คน : นก : ต้นไม้#ภาค ปัจจุบันกาล ตอนที่3 ดนตรี
เจ้าขาว
ช่วงเวลาน้ำแข็งได้ผ่านมา 10 วันแล้ว
ตอนนี้คนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเพราะไม่สามารถออกจากถ้ำไป ตีหิน ได้อย่างเคย(ตีหิน เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่คนเพิ่งค้นพบก่อนห้วงเวลาน้ำแข็งเริ่มต้นไม่นาน เริ่มจากเอาเสาไม้ไปปักไว้ที่ฝั่งหนึ่งของทุ่งหญ้า จากนั้นก็เก็บก้อนหินมาซัก2-3ก้อน แล้วเอากิ่งไม้ตีก้อนหินจากบนเนินให้ไปโดนเสาไม้ที่ปักไว้ ตอนหลังคนได้เปลี่ยนเป็นตีให้ลงหลุมขนาดฝ่ามือที่ขุดไว้แทน เพราะว่าหญ้าในทุ่งสูงมาก
พอตีไปแล้วก้อนหินกระแทกเสากระเด็นหายไปทำให้หาก้อนหินไม่เจอ
ต้องเสียเวลาไปหาก้อนใหม่) จริงๆแล้วคนก็ไม่ค่อยชอบตีหินเท่าไหร่นัก
แต่คนต้องการสังคมมากกว่า
เวลาเดินเก็บก้อนหิน หรือเดินไปดูว่าลูกลงหลุมมั๊ย
ทำให้คนต้องอยู่กับธรรมชาติ ถามหาก้อนหินจากแมกไม้และฝูงกระต่าย
บางครั้งก็ให้เจ้านกช่วยดูทิศทางลม รวมรวมแล้วก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่คนได้สังสรรกับธรรมชาติ เพราะคนรู้ว่าสังคมของธรรมชาติยิ่งใหญ่เพียงใด
แต่ในยามนี้ทุ่งหญ้ากลายเป็นสีขาวเกลื่อนไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง
ทุกคราวที่ฝ่าเท้าประทับลงไปก็ต้องสั่นสะท้านด้วยความเย็นนั้นวิ่งผ่านตรงจากเท้าไปสู่สมองอย่างรวดเร็ว คนอยากออกไปหาต้นไม้
เมื่อไม่สามารถเดินไปได้คนจึงเริ่มตะโกนเรียก ต้นไม้ ต้นไม้
เสียงของคนสะท้อนก้องไปทั้งถ้ำ ทำเอาคนตกใจในตอนแรกที่ได้ยิน
แต่ก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคยในครั้งต่อๆมา
เมื่อความกลัวหายไปคนก็เริ่มรู้สึกสนุกกับเสียงที่ได้ยิน
เค้าเริ่มตะโกนดังขึ้น ถี่ขึ้น หลายหลายมากขึ้น จนแท่งน้ำแข็งบนผนังร่วงหลุดลงมา
เพราะพลังเสียงที่กระแทกอย่างร้อนแรง แต่เสียงน้ำแข็งหักไม่ได้ทำให้คนหยุด
แต่กลับเพิ่มความสนุกให้คนขึ้นไปอีก คนฉวยเอาดุ้นฟืนมาฟาดผนังให้น้ำแข็งร่วงลงมามากขึ้น
ปากก็ยังคนแหกตะโกนไม่หยุด ไอ้คน บ้า นกที่พึ่งจะบินผ่านถ้ำของคนมาออกความเห็นให้ต้นไม้ฟัง
ต้นไม้บอกแก่เจ้านกว่า
คนมีหู คนได้ยินเสียงเพราะหู คนก็เลยลืมใช้อย่างอื่นนอกจากหูในการรับฟัง
แล้วซักวันคนก็จะเริ่มฟังเสียงที่ตัวเองประดิษฐ์มากขึ้น
เลิกฟังเสียงของนก เสียงของลม เสียงเกลียวคลื่น เสียงสายฝน
แล้วก็จะหลงลืมเสียงของเราในที่สุด
ไอ้คนบ้า นกร้องขึ้นอีกครั้ง