นาน้ำเคยขังเป็นวังเวิ้ง น้ำเจิ่งจากเหนือเมื่อฝนส่ง แสงแดดแผดแผลงจนแห้งลง นาคงเหลือเป็นเช่นผงดิน ลูกครอกจากไข่ในน้ำหลาก มวลมากผุดแผ่กระแสสินธุ์ ลิ่วล่องเข้านามาหากิน ด้วยสินในนามหาศาล ทั้งมวนม้วนใบทั้งไข่แมง แหนแดงจอกชุกทุกสถาน อิ่มอ้วนชวนโต้มาโผต้าน สายธารอาบอุ่นรุ่นกระทง ลมหนาวกระทบระลอกคลื่น ดาวรื่นเดือนจ้ามาบอกบ่ง กาลผันวันผลัดอัสดง ฝนคงจางหายกลายเป็นแล้ง มวลมากจากนาไปหาห้วย เพราะด้วยสำนึกรู้สึกแห้ง รีบผละจากไปในน้ำแรง ก่อนแล้งน้ำลดหมดหนทาง สงสารก็แต่แค่มวลหนึ่ง มวลซึ่งหลงไหลในนากว้าง อิ่มสนุกยึดสนิทติดตะราง จนวังเวิ้งว่างจางหายไป เหลือเทือกตมถมจมในปลัก ขุ่นคลั่กวุ่นวายจะว่ายไหว นอนรอแดดเผาดั่งเตาไฟ หรือไม่ก็ให้นกกากิน แก่งแย่งเกยก่ายกระหายโหย โอดโอยรอท่าชะตาสิ้น ดำมุดผุดโผนในโคลนดิน เพราะห่วงหากินไม่ดิ้นรน (ม้าก้านกล้วย)
30 มกราคม 2546 15:38 น. - comment id 106949
เด็กท้องไร่ท้องนามาเยือนครั้บ..... คนไม่เคยสัมผัสจะรู้ไหมนี่...
30 มกราคม 2546 18:13 น. - comment id 106966
เห็นภาพเลยนะคะ พี่ม้าฯเป็นกวีในใจคนหนึ่งของ J&J ค่ะ ชอบมาก ๆตรงที่แต่งกลอนแนวลูกทุ่ง เห็นภาพที่เรียกได้ว่าเป็นชีวิตของชาวชนบทท้องถิ่นจริงๆ มันทำให้นึกถึงชีวิตวัยเด็กค่ะ
30 มกราคม 2546 20:22 น. - comment id 106989
เข้ามาชื่นชมคุณม้าก้านกล้วย เก่งค่ะ ชอบสำนวนคุณ
31 มกราคม 2546 10:11 น. - comment id 107053
อืม...อ่านแล้วได้ปรัชญาจากทุ่งนา
2 กุมภาพันธ์ 2546 21:07 น. - comment id 107265
ดอกผักบุ้งบานเต็มนาฟ้าสีโศก นี่คือโลกโชคชะตาพาใจหาย คนเคยรักเคยฝันมอบใจกาย กลับกลับกลายคล้ายรวงลืมไอ้ทุย