ที่บ้านฉัน เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเรื่อย-เรื่อย หากฟังดี-ดีแล้ว..เป็นเสียงของพ่อ พ่อที่กำลังตะวาดฉัน ตะคอกฉัน อย่างไม่รู้เอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาดุ มาด่าว่าฉัน และหากหลับตาแล้วฟังฟังดี-ดี มันเป็นเสียงของแม่.ที่กำลังร้องไห้อยู่ข้าง-ข้างฉัน ทั้งสองเสียงเริ่มค่อย-ค่อยเบาลง.เบาลง..จนสงบ หากมีแต่เสียงสะอื้นของฉันที่จมปรักกับคำดุด่าของพ่อ มันแสนแสบสะท้านไปถึงสุดขั้วหัวใจ อยากจะต่อต้านคำดุด่าว่านั้นให้พล่านรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย แต่ทำได้เสียที่ไหน.ละ ฉันเผลอคิดไปซะไกล.ถ้าหากไม่มีเสียงโทรศัพท์มาฉุดรั้งความคิดของฉันไว้ ฉันคงไปถึงดาวอังคารนู้นล่ะ สวัสดีครับ ฉันรับสาย อิงค์หรอ..ออกมาหาฟ้าหน่อยสิรอที่สะพานนะ หากฉันไม่โดนพ่อดุก่อนหน้านั้น.ฉันคงจะยิ้มและตื่นเต้น ที่จะได้เจอฟ้าอีกครั้งหลังจากที่เราไม่ได้เจอะเจอกันมาเป็นปี ทิ้งแค่คำสัญญาไว้ว่าเราจะมาพบกันอีกครั้ง ที่นี้ ที่ตรงนี้ ที่-ที่สะพานแห่งความหลัง ครั้งเราเคยเก็บไว้ในความทรงจำ ฉันเดินมาจนถึงสะพานเห็นฟ้าเธอรออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว เราหยุดจ้องมองหน้ากันสักพัก 4ปีแล้วนะที่ฉันไม่ได้เจอะเจอฟ้า ฟ้าเองก้อยังสวยไม่เปลี่ยนเลย สวยกว่านางฟ้าเสียอีก แต่แววตาฟ้า..เธอเปลี่ยนไป ฉันยืนหยุดนิ่งอยู่ไม่นาน ฟ้าก้อวิ่งเข้ามากอดฉันแล้วร้องไห้เหมือนเด็กตัวเล็ก-เล็ก ที่ทำผิดแล้ววิ่งเข้ามาหาให้ปลอบโยน ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไง อยู่ดี-ดีฟ้าก้อร้องไห้ ก้อได้แต่เอื้อมมือไปลูบผมฟ้าแล้วก้อพูดว่า เป็นอะไรไปแม่สาวคนเก่งของฉัน ที่ปลายสะพานมีต้นมะขาม2ต้นติดกัน ใต้ต้นมะขามนั้นจะมีม้านั่งทางยาวอยู่1ตัว ที่-ที่ฉันเคยมานอนหนุนตักฟ้ากับเรื่องราวความฝันที่เราร่วมกันแต่งแต้ม และวาดหวังไว้ว่า..เราจะมาร่วมกันเดินทาง กับวันนี้ใต้ต้นมะขามต้นเดิม..ม้านั่งตัวเดิมฉันยังนอนหนุนตักฟ้าเหมือนเดิม แต่เรื่องราวไม่ใช่ความฝัน หากแต่มันเป็นความจริง อิงค์เรียนจบแล้วยัง ฟ้าถามฉันด้วยถ้อยเสียงเศร้า เราโดนไล่ออกมานอนเล่นแล้ว.ฉันตอบแล้วเป่าผมตัวเอง ฟ้าเธอเงียบไปสักพัก อยู่-อยู่น้ำตาฟ้าก้อหยดลงมาเปื้อนแก้มไหลลงมาถูกผมฉัน ฉันลุกขึ้นนั่งทันที ฟ้าเป็นไร.ฉันถามเสียงอ่อน ทำไม ไม่เรียนให้จบหล่ะทำไมเหรอ รู้ไหม.พ่อให้ฟ้าหมั่นแล้วนะ ฉันสะดุ้งกับคำที่ฟ้าบอก ฟ้าหมั่นแล้ว.. มันเหมือนมีอะไรมาทำให้ฉันต้องหยุดลมหายใจไว้ชั่วขณะ หูฉันอื้อไปหมด ฟ้าโผเข้ามากอดฉันทั้งน้ำตา ฟ้าไม่อยากหมั่นเลย.ฟ้ารัก..ฟ้ารักอิงค์ ฉันรู้สึกใจมันลอยหวิวสั่นสะท้านหวั่นไหว ชาไปหมดทั้งตัว มันพูดไม่ออกเลยจริง-จริง ฟ้ากอดตัวฉันแน่นเลยทีเดียว เราเคยสัญญานะก่อนจะจากกันไปเรียนเราจะรอกันและกัน แต่วันนี้มันทำให้ฉันถึงกับน้ำตาคลอเลยทีเดียว ฉันค่อย-ค่อยดันตัวฟ้าออก.แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มฟ้า ฉันได้แต่บอกกับฟ้าว่า .ดีแล้วล่ะ ฟ้าจะได้เจอคนดี-ดีไง ฉันพูดไม่ค่อยเต็มเสียง กับคำปลอบโยนที่ฉันไม่เต็มใจนัก แล้วจะมีใครรู้บ้างไหมว่า ความรักของฉันมันเดินทางมาร่วม10ปี ฉันเฝ้ารอความรักนี้มานาน นานด้วยความหวังที่เรายังรักกัน หากแต่วันนี้10ปีที่ผ่านมา มันต้องเสียเปล่า แต่ฉันก้อดีใจนะที่เห็นคนที่เรารักได้เจอกับสิ่งดี-ดี นี้มันเป็นสิ่งที่คนรัก เขาควรทำกัน.ใช่ไหม แม้จะไม่เต็มใจเลยก้อตามอย่างนั้นหรือ..? ฉันกลับมานอนที่ตักฟ้าเหมือนเดิมพร้อมกับฟังเรื่องราว ที่เธอไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ.. ฟ้าเองก้อเรียนไม่จบเหมือนกัน ฟ้าเรียนได้3ปี ก้อต้องออก เพราะฟ้าเป็นห่วงแม่ ปัญหาเรื่องทางครอบครัว พ่อของฟ้าแต่งงานใหม่ และฟ้าคงจะเสียใจเป็นที่สุดที่โดนพ่อดูถูกสารพัดกับการเรียน ซึ่งฉันเองก้อรู้ซึ้งดี พ่อของฟ้าเลยให้ฟ้าหมั่นกับ ส.ส.หนุ่มรุ่นใหญ่ที่มีสัตว์เลื้อยคลานบนหัว ฉันรู้สึกไม่ดีเอาสะเลยอยากจะบอกพ่อของฟ้าเสียจริง-จริงเลยว่า..นี้มันลูกสาวคุณนะ แต่นั้น ก้อเป็นเพียงความคิดของฉันเท่านั้นเอง เสียงสะอื้นของฟ้า.มันช่างบาดลึกลงไปสุดขั้วหัวใจฉันเสียจริง-จริง มันเจ็บนะ..ที่เห็นคนที่เรารักร้องไห้ต่อหน้าเจ็บแค่ไหนใครเคยคงรู้ดี เย็นแล้ว..เราคุยกันถึงเย็นเลย พระอาทิตย์ยามตกดินนี้ช่างสวยจริง-จริงเลยนะ ว่าไหมอิงค์? ฟ้าถามฉันเสร็จแล้วค่อย-ค่อยแต่งบทกลอนขึ้นมาที่ละนิดให้ฉันฟัง (ฉันยังจำได้ไม่เคยลืมมันเลย) แดดล่มห่มฟ้า..ฟากฟ้าหม่น ได้เยินยลสนธยายามสร่างสาย เคยสว่างสาดแสงแรงมิวาย ยังกลับกลายมืดมิดสนิทคืน ฟ้าบอกให้ฉันต่อกลอนบทนี้แต่ฉันแต่งกลอนเป็นเสียที่ไหนเล่า เลยบ่ายเบี่ยงไปว่า ไว้อิงค์จะมาต่อให้แล้วกันนะ ฟ้าจะรอ ฟ้าย้ำฉันเหลือเกิน นี้เย็นแล้ว..ออกมานานมากแล้วนะ เดี๋ยวก้อโดนพ่อดุหรอก ฉันถามฟ้าด้วยความเป็นห่วง แต่ฟ้ากลับส่ายหน้า วันนี้อิงค์อยู่ที่นี้เป็นเพื่อนฟ้าได้ไหม ฟ้ายังไม่อยากกลับ ที่บ้านป่านนี้คงสนุกกับงานเลี้ยง ส.ส.บ้านั้นอยู่มั่ง ไม่มีใครสนใจฟ้าหรอก ฉันได้แต่เออออไปกับฟ้า เพราะตัวฉันเองก้อไม่อยากกลับเหมือนกัน แล้วฟ้าก้อเล่าต่อไปเรื่อย ไม่รู้สินะฟ้าเล่าอะไรให้ฟังอีก ฉันเผลอหลับไป เพราะฤิทธิ์หมอนนุ่ม-นุ่มของฟ้านะสิ ทำให้ฉันเผลอหลับไป หลับไปนานเลยทีเดียวเลยละ ฟ้าเลยเอาเส้นผมมาแย่หูบ้างจมูกบ้างแกล้งทำให้ฉันตื่น ฉันเองก้อได้แต่เอามือมาปัดหน้าปัดตากับอาการละเมอ พอฉันตื่นก้อได้ยินแต่เสียงฟ้าหัวเราะร่าที่แกล้งให้ฉันตื่นสำเร็จ อิงค์หลับไปเหรอ ฉันถามยังกับตัวเองไม่ได้หลับ. พ่อตัวดี.ฟ้าปวดขาแล้วน๊า คนอะไร.ขี้เซาเสียจริง-จริง นี่2ทุ่มแล้วนา ฟ้าหิวข้าวแล้ว ฉันก้อยังนึกอยู่เลยว่าหลับไปได้ไงเนี้ย ไมไม่ปลุกอะ ก้อฟ้าเห็นนอนหลับปุ๋ยเชียว.ก้อเลยไม่อยากปลุก ไปกินข้าวกันเถอะ ตรงข้ามสะพานอีกฟากโน้นไม่ไกลมากนักจะมีร้านมินิมาร์ทอยู่ร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็ก-เล็กแต่ก้อน่ารักไปอีกแบบเปิดตลอด 24 ชม.เชียว เราสองคนถือถ้วยมาม่าออกมาคนละถ้วยพร้อมน้ำคนละขวดเดินออกจากร้าน กลับมายังสะพานม้านั่งใต้ต้นมะขามที่เดิม แสงไฟสลัว-สลัวบนท้องถนนทำให้เห็นแสงดาวที่กระทบน้ำ เปล่งแสงระยิบระยับทั่วผืนน้ำ..มันสวย สวยมากเลยทีเดียว คืนนี้สวยมากเลยนะอิงค์ อือ ฉันตอบอย่างไม่ค่อยสนนักยังตั้งหน้าตั้งตากินมาม่าอย่างอร่อยต่อ เอาอีกไหม..ของฟ้ายังเยอะเลย ฟ้าอิ่มแล้วล่ะ ฟ้าขยั้นขะยอให้ฉันกินอีก ฉันแอบยิ้มอยู่นิด-นิดแล้วพูดแกล้งฟ้าไปว่า ป้อนอิงค์หน่อยสิ.อิงค์ยังไม่อิ่มเลย ไม่รู้สินะฉันนึกอะไรขึ้นมา..อยู่-อยู่ก้อบอกให้ฟ้าป้อนยังกับเด็ก แต่ฟ้าก้อป้อนนะเธอยังแอบยิ้มอยู่เลย (รอยยิ้มภาพนั้น ยังคงอยู่ในความทรงจำฉันตราบเท่าวันนี้เลย) ฟ้าป้อนคำ ฉันก้อบ่นไปคำ คำนี้หวานไป คำนี้เค็มไป จนเธอหัวเราะ.หาว่าฉันบ้าไปแล้ว ถ้วยเดียวแท้-แท้จะมีหลายรสชาติได้ไง แต่ฉันเองดีใจนะที่เห็นเธอหัวเราะร่า ถึงฉันจะเป็นคนบ้าก้อตามทีเถอะ อ่าอิ่มจัง ฟ้าป้อนเนี้ย..อร่อยไม่ใช่เล่นเลยนะ ไว้วันหน้าจะให้ฟ้าป้อนละ ฉันพูดล้อพลางยิ้มให้กับฟ้า ฟ้ายิ้มตอบ..แล้วค่อย-ค่อยลุกขึ้นเดินไปยังลิ่มตลิ่ง.เธอหยุดนิ่งมองอยู่นาน แล้วก้อแต่งกลอนอีกครั้ง ดวงดาราร่าระริกระรี่ กระทบนทีสว่างไสว จันทร์จ้าวงาม.บนฟากฟ้าไกล กระทบใจ..หวั่นไหวเหลือเกิน วันหน้า.อิงค์คงไม่เจอฟ้าแล้วล่ะ เสียงห้วน-ห้วนของฟ้าหลังแต่งกลอนจบ ฉันเองฟังไม่ค่อยถนัดนักแต่ก้อพอจับใจความได้ ทำไมละ ฉันถามพลันลุกขึ้น แล้วค่อย-ค่อยเดินไปโอบกอดฟ้าทางด้านหลัง แล้วกระซิบเบา-เบา จะไม่มีใครพรากฟ้าไปจากอิงค์อีกแล้ว สายลมหนาวพัดหวน แสงดาวส่องแสงวาววับ พระจันทร์ลอยเด่นสง่าเต็มดวง ทำให้ฉันกอดฟ้าแน่น........อย่างอบอุ่นมันเป็นคืนที่ฉันมีความสุขมาก มีความสุขมากจริง-จริง ดึกมากแล้วเราจูงมือเดินกันกลับจนถึงหน้าบ้านฟ้า ฝันดีนะ เสียงฟ้าลาฉันก่อนเดินเข้าบ้านไป แต่ก่อนฉันเดินกลับ.ฉันแอบได้ยินเสียงพ่อของฟ้าตะโกนเถียงกับแม่ของฟ้า เสียงข้าวของล้นแตกเป็นครั้งคราวและเสียงร้องไห้เสียงร้องไห้แม่ของฟ้า ใจฉันสั่น.หวั่น-หวั่นว่าฟ้าจะเป็นยังไง ก่อนเดินห่างออกไปฉันถึงกับถอนหายใจไปเฮือกหนึ่งแล้วถึงก้าวเดินกลับ สองเท้าก้าวเดินกลับบ้านได้ไม่นาน ในใจฉันกลับกระวนกระวายเป็นห่วงฟ้ามาก ฉันเลยโทรศัพท์ไปหาฟ้า..แต่โทรศัพท์ฟ้านะสิปิดเสียแล้ว ฉันเดินมาเรื่อย แต่ใจก้ออดเป็นห่วงฟ้าไม่ได้อยู่ดี ฉันตัดสินใจกลับไปยังบ้านฟ้าอีกครั้ง คราวนี้ที่บ้านฟ้ากลับเงียบสะงัด ไฟทุกดวงกลับปิดสนิท เว้นเสียแต่ที่ห้องของฟ้ายังมีแสงไฟสลัว-สลัว เปิดทิ้งอยู่ ฉันเลยแอบปีนรั้วเข้าไปข้างใน ห้องของฟ้าอยู่ชั้นล่างยังมีหน้าต่างเปิดทิ้งไว้ ฉันเลยเรียกฟ้าเบา-เบา..ฟ้า..ฟ้า นอนแล้วยัง นี้อิงค์เองนะ ไฟห้องฟ้าเปิดสว่างขึ้น ฟ้าชะโงกออกมาดูตามเสียงฉัน อ้าวอิงค์เองเหรอ ยังไม่กลับบ้านอีก ก้ออิงค์เป็นห่วง.ไม่เป็นไรก้อดีแล้ว อิงค์กลับล่ะ ฉันลาฟ้าไปง่าย-ง่าย เดี๋ยวสิ.! ฟ้ารีบเปิดประตูออกมาข้างนอกพร้อมหยิบของสิ่งหนึ่งติดมือมา อ่ะฟ้าให้อิงค์ ก้อว่าจะให้อิงค์อ่านนานแล้วล่ะแต่ก้อลืมทุกที มันเป็นไดอะรี่เล่มหนา-หนาหน้าปกเขียนเป็นกลอนว่า หากฟ้ายังแอบอิง คนพักพิงก้อคือฉัน เก็บไว้อ่านนะ ฟ้าไม่อยู่อิงค์จะได้คิดถึงฟ้าไง เอาละกลับบ้านได้แล้ว ฟ้าพูดจบก้อจับหมุนตัวฉันหันหลัง.เอามือค้ำไหล่แล้วดันตัวฉันเดินไปข้างหน้า มายังไงก้อกลับอย่างนั้นและ ฟ้าพูดพลางยิ้มแล้วเดินเข้าห้องไป ฉันเลยต้องปีนรั้วข้ามออกมาเหมือนเดิม ฉันเดินกลับบ้านอย่างแปลกใจ ฉันเดินกลับจนถึงบ้าน บ้านฉันเองก้อเงียบสนิท เหลือแต่เพียงไฟหน้าบ้านที่เปิดไว้รอฉันอยู่เท่านั้น พ่อกับแม่ก้อคงนอนหลับกันหมดแล้ว.! ฉันทำใจอยู่สักครู่แล้วเป่าผมตัวเองครั้ง แล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดประตู.. แทนที่จะเปิดประตูเข้าไปได้ ประตูบ้านกลับล็อค เวรกรรม จริง-จริง ทำให้ฉันต้องเป่าผมตัวเองอีกครั้งพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่เลย ฉันไม่กล้าที่จะเรียกแม่ลงมาเปิดประตูให้เพราะมันดึกมากและคงนอนกันหมดแล้ว ฉันเลยต้องนั่งลงกองกับพื้นหลังพิงประตูไว้ ขาเหยียดออกทั้งสองข้าง เอาว่ะ นอนตรงนี้ก้อได้ ฉันได้แต่นึกบ่นในใจ ก้อเลยหยิบไดอะรี่ของฟ้ามาอ่าน. ไดอะรี่ของฟ้าเนี้ย..มันเล่มหนามากเลย ฉันค่อย-ค่อยเปิดอ่านดูหน้าแรกอย่าช้า-ช้า(ไม่ว่านะ) มันเป็นรูปภาพฉัน..ที่แอบนอนหลับอยู่ในห้องเรียน ตอนอยู่ม.2ได้มั่ง ฉันดูแล้วแอบยิ้มไม่เป็นท่าเลย ซ้ำใต้รูปยังเขียนข้อความไว้อีกว่า.เจ้าชายนิทรา (ฉันหัวเราะ) แล้วก้อกลอนต่อท้าย.. ร้อยเสน่ห์มายา..ไร้สิ้นเสียง บริสุทธิ์สำเนียง..ช่างอ่อนไหว หลับตาพัก.ร่อนเล่ห์เสน่ห์ใจ ไร้เดียงสาแล้วไซร้..ใจของเธอ ตอนนั้นฉันเองก้อแปลไม่ออกหรอกนะ เพราะไม่รู้เรื่องกลอนเลยจริง-จริง ได้แต่อ่านไปเรื่อย ลงวันที่ 15 มกราคม 2543 หน้าทัดไปเป็นบทกลอนยาวเหยียด ได้แต่อ่านผ่าน-ผ่านไปเท่านั้นเอง ฉันหยุดห้าวนอนสักครู่แล้วก้อเปิดอ่านหน้าต่อไป มันมีกระดาษแผ่นหนึ่งตกลงมาจากไดอะรี่ มันพับเป็นรูปหัวใจ พอแกะออกมาดู มันเป็นกระดาษข้อสอบของฉัน มีเลขศูนย์ตัวใหญ่อยู่บนกระดาษคำตอบ มันเป็นของวิชาภาษาไทย เชื่อไหมว่าขนาดภาษาไทยน่ะ ฉันยังสอบได้ศูนย์เลย (ฉันถึงเกลียดเท่าทุกวันนี้เลยไง) ฉันเลยหวนนึกถึงวันที่ประกาศผลสอบกลางภาคสมัยก่อน เมื่อครั้งตอนฉันอยู่ ม. 3 ทั้งห้องมีฉันคนเดียวที่สอบตกภาษาไทยแถมยังได้ศูนย์อีกตั้งหาก เพื่อน-เพื่อนต่างหัวเราะกันใหญ่ มันน่าอายเสียจริง-จริง นึกแล้วก้อหัวเราะไม่หยุดเหมือนกัน ฉันก้อเลยฝากกระดาษคำตอบนี้ไว้กับฟ้าเผื่อว่าเอากลับบ้านไปด้วยคงต้องเจอไม้เรียวร้อยวายแน่-แน่ ฉันไม่นึกว่าฟ้าจะเก็บไว้อยู่อีก.ฉันพลิกดูข้างหลัง..ฟ้าเขียนไว้ว่า ก้อเพราะไม่อ่านหนังสือ ไม่ตั้งใจฟังอาจารย์สอนนะสิ เอาแต่แอบนอนในห้องเรียน ได้ไข่ต้มไปกินเลย ตั้งใจเรียนหน่อยรู้ไหม..ฟ้าห่วงนะ ฉันยิ้มรับคำห่วงของฟ้าก้อตอนนี้นี่ล่ะเฮ้ย ลงวันที่ 17 มกราคม 2543 ฉันห้าวนอนขึ้นมาอีกครั้งคราวนี้รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาเสียจริง-จริง แต่มันยังไงก้ออยากอ่านอีกอยู่ดี และหน้านี้เป็นต้นไปมันเป็นเรื่องราวของความรักของฉันกับฟ้า ตั้งแต่เราเริ่มรู้จักกัน ตอนหัวเราชนกันเมื่อครั้งเรียนอยู่ชั้นม.2 เราเรียนรู้ความรักกันมาหลายปีเลยทีเดียว มีอยู่ครั้งหนึ่งความรักของเราเกือบจะสะบั่นขาดลง เมื่อครั้งเราเรียนอยู่ชั้น ม.5 ตอนนั้นเป็นวันลอยกระทง ทางโรงเรียนส่งฟ้าเข้าประกวดนางนพมาจ ฟ้าเธอสวยมากจริง-จริง นางนพมาจคนอื่น-อื่นไม่มีใครสวยเท่าเธอเลยสักคน ฟ้าได้คะแนนกินขาด มีผู้ใหญ่มากหน้าหลายตามาชื่นชมในตัวฟ้าทั้งอาจารย์ เพื่อน-เพื่อน ฉันเองได้แต่เต้นโหยงเหยงโบกไม้โบกมือและให้กำลังใจฟ้าอยู่ห่าง-ห่าง แต่แล้วฉันก้อแอบได้ยินเสียงเพื่อน-เพื่อนของฟ้าเขาพูดกัน ดูสิหมาวัดเห่าแล้วฟ้า จากอาการตื่นเต้นดีใจ ฉันถึงกับหยุดนิ่ง ทบทวนคำที่ได้ยินมาเมื่อกี้อีกครั้ง หมาวัดเห่าแล้ว เราเหรอหมาวัด ฉันถามตัวเองพร้อมกับคำตอบของใจที่มันไม่ลังเลเลย ก้อใช่ เรามันหมาวัด เทียบอะไรกับเธอไม่ได้เลย เธอเป็นคนของทุกคนเธอไม่ใช่คนของฉัน จิตใจฉันในตอนนั้นมันยากจะหนีออกไปไกล-ไกล ฉันจึงออกมาข้างนอกงานแล้วเดินไปยังสะพานที่เดิม พร้อมกับขวดเหล้า..ที่ฉันไม่เคยกินมันเลย.ฉันเดินโซซัดโซเซไปยังม้านั่งใต้ต้นมะขาม ฟ้าคงรู้ว่าฉันเป็นอะไร ทำไมไม่เห็นฉันในงาน เธอเลยฝ่าวงล้อมผู้คนที่มาชมเธอ เดินออกมาข้างนอก ทั้ง-ทั้งที่ฟ้าเองก้อยังใส่ชุดประกวดนั้นอยู่ ฟ้ารีบโบกวินมอเตอร์ไซมายังสะพานทันที ครั้งนั้นฉันกำลังก้มลงอ้วกด้วยพิษเหล้าอย่างหมดแรง อยู่ดี-ดีก้อมีคนมาลูบหลังฉัน ฉันรู้ทันทีเลยว่าเป็นใคร ฉันปัดมือฟ้าออกทันที มาทำไมไปนะ คนอย่างเรา.มันไม่คู่ควรกับฟ้าหรอก ฉันไล่ฟ้า.ถึงกับผลักฟ้าล้มลงกองกับพื้น ฉันชะงักไปสักครู่ อีกใจหนึ่งมันอยากจะพยุงเธอลุกขึ้นมาแล้วก้อบอกคำว่าขอโทษเสียจริง-จริง แต่คำว่าหมาวัดนี้สิมันทำให้ฉันไม่ใจอ่อนเลยสักนิด แถมยังต้องกรอกเหล้าเข้าปากไปอีกอึกใหญ่ ฟ้า..เธอไม่ควรคบฉัน ฟ้าเข้าใจไหม ฉันพูดได้ไม่กี่คำก้ออ้วกออกมาอีกครั้ง คราวนี้ฉันหมดแรงนั่งลงกองกับพื้นเลยทีเดียว ฟ้าเธอเองทั้งร้องไห้ ถามฉันทั้งน้ำตาขึ้นว่า อิงค์กินเหล้าทำไม ฉันเองไม่ตอบตรงคำถามนักแล้วยังบอกฟ้าไปอีกว่า ฟ้า..ถ้าเธอไม่ไปเราไปเอง ฉันพยายามลุกขึ้น ออกเดินได้ก้าว ฟ้าก้อโผเข้ามากอดฉัน ไม่ฟ้ารัก.ฟ้ารักอิงค์ ได้ยินมั๊ยฟ้ารักอิงค์ ฉันยืนหยุดนิ่งอยู่พักใหญ่ บริเวณนั้นเงียบสนิทมีแต่เสียงเพลงที่เล็ดลอดออกมาจากงานเท่านั้น ฉันทบทวนคำพูดของฟ้าอีกครั้ง แล้วก้อค่อย-ค่อยแกะแขนฟ้าออก ฉันหันหน้ามามอง..แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาฟ้าออก คำว่ารักเก็บไว้ให้คนที่ฟ้ารักดีกว่ามั๊ย ฉันพูด..ถึงกับคลอน้ำตาเลยทีเดียว แต่คนที่ฟ้ารัก.ยืนอยู่ตรงหน้าฟ้าแล้ว ฟ้าตอบฉันด้วยน้ำตาแล้วค่อย-ค่อยซบลงตรงไหล่ฉัน ก้อเมื่อครั้งนั้นแหละที่ฉันได้ยินคำว่ารักจากปากฟ้า มันเป็นครั้งแรกที่ฟ้าเอ๋ยคำว่ารักให้กับฉัน ทำให้ฉันเข้าใจอะไรหลาย-หลายอย่างกับความรักที่มันมีทั้งสุขและทุกข์ หากแต่ใครจะทำให้ความรักนั้นให้มีความสุขมากกว่าความทุกข์ก้อเท่านั้นเอง ต่อจากวันลอยกระทงนั่นมาไม่กี่วัน ฉันเพิ่งรู้ว่าฟ้าเขาโกรธกับเพื่อน ที่ว่าฉันในวันลอยกระทงครั้งนั้น และไม่คุยกันอีกเลย ฉันค่อย-ค่อยปิดไดอะรี่ลง หนังตาฉันมันชักหนักขึ้นเรื่อย-เรื่อย ฉันห้าวนอนอีกครั้งแล้วก้อว่างไดอะรี่ลงที่ตัก เป่าผมตัวเองอีกครั้งแล้วก้อบ่นในใจว่า ราตรีสวัสดิ์ คืนนี้ช่างหนาวเสียจริง-จริง..มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันนอนอยู่หน้าบ้านอย่างนี้ แต่มันมีบ่อยครั้งมากที่ฉันนอนเพราะฉันชอบกลับบ้านดึกและพ่อต้องมาล็อคบ้านไว้ เพื่อให้ฉันจะได้จดจำไว้ว่าต้องกลับบ้านให้เร็ว.แต่ฉันก้อไม่เคยเลย.ที่จะกลับบ้านก่อนเที่ยงคืน ฉันเองก้อไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ที่ไหนนะ.ฉันชอบไปที่สะพานไปนั่งตรงม้านั่งนั่น แล้วก้อมองดูแสงดาวที่กระทบกับน้ำดูพระจันทร์เล่นละครกับดวงดาว เพื่อหาคำตอบว่า มันสวยตรงไหน? ฉันหลับไปได้สักพัก ก้อเผลอสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทำให้ไดอะรี่ตกลงจากตัก..ฉันหยิบมันขึ้นมาวางไว้ที่ตักเหมือนเดิม แต่ก้อมีกระดาษแผ่นหนึ่งสอดอยู่ในหน้าสุดท้ายของไดอะรี่มันแลบออกมาฉันเลยดึงมันออกมาดู มันเป็นกลอนเขียนไว้ว่า หากดวงตะวันยังขึ้น-ลง หากฟ้ายังคงไม่เปลี่ยนสี แค่วันหนึ่ง..หนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบนาที ต้องมีวันที่.ที่เราได้เจอะเจอกัน อาการงุนงวยง่วงหลับของฉันหายไปทันทีครั้งอ่านกลอนนี้จบกลอนนี้มันดูทะแมง-ทะแมงชอบกล ฉันรีบเปิดไปอ่านที่หน้าสุดท้ายทันที อิงค์.วันนี้ฟ้ามีความสุขมากที่ได้เจออิงค์อีกครั้ง.. อิงค์ก้อยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ..ยิ้มน้อยแต่ก้อยังเอาใจเก่งไม่เปลี่ยน ฟ้าคงเปลี่ยนไปมากเลยสินะ. ฟ้าขอโทษ .อืม.ฟ้าอยากบอกว่า..ฟ้ายังมีอิงค์อยู่ในใจเสมอ.ไม่ว่าฟ้าจะอยู่ไหน อยากให้อิงค์คิดถึงฟ้าบ้างนะ..รักษาตัวด้วยล่ะ วันใดวันหนึ่งเราคงได้เจอกันเข้าสักวัน. ลงวันที่วันนี้ 23 มิถุนายน 2546 ฟ้า ฉันว่างไดอะรี่ลงทันที และไม่รีรอเลยที่จะลุกขึ้นวิ่งไปที่บ้านฟ้า ในใจฉันคิดอยู่อย่างเดียว ฟ้าจะไปไหน ฉันรีบวิ่งไปที่บ้านฟ้าทันที ในใจยังคิดกระวนกระวายไปเรื่อย ถึงบ้านฟ้าเมื่อไหร่ฉันเองยังไม่รู้ตัวเลย บ้านฟ้ายังเงียบสนิท แต่มีไฟหน้าบ้านเปิดอยู่ ฉันไม่สนใจเลยที่จะกดกริ่งหน้าบ้านด้วยซ้ำ ฉันกระโดดปีนข้ามรั้วเข้าไปพร้อมเคาะประตูร้องเรียก. ฟ้า.ฟ้า.ฟ้า ฟ้าอยู่มั๊ยครับ มีแม่บ้านคนหนึ่งออกมาเปิดประตู คุณ.คุณเบา-เบาหน่อย เสียงบ่นของแม่บ้าน.แล้วก้อตอบฉันทันที คุณนายกับคุณหนูออกจากบ้านหลังนี้ไปแล้วค่า ฉันถึงกับทรุดในอก ได้แต่ถามต่อด้วยความไม่แน่ใจ ฟ้าไปไหนหรือครับ ไม่ทราบค่ะ. แม่บ้านพูดจบก้อปิดประตูกลับเข้าไปเหมือนเดิม ฉันเอง.ก้อยังคิดไปเรื่อยด้วยความหวังลม-ลมแล้ง-แล้ง ฉันวิ่งไปยังสะพานม้านั่งใต้ต้นมะขาม แต่ในความมืดมิดยังคงไม่เหลือเงาใครไว้ไม่มีใครเลย ฟ้าไม่ได้อยู่ที่นี้.และไม่มีใครอยู่นอกจากฉัน.. เกิดคำถามมากมายในตัวฉัน.ที่ฉันไม่รู้ว่าจะตอบมันยังไง ฟ้าไปไหน.? ทำไมไม่บอกฉัน..? จนถึงวันนี้ ฉันยังไม่สามารถหาคำตอบเหล่านี้ให้กับตัวเองได้เลย และถึงวันนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าฟ้าไปไหน ฉันได้แต่นั่งภาวนาให้ฟ้ากลับมายังสะพานม้านั่งใต้ต้นมะขามแห่งนี้อีกครั้ง ด้วยความหวังที่ว่า.วันใดวันหนึ่งเราคงได้เจอกันเข้าสักวันและฉันจะรอไม่ว่ามันจะนานสักเท่าไร วันนี้ก้อเหมือนเดิม..ที่สะพานแห่งนี้และม้านั่งใต้ต้นมะขามตัวเดิม และฉันคนนี้ยังคงมานั่งอ่านไดอะรี่เล่มหนาเล่มนี้ทุกวัน และยังคงหัดเขียนกลอนที่เธอย้ำนักย้ำหนา..ให้ฉันต่อกลอนของเธอ เผื่อเอาไว้.จะได้อวดเธอเวลาที่เธอท้วงถาม แต่จนถึงวันนี้ฉันก้อยังเขียนกลอนไม่เป็นเลยสักที
5 เมษายน 2548 20:43 น. - comment id 449733
สักวันน้องคงเขียนได้ค่ะ เป็นกำลังใจให้นะค่ะ บางครั้งการที่เราเจอประสบการณ์บางอย่างมา อาจทำให้เราเข้มแข็งขึ้นด้วยนะ ฉะนั้นเหตุการณ์ที่พบ ขอให้ถือเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ส่วนความรักของน้องทั้งสองขอให้ครอบครองกันไว้ต่อไป ความรักไม่มีวันตายจาก หากเราไม่คิดจากความรักนะจ๊ะ
26 พฤษภาคม 2548 15:24 น. - comment id 471226
เสียใจด้วยนะคะ น่าสงสารจังเลย