http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=200 (ในฝัน) url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=14 (คนเดียวในดวงใจในฝัน..เหนือโลกเหนือโศกสุข เหนือห้วงมหรรณพ..ประดุจพบรักในร่มธรรมชั่วนิจนิรันดร) ***************** ตะวันใกล้ลาลับฟ้าแล้ว ซ่อนตัวรำไรอยู่ในม่านเมฆ รอเวลาจะโรยตัวลงสู่ผืนน้ำ.. เจดีย์เก่าคร่ำ..ระดะยอด เรียงรายลดหลั่น..ริมฝั่งฝันเจ้าพระยา นกกาพากันโผผินบินกลับรัง แสงสีทอง..ส่องตกต้องผืนน้ำ เกิดประกายราวเกร็ดเพชร ผม...นั่งอยู่ใต้ร่มสาละต้นใหญ่ ต้นไม้ในพุทธประวัติ ที่ชาวพุทธคงจดจำได้ดีมิมีวันลืม ต้นไม้นะกลางห้วงหฤทัยนะกลางดวงใจ.. ต้นไม้ ที่แสนยิ่งใหญ่ในใจชาวโลกและพุทธศาสนิกชน ณ.ใต้ต้นสาละ เขตตำบลลุมพินีสถานและ กึ่งทางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหนคร เป็นที่ประสูติของพระบรมศาสดาเอกของเราชาวพุทธ และ อีกบทตอนที่ชาวพุทธคงจดจำ ระหว่างที่พระพุทธองค์เสด็จไปยังเมืองกุสินารา ของมัลละกษัตริย์ ได้ประทับในบริเวณสาลวโณทยาน ภายใต้ร่มสาละคู่หนึ่ง ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายมาก จึงบรรทมเอนพระวรกายลง หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ แล้วเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานภายใต้ต้นสาละนั่นเอง ******** ยามนี้ หัวใจผมจึงรอนรอนราวจะร่ำไห้ตามลำแสงสนธยา เมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนอ่อนของดอกสาละ ที่กำลังเผยอแย้ม คลี่กลีบดอกสีชมพูเข้มอมเหลืองทอง ละออละอองบานสะพรั่ง แตะแต้มเต็มตามโคนต้น..นับร้อยดอกทีเดียว ส่งกลิ่นหอมไกลไปทั่วคุ้งน้ำในยามนี้ และกับแสงสุริยาใกล้ลาลับฟ้านั้น ผมหันไปเห็น ผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงเรียวหน้าละมุนด้านข้าง ที่ดูเศร้าล้ำราวรูปปั้น ในไรแสงรำไรๆที่ค่อยๆคลี่กระจายรัศมี ขับวงหน้านวลใส ให้เกิดแสงเงาดูผ่องผุดพิสุทธิ์งามในยามย่ำสนธยา.. ผม..เห็นเธอนั่งทอดตาเงียบๆดูสายน้ำ ภายใต้ต้นพิกุลดอกพราว ที่นะบัดนี้ สายลมแห่งวสันตฤดูพัดกราว พาให้ดวงดอกเล็กๆค่อยๆปลิดปลิวควะคว้าง ร่วงหล่นลงมาประดับเรือนผมประปราย งามคล้ายประดับประดาด้วยดวงดอกไม้ลายสลักเสลาสีทอง ********** ผม...พาตัวเองปลีกวิเวก ขับรถมาถึงนี่เมืองเล็กๆแห่งนี้....เมืองริมน้ำ เมืองที่มีพระนอนจักร์สีห์ วีรชนบ้านบางระจัน เตาเผาแม่น้ำน้อย กินปลาแม่ลาอร่อย... กุ้งแม่น้ำแสนเลิศล้ำ แต่สำหรับผม มิได้ตั้งใจมากินของอร่อยลิ้น ผมเพียงถวิลหวัง... จะหนีความวายวุ่นวุ่นวายมิรู้สิ้นรู้จบ ภายในเมืองหลวง ที่ผมยังต้องลวงตัวเองไปวันวันว่า.. ยังแสนน่าอยู่ ยังแสนดี ยังมีงานให้ทำ และที่ ยังมีฝันให้ตาม มีทุกโมงยามให้ผู้คนมิเคยหลับใหล ต่างพากันตีนถีบปากกัด มามีมาทำกันสารพัดสารเพอาชีพ ที่พอจะประทังชีพชอบและมิชอบ ประกอบกรรมต่างๆกันไป จนกว่าใครจะคิดเบื่อเหลือจะทน หอบหิ้วเสื้อผ้ายัดใส่ประเป๋า... เลิกคนค้นคน เลิกหวังมาคว้าดาวกลับไปคว้าดินแทนดีกว่า สำหรับผม วันนี้..วันสุดสัปดาห์กับพาหนะคู่ชีพคู่ใจ ทำให้ผมปลีกเวลา หวังเพียงจะใช้ชีวิตวันหยุดให้คุ้มค่า ปลีกร่างจากหน้าที่การงาน อันรัดรึง หวังมาพึ่งผ่อนกายพักใจ และที่สำคัญกว่าสิ่งใดคือ ผม.. กำลังฝักใฝ่ที่จะฝึกสมาธิ ผม..พยายามจะหาที่สงบสงัด....วัดวาโบราณเก่าคร่ำ มาน้อมนำสติเดินจงกรม กับหาที่เหมาะสมด้วยธรรมชาติเงียบงามเพื่อนั่งทำสมาธิ ซึ่งอันที่จริง ที่ไหนๆก็นั่งได้ทั้งนั้น หากเพียงบางครั้ง ความเป็นเมือง และผู้คนรายรอบมากมี ทำให้เรานี้ราวถูกขังกรง ผมเลยลองพยายามสร้างบรรยากาศ ให้ห่างการถูกรบกวนให้เหลือน้อยที่สุด ให้สิ่งที่ยั่วยวนทางโลกย์น้อยลง..น้อยลง มิมืดบอดพาหลงตาม ผม...อยากพบความเงียบงาม ที่ไม่ไกลเมืองหลวงสักเท่าใดนัก ตั้งใจจะพักจนถึงเช้าวันทำงาน ผม..จึงขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงเมืองเล็กๆเมืองนี้ ที่อยู่ริมน้ำเจ้าพระยา เมืองแห่งอู่ข้าวอู่น้ำของผองชนคนของแผ่นดินไทยอันอุดม จนได้รับสมญานามว่า*ดินแดนแห่งแม่น้ำสามสาย* แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำน้อย ที่กระจายกระจัดกันไป ให้ชาวนามีวิธีการปลูกข้าวจากซัง ที่แปลกกว่าที่อื่นๆ ผม..เลือกโฮมสเตย์ติดริมแม่น้ำ เป็นมากกว่าบ้านพักราคาพอดี ค่าที่งามง่ายให้งาม ให้นักท่องเที่ยวได้เกี่ยวเก็บประสบการณ์ แบบไม่ขูดรีด แถมยังมีบรรยากาศของความเป็นบ้าน มีอาหารสามมื้อแถมอีกต่างหาก บ้านหลังนี้ดูดีดีมิใช่บ้าน หากเป็นเรือนไทยภาคกลาง เรือนไม้โบราณ ที่ผม..แอบขนานนามให้ว่า*เรือนขวัญปันหอม* เพราะ รายรอบเรือนไม้ที่มีเชิงชายลายฉลุอ่อนช้อยนี้นั้น เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ไทยๆสะพรั่งพรึบ ที่.. ผม...รู้สึกราวได้กลับเรือนเก่า มาย้อนยุคสมัยอยุธยาก็มิปาน ค่า..ที่มีกลิ่นอายอดีตอันหอมหวาน กล่อมใจหลอมละลายใจ ให้อยากพักที่นี่ไปชั่วนิจนิรันดร์ ให้คืนขวัญกลับมาเป็นคนในอดีตกาล ที่คงมีชีวิตเงียบงาม มิต้องวายวุ่นอยู่แต่ในเมืองอันมากมาย ผู้คนอลหม่านปานผึ้งแตกรวงแทบทุกวันทั้งยามเช้าเย็น และ ที่ผมแสนประทับใจเพราะเรือนโถงโล่งสะอาด ที่สร้างเคียงไปกับลำน้ำน้อยนั้น มีเฟอร์นิเจอร์ประดับ เพียงตั่งเตี้ยๆ.. ที่นะบัดนี้มีดวงดอกไม้หลากสีในขันเงินงามลายกนกประดับ มีหมอนขวานวางไว้บนเสื่อกกธรรมชาติ ให้เอนอิงดูสายน้ำค่อยๆระรินไหลในยามเช้าค่ำ ดูเรือพายขายของจากชาวนาชาวสวนค่อยๆ ลอยลำไปกลางสายชลอันแสนฉ่ำเย็น..ใจ ไปกับวิถีไทยวิถีงาม ตามความสมถะพอเพียงเพียงพอ เป็นที่ให้แขกมานั่งพักตาพักใจชมวิว และ หัวใจผมแทบปลิดปลิวตาม เพราะ ชีวิตผมก็มีบ้านงามในยามเยาว์แบบนี้ แม้นจะมิมีลำน้ำอย่างที่นี่ แต่ก็มีความงามเรียบง่ายพอกัน ผมจึงมีอันตะลึงตะไลติดตรึงใจตั้งแต่นาทีแรกที่เห็น และพลันคิดถึงบทกวีนิพนธ์อันแสนซึ้งใจของ *คุณเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์...กวีซีไรท์2547* กับอีกบทหนึ่งที่งามนัก ที่กล่าวถึง *ดาวประจำเมือง*อันแสนเรืองรุ่ง ทำให้คิดถึงแม่ผู้เป็นที่รัก และเรือนที่พำนักอันเป็นประดุจร่มเงาในอดีต ที่ราวถอดใจผมรจนาเลยทีเดียว..ว่าไว้ดั่งนี้ *ดาวประจำเมือง* เฝ้ามองดาวดวงหนึ่งคิดถึงแม่ เจ้าลูกชายขึ้แยลูกแหง่เอ๋ย เจ้าก็รู้เยาว์วัยได้ล่วงเลย แต่ดาวเอยล่วงลับจะกลับมา พร้อมสายน้ำข้างในไหลย้อนคืน ร่ำกระซิกสะอื้นกับผืนหล้า เรือนไม้ในความหลังโพ้นฝั่งฟ้า แนวแถวรั้วชบาด้านหน้าเรือน ที่ใครตื่นก่อนใครไปทุกเช้า ในครัวไฟในเตารูปเงาเคลื่อน ขอบฟ้ายังแต้มวาวของดาวเดือน ไก่กระชั้นขันเตือนเหมือนทุกเช้า พายุฝนพ้นผ่านบนลานดิน เอ้อระเหยเคยชินกับกลิ่นเก่า กลิ่นผ้าผวยไอดินกลิ่นไฟเตา มะม่วงหล่นเรียกเร้าให้เจ้าลุก ยังเย็นชื้นชื่นหยาดดินหมาดนุ่ม ยังหวานชุ่มชิงช่วงมะม่วงสุก แม้จะแตกจะร้าวดินเคล้าคลุก พายุฝนใครทุกข์เจ้าสุขแท้ ใครหนอใครเดียวดายในค่ำคืน แผ่นดินอื่นร้างทิศคิดถึงแม่ ในครัวของทุกวันไม่ผันแปร รูปเงาแรทอดเคียงเพียงลำพัง จึงมื้อข้าวคนเดียวโดดเดี่ยวนัก เมื่อสิ้นใครในรักมาเคียงนั่ง เฝ้าโบกพัดไล่ยุงมิหยุดยั้ง จึงคนหุงกินหลังทุกครั้งไป เฝ้าเลือกแกะปลาปรนจนไร้ก้าง ทั้งเนื้อพุงมุ่งวางเอาไว้ให้ จึงคำข้าวแข็งขืนเกินฝืนใจ เหมือนก้างใหญ่ทิ่มตำขวางลำคอ รอบกองไฟใครฝันใครปันไฟ ราตรีหอมเกินไปใช่ไหมหนอ ใครร้องเพลงจึงใครได้ร้องคลอ ใคร้องไห้ใครต่อหนอน้ำตา ดั่งได้คว้างว้างไหวในโลกลึก ในคืนดึกหลับไหลของไพรป่า ใครต่อใครแจ่มชัดปรัชญา แต่มิช้ากลับไปข้างในตน ย้อนรอยเท้าเยาว์วัยได้โบกบิน นั้นลานดินบ้านป่าพายุฝน บ้านมีใครในรักไว้สักคน แม้ใครนั้นเฝ้าบ่นแต่ล้นรัก ใครในรักของใครแม้ไม่เหมือน แต่ใครนั้นไม่เลือนเหมือนหนุนตัก ฟังนิทานเพลงกล่อมไปพร้อมพรัก ดาวดวงหนึ่งจำหลักดาวดวงนี้ ดาวที่เปล่งประกายในดวงตา ให้ใครเฝ้ามองหาในวิถี จึงใครมีดาวใครในราตรี และเจ้ามีดาวนำประจำใจ ***** บทกวีบทนี้ราวกับชีวีชีวิตผมเลยทีเดียว ที่อ่านกี่เที่ยวๆ ผมก็อยากสะอื้นฮักๆ แบบไม่อายใครไม่อายฟ้าดิน ไม่ถวิลว่า.. จำจะต้องเป็นลูกผู้ชายที่*ร้องไห้ไม่เป็น* ใครกันนะช่างว่าไว้..ช่างไม่เข้าใจเอาเสียเลย ว่า..ลูกผู้ชายไม่ใช่คนหรือไง ไม่มีหัวใจอ่อนโยนหรืออย่างไร คิดดู.. จะไม่ให้ผมร้องไห้ได้ยังไงละนี่ ในเมื่อ บทนี้รจนาราวแทนใจแทนความรู้สึกผม ยามวัยเยาว์ได้อย่างสุดแสนจะซาบซึ้งใจ ประทับใจเลยทีเดียว และ เพราะเรือนไม้แสนงามอย่างย้อนอดีตผม กับความใหลหลงในดงดวงดอกไม้ไทยหอมๆ กับ ความรู้สึกพันผูกกับบางสิ่ง... ที่แขวนประดับอยู่ภายในเรือนรับรองแขก ที่พลันพาผมนิ่งงัน ยามที่สายตาพาสายใจแสนสะดุดตาสะดุดใจ *กับภาพนางในฝันบนฝาผนัง ภาพสีน้ำมันอันแสนพิลาสพิไล* ในฝีแปรงและแสงเงางามล้ำ ภาพวาดหญิงสาวในชุดสไบแพรสีไพล ที่เปิดเนินไหล่กลมกลึงละมุน เธอคนดี คลี่ยิ้มราวดวงดอกไม้รอหยาดละออละอองน้ำค้าง และทัดแก้มหวานริมไรผมสลวย ด้วยดวงดอกลั่นทมชมพูพราวเด่นงามตา หัวใจผมแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ ทันที่ได้สบกับนัยน์ตาอ่อนเศร้า อันงามเงียบนิ่งเย็น ราวน้ำใสในมหาสมุทรอันแสนล้ำลึก อันแสนยากหยั่งถึง ตรึงใจให้ผมคิดตามว่า ในยามที่จิตรกรร่างภาพเธอบนผืนผ้าใบนั้น เธอกำลังฝันหรือคิดถึงอะไรอยู่ หัวใจเธอกำลังโบกโบยบินไปยังถิ่นไหน ถึงได้ดูมีพลังลึกลับราวกับมีมนตรา ที่อยากชวนให้ค้นหาติดตาม เบื้องหลังแห่งความงามอันล้ำเลอค่านี้ และ ด้วยหลายเหตุผล ที่ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจพักที่นี่.. และ ผม..ก็มานอนคลี่ยิ้มอย่างอิ่มเอม..บนเตียงโบราณ ม่านมุ้งสีขาวราวในเรื่องทวิภพ พร้อมกับสายลมบางเบา ที่พัดพากลิ่นดอกไม้ใต้ชายคาเรือนมาทายทัก ให้ผมชักง่วงงุนเข้าทุกทีๆๆๆ และในที่สุด ผม..ก็ผลอยหลับไป.. ในนิมิต.. แปลกดี ที่ราว..ผมจะย้อนชีวิต กลับไปเดินเล่นในสวนรุกขชาติ ที่รายล้อมด้วยคูเมือง ที่งามประเทืองประทับใจ ด้วยดอกบัวบานชูช่อล้อลมไสว และเต็มได้สีสันแห่งพรรณไม้นานา ที่ต่างพากันบานสะพรั่งพรึบ และนั่น เมื่อผมมองผ่านเนินดินเข้าไปยังลานกว้าง ผมเห็นร่างงามใครบางคนยืนหันหลังให้ผม กำลังชมดอกไม้ไสวเพลิน.. และ เธอคนนั้นห่มสไบแพรสีโศก โลกตรงหน้าผมราวเงาอดีตย้อนหวนคืนมา แต่ไยเล่า ผู้หญิงคนนี้กลับราวรูปนางในฝัน ที่ผมเห็นในบ้านเรือนไทย.. ******** เสียง...โทรศัพท์มือถือกรีดร้องก้องมาในความฝัน ผมพลันสะดุ้งตื่น ค่อยๆทบทวนว่า นาทีนี้ผมมานอนอยุ่นะที่ไหน และ เวลานี้เป็นเวลาเท่าไรแล้ว.. เพื่อนจากสายโทรมาร่ายยาวถึงปัญหาเรื่องงาน ที่ต้องสานแก้ก่อนเช้าวันจันทร์ ย้ำ!ห้ามผมเกเรหนีหายหน้ามิยอมมาประชุม ผมตกปากรับคำแต่โดยดี และร่ำๆจะเล่าบางสิ่งในนิมิตให้ฟัง แต่...ช่างมันเถอะนะ! ผม..อยากใช้เวลา ลงไปสำรวจวัดวาอารามแถวนี้ ที่ผมหวังว่า พอจะได้มีที่ภาวนาจะดีกว่า.. ผม.. กลับลงมาชั้นล่าง อยากจะถามพนักงานถึงภาพงาม*นางในฝัน* ว่าเจ้าหล่อนนั้นเป็นใครกันละหนอละนี่ ถึงได้งามวิไลล้ำนัก แถม ยังตามมาให้ผมพะวักพะวงถึงในฝัน ทั้งๆที่ร้อยวันพันปี ผม..นั้นเพียรหนีกิเลสกามห้ามจิต ห้ามใจ..ให้แค่ตาดูแค่ระลึกรู้.. มินำมาปรุงต่อก่อเกิดกิเลสลาม ให้ใจไหวหวั่นให้พลันพาติดตรึงใจ จนจิตมิอาจจะใสอย่างที่เพียรแสวงหา ให้สมกับที่อยากพาตัวเองให้พ้นทางโลกย์โศกสุข หนีทุกข์ทุกรัก เพราะอยากตั้งสติมีสมาธิ มีปัญญาพาตนให้หลุดพ้นจากสังสารวัฎฎ มิอยากเกิดดับเกิดดับชั่วกัปป์กัลป์อนันตสงไขยชาติ มาชดใช้ว่ายวนวงกรรมนี้ ที่มีกิเลสกามเป็นเครื่องล่อ ในเมื่อผม..พอจะรู้ทางแล้ว เหลือเพียงฝึกให้กระจ่างแจ้งแก่ใจตน แบบตนนั่นแหละคือที่พึ่งแห่งตนจะพ้นภัย โดยน้อมนำคำสอน ของพระพุทธองค์มาน้อมนำจิต.. แบบค่อยเป็นค่อยไป..ตามกาลตามกรรม.. ผม... ค่อยๆเดินลัดเลาะดงพุทราป่า ที่ขึ้นระเกะระกะเต็มไปหมด ต้นไม้แถวนี้ดูดูบางทีก็เหมาะกับสภาพโบราณซากสลักหักพังดีจัง ดูราวกับว่าจะสอดคล้องกับความหลังอันแสนมลังเมลือง ที่นะบัดนี้ลอยเลื่อนลาลับไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมา และ นั่นพลันพาให้ผมพบเธออย่างเริ่มเรื่อง *ผมหันไปเห็น ผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงเรียวหน้าละมุนด้านข้างที่ดูงามเศร้าล้ำราวรูปปั้น ในไรแสงรำไรๆที่ค่อยๆคลี่กระจาย ขับวงหน้านวลใส เกิดแสงเงาดูงามผ่องผุดในยามย่ำสนธยา.. ผม..เห็นเธอนั่งทอดตาเงียบๆ ภายใต้ต้นพิกุลดอกพราว ราวกับโลกนี้มีเธอลำพัง* และ อย่างช้าช้า เมื่อเธอเบือนหน้ามาทางผม.. หัวใจผมก็แทบหยุดเต้นอีกครา เมื่อ.. ใบหน้างามละออนั้น ก็คือภาพเดียว กับนางในฝันและนางในกรอบรูป..อันแสนงาม..โอ้ฟ้าดิน!
5 กันยายน 2547 00:57 น. - comment id 324252
ต้นสาละ ชาวเนเดียเรียกว่าซาล(Sal) ในแง่พฤกษ์ศาสตร์*สาละ* เป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงใหญ่ ไม่ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีเทา แตกเป็นร่องเป็นสะเก็ดทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มทึบรูปเจดีย์หรือรูปไข่ ปลายกิ่งห้อยลุ่ลง ใบดกหนา กิ่งอ่อนเกลี้ยง ไม่มีขน ใบรูปไข่กว้าง โคนหยักใบเว้าเข้า ผิวใบเป็นมันเกลี้ยง พื้นใบมักเป็นคลื่น รูปทรงทั่วๆไปคล้ายใบรังของไทย ดอกตอนตูมสีเหลืองอ่อน พอบานกลีบในกลับเป็นสีชมพูเข้มอมเหลือง ออกรวมกันเป็นช่อสั้นๆ ตามปลายกิ่งและง่ามใบ กลีบดอกและกลีบรองมีอย่างละ 5 กลีบ ทยอยบานช่อละดอกสองดอก บานเต็มที่ทีกลิ่นหอมจัดอบอวลไปไกล ตกเย็นกลีบดอกจึงร่วงลง ผลแข็งมีปีก 5 ปีก การขยายพันธุ์นิยมใช้เมล็ดเพาะ หรือจะใช้ตอนกิ่งทาบกิ่งก็ได้ ประเทศไทยได้มีการนำเอาต้นสาละ หรือซาล จากอินเดีย เข้ามาปลูกหลายครั้งประมาณ30ปีเศษ ส่วนใหญ่มักนำไปปลูก ตามศาสนสำคัญ เช่นวัดพระศรีมหาธาตุบางเขน วัดบวรนิเวศวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร และ ที่วัดพระนอนจักร์สีห์วรวิหาร จังหวัดสิงห์บุรี ก็เป็นอีกแห่งหนึ่ง ที่ได้มีการปลูกต้นสาละตั้งแต่สมัยแรก จนขยายพันธุ์ออก ไปนับร้อยต้นในปัจจุบัน ***** ด้วยความขอบพระคุณ ข้อมูลจากอ.ส.ท *เยือนแผ่นดินวิรชน หอมกลิ่นดอกสาละ ริมฝั่งแม่น้ำเมืองสิงห์บุรี* ฉบับกันยายน ฉบับลำนำแห่งลำน้ำ
5 กันยายน 2547 00:58 น. - comment id 324253
บรื๋อ.....
5 กันยายน 2547 01:00 น. - comment id 324256
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=200 ในฝัน ทูล ทองใจ : : Key Dm หากฝันว่าฉันและเธอ ละเมอความรักร่วมกัน ทุกๆ วันแสน สุขฤทัย หากความรักนั้นหนักเหลือ แนบเนื้อเชื้อ รักดังไฟ ฉันขอตายบน ตักนาง หากเราได้รักร่วมกัน ผูกพันกระสันแน่นเหนียว ขอรักเดียวไม่ จืดและจาง หากเป็นดั่งเช่นที่หมาย จะตายฉัน ไม่ขอห่าง ขอรักนางเนื้อนวลแน่นอน มอบ ใจ และกาย ทุกสิ่งมั่นหมาย ถึงตัวตายไม่คลายรักก่อน สู้ ทน อ้อนวอน ยอมฝันแม้ยามหลับนอน ทนกอดหมอน นานมา หากฝันฉันไม่หลอกหลอน ตื่นนอนคงพบหน้าน้อง สมดังปองใจปรารถนา หากเป็นดังเช่นที่หมาย จะตายฉัน ไม่นำพา ขอบูชาน้องนางแน่นอน หากฝันฉันไม่หลอกหลอน ตื่นนอนคงพบหน้าน้อง สมดังปองใจ ปรารถนา หากเป็นดังเช่นที่หมาย จะตายฉัน ไม่นำพา ขอบูชาน้องนางแน่นอน...
5 กันยายน 2547 01:44 น. - comment id 324264
เมืองเล็กๆอย่างสิงห์บุรี แนบลำน้ำและคันนา ร่มโพธิ์ ร่มไทร ใบบัว และ ดอกบัว กลางสระ ถัดมาอีกนิด เป็นชัยนาท ก็แนบแอบลำน้ำเจ้าพระยา ที่ราบลุ่มทำนา ปลูกข้าวขาวเปี่ยมโภชนารส เขยิบมาอีกนิดเป็นเมืองเล็กจิ๋วที่เงียบ ขนาดน้ำค้างยังตกใจเสียงตัวเองยามอรุณรุ่ง เป็นเมืองอุทัย ในสะโพกของแม่น้ำสะแกกรัง ตะคองฝั่งไว้ ยังไกลจากโรงานอุตสาหฆาตกรรม จึงมีปลาเนื้อดีสังเวยต่อมรับรสเป็นมังสาหารเพื่อการบริโภคอย่างบรรจง สถานีหมู ส่งคลื่นค่อนแจ้งครับ
5 กันยายน 2547 02:20 น. - comment id 324271
เคยเห็นเช่นกันจ๊ะ ต้นสาละ....ดูแปลกตาดี... ตอนแรกก็ไม่รู้จักหรอก.. แต่มีรุ่นพี่เขาพาไปดูมาน่ะ มาเยี่ยมน่ะพุด.. ขยันเขียนได้ยาว..ดีจังเลย...
5 กันยายน 2547 06:33 น. - comment id 324298
เธอคือใคร คนนั้น ที่ฝันถึง.. หวนคนึง ..ทุกเช้า ..ตอนเราตื่น.. เสียงเธอปลุก .พร่ำเอย...ไม่เคยฝืน ยิ้มระรื้น ..หนมเค้ก ..ชิ้นเล็ก.. อาหร่อย .. ..แบบ เรน ..หัดแจม นะคะ..
5 กันยายน 2547 07:05 น. - comment id 324355
เข้ามาอ่านเป็นกำลังใจให้นะครับ เขียนได้ดีจริงๆๆๆๆๆๆๆ...
5 กันยายน 2547 09:56 น. - comment id 324415
เขียนได้งดงามจับตา ในลีลาที่จับใจ ชอบเรือนขวัญปันหอม ทีหลอมอา รมณ์ของตัวเอก ที่สามารถเสกความ ฝันออกมาได้เป็นจริง..จนเป็นตัวตน ๚ะ๛ size>
5 กันยายน 2547 13:17 น. - comment id 324514
มาขออ่านค่ะ ................................................. :)
5 กันยายน 2547 16:11 น. - comment id 324678
เจอชื่อนี้ทีไรเป็นเข้าหาทุกที เพราะกินใจไม่เคยผิดหวังเลยครับ แก้วประเสริฐ.
5 กันยายน 2547 16:22 น. - comment id 324684
ดูเหมือนเอกลักษณ์ประจำใจชอบของเก่าแก่โบราณ บรรยายสถานที่อันสวยงามตามธรรมชาติ จนอยากจะไปเห็น และความฝันที่แปลกประหลาดเกินใครที่สวยสดงดงาม แวะมาอ่านแล้วเยือกเย็นใจดีครับ
5 กันยายน 2547 18:08 น. - comment id 324746
มาเยี่ยมครับ
5 กันยายน 2547 18:20 น. - comment id 324757
ตะวันลับฟ้า คืนนี้.. เมื่อหลับตา จะฝันดีได้ไหม มีความรักกรุ่น-กรุ่น ให้อุ่นหัวใจ มีเธออยู่ใกล้ใกล้ .. ไม่เดียวดายในฝัน ทำได้แค่นี้ เพราะความจริงที่มี ..เธอไม่ได้ใกล้ฉัน รอบข้างว่าง-ว่าง ไร้ร้างคนผูกพัน บางที .. แค่มีเธอในฝัน อาจช่วยผ่อนผันความเหงาจากหัวใจ +-*-+-*-+ +-*-+-*-+ ผู้ชายอารมณ์ดี +-*-+-*-+ +-*-+-*-+
5 กันยายน 2547 21:33 น. - comment id 324865
ข้าพเจ้ามาทักทายพี่พุดค่ะ งานงามจริงค่ะ เห็นบรรยากาศอันหอมหวนค่ะ
5 กันยายน 2547 23:08 น. - comment id 324933
โบสถ์คร่ำทอดเงาความเปล่าเปลี่ยว ลมเลี้ยวเลาะหินได้กลิ่นหอม ลั่นทมสวนเก่าเคยดมดอม หอมพยอมนางใน..เวียงวัง ได้อ่านบทกวี และภาพประวัติศาสตร์ชวนให้ประหวัดถึงวัดไชยวัฒนารามกับอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ พร้อมกับตำนานกวีเจ้าฟ้า ผู้เป็นศรีกวีแห่งอยุธยา ที่โศกนาฏกรรมจบลงตรงที่สังเวยชีวิตให้กับกฎมณเฑียรบาล ในยามที่นางไอยราฟ้อนรำ ผสมโรงกับศิลปะสมัยบายน อิทธิพลของวัฒนธรรมดิบเดิบแบบขอม พาใจให้ล่องลอบไปสู่ดินแดนแห่งมนต์ขลังนาม อยุธยา แล้ว
7 กันยายน 2547 16:58 น. - comment id 326250
อ่านแล้ว..เหมือนได้กลับไปในอดีตที่สวยงาม...บรรยากาศ..สิ่งแวดล้อม..ที่มีค่า...ชวนให้หลงใหล....ในความงาม...และบางสิ่งบางอย่าง..ที่เราสัมผัสไม่ได้... ชื่นชมคุณพุดพัดชามากค่ะ...
7 กันยายน 2547 22:19 น. - comment id 326483
อยากไปสัมผัสแบบนั้นบ้างจัง คงอบอุ่นและสุขใจในเวลาเดียวกันเลยนะคะ