สายลมพลิ้วหวิวพัดสะบัดวูบ เหมือนมนตร์จูบจากฉันกระสันหา คอยโลมเล้าเคล้าเธอเสมอมา ฝันใฝ่คว้าพาเธอพร่ำเพ้อครวญ ยามลมพัดสัมผัสไกวใบไม้หวั่น คือจูบฉันสั่นไหวให้เธอหวน คืนกลับมาหาฉันก่อนรัญจวน ฉันคร่ำครวญชวนเธอละเมอรอ หากเธอสั่นหวั่นไหวในลมหนาว ยามผิวสาวขาวนุ่นละมุนหนอ ถูกโลมลูบจูบไล้ไซ้คลึงคลอ ด้วยลมล่อล้อเล่นให้เย็นใจ เป็นฉันนี้ที่จูบโลมลูบเธอ รักเสมอเพ้อคืนวันจนหวั่นไหว กลัวเธอหนีตีจากจำพรากไกล ลมจึงไหวไกวสั่นบอกฉันรอ
9 ตุลาคม 2546 21:46 น. - comment id 173359
มาชมงานกลอนไพเราะ ๆ ค่ะ
10 ตุลาคม 2546 23:04 น. - comment id 173620
นกตะวันแต่งกลอนเพราะจัง ว่างๆช่วยถ่ายทอดวิทยายุทธให้หน่อยนะครับ ...สัมผัสอ่อนร้อนเย็นเช่นรอยจูบ ...โลมเล้าลูบจูบไซร้ให้เธอหวน ...สายลมเร้าเคล้าคลอรอรำจวญ ...ให้เพ้อครวญหวนคิดในจิตเธอ แวะมาทักทาย ครั้งแรก ประทับใจที่เห็นคนไทยแต่งกลอนได้ไพเราะยิ่ง รักษาความดีความงามนี้ไว้ตราบชั่วนิรันดรืนะครับ
14 ตุลาคม 2546 06:05 น. - comment id 174176
ขอบคุณครับคุณหมึกมรกตที่ชื่นชอบงานของผม ความจริงผมพึ่งแต่งกลอนมาได้ยังไม่ถึง 3 ปีเลย ยังไม่เก่งแน่นอน แต่พยายามจะแต่งให้ดี โดยยึดหลักดังนี้ (1) แต่งตามแบบแผนกลอนสี่สุภาพของสุนทรภู่ ซึ่งมีทั้งสัมผัสนอกและสัมผัสในครบทุกวรรค (2) นึกภาพไว้ในใจว่าเราจะแต่งกลอนให้มีเค้าโครงเรื่องเป็นอย่างไรและ/หรือต้องการจะสื่อความหมายใด เช่น บรรยายชีวิตผู้คนในละแวกนั้นซึ่งอาจสอดแทรกธรรมชาติหรือไม่สอดแทรก บรรยายธรรมชาติในละแวกนั้นตรงหรืออาจบรรยายราวกับว่าธรรมชาตินั้นมีชีวิต หรือบรรยายความรักโดยนำธรรมชาติเข้ามาเป็นสื่อ เหมือนดั่งบทกวีข้างต้น ใช้ลมเป็นสื่อเพื่อบ่งบอกว่าเรารักเธอมากแค่ไหน (3) ต้องอ่านทบทวนดูทุกครั้งเพื่อดูว่า สัมผัสนอกสัมผัสในขาดตกบกพร่องหรือไม่ เนื้อหาเข้ากันได้ดีโดยตลอด ไม่วกวน เมื่อคนอื่นมาอ่านแล้วจะไม่เข้าใจหรือเปล่า ดั่งเช่น ถ้าจะบรรยายทะเลสีทองเพราะแสงตะวัน ควรบรรยายถึงลักษณะของแสงตะวันในยามเย็นที่ส่องลงมาก่อนก่อน แล้วจึงบรรยายน้ำทะเลเมื่อถูกแสงตะวันมากระทบ (อาจแทรกเรื่องราวที่อยากชวนใครให้มาดูด้วยตรงนี้) แล้วจึงบรรยายน้ำทะเลเมื่อแสงตะวันลาลับ ผมคงให้ข้อคิดในการแต่งบทกวีของผมเท่านี้ก่อน โอกาสหน้าค่อยพูดคุยกันใหม่ ข้อสำคัญสุด ทุกครั้งที่แต่งบทกวีเรื่องใด ต้องมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องนั้นเสมอ และมองเห็นภาพนั้นเสมอ แม้ภาพนั้นมิได้มีอยู่จริงต่อหน้า