรู้ใจเข้าใจเรา ที่คือคนคนคนวนวนวน ว้าวุ่นวายวนวงอลหม่านอลวนเต็มม่านเมืองไปหมด และ...ตราบใด ที่เราจักจำต้องอาศัยโลกใบเล็กใบกลม ก็จักพานพบระทมทอด มาทดสอบจากกิเลสกมลของคน ที่รายรอบตัวเราไม่รู้สิ้นรู้จบ ที่เราจักรู้หยุดได้ ก็ด้วยอาศัยหยาดน้ำพระธรรมน้ำอมฤตใส มาคอยพร่างพรมห่มหอมใจ ให้เมตตาอภัยลบลืมทุกเรื่องราว ไม่ยินดียินร้าย ไม่เศร้าโศกเสียใจ กับทุกข์ผัสสะมากระทบ...ให้นานวันฝันร้ายตาม.. ให้รู้ห่างรู้ถอย มิน้อยใจ. หวังเพียงฟ้าดินอินทร์พรหมคงรับรู้ ด้วยเข้าใจ ในน้ำใจใสหยาดเย็นแห่งเรานั้น ก็เพียงพอก็พอใจ และ... ทุกสรรพสิ่งจักจบด้วยความ วาง ว่าง เพียรเพียงรักษาดวงจิตชีวิตเรา ให้งามกระจ่างสว่างสงบเพียงลำพัง ดับเมฆหมองหม่นมัวพายุแรงฟ้าสลัว. ด้วยพลังธรรมแห่งงามปิติเกษม..นะภายใน..จิตใสของเราเอง ให้โชติช่วงดั่งรวงแสงดาวราวแสนดวงในว่ายเวิ้งกาแลคซี่ ที่จะพลีพร่างรัศมีไสวฉ่ำเย็นชัชวาลย์ มิมีวันมอดดับ เฝ้าพลี ดับร้อนเร่า ในทุกดวงใจที่ได้มาเคียงชิดใกล้ ได้มารับหวังหวานพลังใจกำลังใจ แห่งรักนิรันดร์ฝันพลีปันพลี ดั่งมิ่งมิตรน้องพี่ ดั่งคำสาปสวรรค์แต่ปางก่อน มาย้อนรอยจำมาย้ำรอยใจ..ให้ไม่แปร.. ให้รู้สัจจะธรรมชีวีที่แสนเที่ยงแท้แน่นอน ว่าเรามีเชิงตะกอนรอร่าง มิห่างกันไกล สักกี่วันกี่เดือนปี..ที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่ และ...จักไม่มีวัน.. ที่ใครจะล่วงล้ำก้ำเกินเข้ามาทำร้ายได้ เพราะเราดั่งมีเกราะบุญเกราะเพชร คอยกางกั้นปกป้องดั่งร่มฉัตร คุ้มผองภัยตราบไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ไปตราบจนชั่วนิจนิรันดร์ ....................... และมาตรแม้น ศรีตรัง..จะเติบโตมากับความยากไร้ หากรายรอบเรือน ก็เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานาพรรณพื้นบ้านหลายชนิด ที่ณ..วันนี้...ศรีตรัง..เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมครอบครัว ปู่ย่าตายายแม่พ่อศรีตรัง จึงมีเรือนไม้ร่มรื่นมืดครึ้มด้วยพันธุ์ไม้ดั่งไพรพฤกษา และ ให้มีแต่เสียงนกกา ที่พากันมาทำรัง ไม่เว้นมวลหมู่แมลงภู่ผึ้ง มาร่อนร่ายกรายคลึงกลางกลีบเกสรบัวในบึง เคียงวิมานดินวิมานไพร *กระท่อมแสงทอง* ได้มาอาศัยร่มไม้ใบบุญบังร่าง.. ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง แห่งโลกวัตถุศิวิไลซ์ *ที่หมุนไปหมุนมาชักมีแต่*ป่าปูน*ให้แสนอาดูรพูนเทวษ* ให้โลกนี้ยิ่งนับวันแล้งไร้สีเขียว ที่ราวไพรพฤกษ์ ให้ในยามดึก ยังได้ยินเสียงดุเหว่าไพรแว่วหวาน ให้จิ้งหรีดกรีดเสียงประสาน เรไรร่ำคร่ำครวญครางหา..*ศศิวาริณ * *สายแสงจันทร์จากสายน้ำรักแสนหวาน ที่ปานประหนึ่งหยาดพรายจากธาราสวรรค์สายน้ำผึ้งพระจันทร์ ............ และ ราวอารัญไพรใน..แดนดินด้ามขวานทอง ที่ยังมีป่าเขาเงาเงื้อมห้วยละหานลำธารใส มี...วนอุทยานไพรหลากหลายชีวพันธุ์พืชที่หายาก ที่ยัง สามารถนำมาใช้ *เป็นสีธรรมชาติในการทอผ้าพื้นบ้าน* อันคือ*งามละเมียด ที่จักสะท้อนถึงวัฒนธรรมวิถี ชีวิตสังคมและสิ่งแวดล้อม มาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคนอายุขัย ให้ยังคงค่าค้นหาค้นพบ ไม่เพียงเพียรแต่ได้ภูมิปัญญา ในเรื่อง..*พืชพันธุ์ที่ให้สีธรรมชาติ..*คืนกลับมา เหล่าช่างทอ ที่หันมาหาสีธรรมชาติยังเกิดความภาคภูมิใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสืบค้น และการสานต่อภูมิปัญญาที่มีมาแต่ดั้งเดิม และ... ที่สำคัญ คือพวกเขาเข้าใจถึงความแตกต่าง และ ความหลากหลาย *ใต้กฎกติกางามเงาเงื้อมของสีธรรมชาติ* ที่ฟ้าประทานพรให้มา ที่สร้างสรรให้ในแต่ละท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา หรือริมทะเล ต่างก็มีสีธรรมชาติ *สีของโลก* ให้มนุษย์นำมาใช้ได้ทั้งสิ้น พืช ที่ศรีตรังแสนทึ่ง และ เมื่อยิ่งได้มาศึกษาสาขาสิ่งทอและ ได้อ่านบทความ *จากคุณเจียนละออ ยอดนักเขียนในดวงใจ* ที่ได้พาไปสัมผัส ความงามยิ่งใหญ่ ในวิถีไทยพื้นถิ่นย่านบ้านเกิดเมืองนอนรังเก่าของศรีตรังเอง ที่ทำให้ศีรีตรังพลอยได้รับรู้ข่าวสาร ความงามที่สถิตตรึงตรารู้คุณค่างาม อยู่ณ..บ้านภายใน จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ยามวัยเยาว์ ในดวงชีวาของศรีตรังนี้ ที่นับตั้งแต่ลืมตาดูโลกมาก็ว่าได้ กับ..*งามดวงใจใครเล่ารู้นี้* ที่พลีภักดิ์ซ่อนซุก ทุกเรื่องราว อันคือแสนหวานงามอะคร้าว อย่างซาบซึ้งถึงบึ้งนวลใจ ในรสชาติรู้สึก ด้วยใช้เพียงดวงใจใสใสดวงนี้ร่วมดื่มด่ำรำลึก ที่แสนประเทืองประทับใจ ไปทายทักสัมผัสงาม อย่างยากจะรำพันฝันฝากใคร ให้เข้าใจได้อย่างละเอียดละออพอ ขอเพียงแสนรักเอยแสนรักในกมล ทุกงามวัฒนธรรมไทย..ขนบประเพณีไทย ศิลปไทย.. งานผ้างานถักสาน งามแกะสลัก ในทุกสาขาแขนง อันคืองามกว่างาม จากสมองสองมือนี้ที่แสนหยาบกร้านผ่านงานนา หากทว่ายังมีพลังสรรสร้างโลกหมุนโลก ดับแล้งไร้ จากมือที่สิ้นไร้ปูดโปนด้วยเส้นเอ็น แห่งความเหนื่อยยากบากบั่นสู้ฝันสู้ทน งานงามที่ถ่ายทอดถักทอ มาจากพลังภูมิปัญญา จากความยากไร้ หากรู้คุณค่าการใช้ชีวิต อย่างสงบงาม อย่างพอเพียงอย่างเพียงพออย่างสมถะไทย ด้วยหัวใจ ด้วยเลือดเนื้อและความรัก ให้งามนักงามละมุนละเมียดให้ ทุกดวงใจได้สัมผัสที่จักร้อยรัดได้ด้วยใจต่อใจ จนเกินจะหาคำกล่าวใดมาสรรเสริญ คงเกินค่า กว่าคำคารวะศรัทธา และ เกินค่าคำรักแสนรักเสียเป็นยิ่งนักแล้ว ................ และ ล่างนี้คือบทความของคุณเจียนละออ กล่าวถึง*แม่สีในวิถีธรรมชาติในผ้าทอพื้นบ้านไทย* ในวันนี้...... ที่ศรีตรังไม่เคยคิดเลยว่า พืชสวนต่างๆนั้น สามารถนำมาเป็นแม่สีธรรมชาติ ในการย้อมมัดได้ เช่นสีเหลือง... ที่จะได้จาก มะพูด ขมิ้นชัน ย่านขมิ้นฤษี ย่านผ้าร้ายห่อทอง ว่านพระ ส่วน... พืชที่ให้สีดำต้นจิก ต้นเงาะ และมะม่วงหิมพานต์(หัวครก) เปลือกต้นก่อ ลูกมะพลับ และใบจิกนา สำหรับสีแดง ได้มาจาก ต้นชาด ต้นคำแสด และดินแดงและหินแดง ซึ่งมีให้เห็นในงานจิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์ในวัดโบราณ และ สีน้ำเงิน ได้มาจากย่านคราม ครามถั่ว ครามแดง(ฮ่อม) และ ที่บ้านเนินธัมมัง อ.เชียรใหญ่จ.นครศรีธรรมราช ไม่ไกลจากบ้านศรีตรังนัก ได้พบว่าการนำใบคุระมาย้อมบนเส้นฝ้ายจะได้สีดำสนิท ส่วน ต้นย่านมันแดง ก็ให้สีเหลืองถึงสีเขียว..ซึ่งเป็นการพบสีธรรมชาติจากเขตป่าพรุ ริมน้ำปากพนัง ที่ยังไม่เคยได้รับการพูดถึงในวิถีดั้งเดิม เช่นเดียวกับบ้านห้วยพุนที่สุราษฎร์ธานี ซึ่งกลุ่มแม่บ้านไทยมุสลิมรุ่นใหม่ ที่รวมตัวกันทอผ้าฝ้ายยกดอกด้วยกี่กระตุก ก็สามารถ สร้างสรรสีธรรมชาติได้หลากหลายแปลกตา จากพืชพันธุ์รอบตัวริมทะเลปากน้ำท่ากระจาย ช่างทอได้สีแดงสวยจาก *ฝายจาก*และ ตะบูนแดงส่วนสีเขียวสดนั้นได้จากใบสาบเสือ ที่..*คีรีวง..* ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้นำ ในด้านการใช้สีย้อมจากธรรมชาติในภาคใต้ นอกจากเป็นแหล่งย่านครามและฮ่อม ที่ให้สีน้ำเงินตามธรรมชาติแล้ว ยังมี... การทดลองนำพืช *สวนสมรม* (สวนที่ปลูกพืชผสมผสานกันหลายชนิด) เช่นเปลือกลูกเงาะและเปลือกฝักสะตอ มาย้อมสีให้ดำสร้างสีแดงครั่งผสมสีส้มแขกบนไหมเป็นต้น บางอย่าง ที่ช่างทอภาคใต้ค้นพบจากความพยายาม *คืนสีธรรมชาติให้ผืนผ้า*นั้น ก็เป็นการหวนกลับ ไปหาภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เคยละเลยไป.. อย่างที่.. บ้านนาหมื่นศรี ซึ่งยังคงสืบทอดการทอผ้า ด้วยกี่พื้นบ้านทำให้ได้ผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ *คือผ้า ยกดอกลายลูกแก้ว* และ *ผ้าลายชิงดวง*มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ การย้อมเหลืองจากว่านพระว่า ผ้าที่ย้อมจะได้สีเหลืองที่งดงาม เมื่อผสมกับน้ำด่างขี้เถ้าต้นพริก รวมทั้งแก่นขนุนทอง ยอบ้านและยอป่า นอกตจากนี้ยังพบว่า *นาหมื่นศรี*นั้น เป็นแหล่งของ *ย่านผ้าร้ายห่อทอง ซึ่งคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ในชุมชน เคยนำมาย้อมให้สีเหลืองและต้นมะเกลือซึ่งให้สีดำ ส่วนที่ *ชุมชนบนคาบสมุทรสทิงพระ *ซึ่งเป็นชุมชน..*คนขึ้นตาล* อยู่ร่วมกับชุมชนชาวนา และ ชาวประมงพบภูมิปัญญา *ย้อมหมัก* ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ผ้าพื้นบ้าน มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและทนทานขึ้น โดยนำผ้าฝ้ายขาวทอมือเนื้อหนา มาหมักแช่กับเปลือกต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ตำละเอียด อย่างน้อยหนึ่งคืนจนผ้ามีสีออกน้ำตาลไหม้ จากนั้น *นำไปหยียบโคลนดินเหนียวหรือโคลนเล(โคลนทะเล) และ นวดผ้าให้เข้ากับโคลน แล้ว หมักผ้ากับโคลนหนึ่งคืน ก็จะได้ผ้าย้อมดำจากการย้อมหมักมาใช้งาน สำหรับกลุ่มชาวไทยมุสลิม *บ้านท่ากระจาย *ที่ยังรักษาสืบทอดการทอ*ผ้าไหมพุมเรียง* อันลือชื่อก็ค้นพบสีธรรมชาติที่เคยเป็นภูมิปัญญา ที่ขาดหายไปถึงสองชั่วคนคือ...*สีตะบูนแดงบนไหม* บ้านท่ากระจาย ยังมีผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือ*ผ้าซิ่นหน้านางไหมยกดอก* ผ้าดอกจุ้ม(เทคนิคการจุ้มดอก หรือยกดอกที่มีการรื้อฟื้นขึ้นใหม่) และ ผ้าขาวม้าราชวัตรโคม... ........... ที่ภายในหนึ่งปี ค้นพบมากมายจากสี*วิถีธรรมชาติ* ที่พวกเขาเข้าใจถึงความแตกต่าง และ ความหลากหลายใต้กฎกติกาของสีธรรมชาติ.. ที่สร้างสรรให้ในแต่ละท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา หรือริมทะเล ต่างก็มีสีธรรมชาติ *สีของโลก* ให้มนุษย์นำมาใช้ได้ทั้งสิ้น ....................... ศรีตรัง...รจนาเรื่องนี้ ด้วยซาบซึ้งใจ และ... ตั้งใจ มอบพลีบรรณาการกำนัลแด่ทุกดวงจิตวิญญาณ ที่ยังมีใจไหวหวามละเมียดละมุน รู้ค่า รักงานงามผ้าไทยผ้าทอพื้นบ้าน และ ด้วยดวงใจใสงาม ที่หวังด้วยใจ ด้วยความรักปรารถนาดีมากมาย อยากเห็นและให้กุลสตรีไทย ได้หาโอกาสสวมใส่ และ ช่วยกันรู้รัก..อนุรักษ์ไว้ เพื่อสืบสานเป็นดั่งตำนานแห่งแผ่นดิน ที่ณ..วันนี้ มีแสดงนิทรรศการผ้าทอไทยจากภูมิปัญญาวิถีไทย ที่แสนน่าจะภาคภูมิใจ ที่มิน่าจะให้ผ่านตา ที่ใกล้ๆพระที่นั่งวิมานเมฆ ใครอยากไปสัมผัสงาม อันมลังเมลืองจากสมองสองมือชาวนาชาวบ้านชาวไพร และ พาดวงใจใสใสไปซาบซึ้งซ่านเก็บเกี่ยวหวานงาม ถึงวิถีภูมิปัญญาไทย *ในผ้าทอพื้นบ้าน*ที่งามตระการจรัสเจรืองจรุงใจ ผ่านวันเวลา กาลเก่าก่อนย้อนยุคสมัย.. *ที่คือสะท้อนไทยสะท้อนทองจากเส้นทางสายไหมสายใยฝ้าย* ให้ได้เคล้าคลึงใจ ได้เคียงคู่คลอจิตวิญญาณทุกคนไทย ให้คู่ใจคู่บ้านเมืองไปตราบนานเท่านาน ก็จงอย่ารอช้า นะทุกคนดีทุกดวงใจ แล้วอาจจะได้พบกับ... *ศรีตรัง* ผู้หญิงอ่อนหวาน ที่รักเรื่องราวโบราณทุกราวเรื่อง ซ่อนร่างในผ้าไหมไทยลายยกดอกพิกุลผืนงาม จากช่างทอพื้นบ้านพุมเรียง.. พร้อม ทัดดอกพุดซ้อนสีขาวเสียบริมแก้มแซมผมสยาย.... กำลังชมงานงาม ด้วยน้ำตาซึมซึ้ง ด้วยดวงใจแสนล้ำลึกด่ำดื่ม อย่างแสนภาคภูมิ...ลำพัง.. .................. ...................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html บัวกลางบึง อนาถเหลือล้ำ บัวบานเหนือน้ำ อยู่ห่าง คน ลับตาอยู่จน กลางบึง ได้แต่ชะเง้อ ละเมอ รำพึง เจ้าอยู่ถึงกลางบึง ปล่อย ให้ผึ้ง เชยชม แดดส่องผิวน้ำ บัวพลอยหมองคล้ำ ด้วยแดด เผา สีเจ้าก็เศร้า ด้วย ลม ตกดึก น้ำน้อย นอนคอยคนชม เจ้าต้องคลุกโคลนตมกลีบ ที่บ่ม โรย รา บัว น้อย ลอยอยู่กลาง บึง ครั้นคนเอื้อมไม่ถึง มีฝูงผึ้งบินมา อยากพักพิงบนหิ้งบูชา เขาไม่ปรารถนา แล้วจะว่าเขาแกล้ง โธ่ อยู่ไกล หนักหนา ดั่งซ่อนหลบตา แอบแฝง หากปล่อยทิ้งไว้พอใจแมลง สิ้นกลิ่นสีโรยแรง แล้วคงเหี่ยวแห้ง คา บึง...
15 มิถุนายน 2548 12:48 น. - comment id 480200
ผลงานงามๆของพี่พุดมาให้ได้อ่านกันอีกครั้ง........ชื่นชมเลยค่ะพี่พุด.......ยังให้ความรู้อีกด้วย...... แต่เจ้าดอกศรีตรังนี่นะมันเคยมีความหมายกับแก้วนีดามาก่อนค่ะพี่พุด........ก็หนุ่มหล่อของจ.ตรังเขาเคยมาบอกชี้ชวนให้ดู......ว่านี้คือดอกไม้ประจำจังหวัดของเขา....คิกๆๆๆ.......แถมยังมาขอความรักอีกด้วย...5 55...แต่คำตอบแก้วนีดาคิดว่าพี่พุดคงจะรู้นะค่ะว่า....คืออะไร.......ไม่งั้นแก้วนีดาก็คงไม่มาอยู่ที่นี้ตรงบ้านกลอนไทยหรอกจ๊ะพี่พุด...เฮ้อ....พูดไปแล้วก็คิดถึงเขาขึ้นมาแล้วสิค่ะพี่พุด.....
15 มิถุนายน 2548 13:40 น. - comment id 480236
เอ้อ!! กว่าจะอ่านจบยาวมากเลยครับ คุณพุด แต่เมื่ออ่านถึงบรรทัดสุดท้ายแล้ว ชื่นใจไปกับตัวอักษร และ ความรู้ที่ได้รับ จากงานเขียน ของคุณ
15 มิถุนายน 2548 14:47 น. - comment id 480253
พี่พุดจ๋า แวะมาอ่านงานยาว ๆ อีกทั้งเป็นงานที่งาม ยามเล่าเรื่องคงมีความสุขมากนะคะ อยากเป็นคนนั่งฟังค่ะ
15 มิถุนายน 2548 18:07 น. - comment id 480318
15 มิถุนายน 2548 19:01 น. - comment id 480336
15 มิถุนายน 2548 20:12 น. - comment id 480362
สวัสดีครับคุณพุด งานของคุณพุดยังคงรักษ์มาตรฐานการจรรโลงใจของรักษ์รักได้อย่างดุษฎีเลยนะครับ โดยเฉพาะงานนี้เป็นความรู้สำหรับการต่อยอดทางด้านวรรณกวีของผมได้เป็นอย่างดี เห็นความตอนหนึ่งพูดถึงลม ผมเองข้องใจอยู่เสมอๆ ว่าเกลอกวีทั้งหลายในนี้มีงานจำพวก \'ลมลวง\' ออกมาเสมอ จนเมื่อมีโอกาสได้อ่านอนุทินของพี่คนหนึ่งที่ผิดหวังในความรัก(ซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษ) จึงเข้าใจในปรัชญาเกี่ยวกับ ลม มากขึ้นมาหน่อย - - - - - - - - - - - - ความรักหรือต่างซึ้ง ลวงลม มีเล่ห์มีคารม ลิ่วร้าย ยามโชยชื่นอกชม เชยชุ่ม ละไมจิต ละม่อมกล่อมละม้าย รักเร้นเย็นยิน ยามผินแผ่วพ่ายพ้น กมลมาน กรรโชกโบกตระการ สาดแสร้ง สะบัดพัดประหัดประหาร ลวงแล่ แดดวง ทวยทุ่มหฤทัยแจ้ง รักซ่อนร้อนราน รักหรือลมลิ่วร้าย ลางเย็น ลางนิ่งลางนาทเน้น ย่อยย้าย ดังลมเรื่อยเอื่อยเอน ก้านกิ่ง โกมล ยามพุ่งพินาศร้าย แสบเศร้าสลดแสน - - - - - - - - - - - - ความตอนหนึ่งที่คงจะเปรียบเป็นอัญมณีศรีสรรพ์ที่ปรากฏอยู่ในถ้อยรจนานี้ ก็คือสีสันจากไพรพฤกษา โยงไปถึงอาภรณ์อันละเมียดละมุนของชาติสยามเมื่อบรรพกาล - - - - - - - - - - - - โยงไหมมัดสบเส้น สมุนไพร ประกบเก็บเนื้อใน เยียบย้อม เผยพรรณสมานไหม เข้มอ่อน ทอนทาง ทอกลีบห้าก้านล้อม พร่างพื้นผืนปูม ห้อมห่มสมนิ่มเนื้อ นารี ผ้าแถบพันกันศรี เน่งน้อง เก็บชายกลัดปลายมี ปราณีต ตระกองตาดตะพายคล้อง เพียบพร้อมสกุลนาง ผ้ายาวสาวนุ่งรั้ง นอกเรือน จับจีบชายผ้าเบือน รวบหน้า ขมวดปลายร่นหลังเลือน กรอมกลีบ จึ่งเหน็บเก็บกลัดผ้า นุ่งเนื้อเผือพรรณฯ - - - - - - - - - - - - ช่วงนี้ผมสนใจความเป็นไทยในทุกแขนง จึงรู้สึกยินดีจริง ที่เปิดเข้ามาแล้วเห็นงานของคุณพุด เข้ามาอ่านก็ไม่ผิดหวังเลย - - - - - - ได้ยินเกลอกวีท่านอื่นๆ เรียกคุณพุดว่า พี่พุด อนุกวีคนนี้จึงอยากจะเอ่ยคำนั้นเพื่อร่นช่องว่างให้แคบลงบ้าง เพราะด้วยวัยแล้วก็อนุมานไปว่าคงน้อยกว่า (เพิ่งเป็นบุคคลที่ได้รับสิทธิ์บรรลุนิตภาวะตามกฏหมายยังไม่ถึงปี) - - - - - - รักษ์รัก..ลักจ๊วบ
15 มิถุนายน 2548 21:38 น. - comment id 480397
15 มิถุนายน 2548 22:51 น. - comment id 480420
น้องๆที่แสนน่ารัก พี่พุดขอตอบรวมนะคะ ด้วยความขอบคุณและแสนซึ้งใจมาก ในน้ำใจ ที่ยังมาให้กำลังใจ พี่พุดค่ะ น้องแก้วนิดา...พี่พุดชื่นใจจังค่ะคนดี น้องมัดหมี่...ที่แสนน่ารักนักหนาแล้วในดวงใจพี่พุดที่ใจแสนใสงามมากล้นน้ำใจค่ะ น้องซอนย่า..ที่กลับมาจากแดนไกลแล้ว คุณบาเรนห์ คุณรักษ์รัก..เป็นเกียรติมากที่แต่งบทกวี ให้อย่างงามมากค่ะ งามเกินกล่าว ค่ะ และ คุณลัก..ษะ..มะ..ณะ...ที่ยังไม่ลืม นะคะ พี่พุดไปวัดไชยวัฒนารามมาค่ะ ไปนั่งสวดมนต์จนใกล้ค่ำ และ ไปนั่งทอดตาทอดใจ ดูสายน้ำรักนิรันดร์ค่อยๆระรินไหล อย่างช้าช้าอย่างอาลัยอาวรณ์ หน้าพระตำหนักสิริยาลัย ที่แสนสงบงามในท่ามแมกไม้ไทย จนตะวันพลบตะวันตกดินตรงหน้า กับฟากฟ้าที่แสนงามราวเรียวรุ้ง ราวในเรื่อง สไบนวลสไบนาง ที่พี่พุดเคยถอดจิตถอดใจรจนาฝากไว้ ให้ทุกดวงใจในร่มรักได้อ่านผ่านตา หวังฝากประทับใจ ดูนกกาโผผิน ด้วยดวงใจเหว่ว้าดายเดียวราวย้อนยุค และได้ไปกราบพระอัฐิ ที่ฝังพระศพเจ้าฟ้ากุ้งค่ะ และ พีพุดรจนาเอาไว้ค่ะยังมิจบ รอติดตามนะคะ ในแสงเรื่อเรืองรัศมีของทิวาวัน ที่กำลังผันดวงลงเรี่ยต่ำ ยอดเจดีย์วัดไชยวัฒนาราม ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดดำเพนท์พิมพ์ลายดอกไม้ สดสะพรั่งด้านหน้า ยาวกรอมเท้า ใส่หมวกถักลายลูกไม้สีขาว กำลังค่อยๆก้าวเดินอย่างช้าช้า ผ่านลานลีลาวดี ที่กำลังส่งกลิ่นหอมระรินสะพรั่งพร่างไปทั่ว และดวงดอกปลิดโปรยโรยกรายแลละลานตา ตรงลานหญ้า ราวถูกประดับด้วยมนตราแห่งหวานเศร้าร้างลาแรมให้แสนอาวรณ์อาลัย ทุกย่างก้าวรอยย่ำบนศิลามณีที่นะบัดนี้สึกกร่อนไปกับกาลเวลา ทุกศิลาที่ประดับเป็นพระปรางค์ปรา เจดีย์ ยิ่งพาให้ใจดวงเหว่ว้า นัยน์เรียวตาซึมซึ้งราวมีหยาดน้ำผึ้งกำลังจะหยดรินรดบนเรียวแก้มพลีทุกนาที กับมหัศจรรย์ความงามนี้ที่ยากบอกด้วยคำ หากจักสัมผัสได้ด้วยพลังแห่งความรักอันล้ำลึกดำดื่มอย่างปลาบปลื้มปิติเพียงนั้น ราวกับสวรรค์ แลฟ้าดินประทานพร ให้หัวใจอ่อนหวานในร่างอรชรได้รับรู้รับทราบเพียงลำพัง เธอ..เดินช้าช้าเข้าไปภายในเบื้องพระวิหารรายและ หยดร่ำไห้เมื่อแหงยเงยไปเห็นองค์พระพุทธ ที่นะบัดนี้ไร้เศียร ขอฝากความเข้าใจถึงคุณรักษ์นะคะ สำหรับพี่พุด ยินดีค่ะที่คุณรักษ์ให้เกียรติ เรียกพี่ ตามสบายนะคะ และ ในชีวิต พี่พุด ไม่เคยลวงใครค่ะ ยิ่งรักมากยิ่งให้รู้จักใจเลยค่ะ หากในงานรจนาบางครั้งคืองานจินตนาการ ค่ะห้ามนำมาเกี่ยวพันกัน เพราะฝันคือฝัน พี่พุดมิใช่นางเอกค่ะ และ พี่พุดไม่ค่อยมีเวลาแชทกับใครเลยค่ะ นานมากเลยจะปีแล้ว และ บางครั้งก็อัพเดทข่าวไม่ทัน เพราะอยู่ลำพังห่างโลกมายาฝันมากค่ะ และคอมพี่พุดไม่ดีค่ะ บางทีช้ามาก ก็ทนทำงานใช้ไป เพราะรักนะคะ จึงอยากขออภัยนะคะ ทุกดวงใจที่ราวกับไม่ค่อยได้พบพานพี่พุดค่ะ ให้อ่านเพียงงานนะคะ และพี่พุด ชอบชีวีดายเดียวที่แสนเงียบงาม สงบสุขค่ะ ด้วยความรักล้นใจค่ะ
11 สิงหาคม 2548 15:59 น. - comment id 502743
denaเพิ่งเป็นสมาชิกใหม่.เข้ามาอ่านบทความ,กลอนของคุณหรือพี่พุดแล้วชอบมากคะ.denaฝึกนั่งสมาธิมาหลายปีแล้วและจิตได้สัมผัสกับความว่างเปล่าแล้วเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายให้ใครรับรู้.ต้องสัมผัสเองคะ