...ฟังพิรุณ...
ลานจันทร์ฝันกวี
วสันต์มาเยือน...พิรุณเกลื่อนเต็มฟ้า
ยืนเหม่อมอง..ละอองสีขาวเบื้องหน้า ..พร่างพรมลงมาดุจม่านฝัน...
คล้ายกางกั้นเงาร่างอ้างว้างสายหนึ่ง... กับเงาร่างอีกสายหนึ่ง
ที่ลับหายไปในห้วงแห่งกาลเวลาตลอดกาล
. ยืนฟังเสียงพิรุณเพียงเดียวดาย
วันเวลาคล้ายผ่านไปรวดเร็วนัก
หากหัวใจกลับยืนหยุดอยู่กับที่
..หยุดตรงที่เราเคยมีกันและกัน...
ทอดถอนใจด้วยความร้าวราน
กาลเวลาใช่เคยลบเลือนเงาร่างฝัน ที่อยู่ในหัวใจตลอดมา ..พันธนาการที่ไม่มีผู้ใดสร้าง นอกจากใจของเรา
แล้วเหตุใดจึงสร้าง เหตุใดจึงรัก?
ทุกครั้งยามนิทรา ไม่รู้ว่า ..พรุ่งนี้ใช่จะตื่นขึ้นมาอีกหรือไม่
กาลเวลาจึงควรค่าแก่การถนอมยิ่งนัก
ยามมีชีวิตอยู่..ความรักจึงเป็นสิ่งที่งดงาม
แม้จะไม่มีรัก...แต่หัวใจใช่จะไร้รัก
ความรัก..บางครั้งเกิดง่าย..และสิ้นสุดลงง่าย
แต่ การรักษาความรัก..กลับยากเย็นยิ่งกว่า
การลืมใครบางคนอาจง่าย
แต่การจะลืมใครอีกคนกลับยาก....
น้ำตาไม่เคยหลั่งออกมาทางภายนอกให้ใครรับรู้
หากหัวใจเล่าไยมิใช่หลั่งน้ำตาทุกค่ำคืน
หยาดน้ำฟ้าแต่ละหยาดหยด
ไหนเลยจะเทียมเท่าความครุ่นคำนึงที่มิเคยอ่อนจางไปจากใจ
..ความหวานปนเศร้านั้น ช่างเป็นมิติที่ลึกล้ำ
ลึกซึ้งยิ่ง...
เหม่อมองดอกลีลาวดีดอกหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากต้นริมหน้าต่าง...
เฉกเช่นความรัก ร่วงหล่นปลิดปลิวหายไปในใจของใครบางคน หากความรักในใจเราเล่าหาได้เคยร่วงหล่นหายไป...ไม่เคยเลยจริง ๆ