อันตัวเรานี้เป็นคนบาปหนา ทั้งชีวาได้ทำกรรมมหรรฆ อีกไม่นานบาปกรรมคงตามทัน ถึงวันนั้นไม่อยากให้เจ้าเศร้าใจ หลายชีวิตที่ได้ปลิดปลิวร่วง คงมีห่วงมากมายอยู่ภายหลัง คงความโศกเสียใจให้คนยัง ทุกข์ประดังสะสมทับทวี มาวันนี้จึงเริ่มสำนึกได้ ทำอย่างไรเพื่อไถ่โทษขมันขมี อกเร่าร้อนเหมือนสุมด้วยเพลิงอัคคี ขอคนดีโปรดได้จงเข้าใจ นับจากนี้ไม่อยากเป็นแล้วคนบาป ไม่อยากพรากครัวเขาหรือใครไหน ขอตั้งรับเวรกรรมแห่งเภทภัย ลาเจ้าไกลเพื่อรอรับผลกรรม .................................
30 ตุลาคม 2552 16:49 น. - comment id 1058622
30 ตุลาคม 2552 17:53 น. - comment id 1058641
จะไปบวชเหรอคะ หรือว่าแค่แต่งกลอนฝึกภาษา ทุกอย่างในโลกนี้มองได้สองด้าน ทุกคนคงเคยทำบาปกันทั้งนั้น ถ้าเราถือศีลห้าได้ประจำ คงดีนะคะ ชีวิตครอบครัว บางครั้งไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป ต่างมีหน้าที่ มีภาระต่างกัน การหย่าร้างไม่ใช่การสิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้นของบางคู่ บางทีแยกกันเราอยู่ รวมกันเราตายก็มี ถ้าใครจะเป็นคู่กัน เลิกกันแล้ว ต้องได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ถ้าไม่ใช่ ก็แล้วแต่วาสนา ไม่เกี่ยวกับบุคคลที่สาม เพราะในที่สุดแล้ว ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีใครที่จะอยู่กับเราได้ตลอดไป คนในครอบครัวถึงเวลาต้องไป ก็ห้ามไม่ได้ นั่นคือความตาย ไม่มีการเกิดดีที่สุดค่ะ จะได้ไม่เวียนว่ายในวัฏสงสารต่อไป
30 ตุลาคม 2552 23:01 น. - comment id 1058746
(น้ำตาลหวาน) มาเงียบๆไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะครับ
31 ตุลาคม 2552 10:38 น. - comment id 1058772
เมื่อรู้ตัวแล้วละสละบาป ก็แสนซาบซึ้งใจใคร่สรรเสริญ องคุลีมาลผลาญพรากมากเหลือเกิน สุดท้ายเดินทางธรรมชำระใจ
30 ตุลาคม 2552 23:10 น. - comment id 1058782
คุณจอมขวัญ มีความสุขดีมั้ยครับช่วงนี้ แหม..ถ้าเราถือศีลห้า แล้วทำได้ทุกข้อก็คงดีนะครับ โลกนี้ไม่วุ่นวายแน่(มั้ง) มีหลวงพ่อรูปหนึ่งเคยบอกไว้ว่า ถ้าไม่อยากจะเกิดอีกก็ให้ละ ขันธ์ 5 ถ้ายังไงก็ลองดูนะครับ
31 ตุลาคม 2552 16:02 น. - comment id 1058867
5......ละขันธ์ 5 กลัวทำขันแตก ทำไงอ่ะ แต่อ่ะไม่แน่ ขันพลาสติก คงไม่แตก เนอะ ล้อเล่นคะ อย่างอนๆๆ
31 ตุลาคม 2552 16:03 น. - comment id 1058868
อ้าว กดผิด จะกดว่า เม้นท์ที่ 4 กลายเป็น 5 งง
31 ตุลาคม 2552 19:59 น. - comment id 1058917
สวรรค์ในอก นรกในใจนะคะ หากไม่อยากเป็นคนบาป ปล่อยวางสิคะ ใจจะเป็นสุข สาธุ...
2 พฤศจิกายน 2552 13:44 น. - comment id 1059509
คุณเสมอจุก ซาบซึ้งใจจริงๆครับ
2 พฤศจิกายน 2552 14:35 น. - comment id 1059524
คุณฉางน้อย กลัวขันแตกก็ใช้ขันสแตนเลสซิครับทนแน่นอน แล้วช่วงนี้ฉางน้อยมีเรื่องอะไรหนุกๆเล่าให้ฟังอีกมั้ยครับ
2 พฤศจิกายน 2552 14:56 น. - comment id 1059531
คุณปรางทิพย์ โมทนา สาธุครับ เห็นนรก สวรรค์อยู่รำไรเลยนะเนี่ย หุ.หุ
16 มิถุนายน 2554 19:26 น. - comment id 1199389
งานแรก ที่โขดหินริมทะเลท่ามกลางแสงจันทร์ที่สะท้อนเงากับพริ้วละลอกคลื่น สายลมโชยมาเบาๆคืนนี้จัดว่าทะเลเรียบมาก เรียบราวกระจก แต่ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งมองทะเลในยามสงบ กลับมีชีวิตดุจดั่งเรือที่แล่นอยู่ท่ามกลางพายุในทะเล น้อยครั้งที่จะได้มีโอกาสมานั่งทอดอารมณ์เช่นนี้ ถึงจะมีคนบอกว่า อดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ แต่ ไทร ก็ยังอดนึกถึงไม่ได้อยู่ดี.... สิ่งที่เป็นครั้งแรกของเขา ไม่ว่าจะรักครั้งแรก ผู้หญิงคนแรกกับบทรักอันขัดเขินครั้งแรกของเขา หรืองานแรก มันติดตรึงในใจไทรเสมอ... ....พี่..ครับ..ผมขอลองทำแค่งานเดียวก่อนนะครับ... ...เออน่า..กูว่ามึงทำได้ไม่ยากหรอกวะ ฝีมือมึงได้น่า กูดูไม่พลาดหรอก มึงเตรียมตัว เตรียมของให้พร้อมแล้วกัน ถึงวันเมื่อไหร่กูจะส่งข่าวอีกที เดี๋ยววันนี้ไอ้บัติ จะพามึงไปดูทำเล ดูตัว แล้วมึงกลับมาเตรียมตัว จะเอาอะไรไปใช้บ้างมึงไปเลือกเอาเอง... ..ยิ่งใกล้วันงานเข้ามาความเครียด ความกังวล ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ..มันยิ่งทำให้ชายที่เคยยิ้มง่าย มีใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ กลับเงียบขรึมลงไปถนัดใจ แต่ไทรไม่รู้สึกกลัวเท่าไหร่ เพราะมันจางหายไปกับอดีตอันขมขื่นที่น่ากลัวของเขาในครั้งโน้น...ไปนานแล้ว ความเครียด แรงกดดันมันทำให้ไทรมือเท้าเย็น เหงื่อซึมออกที่ฝ่ามือ รู้สึกกระอักกระอ่วนในท้อง อืม..เขาอยากให้งานมันผ่านพ้นไปจบๆเสียที ถึงเขาจะพยายามควบคุมอารมณ์ด้วยการสวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็พอจะทำให้ใจสงบเย็นลงได้บ้าง แล้ววันงานที่เหมือนการรอคอยมาแสนนานก็มาถึง.... เอาอีกแล้ว..อาการปั่นป่วน กระอักกระอ่วนออกมาอีกแล้ว แต่ยังดีที่ไทรมีเวลาทำใจมาแล้วหลายวันก่อนหน้านี้ พอจะควบคุมได้ไม่ยาก ไทรชอบให้ทุกอย่างอยู่ในความควบคุมมากกว่า แต่หัวใจของเค้านี่สิ มันเต้นแรงจนแทบจะออกมาเต้นอยู่นอกอกอยู่แล้ว ทำใจให้สงบสิวะ...แล้วทำไงล่ะ..สมาธิ..สิ..ทำสมาธิ ... นั่นคือสิ่งที่ไทรคิด และเค้าต้องควบคุมให้ได้ไม่เช่นนั้นมีปัญหาแน่ ถึงเวลานัด 1 ทุ่มครึ่ง หลังจากนัดแนะวางแผนกันแล้ว ได้เวลาฤกษ์งามยามดีก็มีคนมารับไปดูสถานที่อีกรอบ เพื่อความแน่ใจ อืม...ทุกอย่างดูดีอยู่ในความควบคุม ไอ้บัติก็เอ่ยขึ้นมาว่า..พี่ไทร ผมว่าคนมันเยอะไปหน่อยมั้ยพี่ ดูดิคนนั่งกินข้าวที่ริมน้ำกันเยอะเลยนะพี่ อืม..ก็จริงอย่างไอ้บัติว่า อีกฟากถนนเป็นร้านอาหารตั้งโต๊ะเตี้ยๆเล็กๆปูเสื่อนั่งกินอาหารริมฝั่งน้ำ มีคนนั่งกินกันหนาตาพอสมควร หน้าหนาวช่วงใกล้ๆวันปีใหม่แบบนี้อากาศกำลังหนาว คนเลยออกมานั่งรับสายลมหนาว พักผ่อนนั่งชมวิวสวยๆ ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งคนในท้องถิ่น คืนนี้ดวงจันทร์ เกือบเต็มดวงส่องแสงสะท้อนเล่นเงากับลำน้ำสายใหญ่กว้างขวางสวยงามดีจริงๆ นี่ถ้าเราไม่มาทำงานคืนนี้ เราก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพสวยๆแบบนี้หรอกมั้งวะเนี่ย นานแล้วสินะที่ไม่ได้นั่งดูเงาจันทร์ล้อเล่นกับสายน้ำที่พริ้วไหวตามแรงลม ...ไทรอดคิดไม่ได้ ไม่เป็นไรหรอกน่าเราแค่ทำงานของเราแป็บเดียว ใครไม่ยุ่งกับเราก็ปล่อยมันไป ทางใครทางมัน มึงคอยดูให้ดีแล้วกันว่ะไอ้บัติ... ไทรตอบไอ้บัติไป แล้วมันจะจำพวกเราได้มั้ยพี่.. เสียงไอ้บัติยังไม่วายสงสัย ไม่หรอกโว้ย มันมืด แล้วก็เดี๋ยวนี้ไม่มีใครอยากยุ่งเรื่องของคนอื่นนักหรอกว่ะ แม่ม..ไม่อยากเดือดร้อน มึงอย่ากลัวไปเลยวะ.. ไทรตัดบทบอกไอ้บัติออกไป พี่ไทรผมขอถามหน่อยสิพี่ ทำไมพี่ไม่ใช้สิบเอ็ดล่ะพี่... ไอ้บัติเอ่ยถามไทรด้วยความสงสัย สิบเอ็ดมันแรงจริงแต่คุมยาก แล้วเสียงก็ดังกว่า ข้าชอบ เก้า มอมอ มากกว่าว่ะ คุมง่าย เสียงมันไม่ดังมาก.. ไทรไขข้อกังขาของไอ้บัติออกไป ถึงเวลานี้ทุกอย่างดูว่าจะไปด้วยดี ร่างกายของไทร กลับมาเป็นปกติแล้ว เมื่อคนพร้อม ของพร้อมงานก็ควรจะสำเร็จได้แน่.. แต่ก็ไทรก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าคนไม่รู้จักกันไม่เคยเกลียดกันกลับต้องมาทำลายกันเพราะเป็นงานที่รับมา...แต่มาถึงขั้นนี้แล้วสายเกินกว่าจะยกเลิกแล้ว...ไทรได้แต่คิดอยู่คนเดียว ได้เวลาสัก 2 ทุ่มสี่สิบ ปิคอัพสี่ประตูสีเข้มก็พาพวกเค้ามาถึงที่ทำงาน.... คนที่นั่งกินอาหารอยู่ริมน้ำ ก็เห็นปิคอัพขับมาแบบชะลอๆ เหมือนจะหาที่จอด แล้วก็จอดกลางถนนเลยร้านขายของไปสักเกือบสองช่วงตัวรถ แล้วก็มีชายชุดดำสองคนลงมาจากรถ เดินไปที่ร้านขายของ ที่เพิ่งว่างจากลูกค้า มีเจ้าของร้านกำลังยืนจัดสินค้าเพื่อเตรียมรับลูกค้ารายใหม่ ช่วงเทศกาลแบบนี้สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ สร้างรอยยิ้มให้กับพ่อค้าได้เป็นอย่างดี โดยมิได้เฉลียวใจสักนิดว่า คืนนี้จะมีคนมากระชากรอยยิ้มให้จางหายไปกับความมืดของค่ำคืนหนาว... ปัง..ปัง ปัง..ปัง ปัง.. เสียงเหมือนใครจุดประทัด ดังขึ้น คนที่นั่งกินอาหาร บางคนก็คิดว่าคนคงจุดพลุ จุดดอกไม้ไฟเล่น ตามปกติของช่วงเทศกาล บางคนก็สงสัยเหลียวหาที่มาของเสียง เมื่อเจอที่มาแล้วก็ใจหายวาบเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น.. ส่วนคนที่เห็นตั้งแต่แรก ที่มัจจุราชเริ่มเคลื่อนมาเยือน ก็จะเห็นชายสองคน อยู่ห่างกันประมาณ สอง ก้าว คนแรกก้มตัวนิดๆ กำลังลดปืนลง อีกคนเหมือนคอยคุ้มกันคนแรก เผื่อว่าอาจจะกลายเป็นผู้ถูกล่าขึ้นมา ทั้งสองคนใส่กางเกงยีนส์สีเข้ม สวมเสื้อแจ็คเก็ตดำคลุมทับเสื้อยืดสีเข้มอีกทีหนึ่ง เมื่อเห็นว่าร่างอ้วนๆของพ่อค้าทรุดลงไปแล้วก็พากันเดินกึ่งวิ่งไปขึ้นรถทูตมรณะสีทะมึน ขับหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดสลัวของแสงจันทร์ ทิ้งไว้เพียงหัวกระสุนที่ฝังอยู่ในร่างพ่อค้า ปลอกกระสุนและความตื่นตะลึงของคนที่เห็นเหตุการณ์ และเสียงหวีดร้องของเมียพ่อค้าและญาติๆที่ตื่นตระหนก ทำอะไรไม่ถูก .... สักพักใหญ่ๆ ความเงียบก็เข้ามาครอบงำบรรยากาศริมน้ำภายนอกร้านมรณะให้กลับมาสู่ปกติ ปล่อยให้ความวุ่นวายสับสน อบอวลอยู่เพียงในร้านค้ามรณะเท่านั้น ไม่มีใครมาสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ได้แต่วิพากย์วิจารณ์กันแต่เฉพาะภายในกลุ่มของคนที่มากินอาหารเท่านั้น... ........................................ เค้าโครงจากเรื่องจริง..... อุทิศ แด่พ่อค้าผู้โชคร้าย... การจะเอาชีวิตใครสักคนอาจไม่ยากเท่ากับการจะใช้ชีวิตหลังจากนั้น.... (ขออภัย สำหรับคนที่เข้ามาอ่านเม้นท์นี้โดยบังเอิญ... เป็นเพียงแค่เรื่องที่เขียนไว้แต่ไม่อยากนำลงในเรื่องสั้น เพราะความสามารถยังไม่ถึงขั้นให้ใครๆอ่าน แต่ขอนำมาฝากเก็บไว้ที่นี่เผื่อว่าคอมมีปัญหางานจะได้ไม่สูญหาย) ต่อไปงานอื่นๆที่เขียนก็อาจจะนำมาลงฝากไว้ที่นี่เพื่อรอการขัดเกลาก่อนอีกก็เป็นได้......