ผมกับปริญญ์เดินออกจากผาเดียวดาย ในระดับความสูง 1,050 เมตร เลี้ยวขวาไปตามทางเดินซึ่งพื้นเป็นหินก้อนโตอัดแน่นด้วยดินทรายและประดับด้วยสาวสนมตามริมทางเหมือนเดิม ผ่านป่าดิบเขาอันเขียวชะอุ่มและชุ่มชื้นจนลำต้นของต้นไม้ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยตะไคร่และมอสเขียวคล้ำ จนวนกลับมาถึงปากทาง จากนั้นปริญญ์ขับรถต่อ เลี้ยวขวาขึ้นเขาไปอีกหน่อย จนมาสุดทางที่ป้อมยามหน้าสถานีเรดาร์ ทางขวามือเป็นจุดชมวิว ผาตรอมใจ เรามาถึงซึ่งผาชื่อน่าแปลก คงคนแรกที่แลชะแง้หา ต้องอกหักรักหายหน่ายชีวา ดั้นด้นมาหมองเศร้าเหงาฤดี จึงตั้งชื่อลือกันทุกวันนี้ หน้าผาที่ระทมใจไร้สุขี เรียกตรอมใจให้ชัดถนัดดี มาทั้งทีหมดทุกข์สุขเมื่อมอง ผามิเคยเอ่ยคำทำใครทุกข์ กลับสนุกเมื่อนั่งยับยั้งหมอง เห็นทิวทัศน์ถนัดนักนึกรักมอง ผืนป่าต้องแสงตะวันแสบสันตา ทั้งทุ่งหญ้าผาภูหมู่ไม้เขียว แลลดเลี้ยวลึกไปไกลสุดหา มีฉากหลังหลั่งแสงแรงเรื่อยมา คือท้องฟ้าเมฆฟ่องลอยล่องไป ปริญญ์เลี้ยวขวาเข้าไปจอดรถที่ไหล่ทาง จากนั้นเราเดินไปยังผาตรอมใจซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิมมากทีเดียว เพราะกองทัพอากาศผู้ควบคุมดูแลสถานีเรดาร์ตัดโค่นต้นไม้บางส่วนบริเวณหน้าผาออกไปจนเปิดโล่ง เพื่อเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวแลเห็นทิวทัศน์ได้ถนัดชัดเจนและกว้างไกลขึ้นมากกว่าเดิม มีป้ายสื่อความหมายธรรมชาติตั้งไว้ข้างๆ ทั้งยังสร้างม้านั่งไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งชมวิวกันอย่างสะดวกสบายอีกด้วย ปลายฝน บนเขาใหญ่ 23 12 กันยายน 2547
10 ตุลาคม 2547 22:33 น. - comment id 348260
เพื่อการแบ่งปันพื้นที่หน้าแรก กรุณา Post กลอนไม่เกิน 5 กลอนต่อวันนะครับ ขออภัยที่ต้องจำกัดบทกลอนที่เกิน พรุ่งนี้จะคืนกลอนชุดนี้ให้ครับ
11 ตุลาคม 2547 14:09 น. - comment id 348660
เช่นกันค่ะ..คนตรอมใจก็ต้องตามมาอ่าน*ผาตรอมใจ* ชื่อดีจังค่ะ เข้าใจเหน็บแนมชีวิต สวัสดีค่ะ