บันดาลใจจากบทกวี *คำพิพากษา* ปลอบขวัญรับวันชื่นลืมเรื่องราน แด่น้องปรางทองปรางทิพย์ ยิ้มหวานหวานรับดอกไม้บานในยามเช้า อย่ามัวเศร้าโศกจิตชีวิตฝัน แค่มายามาเรียนรู้ผ่านวัยวัน คำคนนั้นแค่น้ำลายปลายปากกา ชีวิตคนมีมากด้านดูตรงไหน ยุติธรรมใจเที่ยงแท้ฤาแค่ว่า เชื่อตามคำเขาไปสิ้นเมตตา พิพากษาตามจิตคิดมืดดำ เจริญสติดูตัวเองดีกว่าไหม ใช่เพ่งโทษผู้ใดหมายเหยียบย่ำ เมตตาอภัยมองข้ามไปใจเป็นธรรม ต่างเกิดมาชดใช้กรรมเพื่อนมนุษย์ กระจกเงาสะท้อนความคิดเราคงดีกว่า พัฒนาจิตงามใสบริสุทธิ์ รจนาเรื่องธรรมะธรรมชาติล่วงวิมุติ พาตนหลุดจากปลักตมบัวจมโคลน....! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song72.html หนึ่งในร้อย พราว แพรว อันดวงแก้วแวว-วาว สด สี งาม หลายหลากมากนาม นิยม นิล-กาฬ มุกดา บุษรา คัมคม น่า ชม ว่างาม เหมาะสม ดี เพชรน้ำหนึ่ง งามซึ้ง จึงเป็น ยอดมณี ผ่อง แผ้วสดสีเพชรดี มีหนึ่งในร้อยดวง ความ ดี คนเรานี่ ดีใด ดี น้ำ ใจที่ให้แก่คน ทั้งปวง อภัย รู้แต่ให้ไปไม่หวง เจ็บ ทรวง หน่วงใจให้รู้ ทัน รู้ กลืน กล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน ชื่น ชอบตอบ ผล ร้อยคน มีหนึ่งเท่านั้นเอย รู้ กลืนกล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน ชื่น ชอบตอบผล ร้อยคน มีหนึ่ง เท่านั้นเอง...
18 สิงหาคม 2552 10:58 น. - comment id 1028498
Rain in the..Summer...! ปีเก่าผ่านไปแล้ว แก้วหน้าบ้านปลิดกลีบร่วง จำปีรอรับเจ้าขวัญดวง กี่ปีล่วงกี่วันลาตั้งตารอ... .......................... ปีใหม่ปีนี้ คงเป็นปีที่...ทุกดวงใจคงหวังตั้งใจ กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมอธิษฐานจิตขอพร ให้แผ่นดินธรรมแผ่นดินทองของเรา ได้ผ่านพ้นความหมองเศร้า ให้เรืองรองด้วยพลังรัศมีบุญ แห่งการรู้รักสามัคคี มีเมตตา ลดมิจฉาทิฏฐิ เพื่อสร้างศานติสุขสงบเย็น รู้ทำใจให้เป็นสุข เลิกรานรุกกันด้วยถ้อยคำ ที่นับวันจะยิ่งกระพือโหมเพลิงกิเลส ให้มีแต่การแตกแยก ที่ท้ายสุดแล้วหมายถึงการ*สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน* สิ้นสุขไปทุกหย่อมหญ้า... และกว่าจะซึ้งค่าคำ *เราต่างก็เกิดมาร่วมแผ่นดินแม่มาตุภูมิเดียวกัน* ก็สายเกิน.. หยุดคิดร้าย หยุดทำลายชาติด้วยน้ำลาย หยุดการใช้กำลังเข่นฆ่า ใช้สติมีปัญญา เพียรเจริญสติภาวนา เพื่อพัฒนาจิตตัวเอง ให้รู้ผิดชอบชั่วดี รู้พลีเสียสละ ลดละอัตตา อันคือกิเลสตัณหาที่พาลพามวลมนุษย์ ให้รบรากันมิสุดสิ้น เพราะ.. ความอยากมีอยากเป็น... ปีใหม่นี้... เป็นปีที่ดวงหวังตั้งใจ จะเจริญสติให้มากขึ้นมากเข้า ตราบเท่าที่ลมหายใจยังมี และ.. ตั้งใจว่าจะตัดสินใจทำโครงการบางสิ่ง ที่ประวิงเวลาไว้นานมากแล้ว.... ให้ฝันอันแสนสงบงามนั้นพลันเป็นจริงเสียที หลายวันมานี้ ตั้งใจอ่านหนังสือธรรมะ ประดับสติปัญญา สร้างอัญมณีใจ ชื่อ*Snow in the Summer* *หิมะกลางฤดูร้อน* เป็นหนังสือธรรมะที่ทำลายทุกสถิติ ด้วยยอดพิมพ์กว่าหนึ่งล้านเล่ม ในสิบภาษาทั่วโลก รวบรวมจากการเขียนจดหมาย ของท่านสยาดอ อู โชติกะ พระอาจารย์พม่ากับลูกศิษย์ของท่าน ที่สำหรับดวงแล้วช่างงดงามและให้ความล้ำค่า ทางจิตวิญญาณเสียเหลือเกิน น่าแปลกใจ.. ที่ท่านเลือกวิถีศึกษาธรรมจาก การปลีกวิเวก เป็นพระป่าคล้ายกับท่านเรียวกัน ที่ดวงเคยอ่านบทกวีที่แสนละไมละมุนใจ ตรึงตราประทับใจในความเดียวดายล้ำลึก มานานหลายปีแล้ว ใจดวงจึ่งประดุจดั่ง กำลังได้รับละออละอองหยาดน้ำค้าง ที่ใสเย็นดังเช่นหยาดฝนที่พรมพร่าง ให้ได้พบทางสว่าง ได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ผ่านธรรมชาติชีวิตของพระป่า องค์นี้ ที่ท่านน้อมนำคำสอนสัจจธรรม ด้วยการบ่มร่ำ ให้เราเพียรเจริญสติ โดยการเลือกมีวิถีชีวี อย่างสงบสมถะ มีอิสระดั่งพญาราชสีห์แห่งขุนเขา..เช่นฉะนั้น .............. *คัดความบางตอน จากประวัติพระโชติกะที่แนะนำตัว* *อาตมาจบวิศวกรรมไฟฟ้า อ่านทฤษฏีวิทยาศาสตร์ที่ล้ำยุคมามากมาย รวมทั้งเรื่องหลุมดำ จึงเข้าใจแจ่มแจ้งเลยทีเดียวว่า คนเรามั่นใจในทุกๆอย่างน้อยนิดเพียงใด ใช่อาตมาต้องการอิสรภาพมาก เรื่องนี้เราต้องเข้าใจกันตั้งแต่เริ่มต้น อิสรภาพของอาตมามิได้มีไว้ซื้อขาย การต้องใช้ชีวิตที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ทำให้รู้สึกเหมือนถูกจองจำ อาตมาก็คือราชสีห์ตามประเพณีของพม่า ชอบที่จะท่องไปบนขุนเขาที่กว้างใหญ่ เยี่ยงสิงโตภูเขา อา อิสรภาพ อาตมาทนข้อจำกัด ความผูกพันหรือการผูกมัดใดใด ไม่ได้ทั้งสิ้น แม้แต่การยึดติดก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยชื่นชอบ เพราะมันจำกัดอิสรภาพ ผู้คนมักยึดติดกับอาตมา จึงเป็นอันตรายต่ออิสรภาพของอาตมาอย่างยิ่ง อาตมาไม่คิด จะยอมแลกเปลี่ยนอิสรภาพกับอะไรได้ ตอนนี้อาตมา*ตามรู้* สิ่งที่เป็นคุกจองจำจิตใจของตัวเองได้มากขึ้นทุกทีๆ แม้จะศึกษาพระไตรปิฎกมามาก แต่ทุกครั้งที่เข้าไปหยั่งรู้ หรือ เข้าใจสิ่งใดในใจได้กระจ่างแจ้ง อาตมาก็ยังรู้สึกตื่นเต้น เหมือนนักสำรวจที่ค้นพบอะไรใหม่ๆอยู่นั่นเอง การค้นพบสัจจธรรมอันเรียบง่ายเหล่านี้ ด้วยตนเองช่างเป็นความสุขล้น ยูเรก้า (ภาษากรีกแปลว่าฉันพบแล้ว) อาตมาพบแล้ว อาตมาแทบจะทนผู้คนที่พูดราวกับว่า รู้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งๆที่แค่อ่านมาจากตำรับตำรา ไม่ได้เลย แต่บางครั้งก็จับได้ว่าตัวเอง ก็ยังทำอย่างนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ทำน้อยลงเรื่อยๆ อาตมาคือราชสีห์แห่งขุนเขา เดียวดายแต่ไม่เหงาอีกต่อไป เพราะเรียนรู้แล้วที่จะอยู่ตามลำพัง บางครั้ง อาตมาเคยอยากเล่า ความเข้าใจอันลึกซึ้งให้คนอื่นฟัง แต่ยากจะพบใคร ที่ฟังแล้วรู้เรื่องในสิ่งที่อาตมาเล่า ว่าควรจะเข้าใจและเห็นคุณค่ามันอย่างไร ส่วนใหญ่อาตมาเป็นฝ่ายฟัง เพราะคนชอบมาคุยด้วย ความต้องการอิสระและเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่พึ่งพิงใคร คือความปรารถนารุนแรงที่สุดของอาตมา อิสรภาพมีมีหลากหลายรูปแบบและระดับ อาตมาคงต้องยอมเดินไปตามทาง ที่ธรรมชาติของตัวเองนำไป ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม อาจต้องยอมให้หมู่มิตรผิดหวัง มีคนคาดหวังในตัวอาตมามากมายเหลือเกิน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยให้ความคาดหวัง ของเขาสัมฤทธ์ผล อาตมากำลังมุ่งหน้าไปสู่อิสรภาพของตัวเอง มิใช่หันย้อนกลับไปหาการอยู่ร่วมในกรอบ ของสังคมอีก อาตมาเคยอ่าน *Memories, Dreams, Reflections ของ คาร์ล จุง * ความคิดของเขาน่าสนใจดี บางอย่างที่เขาพูดเกี่ยวกับตัวเอง ช่างเหมือนกับตัวอาตมา นี่คือข้อความบางตอนของเขา *เมื่อตอนเป็นเด็กฉันรู้สึกเดียวดาย แม้ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ เพราะฉันรู้แจ้งในสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าคนอื่นไม่รู้ และคนส่วนมากก็ไม่ได้อยากรู้ ความเปล่าเปลี่ยว ไม่ได้มาจากการไม่มีผู้คนรายล้อม แต่หมายถึง การสื่อสารสิ่งที่ตนเห็นว่าสำคัญยิ่งกับผู้อื่นไม่ได้ หรือหมายถึง การยึดมั่นในความเห็นที่ผู้อื่นไม่ยอมรับ ดังนั้นใครก็ตามที่*หยั่งรู้*มากกว่าผู้อื่น ย่อมต้องเปล่าเปลี่ยวเดียวดายกันทุกคน แต่ความเปล่าเปลี่ยวนี้ ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับการสร้างมิตรภาพแต่อย่างได เพราะไม่มีใครอ่อนไหวกับมิตรภาพ เกินกว่าคนเปล่าเปลี่ยวหรอก อีกทั้งมิตรภาพ จะเติบโตงอกงามได้ต่อเมื่อแต่ละฝ่าย ระลึกว่าต้องจดจำความเป็นตัวของตัวเองไว้ให้ได้ โดยไม่พลั้งเผลอคิดว่าตนเป็นคนอื่น (เมื่อพูดถึงการกลับมาเกิดใหม่ ในกรณีของอาตมา เหตุปัจจัยของอาตมาที่มาเกิดใหม่ น่าจะมาจากแรงผลักดันที่ต้องการรู้แจ้ง เพราะดูจะเป็นองค์ประกอบที่เข้มข้นที่สุด ในธรรมชาติของอาตมา ................. ............................ อีกตอนจากคาร์ล จุง ที่ท่านโชติกะยกมา *ฉันเคยอยู่มาแล้วโดยไม่มีไฟฟ้าใช้ เราก่อเตาผิงและเตาไฟเอาเอง ยามค่ำคืนเราจุดตะเกียงใบเก่า ไม่มีน้ำประปา ฉันสูบน้ำจากบ่อขึ้นมาใช้ ผ่าฟืนเอง ปรุงอาหารเอง การดำรงชีวิตอย่างง่ายๆแบบนี้ ทำให้ชีวิตของเราเรียบง่ายตามไปด้วย ความเรียบง่ายนี่มันเอาการอยู่นะ ที่ Bollingen เราแทบจะสำเหนียกความเงียบ ที่รายล้อมเราได้ ที่นั่นฉันใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย กลมกลืนไปกับธรรมชาติ ท่ามกลางความสงบสงัดที่เหนือคำพรรณนาใดๆ.. .................... ........................... ......................... นั่นคือเสี้ยวนึงในหนังสือ *Snow in the Summer* *หิมะกลางฤดูร้อน* ที่หวังจักช่วยผ่อนเพลา ให้ทุกท่านได้พบกับละอองงามเงา แห่งความใสฉ่ำเย็น ในวันปีใหม่นี้ หาซื้อมาอ่านและกำนัลแด่ทุกดวงใจ ผู้เป็นที่รัก ให้ได้พบกับตัวตนที่แท้จริง ชีวิตที่แท้จริง อันประดุจดั่งดวงมณีที่พรายพร่างสว่างโรจน์ อยู่ ณ กลางใจเราเอง นี่เอง ใช่ไกล..ไหนเลย...! ด้วยรัก...
19 สิงหาคม 2552 21:42 น. - comment id 1028502
เพียงติดปีกอิสราฝัน สวรรค์ก็ลอยอยู่ตรงหน้า ให้ซาบซึ้งตรึงตรา เกินกว่าจะบอกเล่าผู้ใด สวรรค์อยู่ตรงนี้ ตราบยังมีศรัทธามิหวั่นไหว ความสุขงดงามรำไร สว่างไสวดั่งแสงอาทิตย์อรุณ เห็นทุกสิ่งรายรอบช่างสงบ ค้นพบธรรมชาติวนหมุน มหัศจรรย์จิตแลโลกละไมละมุน ดั่งบัวบุญบานหอมนิรันดร์ สวรรค์อยู่ตรงนี้ที่ดวงจิต สร้างมณีนิรมิตประดับขวัญ มายาเกิดดับตราบชั่วกัลป์ เพียงเธอฉันรู้ทันเท่าด้วยเข้าใจ..! ................................. พุด 18 ส.ค. 52 - 11:05 IP 116.58.231.242
18 สิงหาคม 2552 11:10 น. - comment id 1028507
พี่พุดคะ ปรางมารับรอยยิ้มอันแสนหวานค่ะ และสัมผัสได้กับความเมตตาของพี่ ที่มอบให้กับปราง บัดนี้หัวใจที่เคย ห่อเหี่ยวและทดท้อ ได้ชุ่มชื่นมาบ้าง แม้ในบางครั้งปรางจะเหนื่อยที่จะต้อง ต่อสู้และดิ้นรนแต่มันมิใช่ว่าปรางต้อง การที่จะเป็นผู้ชนะนะคะ เพราะในความรู้สึกของตัวเอง การชนะ มิใช่ของขวัญจากสวรรค์ เพราะจะต้อง มีผู้แพ้ ที่ต้องเสียใจ ร้องไห้ และสูญเสีย เลยกลายเป็นว่า ปรางจะเงียบ และเดิน ก้าวออกไป ดอดไม้ในใจที่บาน กำลังส่งกลิ่นหอมค่ะ โดยเฉพาะบานในบ้านเรือนไทยแห่งนี้ ดังบัวบานขานรับสดับแสง เคยหมดแรงแข็งขืนกลืนความช้ำ ด้วยน้ำใจได้มากจากใจธรรม มิท้อกรรมคำคนให้หม่นใจ ด้วยรักพี่พุดเป็นที่สุดค่ะ
18 สิงหาคม 2552 11:33 น. - comment id 1028514
ตั้งใจอ่านนะคะคนดี บางทีอัญมณีอันงดงามนั้น พลันจักพร่างพราย ไร้เศร้าโสกเสียใจ กับกิเลสมนุษย์ ที่มิสิ้นสุดการเบียดเบียน เราจักเจริญสติตัวเอง พิจารณาตัวเอง ด้วยการรักษาศีลสมาธิปัญญา มิพาจิตเราให้ตกในความมืดดำ ของผู้ที่ยังมีกิเลสเหตุธรรมดาโลก ในการเพ่งโทษผู้อื่น นิ้วชี้ไปข้างหน้าหนึ่งนิ้ว หากอีกสาม น่าจะคิดว่าชี้กลับเข้ามาดูตัวเอง การให้ร้ายใคร นั่นหมายถึงใจตัวเอง ยังต้องอาศัยธรรมะแห่งความ เมตตา อภัย ความเข้าใจ และ ให้ความรักอย่างไม่มีอคติใดๆค่ะ ใครทำได้เท่ากับว่า ได้มองเข้าไปในจิตตัวเอง สิ้นไร้ตัวตน ไม่หลงวนในมานะ ในความถือดี ในความคิดที่ว่าจะต้องเสียดสี คนอื่นให้ราน น้องรัก.. ผู้หญิงไม่ใช่เกิดมาเพียง อ่อนหวาน อ่อนไหว หากเกิดมาเพื่อเข้าถึงธรรม บ่มร่ำให้จิตเราหอมงาม ใช่ดั่งบัวในตม คอยถล่มเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ให้รานร้าวเศร้าเสียขวัญ ดั่งคนใจบาปหยาบช้าเสียนี่กระไรค่ะ อย่าไปเชื่อคำพิพากษาผู้ใด ไม่หวั่นไหว วางใจอุเบกขา ชีวิตเรา เรารู้จักทุกแง่มุม กว่าโครทั้งโลกหล้า จง พิจารณาตัวเองอย่างเที่ยงธรรม ไม่จำต้องรินร่ำหลั่งน้ำตาสังเวย กิเลสน้ำลายจากลมให้ร้ายของผู้ใด คนดีที่มีใจดวงทองผ่องพิสุทธิ์ จะไม่ใช้ปลายปากกาคอยแขวะ ทำร้าย และหยาบไร้โดยไม่รู้ความจริง อย่างถ่องแท้ แค่อคติค่ะ ด้วยรักน้อง เพียงโพธิจิต..สถิตเนา...! โลกภายนอกหมุนไปไม่สิ้นสุด โลกภายในรอวิมุติผ่องแผ้ว พบรัศมีบุญงามเพริศแพร้ว เกิดปัญญาแก้วกระจ่างว่างภายใน เห็นเกิดดับนับเนื่องเป็นสายโซ่ มีเพียงโพธิจิตแตกพร่างสว่างไสว ดั่งไม้ธรรมนำนิพพานงามเกินใด ใต้ร่มใจปลดแอกหนักพักเรื่องราว เป็นไม้ทิพย์ไม้ทองต่อยอดบุญ งามละมุนสอนเมตตาลบเลือนหนาว กลางบึงใจดอกนิพพานบานพร่างพราว ทุกข์รานร้าวรักพันธนารู้ค่าลม ลมหายใจสั้นยาวเข้าแล้วออก กายภายนอกหลอกเลือกเปลือกสะสม หวังละเมียดรสกิเลสอิฏฐารมณ์ พาสู่ปมบ่มเพาะอยากมากทวี ทิ้งสรรพสิ่งภาวนาท่ามไพรพฤกษ์ ดูรู้สึกจิตสับสนแห่งชีพนี้ อนิจจังรายรอบสอนชีวี อริยสัจจ์สี่อยู่ที่นี่ณภายในใจเราเองดับเพรงกรรม..! พลังแห่ง..จิตเกษม..! ยามตะวันสนธยาที่ฟ้าฉ่ำฉ่ำหลัวๆ แพนเปิดโคมไฟอบอุ่นอ่าน*พลังแห่งจิตปัจจุบัน* หนึ่งในหนังสือดีที่สุดที่วางแผงในช่วงหลายสิบปีนี้ เพระทุกประโยคนั้นเต็มไปด้วยพลังและสัจจธรรม และพลบค่ำในท่ามกลางความเงียบ หัวใจดวงนิ่งงันสงบงาม ก็ราวเข้าสู่ภวังค์ไร้มิติลึกเลยค่ะ รู้สึกราวได้นิทราไปอย่างอิ่มเต็ม แพนจะแนะนำหนังสือแสนดีแสนมีค่ามาสักนิดสักหน่อยนะคะ บทนำ..ความเป็นมาของหนังสือเล่มนี้.. *ผมแทบไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ผมอยากจะเล่าย่อๆถึงความเป็นมาเป็นครูฝึกพลังแห่งจิตนี้ ได้อย่างไรและทำไมถึงเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา ก่อนผมจะอายุสามสิบ ชีวิตผมเต็มไปด้วยความวิตกกังวล หดหู่ และหลายครั้งที่คิดจะฆ่าตัวตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด จนถึงวันนี้ผมยังรู้สึกเลยว่า นี่ผมกำลังเล่าถึงชีวิตในอดีตของตัวเองหรือของคนอื่นกันแน่.. คืนหนึ่ง หลังจากวันครบรอบวันเกิดปีที่ 29 ของผมไม่นานนัก ผมตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับความรู้สึกแย่ๆเช่นเคย แต่..วันนั้นผมรู้สึกแย่กว่าทุกครั้ง ความเงียบสงัดในยามราตรี เงาสลัวๆของเฟอร์นิเจอร์ทอดยาวอยู่ในห้องมืด ผมได้ยินเสียงรถไฟวิ่งผ่านอยู่ไกลไกล อะไรๆมันดูน่าขยะแขยงไร้ค่าไปเสียหมด ที่แย่ที่สุดคือชีวิตผม ไม่รู้ผมจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความทุกข์นี้ไปทำไม? ผมจะดิ้นรนต่อสู้ไปเพื่ออะไร? ผมรู้สึกอยากจะทำลายทุกสิ่ง แม้กระทั่งชีวิตของตัวผมเอง ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ผมเฝ้าแต่ครุ่นคิดเรื่องความตาย แล้วจู่ๆ ผมก็ผุดคำถามขึ้นมาในหัวใจว่า ในตัวผมเนี่ย มันมีตัวตนมากว่าหนึ่งหรือเปล่า เพราะถ้าผมไม่สามารถทนกับตัวผมเองละก้อ แสดงว่าจะต้องมีอีกตัวตนหนึ่งในร่างของผมที่คอยปฏิเสธ แต่ที่แน่ๆในตัวตนทั้งสองนั้น ตัวตนหนึ่งต้องเป็นตัวจริง ความคิดที่แปลกนี้มันทำให้ผมพิศวง งงงวย หัวสมองผมหยุดคิด ผมรู้สึกตัวดีอย่างสมบูรณ์ และในหัวอันว่างเปล่าไม่มีความคิดใดใด ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมอยู่ในวังวนของพลังงาน มันค่อยๆจมลง เร็วขึ้น เร็วขึ้น ความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจผม ตัวผมสั่นเทา ผมได้ยินเสียงถ้อยคำว่า ไม่ต่อต้านอะไรเลย ราวกับว่ามันพูดอยู่ข้างในหน้าอกของผมเอง ผมรู้สึกตัวเองถูกดูดลงไปในที่ว่าง ผมรู้สึกว่ามันเป็นที่ว่างข้างในตัวผมมากว่าที่ว่างข้างนอก ทันใดนั้น... ไม่มีความกลัวเหลืออยู่อีกต่อไป ผมปล่อยให้ร่างของตัวเองจมดิ่งลงไปในที่ว่างนั้น แล้ว ผมก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น..ไม่ได้เลย! เสียงนกร้องนอกหน้าต่างปลุกผมตื่น ผมไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อน ผมยังคงหลับตา.. ผมเห็นภาพของเพชร ใช่สิ! ถ้าเพชรเปล่งเสียงได้ เสียงมันคงเป็นอย่างนี้นี่เอง ผมลืมตาตื่น แสงแดดยามเช้าส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา ผมไม่ได้คิด แต่...ผมรู้สึก! ผมรู้ว่ามันต้องมีอะไรมากไปกว่าแสงสว่างที่คุ้นเคย แดดอุ่นๆที่ทะลุผ่านผ้าม่านนั้น มันพึงพอใจกับสภาพของมันเอง ผมรู้สึกว่าตัวเองน้ำตาคลอ ผมลุกขึ้นเดินรอบห้อง มองดูสิ่งต่างๆ ผมรู้ดีว่าผมไม่เคยมองมันอย่างจริงจัง มาก่อนเลยในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างดูใหม่ ทั้งๆที่มันอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว แต่เหมือนเพิ่งจะมาปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง ให้เห็นก็วันนี้ ผมหยิบจับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นดินสอ ขวดเปล่า ผมรู้สึกพิศวงกับความงามและความมีชีวิตของพวกมัน วันนั้น ผมออกเดินไปรอบเมืองด้วยความตื่นตาตื่นใจกับ ความมหัศจรรย์แห่งชีวิต ราวกับว่าผมเพิ่งจะลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้เป็นวันแรก ห้าเดือนต่อมา ผมใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่มีอะไรมาสะดุดความสุขสำราญใจของผม ความรู้สึกแรงกล้าในใจผมค่อยๆลดน้อยลง บางทีผมอาจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติก็เป็นได้ ผมว่าตัวผมสามารถทำอะไรกับโลกใบนี้ได้ แม้จะรู้ดีไม่มีอะไรที่ผมทำแล้ว มันจะเติมสิ่งที่ผมมีอยู่ให้เต็มไปกว่านี้แล้วก็เถอะ ผมรู้ดีว่ามีอะไรอบางอย่างเกิดขึ้นกับผม ตอนนั้น ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอก จนกระทั่งหลายปีผ่านมา ผมได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ *จิต* และพูดคุยกับปรมาจารย์หลายท่าน ผมจึงได้รู้ว่า สิ่งที่ทุกคนเสาะแสวงหานั้นได้เกิดขึ้นกับผมแล้ว ผมเข้าใจสภาพความกดดัน ความทุกข์ทรมานยามดึก ที่ต้องคอยบังคับให้จิตหลุดพ้นจากภาวะ เศร้าสร้อย หวาดกลัวที่คอยหลอกหลอนไม่มีสิ้นสุด การที่สามารถถอนตัวเองออกจากห้วงทุกข์นั้น เปรียบเสมือนกับการปล่อยลมออกหมดจน ความทุกข์ทรมาน..มลายหายไป สิ่งที่คงเหลืออยู่นั้น.. คือธรรมชาติ ที่แท้จริงของผม เป็นตัวผมเอง จิตบริสุทธิ์ก่อนที่จะผูกติดกับรูปลักษณ์อื่นใด จากนั้น ผมได้เรียนรู้ที่จะเข้าถึงดินแดนไร้มิติ อันเป็นนิรันดร์อยู่ภายใน ซึ่งตอนแรกผมนึกว่ามันเป็นที่ว่างที่ดึงผมลงไป ผมดำรงชีวิตอยู่ในสติตลอดมานับแต่นั้น ผมเริ่มมีความสุขกายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก มันต่างกันลิบลับกับเมื่อก่อน มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ ผมเหมือนถูกปล่อยให้อยู่กับตัวเอง ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีฐานะทางสังคมใดใด กว่าสองปีที่ผ่านมา ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ในสวนสาธารณะ ซับความหฤหรรษ์อย่างยากจะหาอะไรเปรียบ ช่วงเวลาที่สวยงามเหล่านั้นผ่านมาแล้วย่อมผ่านไป แต่สิ่งที่คงอยู่กับผม คือพลังแห่งความสงบที่แฝงอยู่ บางทีมันแรงกล้าจนสัมผัสได้ แม้แต่คนอื่นก็รู้สึกได้เช่นกัน และบางทีมันแอบอยู่ลึกๆคล้ายกับเสียงดนตรีคลออยู่ไกลๆ ผู้คนมักเข้ามาถามผมว่า ฉันอยากได้สิ่งที่คุณมีให้ฉันได้ไหม หรือบอกฉันสิฉันจะหามันได้จากที่ไหน? ผมตอบเขากลับไปว่ามันอยู่ในตัวคุณนั่นแหละ เพียงแต่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง เพราะยังมีบางสิ่งรบกวนอยู่ในใจคุณ คำตอบนั้นทำให้กลายมาเป็นหนังสือที่อยู่ในมือคุณเล่มนี้ ก่อนที่จะรู้ตัว ผมมีรูปลักษณ์ภายนอกอีกครั้ง ผมกลายเป็นครูฝึก พลังแห่งจิตเข้าแล้ว!. ................................ หนังสือนี้เป็นหัวใจหลักของงานผม พอพอกับการปาฐกถาของผม ไม่ว่าจะบุคคลทั่วไปกลุ่มเล็กๆของคนที่ใช้เวลากว่าสิบปีแสวงหา *สุขภาวะทางจิต* ทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ ผมต้องขอบคุณพวกเขาด้วยความจริงใจต่อความกล้า ความเต็มใจที่ยอมอ้าแขนรับความเปลี่ยนแปลงภายใน คำถามที่เป็นประโยชน์ การยินดีรับฟัง หนังสือเล่มนี้จะเป็นรูปร่างไม่ได้เลย ถ้าขาดพวกเขาเหล่านั้น แม้ว่าจะเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย ที่ริเริ่มค้นคว้า *เรื่องสุขภาวะทางจิต* ที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น คนที่เข้าถึงจุดที่สามารถฝ่าแนวคิดเดิมๆ ที่ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของความทุกข์ ผมเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยเปิดทาง ให้กับผู้ที่พร้อม ที่จะรับความเปลี่ยนแปลงภายในอย่างสุดขั้ว จะเป็นตัวจุดปะทุให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ผมหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะถึงมือผู้ที่เห็นค่า แม้ว่าเขาจะไม่พร้อมที่จะฝึกฝน หรือเปลี่ยนแปลงเต็มตัวในวันนี้ แต่มันเป็นไปได้เสมอ ที่ เมล็ดพันธุ์ที่หว่านไว้ จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ จะไปรวมตัวกับเมล็ดพันธุ์แห่งสติปัญญา ที่อยู่ในตัวมนุย์ทุกคน และมันจะแตกหน่อยืนต้นอยู่ในตัวเขาเองต่อไป.. *ทั้งหมดนั้นคือ ความในใจของผู้เขียนค่ะ เอ็กค์ฮารท์ โกลเลอ เกิดในประเทศเยอรมันนี ที่ที่เขาอาศัยอยู่จนอายุสิบสาม และ หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยลอนดอน เขาเป็นนักวิชาการด้านวิจัย และผู้ควบคุมการสอนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เมื่อเขาอายุ 29 การเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง ได้สลายภาพลักษณ์เดิมๆ และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง* ........................ แด่ทุกดวงใจ... จริงๆแล้ว แพนอ่านหนังสือเล่มนี้ อย่างละเมียดละไมอย่างช้าๆ และค้นพบว่า แนวคำสอนและความคิด ก็คล้ายๆกับศาสนาพุทธของเรา.. จากพระบรมศาสดาเอกของเรา ให้รู้ธรรมชาติชีวิตจากตัวตนเราเอง ให้เราเพียรเพ่งพินิจค้นหาความจริง จากภายในใจเราเอง ให้ หยุดคิดให้ได้ ใช้เพียงสติกำหนดลมหายใจ.. อยู่กับความจริงเป็นปัจจุบัน และ สารพันทุกทุกข์ปัญหาจะคลี่คลายบางเบา ด้วยหัวใจดวงดายเดียว ที่เราจะมิเหงาเปลี่ยว ให้เราเพียรพยายาม สร้างสมาธิมีสติและปัญญาในการใช้ชีวีอย่างงดงาม อย่างผู้ถึงพร้อม..ตายก่อนตาย.. ในท่ามกลางโลกไร้แล้งสับสนร้อนระอุใบนี้ ที่นับวันจะบิดเบี้ยวขมึงเกลียวให้ทุกดวงใจไหวหวั่น ด้วยความกลัวด้วยความเหงา และ สิ่งงดงามเงียบงันพลังแห่งจิตภายใน ก็จะบังเกิดนะกลางดวงใจใสงามของเราเอง คนดี.. หนังสือเล่มนี้ผู้เขียน เพียงนำมาสอดประสานกับความรู้สึก เบื้องลึกของมนุษย์ผสมจิตวิทยาและความจริง ที่เรามักมองหาและหวังว่า สิ่งภายนอก..คน และ..วัตถุภายนอก จะมาเติมเต็มจิตวิญญาณเราได้ คงหาใช่ไม่.. และด้วยดวงใจ สักวันหนังสือสามเล่มที่เขียนโดยท่านผู้นี้ จะได้ไปอยู่ในทุกมือผู้ที่แพนรักและหวังจักบันดาลใจ ให้คิดเย็นคิดเป็นเห็นโลกงามแม้จะต้องใช้เวลาแสนนาน เพื่อค้นหานิยามแห่งความจริงของชีวีชีวิตค่ะ ด้วยรักล้นใจนะคะ และ แพนจะนำมาเพิ่มเติมใจ มาฝากใหม่นะคะ เมื่อยพิมพ์แล้วค่ะ นะคืนนี้นะวันนี้
18 สิงหาคม 2552 12:47 น. - comment id 1028539
พี่พุดครับ ทุกเรื่อง และแทบจะทุกคำ ผมอ่าน ที่บอกว่า แทบจะทุกคำ ผมอ่านแบบจับใจความ.... จริงๆ ผมมีหลายเรื่องจะพูด จะเขียน จะพิมพ์ แต่ผมเป็นคนเดียว ไม่อาจทำในหลายๆสิ่งที่ต้องการ... คือ งานที่พี่พุดตอบผมในเรื่องที่แล้ว ผมอ่านแล้วอ่านอีก แต่ผมไม่อยากอธิบายอะไรมากมาย ขอ สรุปเลยแล้วกัน ผมเชื่อว่า ดอกไม้งามคู่ควรกับคนดี แต่ผมเองแค่เห็นดอกไม้งาม แม้หวังจะหยิบมาดมดอมให้ชื่นใจก็ถูกห้าม เมื่อห้ามไม่ให้นำดอกไม้จากต้นๆนั้นมา ผมก็จะไม่เอาหรอกครับ หากทว่า ถ้าผมบอกว่า นำดอกไม้ไปบูชา บางทีผมอาจได้รับค่าจากต้นไม้ต้นนั้นก็ได้.... ผมเองก็ยังเป็นตัวตนของผม ที่มีทั้งดีและชั่วตามประสา หากใครมองผมดีเกินไป ก็อาจไม่ใช่ตัวผม และหากมองว่าแย่จนเกินไป แล้วนั่นคือตัวผมจริงหรอ... จริงๆ ผมไม่น่ามาทำให้บ้านพี่พุด รกรุงรัง จากถ้อยคำที่ไม่งดงาม แต่คนอย่างผมก็ยังเดินตามฝัน ที่เลือนลาง และแบกความหวังจาก พ่อและแม่เอาไว้ รวมถึงพี่ๆ และน้อง ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นผม... ทั้งๆที่ความฝันและความหวังของพ่อและแม่กับผม เดินคนละสาย หากผมไม่เคยศึกษาธรรมะบ้าง ผมอาจไม่ได้มีชีวตถึงปานนี้ ผมเคยคิดว่าถ้าคนอย่างผมต้องตาย จะมีคนสักคนร้องไห้เพราะผมไหม? นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมาในอดีต ใครจะรู้ว่า ผู้ชาย ที่ดูจะมีอารมณ์ขัน คือคนช่างคิดและเก็บกด รวมถึงอดทนอย่างไร้สาระ ที่ผมไม่คิดฆ่าตัวตาย...ทั้งที่ผมไม่ได้ผิดหวังอะไรมาก แต่สภาวะแวดล้อมที่แก่งแย่งชิงดี ทำให้ผมเบื่อหน่าย ผุ้ชายที่โง่เขลาอย่างผม เป็นเพียงแค่ที่รองรับอารมณ์ อาจจะมองผมเป็นแค่เศษสวะ ชีวิตรอบข้างผมแสนจะเครียด........... แต่การฆ่าตัวตาย เป็นบาปมาก เท่ากับ 1 ทำให้พระพุทธเจ้าเลือดห้อ-กรณีพระเทวทัตกลิ้งหิน สะเก็ดถูกข้อเท้า 2 ฆ่าพระอรหันต์ 3. ทำพระสงฆ์ให้แตกแยกสามัคคี 4 ฆ่าพ่อ 5 ฆ่าแม่ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่า จำได้หมด หรือถูกต้องไหม? แต่ที่แน่ๆ การฆ่าตัวตายเป็นบาปมากๆ ที่ผมเกริ่นมาบอก เพราะมีช่วงหนึ่งเวลาหนึ่ง ที่ผุ้ชายคนนี้เครียด และกังวลกับหลายๆสิ่ง แต่เพราะผมได้อ่านหนังสือธรรมะอยู่บ้าง แบบนานๆที ผมจึง ยังมีชีวิตอยู่เท่าทุกวันนี้ และผมก็ต้องการเสนอว่า อย่าฆ่าตัวเองเลย.... สามสี่วันก่อน ผมรู้จักน้องสาวคนหนึ่ง ที่รู้จักกันมาเกือบปี เธอผิดหวังและเสียใจกับคนรักบ่อยครั้ง แต่เธอก็มาปรึกษากับผม บ่อยๆ เวลามีปัญหา แต่ไม่นานมานี้ เธอฆ่าตัวตาย ผมจึงเสียใจและสงสารเธอมาก ทุกครั้งที่ผมนึกถึง คนที่เคยรู้จัก คนที่เคยสนิทสนม ผมได้พูดว่า ไม่น่าเลย..และน่าสงสาร เพราะชีวิตหลังความตาย ต้องรับกรรมแสนสาหัส นี่เเหละที่ผมสงสาร ผมเป็นชอบคิดไปเรื่อยเปื่อย ดังนั้น ถ้าไร้สาระก็ขอ อภัยด้วยนะครับ แต่อย่าได้มองว่า ดอกไม้ที่ผมเก็บมานั้น จะต้องเหยียบย่ำซ้ำรอย ตราบใดที่ผมยังไม่ได้ทำ พี่พุดเคยบอกผมเองว่า มองแต่โลกในแง่ดี แล้วพี่พุดไม่มองในแง่ดีล่ะครับ เผื่อพี่พุดจะเห็นอีกทาง ที่มันดีบ้าง.... รักแลเคารพ พี่สาวแสนสวย น้ำใจงาม นามพี่พุด ยอดรักแห่งน้ำ-ไพร ที่หนึ่งเสมอ
18 สิงหาคม 2552 16:09 น. - comment id 1028621
สวัสดีค่ะพี่พุด เข้ามาอ่านข้อคิดและบทความดีดี ที่มีคุณค่าต่อจิตใจและแนวคิดในการดำเนินชีวิตค่ะ พร้อมกับชื่นชมภาพอันสวยงามที่พี่พุดสรรหามาฝากกัน พี่พุดคะ ทุกถ้อยคำ ที่พี่พุดเขียนและสื่อออกมา ส่วนใหญ่แล้วค่อนข้างที่จะตรงจุดพอดีเลยนะคะ ทุกวันนี้ก็เพียรตามงานพี่พุดเสมอค่ะ ทำให้ได้อะไรมากมายจากการเข้ามาเรือนพี่พุดทุกครั้ง ณ ตอนนี้ กบได้ยอมแพ้แก่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วค่ะ ยอมแพ้เพราะรู้ว่าแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว ยอมแพ้เพราะคิดที่จะเริ่มต้นใหม่ ยอมแพ้เพื่อที่จะปรับปรุงตัวเองใหม่ค่ะ และตั้งใจเอาไว้ว่า จะทำทุกวันที่ผ่านไป ให้มีความสุขและมีค่าที่สุด คิดถึงคนที่เค้ารักเรา และทำเพื่อคนที่รักเราค่ะ เพาะบ่มกำลังใจจนได้ที่กับการรับมือกับปัญหาค่ะ ไม่มีใครได้อะไรมาโดยที่ไม่เสียอะไรไปค่ะ รักและคิดถึงพี่พุดนะคะ
18 สิงหาคม 2552 23:03 น. - comment id 1028703
พี่พุดคะ ปรางอ่านเมนท์ที่พี่ตอบปรางแล้วสอง รอบค่ะ ปรางขอกราบขอบพระคุณใน ความกรุณาที่พี่สาวคนนี้มอบให้แก่ ปรางนะคะ ทราบซึ้งมาก ๆ เลยค่ะ และได้อ่านเมนท์ของน้อง กวีน้อยฯ ถือว่าปรางยังเป็นผู้ที่โชคดีคนหนึ่ง ที่ได้มาพบเจอ คนดี ๆ ซึ่งเป็นผู้มี จิตใจขาวสะอาดหลาย ๆ คนในบ้าน หลังนี้ เพราะปรางได้ศึกษาธรรมะ ในช่วงยังเด็ก จึงทำให้ปรางฟันผ่า พายุร้ายในชีวิต มาได้จนถึงขณะนี้ ถึงแม้ปรางจะไม่โชคดีมากนัก แต่ ขณะนี้ปรางถือว่าตัวเองมีโชคแล้วค่ะ ที่ได้พบได้เจอ พี่พุด ซึ่งมีจิตใจงดงาม ดั่งทองแท้ บริสุทธิ์ สุดจะหาคำบรรยาย ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ ด้วยรักพี่พุดจากใจจริงค่ะ
19 สิงหาคม 2552 08:46 น. - comment id 1028810
พี่พุดคะ จิตใจของพี่พุด สะอาด บริสุทธิ์ อีกไม่นานน้องก็คงจะไปค่ะพี่พุด น้องอาจจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่น้องไม่ชอบการแข่งขัน แก่งแย่งชิงหัวใจใคร การดูถูก เหยียดหยามกัน ด้วยคำพูดที่เจ็บแสบ รุนแรง ฟังแล้วเศร้าใจ จนอยากหนีไปให้พ้น อยากอยู่แต่ในบ้านพี่พุดอันแสนอบอุ่น ไม่อยากแต่งกลอนอีกเลย มันเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก อยากให้โลกนี้มีแต่ความรักให้กันแบบจริงใจ ไม่ทำร้ายกัน น้องคงหวังมากเกินไปใช่มั้ยคะพี่พุด น้องยอมแพ้ ไม่อยากสู้รบปรบมืออีกต่อไป แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมารนะคะพี่พุด