สำนึกรักบ้านเกิด
พลายลิขิต ณ เมืองพาน
จิ้งหรีดเรไรร้องหวีดหวิว
สายลมพริ้วพัดผ่านดั่งนำไหล
ไกลออกไปสุดสายตาและมือขว้า
ดวงดาวนับร้อยระยิบยับพราว
จันทราทอแสงอยู่เรืองรอง
สองดาวเดือนเคียงคู่มิห่างไกล
ใจดวงน้อยเลื่อนลอยตามสายลม
นั่งชมจันทร์เคียงคู่กับหมู่ดาว
ราตรีผันผ่านตามเวลา
จันทราหายไปกับเมฆฝนที่ลอยมา
สายลมพาเมฆมาเร็วพลัน
หันไปดูดวงดาวก็ลับหาย
หนาวกายกลางสายฝนที่พลั่งพลู
หูแว่วยินเสียงคำรามแห่งท้องฟ้า
แสงฟ้าฟาดดั่งเปรี๊ยงสนั่นไหว
ใจสั่นระรัวกลัวแสงฟ้าฟาด
ค่อยค่อยเดินกลับสู่ใต้บ้านใหญ่
ไม่มีภัยพิษมารังควานให้ทุกข์เข็น
ไม่ลำเข็ญเหนื่อยยากลำบากใจ
บ้านที่ให้อุ่นกายสุขใจอยู่เรื่อยมา
มีแม่พ่อโอบอุ้มคุ้มครองภัย
พ่อไม่ให้ลูกกลัวต้องเข้มแข็ง
แม่ปลอบโยนยามท้อใจและหมองเศร้า
แม้เคล้าน้ำตามก็แห้งเหือดหมดหายไป
บ้านหลังนี้ที่เคยอยู่ผ่านลมฝนกี่ร้อนหนาวยังคงอยู่
ชูใจจิตไม่คิดห่างบ้านของตนที่เคยสุข
แม้มีทุกข์พ่อแม่ก็ยังอยู่
เป็นคู่เคียงคำจุนลูกคนเดิม
หากเรียนจบครบกำหนดที่ตั้งเป้า
จะเข้าไปกราบเท้าแม่พ่อที่ยิ่งใหญ่
อยู๋กับบ้านเกิดเมืองนอนที่สงบ
แม้ลำเค็ญยังสุจใจไม่เหมือนที่ใด
ใครใครบอกกลับบ้านแล้วลำบาก
จะขอกราบบอกกล่าวให้เล่าขาน
เป็นตำนานเรื่องเล่าให้ทุกคนฟัง
บ้านหลังนี้ของเราแสนสุขขี
แม้นมีน้อยด้วยความเจริญที่เขากล่าว
ต้องเดินดินขี่ควายเพื่อนเดินทาง
กลับขาวสะอาดด้วยไมตรีและน้ำใจ
ให้ขาวปลาแบ่งปันกันข้าวรั้ว
ขอถามหน่อยในเมืองมีบ้างไหม
กับข้าวหนึ่งจานมันเท่าไหร่
เอาใส่ท้องหนึ่งจานสามสิบบาท
ขาดน้ำยังต้องซื้อหาดับกระหาย
อิ่มบ้างไหมกับตังค์ที่สูญไป
บ้านเราแม้นบ้านนอกและคอกนา
หากินปลากินข้าวได้ทั่วไป
เข้าบ้านนั้นเยี่ยมบ้านโน้นก็อิ่มได้
อิ่มด้วยน้ำใจใช่อิ่มน้ำเงิน
ถึงไม่มีหญิงงามดั่งในเมือง
ที่ลือเลื่องด้วยความสวยที่เติมแต่ง
งามแห่งไทยแห่งความดีบ้านเรามี
ที่งามกว่าแบบนั้นเป็นไหนไหน
กลับเถิดเพื่อนกลับบ้านเรา
เขาจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา
บ้านเกิดเราอย่าดูแคลนให้หมองมัว
จงสำนึกเถิดนี่คือที่ให้เราโต