ถ้อยคำในกาลเวลา2 (ดอกสร้อยที่ฉันคิดถึง)
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
4.
เพลงถิ่น
ยามเอ๋ยยามเย็น
ตะวันเร้นหลบเหลี่ยม ณ มุมเขา
ลมหนาวหวนครวญเพลงแห่งลำเนา
ดอกไม้เหงายืนซบเงาเฝ้าลำธาร
ดวงจันทร์คล้อยลอยเลื่อนรับยามค่ำ
ดาวดื่มด่ำเพลงเหงาพาใจหาย
ผู้จากถิ่น จากพื้นดิน แหล่งซบกาย
ยังมิวายโปรดคืนถิ่นแผ่นดินเอยฯ
เพลงถิ่น : ภาพการร่ำลาของคนชนบทที่เข้ามาหากินอยู่ในเมืองหลวง
มันเป็นภาพที่ชินตา...ชินตาเหมือนกับเห็นภาพที่มีใครซัก
คนนั้งเฝ้ารออยู่ใต้ถุนบ้านยามหน้าเทศกาล ก่อนจะจบลง
ด้วยคำเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากช้า ๆ คลอเคล้าด้วยน้ำตาว่า
ปีนี้คงไม่กลับมา.....
5.
สาแหรก แม่
สาเอ๋ยสาแหรก
เจ้าเดินแบกสินค้าเที่ยวเร่ขาย
เหงื่อไหลหยดอาบร่างชะโลมกาย
เพื่อจุดหมายของลูกน้อยได้เล่าเรียน
สองบ่ากร้านดำไหม้มิเคยหวั่น
สิ่งใฝ่ฝันลูกนั้นหัดอ่านเขียน
แต่ลูดเจ้าเค้าร่ำแต่ติเตียน
นึกรังเกียจเพราะเจ้าแบกสาแหรกเอยฯ
สาแหรกของแม่ : เมื่อก่อนเคยฝากท้องเอาไว้กับขนม และไข่ ของป้าแก่ ๆ คน หนึ่ง ทุกเย็น สนิทกันมากจนเชื่อขนมกินได้ วันหนึ่งแกเล่าเรื่องที่
ทะเลาะ กับลูกสาวให้ฟัง รู้สึกว่าขนมไม่อร่อยเลยเมื่อได้ยิน...ถ้าตอนนี้แก
ยังอยู่ อธิษฐานให้ลูกเข้าใจแกมากขึ้น.....
6.
คราบแป้ง
แป้งเอ๋ยแป้งฝุ่น
หอมคลุ่นอุ่นในไอหมอกสาย
ปะแต้มแก้มขาวดูสบาย
แล้วแต่งกายเยื้อร่างตามคันนา
ถือดินสอ กำยามลบ ย่ำเท้าเปล่า
ทางเดินยาวก้าวเข้าสู่สถานศึกษา
จวนตะวันส่องหน้าเหงื่อพรายตา
บนใบหน้าเหงื่อไหลกลบลบแป้งเอยฯ
คราบแป้ง : กำลังใจในวัยเยาว์ก็ไม่ต่างกับแป้งฝุ่นที่หอมอุ่นอยู่เสมอ
แต่ความยากจนที่ต้องต่อสู้กับวิถีแห่งความยากจน และ
ทางไกลที่เดินในวิถีของการศึกษากว่าจะจบ...ไม่รู้ว่ากำลัง
ใจที่มีอยู่จะละลายเหมือนแป้ง เหลือเพียงคราบเกรอะกรัง
ที่เกาะอยู่บนใบหน้าหรือไม่.....