๏ โคลงจารควานไขว่คว้า..........................ความหมาย โทสี่เอกเจ็ดราย.......................................เรี่ยไว้ คงรูปแต่ความหาย...................................หาห่อน....เห็นนอ จัดแต่งแจงตาใช้.....................................ช่วยค้นคลายเขลา ๚ ๏ อนึ่ง...........คำเก่าพู้น...........................พอหลีก ลางที.............อาจฉีกรูป...........................แบบบ้าง หากบ่............อาจไม้ซีก............................งัดตึก ปราชญ์ว่า...... อวดปราชญ์อ้าง...................โอ่โถง ๚ ๏ โบราณท่านยลค้นคิด............................ดัดแปรงประดิษฐ์ ร้อยกรองกลอนฉันท์กาพย์โคลง ๚ ๏ หนึ่งฉบังผังกาพย์จับโยง.......................คำข้างผางโผง ผันเป็นเด่นตรงทรงพลัง ๚ ๏ อีกหนึ่งกาพย์ยานี.................................แรงรัศมีเมลืองมลัง คล้ายฉันท์อันน่าชัง...................................คลี่คลายขลังและเคร่งขรึม ๚ ๏ จังหวะหนักเบาวาง................................ทรงสำอางค์ห่างอึมครึม ชมงามอยู่งำงึม..........................................ประทับใจบ่เจือจาง ๚ ๏ ฉันท์นั้นมโนนึก....................................ก็สะอึกและแคลงคลาง ด้วยยากจะจับวาง......................................สระลงประโยคเคียง ๚ ๏ หนักเบาละเมียดทำ...............................ประจุคำเสนาะเสียง ฤๅรูปพิลาศเพียง......................................แลเพราะพริ้งพิไลตา ๚ ๏ แบบฉันทลักษณวิธี...............................ครุมีสภาพพา ให้ยากพิจารณ์แลพิเคราะห์หา...................ยุติลงสนิทใจ ๚ ๏ ฉันท์การก็เลยละวรผล...........................อันสุชนจะพึงใคร่ เหลือเพียงกวีวิริยะไป...............................แปะประกวดเพราะรางวัล ๚ ๏ กวีเอยกวีวัจน์.......................................ฤๅเพรงพลัดพรากภพสบสวรรค์ ปล่อยโลกแล้งร้างมณีกวีวรรณ...................หนาวยะเยียบเงียบงันนิรันดร์กาล ทะเลทรายร้อนแล้งที่แห้งหน.....................ยังมีฝนหล่นบ้างไม่ล้างผลาญ กวีโลกแล้งร้าวนานเท่านาน......................ไม่พบพานกวีวัจน์วิบัติเอย ๚ โลกแล้ง..... ผืนทรายแห้ง กว้างใหญ่สุดปลายฟ้า กวีวัจน์..... กลอนกานต์ เมื่อใหร่จะหยาดมา ให้กวีโลกได้แช่มชื่น ?
6 พฤศจิกายน 2546 08:26 น. - comment id 179008
แค่เอาถ้อยร้อยเรียงเพียงพอหรือ ให้ยืดถือโบราณท่านพร่ำสอน ฉันทลักษณ์มักเน้นเป็นบทกลอน อีกวรรคตอนย้อนคำนำใส่ใจ มีมากนักหากเรียนเพียรศึกษา เทศนาโวหาร...ครั้นสงสัย คือบทกลอนสอนสั่งดั่งจูงใจ ให้ฝักใฝ่ในธรรมหนุนนำตน ที่จะสื่อจะสานวิญญาณฝัน เพื่อให้มั่นให้มายคลายสับสน นำคำสอนคำสั่งฝังกมล พ้นวังวนพ้นเวียนว่ายในมัวเมา พรรณาโวหาร...หมั่นศึกษา ดุจคุณตาปราณี...ชี้เรื่องเล่า ให้คลายร้อนผ่อนหนาวเศร้าบรรเทา นิทานเก่าเราฟังอย่างตั้งใจ ใช่เพียงแค่ถ้อยคำเพ้อรำพัน หากจริงนั้นผสานสิ่งเป็นจริงได้ เสนาะหูรู้แจ้งแฝงความนัย ฟังครั้งใดคล้ายชมโขนกรมศิลป์ อีกแบบหนึ่งตรึงตราจะหาไหน อุปมาอุปมัยได้สุขิน อ้างเรื่องเทียบเปรียบเปรยแผ่เผยจินต์ ยกศัพท์สิ้นส่อความตามโบราณ แต่ต้องกลั่นจากห้วงของดวงใจ กฎเกณฑ์ใดไม่หลงตรงอรรถสาส์น เรื่องใดเหมาะเพราะพริ้งแอบอิงกานท์ ยกตำนานผสานส่งจำนงค์ไป พึงเพิ่มเติมเสริมแนบแบบฉบับ ดุจประดับอาภรณ์ตอนสวมใส่ จักงดงามตามฉันท์กาพย์กานท์ไทย แม้นผู้ใดได้ชมภิรมย์เริง .
6 พฤศจิกายน 2546 13:08 น. - comment id 179037
แต่งเก่งจัง ชื่นชมครับ
6 พฤศจิกายน 2546 17:22 น. - comment id 179091
แต่งเก่งทั้งคู่เลยค่ะ ชื่นชมค่ะ
7 พฤศจิกายน 2546 01:57 น. - comment id 179231
อัลมิตรา - แหะ ๆ ไฟแรงเหมือนเดิมนะ ขอบคุณที่เข้ามาแสดงฝีไม้ลายมือ ....รู้สึกว่าบทนี้ลงด้วยเสียงจัตวา ฟังดูแปลก ๆ นะ ใช่เพียงแค่ถ้อยคำเพ้อรำพัน หากจริงนั้นผสานสิ่งเป็นจริงได้ เสนาะหูรู้แจ้งแฝงความนัย ฟังครั้งใดคล้ายชมโขนกรมศิลป์ หรือว่าเป็นศิลปะแบบใหม่ ? :) คงแค่ร้อยถ้อยคำให้สัมผัส ตามบัญญัติโบราณที่จารจด เล่าเรื่องจำกำซาบในภาพพจน์ หากขาดรสโปรดอภัยอย่าได้เยาะ ;) หมึกมรกต - ขอบคุณที่ชมครับ ผู้หญิงไร้เงา - ขอบคุณเช่นกันครับ ผมแต่งกวีวัจน์ไม่ค่อยเก่งหรอกครับ ก็เลยได้แค่อย่างละสองบทอย่างที่เห็นนี่แหละ แหะ ๆ