เธอจะเศร้านานแค่ไหน... ทนหม่นไหม้ลำพังนั่งโศกศัลย์ กับความหวังลมลมตรมจาบัลย์ ในความฝันที่เธอชอบเพ้อครวญ เธอจะร้าวนานแค่ไหน... เจ็บปวดใจเปล่าเปล่าเฝ้าคิดหวน กับเรื่องราวหลอกตนทนคร่ำครวญ คอยย้ำเตือนซ้ำซ้ำช้ำอุรา เธอจะหมองนานแค่ไหน... ทำร้ายใจตัวเองเก่งจริงหนา หลงยึดมั่นกับใครให้ทรมา เสียเวลาชีวิตจิตเสื่อมทราม เธอจะเจ็บนานแค่ไหน... ทิ่มแทงใจซ้ำซากอยากไถ่ถาม เพียงเพราะใครไม่แจ้งแห่งนิยาม ฤาเพียงความเปล่าว่างร้างตัวตน เธอจะทุกข์นานแค่ไหน... ที่เผลอใจผูกจิตคิดสับสน กับมายาภาพฝันอันวกวน แห่งตัวตนคนนั้นที่ผันแปร...
27 กุมภาพันธ์ 2554 16:00 น. - comment id 1186019
แวะมาอ่านกลอนเพราะๆค่ะ...
27 กุมภาพันธ์ 2554 23:47 น. - comment id 1186077
บางที ยากนะครับ ที่ควรจำกลับลืม ที่ควรลืมกลับจำนั่น
27 กุมภาพันธ์ 2554 23:59 น. - comment id 1186079
ขอบคุณครับ ที่ช่วยเมนต์ เพียงเพราะความกลัว กลัวที่จะสูญเสีย กลัวล้มเหลว และไม่มีความกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริงครับ ทำให้คนเราไม่เป็นอิสระ ทั้งทางกาย วาจา ใจ จิตสำนึก และจิตวิญญาณ เราไม่กล้ายอมรับว่าเราเป็นหนึ่งเดียว แต่ชอบจากแตกแยก แบ่งแยก โดดเดี่ยว และทนทุกข์กับการเลือกที่จะคิดแบบนั้น...
28 กุมภาพันธ์ 2554 02:49 น. - comment id 1186082
แซมเชื่อในการยอมนับความเป็นหนึ่งเดียว... จะทำให้เรา สงบ ร่มเย็นขึ้นมาก.. แต่บางครั้งก็ลืมค่ะ... Ego ชอบมาเยี่ยมเยือน.. ถ้าไม่เป็นการละลาบละล้วง..แซมจะถามหลายครั้งแล้วว่า คุณคีตากะศึกษาอะไรคะ บทความของคุณคีตากะ น่าสนใจค่ะ... ถ้าไม่พรอมที่จะบอก ก็ไม่เป็นไรนะคะ.. แซมแค่อ่านแล้วสงสัยค่ะ..... ขอบคุณสำหรับการแบ่งปัน.. แซมค่ะ
1 มีนาคม 2554 13:16 น. - comment id 1186177
เจ็บนี้....อีกนานนนน
1 มีนาคม 2554 20:23 น. - comment id 1186220
คุณแซม... ไม่ค่อยเข้าใจคำถามเท่าไรครับ แต่ถ้าจะตอบก็น่าจะเป็น "ศึกษาจิตวิญญาณ" ของตนเองนะครับ เพราะจิตวิญญาณคนอื่นคงศึกษาไม่ไหว แต่ลึกๆ ก็เชื่อว่าจิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่งเป็นธาตุเดียวกัน หากเข้าใจตัวเองก็จะเข้าใจคนอื่น ไม่รู้ตอบตรงประเด็นหรือเปล่าครับ
2 มีนาคม 2554 15:57 น. - comment id 1186298
เหมือนใจประสานใจรวมเป็นหนึ่งหรือเปล่าเนี่ย
2 มีนาคม 2554 17:26 น. - comment id 1186313
คุณยาแก้ปวด ไม่ใช่ใจประสานใจครับ ถ้าแบบใจประสานใจคือมีมากกว่าหนึ่งใจนำมารวมกัน กำแพงที่กั้นอยู่คือความคิดหรืออัตตา การมีใจเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับใจ แต่จัดการทำลายกำแพงคืออัตตา ตัวตน หรือความรู้สึกว่าตัวเรา ของเรา ซึ่งแยกย่อยได้คือ ร่างกาย ความรู้สึก ความจำ ความคิดปรุง ความรู้หรืออารมณ์ เหล่านี้ ที่ว่าทำลายหาใช่ฆ่าตัวเองหรือกำจัดให้สิ้นซาก วิธีง่ายกว่านั้นคือการไม่ยึดติดกับมันด้วยการปล่อยวางลง เพราะธรรมชาติของมันว่างเปล่าเหมือนอากาศ ไม่มีอยู่จริง แต่เราไปเข้าใจว่ามันมี ปัญหามากมายก็เลยเกิดขึ้น ซึ่งปัญหาเหล่านั้นก็ยังไม่ใช่ปัญหาอยู่ดี เป็นแค่เพียงมุมมองที่ผิดพลาดไปจากความจริงแท้ ยกตัวอย่างเช่น เราไปยืนอยู่หน้ากระจก แล้วไปเข้าใจว่าภาพเงาในกระจกเป็นตัวจริงของเรา เป็นต้น เมื่อภาพลวงตาเกี่ยวกับตัวตนเหล่านี้ได้รับความเข้าใจและปล่อยวางลง ไม่ได้รับความสำคัญมั่นหมายอีกต่อไป สภาพของจิตใจของเราจะบริสุทธิ์(ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วตามธรรมชาติ) บางครั้งเราเรียกว่าจิตเดิมแท้ ใจดั้งเดิม จิตบริสุทธิ์ จิตพุทธะ พระเจ้า เต๋า อะไรก็แล้วแต่ ในที่นี้ขอเรียกว่าจิตวิญญาณ อันจิตวิญญาณนี่เป็นสากล เพราะว่าธาตุหรือสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ เป็นจิตวิญาณนี้ ถ้ามององค์รวมอยากเรียกว่าจิตสากล หรือจิตจักรวาล จะมองเห็นภาพ การที่ทำไมแต่ละคนเป็นจิตจักรวาลนั้นเป็นเรื่องน่าพิศวง เพราะสิ่งนี้เป็นไปโดยธรรมชาติอันเร้นลับ ทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลล้วนเกิดมาจากสิ่งนี้ ไหลเทออกมาจากสิ่งนี้ ทั้งที่เป็นวัตถุและมิใช่วัตถุ รวมทั้งคนเรา จะเห็นภาพชัดเจนว่ามนุษย์ สัตว์ และพืช ในมุมมองของปัจเจกเปรียบเป็นแก้วใส่น้ำใบหนึ่ง แต่ละตัวตนก็คือแก้วหนึ่งใบ ภายในแก้วนั้นมีน้ำบรรจุอยู่เต็ม สมมุติว่าเราทำลายแก้วนั้นให้แตกหรือง่ายกว่านั้นนำมันไปเทลงในมหาสมุทร แก้วที่มีน้ำบรรจุ ต่างนำไปเทลงในมหาสมุทร ผลก็คือน้ำในแก้วแต่ละใบจะหลอมรวมกันเป็นเนื้ออันเดียวกันหมด ด้วยคุณสมบัติของน้ำที่เป็นของเหลวและมีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการ เช่น ค่าความหนาแน่น ความบริสุทธิ์ สี กลิ่น รส ฯลฯ ทำให้เรียกได้ว่าน้ำซึ่งเคยแบ่งแยกจากกันกลับมาหลอมรวมกันว่า"เป็นหนึ่งเดียวกัน" แก้วก็เปรียบกับร่างกาย น้ำก็คือจิตวิญญาณ บางครั้งผู้รู้บางท่านเรียกสิ่งนี้ว่า "จิตหนึ่ง" จิตหนึ่งนี้จะรับรู้ตัวมันเองว่าเป็นอิสระ ไม่อาจถูกกักขังอยู่ในที่ใดได้ แม้แต่ร่างกาย เหมือนกันกับอากาศที่สิงซึมอยู่ทุกอณู ทุกส่วนของจักรวาล แต่เพราะความจำกัดของสมอง ร่างกายและความคิดจิตใจ ทำให้เราไม่สามารถหยั่งรู้ถึงมันได้ง่ายๆ จนต้องอาศัยการฝึกสมาธิเข้ามาช่วย การเพียรปฏิบัติต่างๆ ตามหลักการทางศาสนา ฯลฯ เช่น เดินจงกลม วิปัสสนา การเพ่ง การฝึกสติ เป็นต้น เหล่านี้ก็เพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่สำหรับเราให้รู้ถึงธรรมชาติของตัวเราและสรรพสิ่งทั้งจักรวาลอย่างถูกต้องตามครรลองธรรม ตามความสัจจริงของมัน บางทีการได้รับความรู้โดยผ่านประสบการณ์นี้ถูกเรียกว่า "การรู้แจ้ง" หรือ "การตรัสรู้" นั่นคือเรารู้ตามธรมชาติของที่มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่คิดเดาเอา หรืออ่านตำรา นั่นคือเรารู้ถึง "ความเป็นหนึ่งเดียวกัน" ของสรรพสิ่ง ด้วยการตระหนักรู้ ทำให้มุมมองของเราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สำหรับทุกๆ เหตุการณ์ ชีวิต อดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันเป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนสามารถรู้แจ้งได้ โดยเฉพาะยุคนี้ ยุคแห่งข่าวสารข้อมูลไร้พรมแดน แค่เพียงทำให้ถูกวิธีเท่านั้น ครับผม