๏ คืออนรรฆจินดาค่าอะคร้าว คือฝันร่วงรุ้งพราวจากหาวเหิน คือโสมส่องมรรคาแจ้งแสงสีเงิน คือเชื้อเชิญจากอุ้งหัตถ์เปี่ยมอัชฌา คือจารีตวิศิษฏ์ล้ำธำรงด้าว คือพิตรพราววาวแพรวแก้วเลขา เอกลักษณ์วัจนะอารยา เชิดบูชาร้อยกรองไทยท่ามใจเรา เสน่ห์กานท์หวานหวามสิ้นสามภพ บรรจุไว้ในผอบฉะอ้อนเฉลา เป็นสารทิพย์บำรุงขันธ์ปัญญาเชาวน์ เสพจักเยาว์ชีพสราญไปนานปี ในสวนแก้วสว่างสวรรค์วรรณศิลป์ มีคเณศวิเศษกวินทร์ธานินศรี ทรงปกเกศศิษยาด้วยอารี ให้เรานี้สรรค์สฤษฎ์ศิลป์นิรันดร์ จึงกวีไม่โรยแล้งแหล่งสยาม ด้วยมีความรักกลอนกานท์บันดาลฝัน ฤทธิ์หนุนเนื่องดวงมานจุดฌานครัน กี่กัปกัลป์ก็ไม่แล้งแรงกวี๚ะ๛
5 ธันวาคม 2545 20:13 น. - comment id 99483
o^_^o
5 ธันวาคม 2545 20:26 น. - comment id 99486
ผมได้ C+ภาษาบาลี ครับพี่
5 ธันวาคม 2545 20:44 น. - comment id 99487
แต่บังเอิญผมไม่ใช่กวี เพราะยังไม่รู้เชี่ยวชาญในศิลปะการประพันธ์บทกลอน
5 ธันวาคม 2545 21:33 น. - comment id 99497
กำลังศึกษาร้อยกรองอยู่บ้างค่ะ .. หากแต่คำว่า กวี ...ยังห่างนักค่ะ
6 ธันวาคม 2545 04:36 น. - comment id 99514
@^_^@
6 ธันวาคม 2545 07:48 น. - comment id 99528
ฝากคิดถึงเพื่อนรักคนหนึ่งที่นั่นค่ะ อาจารย์อุ๊ นะคะ.. และพุดพัดชาแค่นักอยากจะเขียนค่ะ มิใช่กวีแต่ก็มีความสุขมากกับการได้รจนาภาษาสวยนะคะ
6 ธันวาคม 2545 07:58 น. - comment id 99531
ที่ลงท้ายไปว่า แด่กวีทุกท่านที่อ่าน นั้น ประสงค์และสำนึกดีโดยสุดส่วน. ทว่า กลับสำเหนียกได้ถึงน้ำเสียงบางอย่างที่สะท้อนกลับมา...ทำให้อดรู้สึกกระทบใจไม่ได้. เรื่องการใช้คำบาลีสันสกฤตในงานร้อยกรองนั้น หาได้เคยมีจิตคิดอยากอวดโอ้ว่า ตนสามารถสำแดงอลังการแห่งวจี สรรค์ใช้แต่คำที่ยากหูยากตา จนต้องเปิดพจนานุกรมประกอบการอ่านไปเสียทุกบททุกบาท ไม่. ยามกรองคำประพันธ์ร้อยกรอง ทุกคำล้วนกลั่นออกมาจากมโนคติบริสุทธ์ ซึ่งได้พร่ำร่ำเรียนเพียรฝึกฝนมา ไร้ซึ่งเล่ห์เพทุบายเคลือบแฝงใด ๆ. ไฉนจึงมาไยไพเป็นนัยประหวัด? โดยส่วนตัวแล้ว เห็นว่า หากเรามีภาษาอันรุ่มรวย ล้วนแล้วไปด้วยคำศัพท์อันเหมาะควรแก่การประพันธ์ร้อยกรองแล้วไซร้ เหตุใดไม่นำมาใช้เล่า? จะปล่อยให้คำทั้งนั้นคงอยู่อย่างไร้ประโยชน์ เป็นเพียงตัวพิมพ์เดี่ยวสันโดษอยู่แต่ในหน้าพจนานุกรมอย่างนั้นหรือ? ไม่นานคำดี ๆ เหล่านั้นก็จักซาจางไป...กลายเป็นแค่อักขระไทยอย่าง ฃ ฅ ฦ และ ฦๅ ที่ดูเหมือนไม้ตายทั้งที่ต้นยังยืน!
6 ธันวาคม 2545 08:04 น. - comment id 99532
และขอบคุณทุกท่านสำหรับคำวิจารณ์ดี ๆ ที่มอบไว้ครับ.
6 ธันวาคม 2545 08:26 น. - comment id 99534
กลับมาบอกว่าคิดถูกแล้วค่ะ และเห็นด้วยอย่างที่สุด จริงๆแล้วกวีหรือไม่นั้นคงไม่สำคัญนะคะ แค่คำมาแบ่งกั้น ความรักนักอยากจะเขียนทุกดวงใจ.. เพียงทุกท่านคงคิดถ่อมตน..คนกวีต้องคิดแบบนี้ท่าจะดีกว่าอหังการ จริงไหมคะและ ขอแค่ให้เรารักภาษาไทย ช่วยกันจรรโลงคำให้งามงด..ก็แสนดีแล้วค่ะ ในดวงใจ..เพียงว่าให้เราทำงานพิสุทธ์ใสเพื่อคืนกลับมอบโลกงามเพียงนั้นน่าจะพอ มาด้วยศรัทธาและให้กำลังใจคนรักการรจนาเหมือนกันค่ะ รักและเข้าใจความรู้สึกลึกซึ้งนี้นะคะ
6 ธันวาคม 2545 08:49 น. - comment id 99538
พี่ค่ะขอโทษค่ะ
6 ธันวาคม 2545 08:57 น. - comment id 99540
ภาษา...พึงหยิบฉวยมารับใช้จิต-วิญญาณของมนุษย์....ตามแต่จะพึงใจ....ย่อมไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น....ใครจะเอาเงื่อนผูกล่ามตัวเองก็คงไม่มีใครห้าม....แต่จะลามไปเที่ยวผูกชาวบ้านด้วยคงไม่เหมาะ.... ในทางหนึ่ง....บาลี-สันสกฤต..เดินตามพุทธศาสนา....เข้ามาดินแดนนี้นับเป็นพันปี...ไม่มีใครปฏิเสธ...แต่ยาม..คน..นำมาใช้ประกอบจินตนาการในบทกรอง....กลับมีอาการออกตัวกันวุ่นวาย...โดยไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นแต่ประการใด.... อยากจะแสดงความเห็นไว้ว่า....พึงสดับในสิ่งที่ชอบเถิด...หากไม่พึงในศัพท์แสงที่ไม่คุ้นเคยก็แค่...คลิก...ผ่านไป...หาจำเป็นไม่ที่ต้องแสดง..อัตตา...ให้โลกประจักษ์...ในอหังการของวุฒิและวัย....การเคารพในแง่ปัจเจกชนอาจบางที...ยากเย็นกว่า...รูปคำ..บาลีสันสกฤตละกระมัง
6 ธันวาคม 2545 09:04 น. - comment id 99541
ป่าวค่ะ อัลมิตราหมายถึง อัลมิตรายังไม่เก่งยังไม่เชียวชาญค่ะ บางคนเรียกขานเป็นนักเขียน เป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นนักกวี ซึ่งอัลมิตราหากจะเทียบแล้ว ยังห่างไกลมากค่ะ แต่ก็จะพยายามปรับปรุงงานเขียนให้ดีกว่าเดิม ศึกษาและเรียนรู้เพิ่มเติม ค่ะ อัลมิตราก็คล้ายๆคุณพุดพัดชา ที่ชอบที่จะขีดเขียนค่ะ .. ส่วนการใช้ภาษาบาลี สันสฤต บางทีอัลมิตราก็นำมาใช้เหมือนกันค่ะ .. หลายครั้งที่นำมาเขียนในบทของฉันท์หรือโคลง ค่ะ :) จึงพอจะเข้าใจ ในเจตนาของคุณที่นำ คำเหล่านี้มาใช้ในการเรียบเรียงในรูปแบของร้อยกรอง .. คือว่า..อ่านที่คุณเขียนตอบมา ก็รู้สึกสะเทือนใจเหมือนกันค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ หากอัลมิตราเขียนอะไรไปที่กระทบใจของคุณค่ะ
6 ธันวาคม 2545 09:36 น. - comment id 99545
ใครก็ไม่รู้เขียนไว้ว่า ....อารมณ์คนเขียนกลอนมักอ่อนไหว กระทบใจเพียงนิดก็คิดหนัก......... ท่าจะจริง เพราะดูเหมือนคุณศุภวุฒิจะด่วนใจน้อยไปหน่อย พุดพัดชาพูดถูกว่า....เพียงทุกท่านคงคิดถ่อมตน..คนกวีต้องคิดแบบนี้ท่าจะดีกว่าอหังการ จริงไหมคะ หรืออย่างการที่ คนอักษร บอกว่าตนเองไม่เก่งบาลี ที่โดยนัยคือยอมรับความสามารถของคุณศุภวุฒิ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องระแวงว่าเขาประชดประชัน ผมเองไม่เคยคิดว่าใครจะต้องคิดเหมือนผม แต่เห็นว่าการที่ใครเข้ามาอ่านแล้วทิ้งความคิดเห็นไว้ย่อมแสดงถึงไมตรีจิต เว้นแต่จะเป็นข้อความจาบจ้วง หรือหยามหยัน ซึ่งข้อความทั้งหมดที่มีก่อนหน้าคุณศุภวุฒิเข้ามาตอบก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ไม่มีข้อความไหนบอกว่าไม่พึงใจหรือติเตียนผลงานของคุณศุภวุฒิด้วยซ้ำ จึงไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้คุณศุภวุฒิเลยเถิดไปได้ขนาดนี้ สำหรับข้อความของคุณผู้ใช้นามแฝงว่าสะเด็ดน้ำผมขอไม่ออกความเห็น เพราะไม่อยากให้กลายเป็นชนวนความเข้าใจผิดกันมากกว่านี้ และเชื่อว่าคุณคงมีวิจารณญาณพอที่เมื่อทบทวนเหตุการณ์แล้วจะเข้าใจได้ หากคุณศุภวุฒิ ยังยืนยันความรู้สึกเดิมก็กรุณาอย่าตอบข้อความนี้ เพื่อผมจะได้หลีกทางไม่มาข้องแวะกับคุณต่อไปเอง
6 ธันวาคม 2545 11:02 น. - comment id 99555
??????????????????????????????? ???????????????????????????? ??????????????????????????????????????? ?????????????????? ????????? ??????????????????
6 ธันวาคม 2545 11:45 น. - comment id 99557
แหย่เล่น ๆ นะครับพี่ อย่า งอนเลยนะ :)
6 ธันวาคม 2545 12:10 น. - comment id 99560
ก็รักการเขียนด้วยกันทั้งนั้น
6 ธันวาคม 2545 17:18 น. - comment id 99611
เฮ่อ! น้ำผึ้งหยดเดียวแท้ ๆ. . .หลายครั้งหลายคราว คนมักจะมองว่า ผมโอหังอวดอลังการ. แท้จริงแล้ว ผมออกจะเป็นผู้ชายเรียบ ๆ ไม่ค่อยจะชอบทำอะไรหวือหวาหรือ ต่อกร กับใคร แต่เรื่อง ต่อกลอน นั้นชอบครับ:-) หลังจากที่ได้อ่านคำวิจารณ์ทั้งหลายข้างต้นนั้น ยอมรับว่า เศร้าหมองไปพอสมควรกับคำบางคน. คิดจะปลีกไปอยู่ในแดนวรรณศิลป์ส่วนตัวที่เงียบ ง่ายและสงบคนเดียว แต่งอะไรต่อมิอะไรขึ้น แล้วเก็บไว้อ่านเอง หรือไม่ก็แลกกันอ่านแต่กับคนคุ้นเคยเท่านั้น ไม่กลับมาที่นี่อีก. แต่มีเด็กสาวใจใส ที่คบคุ้นกันมานานพอควรคนหนึ่ง คอยให้กำลังใจอยู่ที่เมืองไทย. อีกทั้งยังรู้สึกติดข้องในใจว่า ผมพลาดไป ที่เขียนตอบแบบกราดสาดกระเชิง...ไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่า รู้สึกกระเทือนใจกับใครบ้าง ทำให้คนดี ๆ มีน้ำใจงาม ต้องมาพลอยโดนหางเลขและลูกหลงซึ่งผมมิได้เจตนา. รู้สึกแย่ครับ เลยต้องกลับมาชี้แจงให้แจ้งกระจ่าง. จริง ๆ แล้ว เพียงไม่แน่ใจชัดเจนในคนสองสามคนเท่านั้น คือ เวทย์ เพื่อนอักษร และ สะเด็ดน้ำ และจะพูดอย่างตรงไปตรงมาก็แล้วกันนะครับ ผมจะได้นอนหลับสบาย. Internet และ Message Boards เป็นสื่อไร้เสียง. ฉะนั้น การเขียนโต้ตอบหรือวิจารณ์กัน จึงอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดกันได้ หากเขียนคลุมเครือและไม่ระมัดระวังพอ. คุณเวทย์ลองนึกดูนะครับว่า ถ้าคุณลงท้ายงานประพันธ์ไว้ว่า แด่กวีทุกท่านที่อ่าน ด้วยเจตนาดี แล้วจู่ ๆ ก็มีคนต่อท้ายสวนขึ้นมาว่า แต่บังเอิญผมไม่ใช่กวี เพราะยังไม่รู้เชี่ยวชาญในศิลปะการประพันธ์บทกลอน เช่นนี้ คุณจะรู้สึกยังไง? สำหรับผมมันกระเทือนน่ะครับ. เท่านั้นเอง. ผมทราบว่า ผมยังอายุไม่เท่าไหร่ แต่ผมมั่นใจว่า ศิลปะการพูดและเขียนของผมละมุนพอที่จะไม่ระคายตา-ระคายใจใคร. สำหรับ คุณเพื่อนอักษร เมื่อได้มาทราบภายหลังว่า เพียงแค่แหย่เล่นนั้น ผมก็ต้องขออภัย. ด่วนสรุปไปครับว่า คุณตั้งใจสัพยอกเรื่องการใช้คำบาลี-สันสกฤตของผม. ผมไม่มีอัตตาอะไรให้วุ่นวายอยู่แล้ว. เมื่อสรุปพลั้งไปได้ ก็สามารถก้มศีรษะขอโทษได้อย่างไม่อางขนาง. ส่วน คุณสะเด็ดน้ำ นั้น ชะรอยว่าจะพกความชังผมมาตั้งแต่ชาติปางก่อน. ผมไม่จองเวรจองกรรมนะครับ. หากคุณเป็นเจ้ากรรมนายเวร ผมก็ขอโทษคุณในชาตินี้. อย่าได้ผูกอาฆาตผม แต่จงแก้คืนเสียให้สาสมตอนนี้ (e-mail ของผมก็ตามที่ปรากฏอยู่ข้างบน) แล้วขอให้จงจากผมไปอย่างไม่มีอะไรติดข้องต้องทวงอีก. คำเขียนของท่านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นของ หนู Ice, คุณอัลมิตรา และ คุณพุดพัดชา นั้น ไม่ได้ทำให้ผมกระเทือนใจแต่อย่างใด. ขอโทษเป็นอย่างยิ่งครับ ที่ทำให้เข้าใจผิดไป. ผมมันไม่เฉพาะเจาะจงให้ดีเองในตอนที่ตอบไปครั้งแรกนั้น. ศ.ดร. เจตนา นาควัชระ เคยเตือนสติไว้แล้วว่า ยามเราผู้สร้างสรรค์งาน ผลิตงานขึ้นและปล่อยออกไปสู่สายตาสาธารณชนนั้น งานจะตกเป็น สมบัติรวม ของทุกคนโดยอัตโนมัติ. คำวิพากษ์วิจารณ์และ การวิจารณ์ซ้อนวิจารณ์ ต่าง ๆ ก็จะตามมาเป็นเงาตามตัว. คนสร้างงานเอง แม้จะเป็นผู้ให้กำเนิดงานนั้น ๆ ก็ค่อนข้างจะหมดสิทธิ์ในการพิทักษ์คุ้มกันงานตน...เป็นกฎธรรมดาของงานศิลปะ. ศิลปิน กวี นักเขียนฯ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ชะตากรรมแห่งการต้องตกเป็นเครื่องปรุงให้ใครเขายำคลุกไปได้ตามใจชอบ. Boyfriend ผมเคยพูดไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า: Ideas and เอส เอ็ช ไอ ที are alike in that everybody has one, and it stinks! นานาจิตตัง... ปัจเจกภาวะ... ขึ้นชื่อว่าเป็น คน มันก็มีเรื่องยุ่งสับสนเวียนวนอยู่ร่ำไป...
6 ธันวาคม 2545 18:32 น. - comment id 99617
ผมก็รู้จัก ศ.ดร เจตนา นาควัชระ เป็นอย่างดี ครับพี่ แล้วก็เคารพท่านมากด้วย รู้สึกยินดี ที่ได้รู้จักเพื่อนร่วมวงการอีกคน ผมอยากรู้จัก แลกความคิดเห็นกับพี่ ถ้าหากพี่ไม่รังเกียจ
6 ธันวาคม 2545 19:07 น. - comment id 99622
จากข้อความที่คุณศุภวุฒิบอกว่า....หลายครั้งหลายคราว คนมักจะมองว่า ผมโอหังอวดอลังการ.... ช่วยให้ผมเข้าใจแล้วว่าอะไรเกิดขึ้น ก็เลยอยากปรับความเข้าใจเสียหน่อยว่าตอนที่เห็นข้อความว่า..แด่กวีทุกท่านที่มาอ่าน..นั้น ผมไม่ได้คิดอะไรนอกจากนึกว่าเป็นวิธีที่คุณให้เกียรติคนอ่าน บังเอิญผมคิดอยู่เสมอว่าตนเองไม่ใช่กวี ก็เลยเย้าโดยหมายเป็นทำนองว่าถ้าผมอ่านแล้วจะผิดกติกาไหม โดยไม่คิดว่าจะถึงกับทำให้คุณกระเทือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมรู้มาก่อนว่าคุณอายุ 30 ปี แล้ว จึงเหมาเอาเองว่าน่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร แต่เมื่อคุณรู้สึกกระเทือน ผมก็คงต้องบอกว่าเสียใจ และขอบอกด้วยว่าหากไม่มีความรู้สึกในแง่บวกด้วยแล้วผมไม่เคยเข้าไปทิ้งข้อความไว้ที่หน้างานใครหรอก อย่าว่าแต่ทิ้งข้อความเลย แค่เข้าไปอ่านก็ไม่ทำแล้ว อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอารมณ์ขันมากกว่านี้สักหน่อยก็คงจะดีหรอก
7 ธันวาคม 2545 04:06 น. - comment id 99658
หลังจากผ่านประสบการณ์อันชวนให้อึ้งและช็อคอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต จากเหตุการณ์ September 11th นั้น ผมยอมรับว่า ผมออกจะตึง ๆ กับชีวิตมากขึ้น. อารมณ์ขันลดน้อยลง. ความหวาดระแวงแม้สิ่งเล็กน้อยรอบตัวเพิ่มทวีขึ้นเป็นเท่าตัว. ความอุดอู้กดดันยังไม่จางไปสักเท่าไหร่นัก. ขออภัยครับ...หากได้เผลอฉุนเฉียวและไร้อารมณ์ขันไปหน่อย. จะปรับปรุงตัวครับ. ขอบคุณทั้ง น้องเพื่อนอักษร และ คุณเวทย์ จากใจจริง ที่กรุณาเข้ามาอ่านและตอบอีกครั้ง. ทุกอย่างดูจะกระจ่างขึ้น และมาถึงจุดแห่งความเข้าใจอันดีระหว่างทุกคน. ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการปรองดองและดำรงอยู่อย่างเกื้อกูลกันกันอีกแล้ว. ตรงนี้ รู้สึกดีครับ. น้องเพื่อนอักษร ... หากต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับ ศ.ดร.เจตนา นาควัชระ กับผม ก็เชิญได้เสมอ...ไม่รังเกียจเลยครับ. ปราชญ์คนโปรดในอุดมคติอยู่แล้ว;-)
7 ธันวาคม 2545 10:33 น. - comment id 99678
เหตุการณ์ September 11th ??? ผมเพิ่งออกจากหลืบลึกที่เร้นกายมาเมื่อ 23 ก.ย.นี้เอง คงไม่มีโอกาสรู้เรื่อง ผมเห็นคุณศุภวุฒิไปช่วยแนะนำไอ๊ซ์ ก็ชื่นชมนะ เป็นวิธีหนึ่งในการเกื้อกูลกัน แต่คงต้องระวังเหมือนกัน อาจไปเจอคนที่ไม่ชอบให้ใครบอกว่าเขาบกพร่อง พวกชาล้นถ้วยมีไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เคยได้ยินภาษิตบู๊ลิ้มที่ว่า...ไม่ต่อยตี ก็ไม่รู้จัก...ไหม 55555
7 ธันวาคม 2545 11:57 น. - comment id 99705
ไม่ทันนึกว่า คุณศุภวุฒิ จะอยู่ในเหตุการณ์นั้น นึกว่าเป็นเรื่องอื่นน่ะ
8 ธันวาคม 2545 19:10 น. - comment id 99864
...September 11th...ฝันร้ายที่ไม่มีวันลืมครับ... สำหรับเรื่องโคลงของ Ice นั้น ขอบคุณคุณเวทย์ที่เตือนครับ. ผมเองก็เคยคิด ๆ เหมือนกัน. แนะนำ - แก้ไขผ่านทางอีเมลท่าจะเหมาะสมที่สุด. ช่วงหลัง ๆ นี่ Ice กับผมก็ใช้อีเมลเสียส่วนใหญ่. ไม่เคยได้ยิน ไม่ต่อยตี ก็ไม่รู้จัก ครับ แต่ตอนนี้ประจักษ์แล้ว...จัดเป็นวิธีการทำความรู้จักที่แปลกไปอีกแบบ:-)
7 ตุลาคม 2547 17:39 น. - comment id 145498
ผมไม่ได้จบอักษรครับ แต่ก็เรียนมาทางภาษา ชอบกลอนครับ แต่แต่งไม่เป็น...
7 ตุลาคม 2547 17:39 น. - comment id 145499
ผมไม่ได้จบอักษรครับ แต่ก็เรียนมาทางภาษา ชอบกลอนครับ แต่แต่งไม่เป็น...