ไม่รู้กวีบทนี้ จะมีชื่ออย่างไร
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
ไม่รู้กวีบทนี้ จะมีชื่ออย่างไร
เพียงเดือนต่ำย่ำรุ่งฟุ้งสายหยุด
อุษารุดล้ำฟ้ามาแสงสาง
ขลิบขอบดินไกลโพ้นโค้งโนนลาง
ความสลัวจากจางหว่างเวลา
เพลงไก่แก้วแซวศัพท์สดับรุ่ง
จากชานยุ้งฉางข้าวหนาวอุษา
ตุบกระตุ๊บครกกระเดื่องกระเตื้องมา
จากควบขาโยกย้ำกระหน่ำตำ
ลิ่มกระคอกตอกออกคอกปล่องเปิด
เชือกสายเชิดสนตะพายอ้ายทุยหนำ
เพลงกระโหร่งกระดิ่งส่ายก็ร่ายรำ
ขับลำนำมนต์พระพายสายหญ้ายวง
ลมหนาวปรายชายทุงปรุงมนต์แล้ง
หยอกช่อแดงกลางนาสะแบงหลวง
ชวาลาแดนอีสานตระกานรวง
หมุนโรยร่วงกอดเกี้ยวเกลียวสายลม
พรมหมอกขาวลาดระบำปูน้ำคลอง
อาบผ้าทองแสงฟ้ามาคลี่ห่ม
บางเบียดไหวขยับม้วนกอดนวลลม
เคลียคลอชมน้ำหนาวหลายเช้ามา
บุญพระแม่โพสพบ่จบสิ้น
สืบชีวินควายทุยลุยทุ่งท่า
ให้ข้าวซังจากตอต่อชีวา
เลี้ยงบรรดาวัวควายในลานทอง
เห็นร่อยรอยท้วงเท้าคราวก้าวดำ
ครั้งกอดกำมัดกล้าท้าผยอง
เสียงเวิ้งน้ำรี่ไหลตามไหล่คลอง
ยังทำนองทรงจำนาจำนรรจ์
ริ้วฤดูหนาวนั้นตระการนัก
คลอผ้าถักจากกี่มัดหมี่สาน
ซับน้ำค้างยอดหญ้าคันนาพันธุ์
รอเหมันต์ผันสายในเพลา
ปล่อยไอ้ทุยลุยปรักแต่งสาบกลิ่น
ก่อนไอดินเคยหอมย้อมพรรษา
จัดสำรับข้าวเหนียวเคี้ยวป่นปลา
ปล่อยเวลาเคลื่อนคล้อยคอยค่ำแลง
ไว้ยามย่ำสนธาลาสายหยุด
ขอบดินโพ้นโนนกุดรุดหนีแสง
เมื่อหรีดหริ่งร่ายร้องก้องสำแดง
จึงค่อยแจงควายจรคอนคืนเรือน
เสียงตอกลิ่มกระคอกจะออกดัง
จนกระทั่งฟ้าหนาวมีดาวเปื้อน
ความสลัวมัวคล้อยทยอยเยือน
จะลาเลือนอุษาเช้าคราวต่อไป....
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ